Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

เมษายน 27, 2024, 01:31:17 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,625
  • หัวข้อทั้งหมด: 650
  • Online today: 103
  • Online ever: 153
  • (เมษายน 26, 2024, 05:40:09 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 61
Total: 61

ประวัติศาสตร์ ซุนนี่ กับ ผู้ปกครองรัฐ

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 11, 2009, 11:57:21 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar




ตอน  46  


รายงานที่ 12



เอาฟ์บินมาลิกรายงาน




6389 - أَخْبَرَنَا أَبُو جَعْفَرٍ مُحَمَّدُ بْنُ مُحَمَّدٍ الْبَغْدَادِىُّ بِنِيْسَابُوْر ، ثَنَا يَحْيَى بْنُ عُثْمَانَ ، ثَنَا صَالِحٌ السَّهْمِيُّ ، ثنا نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ ، ثَنَا عِيسَى بْنُ يُونُسَ ، عَنْ جَرِيرِ بْنِ عُثْمَانَ ، عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ جُبَيْرِ بْنِ نُفَيْرٍ ، عَنْ أَبِيْهِ ، عَنْ عَوْفِ بْنِ مَالِكٍ رضي الله عنه ،
عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : « تَفْتَرِقُ أُمَّتِي عَلَى بِضْعِ وَسَبْعِيْنَ فِرْقَةً ، أَعْظَمُهَا فِتْنَة عَلَى أُمَّتِيْ قَوْمٌ يَقيْسُوْنَ الْأُمُوْرَ بِرَأْيِهِمْ فَيَحِلُّوْنَ الْحَرَامَ وَيُحَرِّمُوْنَ الْحَلاَلَ »
المستدرك علي الصحيحين   : 6389

อบูญะอ์ฟัร มุหัมมัด บินมุหัมมัด อัลบัฆดาดีย์ได้เล่าให้เราฟังที่เมืองนัยซาบูรีย์(ประเทศอิหร่าน)
จากยะห์ยาบินอุษมาน จากศอและห์ อัสสะฮ์มีย์ จากนุอัยม์ บินหัมมาด จากอีสา บินยูนุส จากญะรีร บินอุษมาน จากอับดุลเราะห์มาน บินญุบัยรฺ บินนุฟัยรฺ จากบิดาเขา จากเอาฟ์บินมาลิกรายงาน :
 จากท่านนบี ศ.กล่าวว่า : อุมมะฮ์ของฉันจะแตกออกเป็น 70 กว่าพวก(ฟิรเกาะฮ์) พวกใหญ่ที่สุดที่จะสร้างฟิตนะฮ์ให้กับอุมมะฮ์ของฉันคือกลุ่มชนที่ทำการ(กิยาส)เปรียบเทียบกิจการต่างๆโดยอาศัยความคิดของพวกเขาเป็นหลักเกณฑ์ แล้วพวกเขาทำให้สิ่งหะรอมเป็นที่อนุญาต และทำให้สิ่งหะล้าลเป็นที่ต้องห้าม

อัลมุสตัดร็อก อะลัศ เศาะฮีหัยนิ  โดยอัลหากิม อันนัยสาบูรีย์  หะดีษที่ 6389


ศึกษา สถานะของผู้รายงานหะดีษ (รอวี)

ยะห์ยา บินอุษมาน บินศอและห์
721 - يحيى بن عثمان بن صالح المصري  : وتكلموا فيه
الجرح والتعديل - أبو حاتم الرازي
อบูหาติมอัลรอซีย์กล่าวว่า   ยะห์ยาบินอุษมาน ชาวอียิปต์ (บรรดานักปราชญ์)ได้วิจารณ์เกี่ยวกับเขา

อัลญะเราะหฺ วัต ตะอ์ดีล โดยอบูหาติม  อันดับที่ 721


นุอัยมฺ บินหัมมาด ตายฮ.ศ. 228
589 - نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ  ضَعِيْفٌ
كتاب : الضعفاء والمتروكين - النسائي
อัน-นะสาอีย์กล่าวว่า นุอัยม์ บินหัมมาดนั้น  ดออีฟ

อัฎ ฎุอะฟาอุ วัลมัตรูกีน โดยอันนะสาอีย์ อันดับที่ 589

قال الألباني  : نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ  ضَعِيْفٌ
السلسلة الضعيفة و الموضوعة  ج 2 ص 374  ح : 957

เชคอัลบานีย์กล่าวว่า  นุอัยมฺ บินหัมมาดนั้น   ดออีฟ

สิลสิละตุฎ เฎาะอีฟะฮ์  เล่ม  2 หน้า  357 หะดีษที่  957

7166 - نعيم بن حماد بن معاوية  : صدوق يخطىء كثيرا
كتاب : تقريب التهذيب - ابن حجر

อิบนุหะญัรอัลอัสเกาะลานีย์กล่าวว่า นุอัยม์ บินหัมมาด  เชื่อได้  แต่ผิดพลาดมาก

ตักรีบุต ตะฮ์ซีบ  โดยอิบนุหะญัร  อันดับที่  7166

16099 - نعيم بن حماد الْمَرْوَزِيُّ : ربما أخطأ ووهم مات سنة ثمان وعشرين ومائتين
كتاب : الثقات - ابن حبان

อิบนุหิบบานกล่าวว่า   นุอัยม์ บินหัมมาดอัลมัรวะซีย์    บางครั้งผิดพลาดและหลงลืม  

อัษษิกอต โดยอิบนุหิบบาน  อันดับที่ 16099

738 - نعيم بن حماد أبو عبد الله الرفاء الفارض المروزي سكن مصر
وقال النسائي هو ضعيف الحديث قال عبد الله أخرج له البخاري حديثين
وقد ضعفه أبو عبد الرحمن وغيره
الكتاب : التعديل والتجريح , لمن خرج له البخاري في الجامع الصحيح
المؤلف : سليمان بن خلف بن سعد أبو الوليد الباجي

อันนะสาอีย์กล่าวว่า  เขา(นุอัยมฺ) ดออีฟในหะดีษ   อับดุลเลาะฮ์กล่าวว่า อัลบุคอรีย์รายงานหะดีษของเขาสองบท และแน่นอนอบูอับดุลเราะห์มานกับบุคคลอื่นได้ตัฏอีฟเขา(คือถือว่าเขานั้น ดออีฟ)

อัต ตะอ์ดีล วัต ตัจญ์รี๊หฺ  ลิมันเคาะเราะญะ ละฮุลบุคอรีย์ โดยอัลบาญีย์  อันดับที่  738


 [ 1959 ] نعيم بن حماد المروزي خزاعى
أحمد بن شعيب قال بن حماد قال غيره كان يضع الحديث في تقوية السنة
 
อะหมัด บินชุอัยบฺและคนอื่นกล่าวว่า (นุอัยมฺ) บินหัมมาด เคยกุหะดีษในการทำให้สุนนะฮ์แข็งแกร่ง
يحيى فقال انه يروى عن غير الثقات
ยะห์ยากล่าวว่า  เขา(นุอัยมฺ บินหัมมาด) รายงานหะดีษจากผู้ที่เชื่อถือไม่ได้


อิบนุอะดีย์ ได้บันทึกหะดีษฟิรเกาะฮ์ของนุอัยม์ไว้ในหนังสือหะดีษดออีฟของเขา

ثنا بن حماد ثنا عصام بن رواد ثنا نُعَيْمُ بْنُ حَمَّادٍ ، ثَنَا عِيسَى بْنُ يُونُسَ ، عَنْ جَرِيرِ بْنِ عُثْمَانَ ، عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ جُبَيْرِ بْنِ نُفَيْرٍ ، عَنْ أَبِيْهِ ، عَنْ عَوْفِ بْنِ مَالِكٍ سَمِعْتُ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ  افْتَرَقَتِ بَنُو إِسْرَائِيلَ عَلَى سَبْعِينَ فِرْقَةً وَتَزِيْدُ اُمَّتِىْ عَلَيْهَا فِرْقَةً لَيْسَ فِيْهَا أَضَرَّ عَلَى اُمَّتِىْ مِنْ قَوْمٍ يقيسون الدين برأيهم فيَحِلُّوْنَ به ما حَرَّمَ اللهُ وَيُحَرِّمُوْنَ به ما أَحَلَّ اللهُ
اتهم بهذا الحديث أيضا حيث حدث ورواه عن عمه عن عيسى

หะดีษบทนี้ถูกตำหนิเช่นกัน ตามที่เขาได้รายงานมันมาจากลุงของเขาจากอีสา บินยูนุส

وقال لنا الْفِرْيَابِىُّ لما أردت الخروج الى سُوَيْدٍ قال لي أبى بكر الاعين سل سويد عن هذا الحديث فوقفه عليه

อัลฟิรยาบีย์กล่าวกับเรา ตอนที่เราต้องการออกไปหาสุวัยดฺ,  อบูบักรฺอัลอะอ์ยุนกล่าวกับฉันว่า จงถามสุวัยดฺถึงหะดีษบทนี้ และเขาได้นิ่งเฉยต่อมัน

(قال ابن عدي)ولنعيم بن حماد غير ما ذكرت وقد اثنى عليه قوم وضعفه قوم
الكتاب : الكامل في الضعفاء   لإبن عدي

อิบนุอะดีย์กล่าวว่า  :  สำหรับนุอัยมฺ บินหัมมาดนอกเหนือจากที่ข้าพเจ้ากล่าวถึง  แน่นอนมีกลุ่มหนึ่งยกย่องเขาและอีกกลุ่มหนึ่งถือว่าเขาดออีฟ

อ้างอิงจาก

อัลกามิล ฟิฎ ฎุอะฟาอ์ โดยอิบนุอะดีย์ อันดับที่ 1959


นักปราชญ์อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้ให้การยกย่องอิบนุอะดีย์ว่า เป็นนักวิจารณ์ที่เที่ยงธรรม ดูข้อมูลที่เวป
http://www.ibnamin.com/Manhaj/Udai.htm




สรุป

เมื่ออุละมาอ์อะฮ์ลุสสุนนะฮ์มากมายได้วิจารณ์ว่า  นุอัยม์บินหัมมาดคือนักรายงานที่จัดอยู่ในระดับ ดออีฟ  

ดังนั้นหะดีษบทนี้จึงดออีฟ  ยกเว้นอุละมาอ์อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ที่ตะอัศศุบเข้าข้างตนเองจึงกล่าวว่า หะดีษบทนี้หะสัน อันเป็นความขัดแย้งของพวกเขาเอง
[/color]
  •  

L-umar



ตอน  47


วิจารณ์ ตัวบทหะดีษทั้งสิบสองบท ดังนี้


เมื่อท่านได้อ่านตัวหะดีษสิบสองบทที่ผ่านมา  จะสังเกตเห็นได้ว่า  

หะดีษดังกล่าวได้จำกัดกลุ่มที่รอดปลอดภัย (  ฟิรเกาะฮ์ นาญียะฮ์ ) ไว้สามคำคือ


1.   อัลญะมาอะฮ์

2.   อัศ – เศาะหาบะฮ์

3.   อัส-สะวาดุล อะอ์ซ็อม




อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้ให้นิยามคำ  " ญะมาอะฮ์ "   ไว้ดังนี้คือหมายถึง  


หนึ่ง –
ญะมาอะฮ์ของเศาะหาบะฮ์  
เพราะพวกเขาเป็นผู้มีความรู้    และมีความเห็นพ้องที่ตั้งอยู่บนความถูกต้อง ไม่แตกแยกกัน  


สอง-
มุสลิมที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มญะมาอะฮ์


สาม-
อะฮ์ลุลฮัลลิวัลอักดิ (พวกที่แก้และมัด หมายถึงแก้ไขกฎและสร้างกฎขึ้นมาผูกมัด)




นักวิชาการฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้จำกัดความนิยามเหล่านี้ไว้ว่า จำเป็นจะต้องอยู่ในแนวทางของซุนนี่

เพราะคนกลุ่มนี้อยู่บนแนวทางของเศาะหาบะฮ์  โดยอ้างว่า พวกเขาคือผู้ถ่ายถอดซุนนะฮ์ คือผู้ปกป้องรักษาและยึดมั่นต่อซุนนะฮ์อย่างแท้จริง




ท่านจะเห็นได้ว่า  หากอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้ปล่อยให้นิยามเหล่านี้เอาไว้โดยไม่ได้ทำการจำกัดความเอาไว้เช่นนั้น  

ก็คงจะมีมุสลิมกลุ่มอื่นๆฉกฉวยหะดีษเหล่านี้เอาไปอ้างเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มของพวกเขาอย่างแน่นอน


เพราะฉะนั้นอะฮ์ลุสสุนนะฮ์จึงรีบกักความเข้าใจต่อคำเหล่านี้เอาไว้ว่า หมายถึงพวกตนเท่านั้น เพื่อปกป้องตนเองและพรรคพวกของตน



แต่โปรดรับทราบเอาไว้ว่า   ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) ไม่เคยกล่าวว่า  

อุมมัตของฉันจะแตกออกเป็น 73 ฟิรเกาะฮ์  ทุกกลุ่มลงนรกหมด  ยกเว้น  อะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เท่านั้นที่จะได้เข้าญันนะฮ์    
  •  

L-umar


ตอน  48


อะฮ์ลุสสุนนะฮ์     ฉลาดในการวางหมาก  โดยอ้างกับชาวโลกว่า   กลุ่มของพวกเขาถูกต้อง  

และใส่ร้ายมุสลิมกลุ่มอื่นๆว่า เป็นพวกทำตามอารมณ์นัฟซู  เป็นพวกสร้างอุตริกรรม บิดอะฮ์ในศาสนา   จากนั้นพวกเขาก็ปิดประตูว่า  มุสลิมคนใดก็ตามที่ไม่ยอมมาเข้าร่วมอยู่ในญะมาอะฮ์เดียวกับพวกเขา หรือแยกตัวออกไปจากญะมาอะฮ์ของพวกเขา  คนนั้นหรือพวกนั้นคือพวกหลงผิด ( เฎาะลาละฮ์ )

พวกเขาได้กุหะดีษนี้มาเป็นตัวกำหนดญะมาอะฮ์อื่นว่า  หลงผิด  (เฎาะลาละฮ์) ไม่ได้อยู่บนสัจธรรม   หะดีษนั้นคือ  


ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)กล่าวว่า

لَنْ يَجْمَعَ أُمَّتِي عَلَى ضَلَالَةٍ أبدا ، ويد الله على الجماعة


ประชาชาติของฉันจะไม่รวมกันบนความหลงผิด (เฎาะลาละฮ์)

และพระหัตถ์ของอัลเลาะฮ์อยู่บนญะมาอะฮ์


อัลมุสตัดรอก อัลฮากิม  หะดีษที่ 361


พวกเขาถือว่าตัวเองคือความของคำว่า  " อุมมะตี " และ " ญะมาอะฮ์ " ในหะดีษบทนี้  ดังนั้นพวกเขาคือกลุ่มที่อยู่บนสัจธรรม  

และ


قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ

ท่านรอซูล(ศ)ยังกล่าวว่า :

ผู้ใดที่กระทำขึ้นมาใหม่ ในการงาน(ศาสนา)ของเรานี้ กับสิ่งที่ไม่มีมาจากมัน(คือจากการงานของเรา)แล้ว สิ่งนั้นย่อมถูกปฏิเสธ


ซอฮีฮุล บุคอรี หะดีษที่ 2697  และซอฮีฮุ มุสลิม หะดีษที่ 1718



อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้สร้างหะดีษทำนองนี้ขึ้นมาปกป้องกลุ่มของพวกเขาเอง  ทำอย่างกับว่า กลุ่มของพวกเขานั้นได้รับความคุ้มครองชนิดที่เรียกว่า เป็นกลุ่มมะอ์ซูม ที่จะทำผิดไม่ได้อีกแล้ว



จากหะดีษเหล่านี้ อะฮ์ลุสสุนนะฮ์จึงเอามายึดเป็นหลักฐานว่า กลุ่มของตน คือกลุ่มที่รอดปลอดภัย ( ฟิรเกาะฮ์ นาญียะฮ์ )  ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้เปรียบดั่งใยแมงมุมอันเป็นบ้านที่อ่อนแอยิ่งนัก


ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนี้  


กล่าวคือ   ถ้ามุสลิมกลุ่มอื่นๆจะยึดเอาทัศนะโลกแคบแบบนี้มาใช้บ้างกับอะฮ์ลุสสุนนะฮ์   แล้วจะเป็นเช่นไร  สมมุติว่า ทุกกลุ่มต่างนำมาตรการนี้มาใช้กันหมดทุกกลุ่มล่ะ  โลกมุสลิมจะเกิดอะไรขึ้น เช่น



ถ้าพวกมุอ์ตะซิละฮ์กล่าวว่า   พวกเขาถูก ส่วนพวกอื่นผิด

ถ้าพวกมาตูริดียะฮ์กล่าวว่า   พวกเขาถูก ส่วนพวกอื่นผิด

ถ้าพวกอะชาอิเราะฮ์กล่าวว่า   พวกเขาถูก ส่วนพวกอื่นผิด

ถ้าพวกชีอะฮ์กล่าวว่า   พวกเขาถูก ส่วนพวกอื่นผิด

ถ้าพวกญับรียะฮ์กล่าวว่า   พวกเขาถูก ส่วนพวกอื่นผิด

ถ้าพวกมุรญิอะฮ์กล่าวว่า   พวกเขาถูก ส่วนพวกอื่นผิด

ถ้าพวกเคาะวาริจญ์กล่าวว่า   พวกเขาถูก ส่วนพวกอื่นผิด

ท่านลองนึกสิว่า  บนโลกใบนี้จะยังหลงเหลือมุสลิมอยู่อีกไหม    




ท่านลองมองเรื่องๆหลักที่มุสลิมทุกกลุ่มมีความเชื่อความศรัทธาเหมือนกันคือ



1.   เตาฮีด  คือเชื่อว่า  อัลเลาะฮ์คือพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และไม่มีภาคีใดทั้งสิ้น

2.   นุบูวะฮ์  คือเชื่อ มุฮัมมัด  คือนบีคนสุดท้าย

3.   กิยามะฮ์ คือเชื่อว่า  วันสิ้นโลกมีจริง  




ส่วนเรื่องหลักๆที่มุสลิมขัดแย้งกัน แตกแยกกันคือ

1.   เรื่องเกี่ยวกับคุณลักษณะ(ซิฟัต)ของอัลเลาะฮ์

2.   เรื่องผู้นำ  ต่อจากท่านนบีมุฮัมมัด


แต่อะอ์ลุสสุนนะฮ์ก็ชอบหยิบยกสองเรื่องนี้มาเป็นประเด็นกล่าวหาคนกลุ่มอื่นว่า  หลงผิด  
เช่น


พวกวาฮาบีกล่าวว่า  

"  ยะดุลเลาะฮ์ -  يَدُ اللهِ "  แปลว่า  มือของอัลเลาะฮ์  แสดงว่า  อัลเลาะฮ์มีมือจริงๆ แต่ห้ามเอามือของอัลเลาะฮ์ไปเปรียบเทียบตีความเป็นอื่นเด็ดขาด


หากอะชาอิเราะฮ์หรือชีอะฮ์ แปลคำ ยะดุลเลาะฮ์ว่าหมายถึง "  อำนาจของอัลเลาะฮ์ "  พวกวาฮาบีจะฮุก่มทันทีว่า อะชาอิเราะฮ์และชีอะฮ์นั้นเป็นพวกบิดอะฮ์


หรือวาฮาบีกับอะชาอิเราะฮ์ถือว่า  ท่านอบูบักรคือคอลีฟะฮ์ที่หนึ่ง    

แต่ฝ่ายชีอะฮ์เชื่อว่า  ท่านอะลีคือคอลีฟะฮ์ที่หนึ่ง  ทั้งวาฮาบีและอะชิเราะฮ์ก็จะร่วมกันประณามชีอะฮ์ว่า  เป็นพวกสร้างความแตกแยก   ทั้งๆที่วาฮาบีและอะชาอิเราะฮ์ถือว่า เรื่องผู้นำเป็นเรื่องฟุรู๊อฺ ไม่ใช่เรื่องอุศูล.
  •  

L-umar


ตอน 49  


กลุ่มมุสลิมที่จะรอดปลอดภัยจากไฟนรก  ต้องสังกัดตนอยู่ในหะดีษบทนี้จริงหรือ ?


مَا أَنَا عَلَيْهِ وَأَصْحَابِى

((  สิ่งที่ฉัน  ยืนหยัดอยู่บนมัน  -  และ   - บรรดาเศาะหาบะฮ์ของฉัน  ))




ตัวบทหะดีษ :


حَدَّثَنَا مَحْمُودُ بْنُ غَيْلاَنَ

حَدَّثَنَا أَبُو دَاوُدَ الْحَفَرِىُّ
 
عَنْ سُفْيَانَ الثَّوْرِىِّ
 
عَنْ عَبْدِ الرَّحْمَنِ بْنِ زِيَادِ بْنِ أَنْعُمَ الإِفْرِيقِىِّ

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ يَزِيدَ

عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ عَمْرٍو قَالَ

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « لَيَأْتِيَنَّ عَلَى أُمَّتِى مَا أَتَى عَلَى بَنِى إِسْرَائِيلَ حَذْوَ النَّعْلِ بِالنَّعْلِ حَتَّى إِنْ كَانَ مِنْهُمْ مَنْ أَتَى أُمَّهُ عَلاَنِيَةً لَكَانَ فِى أُمَّتِى مَنْ يَصْنَعُ ذَلِكَ وَإِنَّ بَنِى إِسْرَائِيلَ تَفَرَّقَتْ عَلَى ثِنْتَيْنِ وَسَبْعِينَ مِلَّةً وَتَفْتَرِقُ أُمَّتِى عَلَى ثَلاَثٍ وَسَبْعِينَ مِلَّةً كُلُّهُمْ فِى النَّارِ إِلاَّ مِلَّةً وَاحِدَةً قَالُوا وَمَنْ هِىَ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ مَا أَنَا عَلَيْهِ وَأَصْحَابِى ».

سنن الترمذي   ح : 2853


ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (ศ)กล่าวว่า

พวกยะฮูดีจะแตกออกเป็น 71 พวก ,พวกนะซอรอจะแตกออกเป็น 72 พวก

และอุมมะฮ์ของฉันจะแตกออกเป็น 73 พวก  ทั้งหมดจะอยู่ในนรก นอกจากพวกเดียว

พวกเขากล่าวว่า  :   พวกนั้นเป็นใคร  โอ้ท่านรอซูลุลเลาะฮ์    ?

ท่านกล่าวตอบว่า  คือ :  

สิ่งที่ฉัน  ยืนหยัดอยู่บนมัน    และ    บรรดาเศาะหาบะฮ์ของฉัน


สุนัน ติรมิซี   หะดีษที่  2853



ท่านจะพบว่าเวปฝ่ายวาฮาบีมากมายนำหะดีษประเภทนี้มาอ้างอิงเข้าข้างตัวเองเช่น

http://www.moradokislam.org/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=564


http://www.azsunnah.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=33


http://www.muslimnakhon.com/view/index.php?topic=67.0


http://www.oknation.net/blog/print.php?id=137050

http://www.muslimthai.com/mnet/content.php?bNo=45&qNo=1674&kword=


วิจารณ์



อัตติรมิซีรายงานหะดีษบทนี้ด้วยสะนัดตามที่กล่าวไว้ข้างต้น  ซึ่งทั้งวาฮาบีและอะชาอิเราะฮ์ได้หยิบหะดีษบทนี้มาอ้างอิงเป็นหลักฐานว่า พวกเขาคือกลุ่มที่ถูกต้อง    


พิเคราะห์สะนัดหะดีษ


สายรายงานหะดีษนี้ปรากฏชื่อรอวีย์คนหนึ่งคือ  

อัลดุลเราะห์มาน บินซิยาด อัลอิฟริกี


และนักวิชาการฝ่ายซุนนี่ได้วิจารณ์รอวีย์ผู้นี้แตกต่างกันไปดังนี้
 
عن أحمد بن حنبل: ليس بشيء.  وقال: منكر الحديث.

อิหม่ามอะหมัดกล่าวว่า  เขาไม่มีสิ่งใดเลย และยังกล่าว  มุงกัร หะดีษ

وعن يحيى بن معين: ضعيف.

ยะห์ยา บินมะอีนกล่าวว่า  เขา ดออีฟ

وقال الترمذي: ضعيف عند أهل الحديث، ضعفه يحيى القطان وغيره

อัตติรมิซีกล่าวว่า   เขา ดออีฟ ในทัศนะของอะฮ์ลุลหะดีษ   ยะห์ยา อัลกอฏฏอนและคนอื่นๆได้ตัฏอี๊ฟเขา

สรุปจากหนังสือ  ตะฮ์ซีบบุลกะมาล เล่ม  17 : 102  อันดับที่ 3817


قال النسائي ضعيف

อันนะซาอี กล่าวว่า  เขา  ดออีฟ

 وقال ابن خزيمة لا يحتج به

อิบนุคุซัยมะฮ์ กล่าวว่า  จะเอาเขามาอ้างอิงเป็นหลักฐานไม่ได้

 وقال ابن خراش متروك

อิบนุคิรอช กล่าวว่า  เขามัตรู๊ก

สรุปจากหนังสือ  ตะฮ์ซีบุต-ตะฮ์ซีบ โดยอิบนุหะญัร เล่ม  6 : 159  อันดับที่ 338



อย่างไรก็ตามรอวีย์ผู้นี้ยังมีนักวิชาการคนอื่นๆให้ความเชื่อถืออยู่เช่นกัน  

แต่ที่เรายกคำวิจารณ์ในทางลบมากล่าวก็เพื่อได้ทราบว่า  เมื่อนักวิชาการมีทัศนะต่อรอวีย์ผู้นี้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ    

เชื่อได้ กับ  รายงานของเขานั้น ดออีฟ  


แล้วพวกเขาเอาอะไรมากำหนดว่า  หะดีษบทดังกล่าว ถูกต้อง  

แน่นอนเพราะมัน ถูกใจพวกเขานั่นเอง  

ติตตามตอนต่อไป
  •  

L-umar


ตอน 50



พิเคราะห์ความหมายหะดีษ


((  สิ่งที่ฉัน  ยืนหยัดอยู่บนมัน  -  และ   - บรรดาเศาะหาบะฮ์ของฉัน  ))



มันคือความถูกต้องจริงหรือที่จะเชื่อว่า  

เศาะหาบะฮ์ทุกคนสามารถนำพามุสลิมให้รอดปลอดภัย  


เพราะมีหะดีษกล่าวว่า เศาะบะฮ์บางส่วนนั้นถูกนำไปลงนรก  


عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ - رضى الله عنهما - عَنِ النَّبِىِّ - صلى الله عليه وسلم - قَالَ « إِنَّكُمْ مَحْشُورُونَ حُفَاةً عُرَاةً غُرْلاً - ثُمَّ قَرَأَ - ( كَمَا بَدَأْنَا أَوَّلَ خَلْقٍ نُعِيدُهُ وَعْدًا عَلَيْنَا إِنَّا كُنَّا فَاعِلِينَ ) وَأَوَّلُ مَنْ يُكْسَى يَوْمَ الْقِيَامَةِ إِبْرَاهِيمُ ، وَإِنَّ أُنَاسًا مِنْ أَصْحَابِى يُؤْخَذُ بِهِمْ ذَاتَ الشِّمَالِ فَأَقُولُ أَصْحَابِى أَصْحَابِى . فَيَقُولُ ، إِنَّهُمْ لَمْ يَزَالُوا مُرْتَدِّينَ عَلَى أَعْقَابِهِمْ مُنْذُ فَارَقْتَهُمْ


อิบนุอับบาสรายงาน :

ท่านนบี (ศ) กล่าวว่า  :

แท้จริงพวกท่าน จะถูกนำมารวมกัน สภาพเท้าปล่าว กายเปลือย แล้วท่านอ่านโองการ

كَمَا بَدَأْنَا أَوَّلَ خَلْقٍ نُعِيدُهُ وَعْدًا عَلَيْنَا إِنَّا كُنَّا فَاعِلِينَ

ดังเช่นที่เราได้เริ่มให้มีการบังเกิดครั้งแรก เราจะให้มันกลับเป้นขึ้นมาอีก เป็นสัญญาผูกพันกับเรา แท้จริงเราเป็นผู้กระทำอย่างแน่นอน (21 : 104)

และบุคคลแรกที่จะถูกสวมอาภรณ์ให้ในวันกิยามะฮ์คือ (ท่านนบี)อิบรอฮีม

และแท้จริงมีคนกลุ่มหนึ่งจาก " อัศฮาบของฉัน "  พวกเขาถูกพาไปทางซ้าย(ไปนรก)

ฉันจึงกล่าวว่า : (พวกเขาเหล่านี้คือ) อัศฮาบของฉัน (พวกเขาเหล่านี้คือ) อัศฮาบของฉัน
มีผู้กล่าวว่า : แท้จริงพวกเขา ยังคงตกมุรตัดตั้งแต่ท่านได้จากพวกเขาไป




เศาะหิ๊หฺบุคอรี  หะดีษที่ 3349



عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ - رضى الله عنهما - قَالَ خَطَبَ النَّبِىُّ - صلى الله عليه وسلم - فَقَالَ « إِنَّكُمْ مَحْشُورُونَ إِلَى اللَّهِ حُفَاةً عُرَاةً غُرْلاً ( كَمَا بَدَأْنَا أَوَّلَ خَلْقٍ نُعِيدُهُ وَعْدًا عَلَيْنَا إِنَّا كُنَّا فَاعِلِينَ ) ثُمَّ إِنَّ أَوَّلَ مَنْ يُكْسَى يَوْمَ الْقِيَامَةِ إِبْرَاهِيمُ ، أَلاَ إِنَّهُ يُجَاءُ بِرِجَالٍ مِنْ أُمَّتِى ، فَيُؤْخَذُ بِهِمْ ذَاتَ الشِّمَالِ ، فَأَقُولُ يَا رَبِّ أَصْحَابِى فَيُقَالُ لاَ تَدْرِى مَا أَحْدَثُوا بَعْدَكَ فَأَقُولُ كَمَا قَالَ الْعَبْدُ الصَّالِحُ ( وَكُنْتُ عَلَيْهِمْ شَهِيدًا مَا دُمْتُ ) إِلَى قَوْلِهِ ( شَهِيدٌ ) فَيُقَالُ إِنَّ هَؤُلاَءِ لَمْ يَزَالُوا مُرْتَدِّينَ عَلَى أَعْقَابِهِمْ مُنْذُ فَارَقْتَهُمْ » .


จากอิบนุอับบาส :  

ท่านนบี (صلى الله عليه وسلم) ได้คุฏบะฮ์ ท่านกล่าวว่า  : แท้จริงพวกท่าน จะถูกนำมารวมกันยังอัลลอฮฺ สภาพเท้าปล่าว กายเปลือย...

كَمَا بَدَأْنَا أَوَّلَ خَلْقٍ نُعِيدُهُ وَعْدًا عَلَيْنَا إِنَّا كُنَّا فَاعِلِينَ

ดังเช่นที่เราได้เริ่มให้มีการบังเกิดครั้งแรก เราจะให้มันกลับเป้นขึ้นมาอีก เป็นสัญญาผูกพันกับเรา แท้จริงเราเป็นผู้กระทำอย่างแน่นอน (21 : 104)

จากนั้นแท้จริงบุคคลแรกที่จะถูกสวมอาภรณ์ให้ในวันกิยามะฮ์คือ (ท่านนบี)อิบรอฮีม

พึงรู้เถิดว่า แท้จริงมีชายกลุ่มหนึ่งจาก " อุมมะฮ์ของฉัน "  ถูกพามา แล้วพวกเขาถูกนำไปทางซ้าย
ฉันจึงกล่าวว่า : โอ้ร็อบของฉัน ! (พวกเขาเหล่านี้คือ) อัศฮาบของฉัน

มีผู้กล่าวว่า : ท่านไม่รู้หรอกว่า พวกเขาได้สร้างอุตริกรรมอะไรลงไป ภายหลังจากท่าน



เศาะหิ๊หฺบุคอรี  หะดีษที่ 4740




อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้อธิบายคำ " อัศฮาบี - เศาะหาบะฮ์ของฉัน  "

ในที่นี้ว่า ไม่ได้หมายถึง  สาวกของท่านรอซูลุลเลาะฮ์   แต่หมายถึงประชาชาติของท่าน



แน่นอน  หะดีษนี้ได้ทำลายสโลแกนที่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์สร้างไว้สวยหรูว่า  

เศาะหาบะฮ์ ทุกคนเป็นคนดี


เพราะฉะนั้นหากทุกคนเป็นคนดีย่อมต้องขึ้นสวรรค์ จะตกนรกได้อย่างไร  
เมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับหะดีษแบบนี้ พวกเขาจึงต้องพยายามตีความคำ " อัศฮาบี  - สาวกของฉัน " ให้เป็นอื่น


เพื่อพิสูจน์ว่าคำ (( อัศฮาบี – สาวกของฉัน ))   ในที่นี้คือ (( สาวกของท่านรอซูลุลเลาะฮ์ ))


โปรดอ่านหะดีษต่อไปนี้  

 
عَنْ أَبِي بَكْرَةَ :

أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ لَيَرِدَنَّ عَلَيَّ الْحَوْضَ رِجَالٌ مِمَّنْ صَحِبَنِي وَرَآنِي

حَتَّى إِذَا رُفِعُوا إِلَيَّ وَرَأَيْتُهُمْ اخْتُلِجُوا دُونِي فَلَأَقُولَنَّ رَبِّ أَصْحَابِي أَصْحَابِي

فَيُقَالُ إِنَّكَ لَا تَدْرِي مَا أَحْدَثُوا بَعْدَكَ)


อบีบักเราะฮ์รายงาน :

แท้จริงท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)กล่าวว่า :


จะมีบรรดาบุรุษ จากผู้ที่อยู่ร่วมกับฉัน และได้พบเห็นฉัน เข้ามาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)  


จนเมื่อพวกเขาถูกยกมายังฉันและฉันเห็นพวกเขา   แล้วพวกเขาก็ถูกดึงออกไปจากฉัน  


ดังนั้นฉันกล่าวว่า  :  โอ้องค์อภิบาล (พวกเขาเหล่านี้คือ )  อัศฮาบของฉัน  (คือ)สาวกของฉัน


มีผู้กล่าวว่า  : แท้จริงท่าน  ไม่รู้หรอกว่า  พวกเขาได้ก่ออุตริกรรมอันใดไว้หลังจากท่านจากไป



สถานะหะดีษ  :  เศาะหิ๊หฺ

ดูมุสนัดอิหม่ามอะหมัด   หะดีษเลขที่ 19590

ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี




อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีกล่าวว่า

مِنْ حَدِيث أَبِي بَكْرَةَ رَفَعَهُ \\\" لَيَرِدَنَّ عَلَى الْحَوْضِ رِجَالٌ مِمَّنْ صَحِبَنِي وَرَآنِي \\\" وَسَنَده حَسَنٌ

فتح الباري لابن حجر   ج 18  ص 370  ح : 6045


จากหะดีษของอบีบักเราะฮ์  ( จะมีบรรดาบุรุษ จากผู้ที่อยู่ร่วมกับฉัน และได้พบเห็นฉัน เข้ามาหาฉันที่อัลเฮาฎ์ )   และสายรายงานหะดีษนี้อยู่ในสถานะ  ฮาซัน (ดี).

อ้างอิงจาก ฟัตฮุลบารี เล่ม  18 : 370 หะดีษที่ 6045



الكتاب : تحفة الأحوذي بشرح جامع الترمذي
المؤلف : محمد عبد الرحمن بن عبد الرحيم المباركفوري أبو العلا

มุฮัมมัด อับดลุเราะห์มาน อัลมุบาร็อกเฟารีกล่าวว่า  สายรายงานหะดีษนี้อยู่ในสถานะ  ฮาซัน (ดี)


อ้างอิงจาก ตุห์ฟะตุล อะห์วะซี บิชัรฮิ ญามิอิต-ติรมิซี เล่ม  6 : 214 หะดีษที่ 2347



หะดีษบทนี้ได้อธิบายชัดว่าคำ (( อัศฮาบี ))  ที่บันทึกอยู่ในเศาะหิ๊หฺบุคอรี จะแปลเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเศาะหาบะฮ์ที่อยู่ในยุคท่านรอซูล(ศ)
เพราะอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้นิยามคำ เศาะหาบะฮ์ – สาวก ว่าคือ  มุสลิมที่เคยใช้ชีวิตร่วมกับท่านรอซูลและเคยเห็นท่าน

แต่ปัญหาคือ  อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ได้สร้างอะกีดะฮ์ไว้ว่า  เศาะหาบะฮ์ ทุกคนเป็นคนดี  ซึ่งนี่คือความฆูล๊าต เกินเลยจนถึงขั้นเชื่อว่า เศาะหาบะฮ์ทุกคนเป็นมะอ์ซูม ทำผิดอีกไม่ได้แล้ว  
ดังนั้นหากใครก็ตามนำเรื่องของบรรดาเศาะหาบะฮ์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์  บุคคลคนนั้นจะถูกประณามว่า  เป็นคนด่าว่า เศาะหาบะฮ์นบี



ประวัติศาสตร์อิสลามบันทึกว่า  ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)วะฟาตปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่  11

ชนสามรุ่นนี้ได้กระทำสิ่งใดไว้บ้าง

1.   เศาะหาบะฮ์  (สาวก-นบี)  
2.   ตาบิอีน ( ลูกศิษย์-เศาะหาบะฮ์ )
3.   ตาบิ๊อฺ ตาบิอีน  (ลูกศิษย์-ตาบิอี )

ท่านลองศึกษาดูสิว่า  นับจากปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่   12  จนถึง ฮ.ศ. 100

จากฮิจเราะฮ์ศักราชที่   101  จนถึง ฮ.ศ. 200

จากฮิจเราะฮ์ศักราชที่   201  จนถึง ฮ.ศ. 300




มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง  แน่นอนท่านจะพบว่า  พวกเขาได้ทะเลาะกัน ขัดแย้งกัน  ได้สู้รบฆ่าฟันกันเองอย่างมากมาย

สะอัด บินอุบาดะฮ์หัวหน้าชาวอันศ็อรขัดแย้งกับท่านอบูบักรและท่านอุมัรฝ่ายมุฮาญิรีนในเรื่องเลือกตั้ง คอลีฟะฮ์ที่สะกีฟะฮ์

ท่านอะลีไม่ยอมรับการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอบูบักร จนภรรยาเสียชีวิต

ท่านหญิงฟาติมะฮ์บุตรสาวท่านนบี(ศ) ไปขอสวนฟาดักมรดกของนางจากท่านอบูบักร แต่ท่านไม่ให้นาง จนนางโกรธ และไม่ยอมพูดด้วยจนเสียชีวิตไป

ท่านอบูบักรส่งคอลิดบินวาลีดไปปราบมาลิก บินนุวัยเราะฮ์ และคอลิดลอบสังหารเขาในข้อหาที่ยังไม่ชัดเจนว่า เขาและพวกไม่ยอมส่งมอบซะกาตมายังคอลีฟะฮ์

ท่านอุมัรถูกอบูลุอ์ลุอ์ลอบแทงจนเสียชีวิต  และประวัติศาสตร์กล่าวว่า อบูลุอ์ลุอ์ไม่ใช่มุสลิม ซึ่งก็ยังไม่ได้รับพิสูจน์อย่างชัดเจนในเรื่องนี้และทำไมเขาจึงต้องสังหารท่านอุมัร

ท่านอุษมานถูกเศาะหาบะฮ์ส่วนหนึ่งสังหารท่านภายในบ้านของท่านเอง  และเพราะอะไรจึงต้องสังหารท่าน

ท่านอะลีขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์

ท่านหญิงอาอิชะฮ์  มีฏ็อลฮะฮ์กับซุเบรยกทัพมารบกับท่านอะลี  เรียกสงคราม " ญะมัล- อูฐ "  

ต่อมาท่านอะลีสั่งปลดมุอาวียะฮ์ผู้ปกครองซีเรีย  ฝ่ายมุอาวียะฮ์ไม่ยอมรับคำสั่งนี้  และมุอาวียะฮ์ได้ยกทัพมารบกับคอลีฟะฮ์อะลีเรียกสงคราม  " ซิฟฟีน "
ต่อมามีชนกลุ่มหนึ่งแยกตัวออกจากท่านอะลี  เรียกพวกนี้มา เคาะวาริจญ์ และท่านอะลีได้ยกทัพไปปราบเรียกสงครามนี้ว่า   " นะฮ์รอวาน "

ต่ออิบนุมุลยิมก็ได้ลอบสังหารท่านอะลีในมัสญิดกูฟะฮ์จนเสียชีวิต

ท่านฮาซัน บินอะลีขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์ต่อจากบิดา     ฝ่ายมุอาวียะฮ์ยกทัพจากซีเรียมาล้อม และจบลงด้วยการประนีประนอม ท่านฮาซันยอมลงจากบัลลังค์เพื่อสันติและความสงบ และในที่สุดท่านฮาซันก็ถูกวางยาพิษตายในเวลาต่อมา

ท่านฮูเซน บินอะลีถูกกองทัพยะซีด บินมุอาวียะฮ์สังหารโหดที่กัรบาลา

ราชวงศ์อุมัยยะฮ์เปลี่ยนการปกครองระบบรัฐอิสลามเป็นระบบกษัตริย์

ราชวงศ์อับบาซียะฮ์ใช้ชีวิตเสเพลในฮาเร็ม มีความเป็นอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือย


แล้วจะไม่ให้คนรุ่นหลังต้องศึกษาวิจัยหรือว่า  ใครคือชาวสวรรค์  และใครคือชาวนรก ตามที่หะดีษกล่าวไว้  ?

 
  •  

L-umar



เพราะฉะนั้น


หะดีษ  73   ฟิรเกาะฮ์   ที่รายงานว่า  ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ)  กล่าวว่า



(((สิ่งที่ฉัน ยืนหยัดอยู่บนมัน และ บรรดาเศาะหาบะฮ์ของฉัน    )))



คำนี้  


( (   สิ่งที่ฉัน ยืนหยัดอยู่บนมัน  ))    


มุสลิมทั้งโลกยอมรับอยู่แล้ว  ว่า  แนวทางของท่านศาสดามุฮัมมัด  คือแนวทางที่รอดปลอดภัยแน่นอน  



ส่วนวรรคหลังที่รายงานว่า

(( และ บรรดาเศาะหาบะฮ์ของฉัน  ))


อันนี้  คือปัญหา  


และปัญหานี้ยัง  สะท้อนออกมาให้เกิดแนวคิดของมุสลิมที่จะเลือกตาม  ได้ดังนี้คือ


อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ จะเลือกตาม  เศาะหาบะฮ์


อะฮ์ลุช- ชีอะฮ์  จะเลือกตาม  อะฮ์ลุลบัยต์


 
แต่การเลือกตามเพียงอะฮ์ลุลบัยต์กลับกลายเป็น สิ่งที่ทำให้อีกฝ่าย  หยิบเอามาประณามมาโดยตลอดเวลา

ซึ่งประเด้นนี้น่าคิด    อินชาอัลเลาะฮ์ จะมาวิจัยกันต่อคราวหน้า.
  •  

L-umar



ขอให้ทุกท่านย้อนกลับมาพิจารณา   ความหมายหะดีษ ที่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์   ชอบยกมาอ้างกับชาวโลกกันอีกครั้ง  คือ



ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (ศ)กล่าวว่า  :  


ประชาชาติของฉัน   จะแตกออกเป็น 73 พวก   ทั้งหมดจะอยู่ในนรก  ยกเว้น  พวกเดียว



พวกเขาถามว่า  :


โอ้ท่านรอซูลุลเลาะฮ์  พวกนั้นคือใคร   ?


ท่านกล่าวตอบว่า คือ :


สิ่งที่ฉัน ยืนหยัดอยู่บนมัน              และ    เศาะหาบะฮ์ของฉัน



อ้างอิงจากหนังสือ

สุนัน ติรมิซี     หะดีษที่    2853





เรากล่าวแล้วว่า          เรื่องยึดแนวทางของท่านรอซูล(ศ)   นั้นเป็นยอมรับแน่นอน



แต่เรื่องที่  อะอ์ลุสสุนนะฮ์  พยายาม  เอาแนวทางของท่านรอซูลไป  ผูกกับ  แนวทางของ  เศาะหาบะฮ์   อันนี้คือปัญหา



หากท่านมีสมอง และคิดเป็น   ท่านลองนึกสิว่า


จะกินกับปัญญา  ไหม  ที่   แนวทางของเศาะหาบะฮ์ ทั้งหมดทุกคน   คือแนวทาง  ที่ปลอดภัย   ?



วิธีพิสูจน์  ความจริงในเรื่องนี้คือ  
 


เราทุกคน   คงต้องเสียเวลา    นั่งไทม์แมชชีน   ย้อนกลับไป   ดู  ชีวประวัติของ  เศาะหาบะฮ์   กันว่า


พวกเขาใช้ชีวิต   สอดคล้อง ตรงกับ  คำสั่งของอัลเลาะฮ์  และ  รอซูล  ทุกกระเบียดนิ้ว  จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต  จริงหรือไม่  ?

ถ้าใช่     แสดงว่า   อะฮ์ลุสสุนนะฮ์   พูดจริง   แต่ถ้า   เศาะหาบะฮ์ ไม่เป็นเช่นนั้นจริง    แล้วเราจะว่าอย่างไร ?



เชิญนั่งไทม์แมชชีนไปดูพร้อมกัน  ครับ................  
  •  

L-umar

  •  

L-umar



ท่านเคยสังเกตไหมว่า  

อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ชอบยกแต่  อายัตกุรอ่านและหะดีษ  ที่กล่าวยกย่องเศาะหาบะฮ์แบบรวมๆ

แต่พวกเขาจะหลีกเลี่ยง  อายัตกุรอ่านและหะดีษที่กล่าวตำหนิเศาะหาบะฮ์ทั้งแบบโดยรวมและเฉพาะรายบุคคล

สาเหตุเพราะ  มันจะทำลายสโลแกนที่พวกเขาสร้างไว้อย่างสวยหรูว่า  


เศาะหาบะฮ์   ทุกคน  เป็น  " คนดี "  


ดังนั้นหากใครนำเรื่องราวของเศาะหาบะฮ์ที่ประพฤติตัวขัดต่ออัลเลาะฮ์และรอซูลมากล่าว  

พวกเขาจะกล่าวว่า    อย่าประณาม   อย่าด่าว่า  เศาะหาบะฮ์  


หากใครนำเรื่องราวของเศาะหาบะฮ์ที่อยู่ในขอบข่ายมุนาฟิกมากล่าว    

พวกเขาก็จะแก้ต่างว่า   คนยุคท่านนบี(ศ) ที่เป็น " มุนาฟิก "  เราไม่นับว่าเป็น " เศาะหาบะฮ์ "



สรุปก็คือ  พวกเขาไม่กล้ายอมรับความจริง    เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้คือ สั่งปิดประตูเรื่องเศาะหาบะฮ์  ด้วยการออกกฎออกฟัตวาว่า  

ห้ามมุสลิม ขุดคุ้ยเรื่องเศาะหาบะฮ์
  •  

L-umar



โองการที่อัลลอฮ์ตรัสถึง   คนยุคท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) ว่าเป็น \\\" มุนาฟิก \\\"    แบบรวมๆไม่เจาะจง   เช่น


อัลเลาะฮ์ ตรัสว่า


ومِمَّنْ حَوْلَكُم مِنَ الاَعرابِ مُنَافِقُونَ وَمِن أهلِ المدينةِ مَردُوا على النِّفاقِ لا تَعْلَمُهُمْ نَحْنُ نَعلَمُهُمْ


และส่วนหนึ่งจากผู้ที่อยู่รอบๆพวกเจ้า ที่เป็นชาวอรับชนบทนั้น เป็นพวกกลับกลอก(มุนาฟิก)


และส่วนหนึ่งจากชาวเมืองมะดีนะฮ์ก็เช่นเดียวกัน    พวกเขาเหล่านั้นดื้อรั้นในความกลับกลอก  



เจ้า ( มุฮัมมัด) ไม่รู้จักธาตุแท้ของพวกเขาดอก      เรา ( อัลลอฮฺ ) รู้จักพวกเขาดี  


ซูเราะฮ์  อัต-เตาบะฮ์   :  101
  •  

L-umar



หะดีษที่ขยายความ โองการข้างต้นคือ



حدثنا أحمد بن يحيى الحلواني قال حدثنا الحسين بن محمد بن عمرو  العنقري قال حدثنا أبي قال حدثنا أسباط بن نصر عن السدي عن أبي مالك

عن بن عباس : في قوله { وممن حولكم من الأعراب منافقون ومن أهل المدينة مردوا على النفاق لا تعلمهم نحن نعلمهم سنعذبهم مرتين ثم يردون إلى عذاب عظيم }

قال قام رسول الله يوم جمعة خطيبا فقال قم يا فلان فاخرج فإنك منافق اخرج يا فلان فإنك منافق

فأخرجهم بأسمائهم ففضحهم...

الكتاب : المعجم الأوسط    ح : 792
المؤلف : أبو القاسم سليمان بن أحمد الطبراني
الناشر : دار الحرمين - القاهرة ، 1415
تحقيق : طارق بن عوض الله بن محمد , عبد المحسن بن إبراهيم الحسيني
عدد الأجزاء


อิบนุอับบาสรายงาน  :

เขาอธิบายถึงพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า

(( และส่วนหนึ่งจากผู้ที่อยู่รอบๆพวกเจ้า ที่เป็นชาวอรับชนบทนั้น เป็นพวกกลับกลอก(มุนาฟิก)

และส่วนหนึ่งจากชาวเมืองมะดีนะฮ์ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาเหล่านั้นดื้อรั้นในความกลับกลอก

เจ้า ( มุฮัมมัด) ไม่รู้จักธาตุแท้ของพวกเขาดอก เรา ( อัลลอฮฺ ) รู้จักพวกเขาดี

เราจะลงโทษพวกเขาสองครั้ง แล้วจากนั้นพวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันยิ่งใหญ่ต่อไป ))

อิบนุอับบาสเล่าว่า  :

ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (ศ) ได้ยืนคุฏบะฮ์ในวันศุกร์   แล้วท่านกล่าวว่า   :

โอ้นายฟูลาน(นามสมุติ) จงลุกขึ้นแล้วออกไป  เพราะแท้จริงเจ้าคือ มุนาฟิก    

โอ้นายฟูลาน(นามสมมุติ) จงออกไป  เพราะแท้จริงเจ้าคือ มุนาฟิก

แล้วท่านได้ไล่พวกเขาออกไป พร้อมกับเอ่ยชื่อพวกเขาเหล่านั้น  แล้วท่านยังได้ประจานพวกเขา...



อ้างอิงจาก  

มุอ์ญัม เอาซัฏ   โดย อัฏ – ฏ็อบรอนี   หะดีษที่   792
  •  

L-umar



ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้เปิดเผยรายชื่อพวกมุนาฟิกที่อยู่ในเมืองมะดีนะฮ์  หลายครั้งหลายหนด้วยกัน  

ท่านได้ไล่เศาะหาบะฮ์   36 คนที่เป็นมุนาฟิกออกจากมัสญิด




ท่านอิบนุ ญะรีร อัฏ-ฏ็อบรี รายงานว่า


حدثنا الحسين بن عمرو العنقزي قال، حدثنا أبي قال، حدثنا أسباط، عن السدي، عن أبي مالك،
عن ابن عباس في قول الله:(وممن حولكم من الأعراب منافقون ومن أهل المدينة مردوا على النفاق)، إلى قوله:(عذاب عظيم)، قال: قام رسول الله صلى الله عليه وسلم خطيبًا يوم الجمعة، فقال: اخرج يا فلان، فإنك منافق. اخرج، يا فلان، فإنك منافق. فأخرج من المسجد ناسًا منهم، فضحهم.
فلقيهم عمر وهم يخرجون من المسجد، فاختبأ منهم حياءً أنه لم يشهد الجمعة، وظنّ أن الناس قد انصرفوا، واختبأوا هم من عمر، ظنّوا أنه قد علم بأمرهم. فجاء عمر فدخل المسجد، فإذا الناس لم يصلُّوا، فقال له رجل من المسلمين: أبشر، يا عمر، فقد فضح الله المنافقين اليوم ! فهذا العذاب الأول، حين أخرجهم من المسجد. والعذاب الثاني، عذاب القبر
تفسير الطبري     لإبن جرير   ج 14  ص 442  رقم : 17122


อิบนุอับบาสรายงาน :

เขาอธิบายถึงพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า  (( และส่วนหนึ่งจากผู้ที่อยู่รอบๆพวกเจ้า ที่เป็นชาวอรับชนบทนั้น เป็นพวกกลับกลอก(มุนาฟิก)  

และส่วนหนึ่งจากชาวเมืองมะดีนะฮ์ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาเหล่านั้นดื้อรั้นในความกลับกลอก     เจ้า ( มุฮัมมัด) ไม่รู้จักธาตุแท้ของพวกเขาดอก

 เรา ( อัลลอฮฺ ) รู้จักพวกเขาดี    เราจะลงโทษพวกเขาสองครั้ง แล้วจากนั้นพวกเขาจะถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันยิ่งใหญ่ต่อไป ))


อิบนุอับบาสเล่าว่า :

ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (ศ) ได้ยืนคุฏบะฮ์ในวันศุกร์ แล้วท่านกล่าวว่า :

โอ้นายฟูลาน(นามสมุติ) จงลุกขึ้นแล้วออกไป เพราะแท้จริงเจ้าคือ มุนาฟิก

โอ้นายฟูลาน(นามสมมุติ) จงออกไป เพราะแท้จริงเจ้าคือ มุนาฟิก

แล้วท่านได้ไล่คนกลุ่มหนึ่งจากพวกเขา  ออกไปจากมัสญิด  แล้วท่านได้ประจานพวกเขา...


อ้างอิงจาก

ตัฟสีร อัฏ-ฏ็อบรี  โดย อิบนุญะรีร   เล่ม   14 :  442  อันดับที่  17122
  •  

L-umar



ท่านอิบนุกะษีร   ก็ได้รับเอาหะดีษบทนี้จากท่านอิบนุญะรีรมาบันทึกไว้ในตัฟสีรของท่านคือ

ตัฟสีรอิบนุกะษีร  เล่ม  4  หน้า  205



ท่านอิม่ามอะหมัด บินหัมบัลบันทึกว่า



حَدَّثَنَا وَكِيعٌ حَدَّثَنَا سُفْيَانُ عَنْ سَلَمَةَ عَنْ عِيَاضِ بْنِ عِيَاضٍ عَنْ أَبِيهِ عَنْ أَبِي مَسْعُودٍ قَالَ
خَطَبَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ خُطْبَةً فَحَمِدَ اللَّهَ وَأَثْنَى عَلَيْهِ ثُمَّ قَالَ إِنَّ فِيكُمْ مُنَافِقِينَ فَمَنْ سَمَّيْتُ فَلْيَقُمْ ثُمَّ قَالَ قُمْ يَا فُلَانُ قُمْ يَا فُلَانُ قُمْ يَا فُلَانُ حَتَّى سَمَّى سِتَّةً وَثَلَاثِينَ رَجُلًا

ثُمَّ قَالَ إِنَّ فِيكُمْ أَوْ مِنْكُمْ فَاتَّقُوا اللَّهَ قَالَ فَمَرَّ عُمَرُ عَلَى رَجُلٍ مِمَّنْ سَمَّى مُقَنَّعٍ قَدْ كَانَ يَعْرِفُهُ قَالَ مَا لَكَ قَالَ فَحَدَّثَهُ بِمَا قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقَالَ بُعْدًا لَكَ سَائِرَ الْيَوْمِ
حَدَّثَنَا أَبُو نُعَيْمٍ حَدَّثَنَا سُفْيَانُ عَنْ سَلَمَةَ عَنْ رَجُلٍ عَنْ أَبِيهِ قَالَ سُفْيَانُ أُرَاهُ عِيَاضَ بْنَ عِيَاضٍ عَنْ أَبِيهِ عَنْ أَبِي مَسْعُودٍ قَالَ خَطَبَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَذَكَرَ مَعْنَاهُ




อิย๊าฎ  บิน อิย๊าฎ    รายงานจาก    อบีมัสอู๊ดรายงาน   :


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้คุฏบะฮ์ให้เราฟังคุฏบะฮ์หนึ่ง    ท่านสรรเสริญอัลลอฮฺและยกย่องพระองค์  

จากนั้นท่านกล่าวว่า  :

แท้จริงในหมู่พวกท่านนั้นมีพวกมุนาฟิก  ดังนั้นคนใดก็ตามที่ฉันเอ่ยชื่อให้เขาจงยืนขึ้น  

จากนั้นท่านกล่าวว่า  :

โอ้นายฟูลาน(นามสมมุติ)จงลุกขึ้น  โอ้นายฟูลาน(นามสมมุติ)จงลุกขึ้น  จนกระทั่งครบชาย 36 คน    

จากนั้นท่านกล่าวว่า  :

แท้จริงในหมู่พวกท่านหรือส่วนหนึ่งจากพวกท่าน     ขอให้พวกท่านจงมีตักวาต่ออัลลอฮ์

เขาเล่าว่า   :  แล้วท่านอุมัรเดินผ่านชายคนหนึ่ง จากผู้ที่เรียกกันว่า มุกอนน๊ะอ์  ซึ่งเขาเคยรู้จักเขามาก่อน  
เขากล่าวว่า   ท่านมีอะไร  ?    เขาจึงเล่าให้เขา(อุมัร)ฟังสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวไป  

เขากล่าวว่า   :   มันห่างไกลสำหรับท่าน กว่าบรรดาวันทั้งหลาย


มุสนัดอะหมัด  หะดีษที่  21317
  •  

L-umar



สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ  

หะดีษบทนี้   ถูกอุละมาอ์ซุนนี่บางคน วิจารณ์ว่า     " ดออีฟ "




โดยให้เหตุผลว่า  เพราะเขาค้นหาประวัติของชายที่ชื่อ  อิย๊าฎ บิน อิย๊าฏ (عِيَاضِ بْنِ عِيَاضٍ  )ไม่พบ


เชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี  ได้ตรวจสอบหะดีษบทนี้แล้วกล่าวว่า

قال الشيخ :  شعيب الأرنؤوط   :   إسناده ضعيف لجهالة عياض الراوي عن أبي مسعود  


(( อิสนาดของมัน   ดออีฟ  เนื่องจากไม่รู้จัก นักรายงานที่ชื่อ อิย๊าฎ ที่รายงานจากท่านอบีมัสอู๊ด  ))


ดูมุสนัดอิหม่ามอะหมัด  หะดีษที่ 22402    ฉบับที่ตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี



ไม่น่าเชื่อว่า  

นักวิจัยหะดีษระดับ " เชคชุเอบอัลอัรนะอูฏ "  เนี้ยนะหรือที่ค้นหาประวัตินักรายงานหะดีษชื่อ


อิย๊าฎ บิน อิย๊าฏ (عِيَاضِ بْنِ عِيَاضٍ  )ไม่พบ



อุละมาอ์ซุนนี่  มากมายได้กล่าวถึง  อิย๊าฎ   ไว้ดังนี้



ท่านอิบนุหิบบาน  


ให้การยอมรับ " อิย๊าฎ "ว่ าการรายงานของเขาเชื่อถือได้  ดู

عياض بن عياض يروى عن أبى مسعود الأنصاري روى عنه الثوري وابنه عياض بن عياض بن عياض
كتاب : الثقات لابن حبان   ج 5 ص 267  رقم : 4770

อิย๊าฏ  บินอิยาฎ    รายงานหะดีษจาก  อบีมัสอูด อัลอันศอรี     คนที่รายงานหะดีษจากอิยาฎคือ อัษ-เษารี และบุตรชายของเขาชื่อ อิยาฎ

อ้างอิงจากหนังสือ


อัษ-ษิกอต  โดยอิบนุหิบบาน    อันดับที่  4770



อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานี กล่าวว่า


عيّاض بن عياض بن عمر بن جبلة بن هانىء بن بُقيل أبو قيلة التنعي، عن أبيه، عن أبي مسعود

الكتاب : تبصير المنتبه بتحرير المشتبه     المؤلف : ابن حجر العسقلاني  ج 1 ص 326


อิยาฎ บินอิยาฎ    รายงานจากบิดาเขา  จากอบีมัสอูด


อ้างอิงจากหนังสือ

ตับศีรุลมุนตะบิฮฺ  บิตะห์รีริลมุชตะบิฮฺ  โดยอิบนหะญัร    อันดับที่   4770



อิบนิอบีหาติมกล่าวว่า

عياض بن عياض أبو قيلة كوفى روى عن أبيه عن أبى مسعود الأنصاري روى عنه سلمة بن كهيل وموسى بن قيس الحضرمي سمعت أبى يقول ذلك
الجرح والتعديل   لابن أبي حاتم  ج 6  ص 409  رقم : 2289

อิย๊าฏ  บินอิยาฎ    รายงานหะดีษจาก บิดาเขาจาก อบีมัสอูด อัลอันศอรี     คนที่รายงานหะดีษจากอิยาฎคือ สะละมะฮ์ บินกุฮัยลฺ และมูซา บินกอยสฺ

อ้างอิงจากหนังสือ

อัลญัรฮุวัต-ตะอ์ดีล  โดยอิบนิ อบีหาติม    อันดับที่   2289




นั่นแสดงให้รู้ว่า "  อิยาฎ  "  ผู้นี้ มีตัวตนจริงอยู่โลกใบนี้  ไม่ใช่  มัจญ์ฮูล  และท่านอิบนิหิบบานยังวิจารณ์ว่า เขาเชื่อถือได้ในการรายงาน.
  •  

L-umar


หะดีษนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในตำราอะฮ์ลุสสุนนะฮ์หลายเล่ม  


คำถามที่สำคัญคือ  
ชายสองคน ที่ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า  ฟูลาน  ฟูลาน (นามสมมุติ) ที่นักรายงานหะดีษไม่ยอมเอ่ยชื่อคือใคร?

บรรดามุสลิมในสมัยท่านนบี(ศ)ไม่รู้จักพวกเขาเหล่านั้นเลยหรือ  ?
 
บุคคลเหล่านั้นเคยได้เป็นผู้ปกครองหรือเคยเป็นเจ้าหน้าที่ๆมีอำนาจในทางการหรือปล่าว ?

ทำไมนักรายงานหะดีษจึงเปลี่ยนรายชื่อจริงของพวกเขาเป็น  นามสมมุติ  ?

ท่านอุมัรไปเกี่ยวข้องอะไรกับมุกอนนะอ์  และพวกมุนาฟิกสามสิบหกคนเหล่านั้น

ทำไมท่านอุมัรจึงไม่อยู่ในมัสญิดตอนที่ท่านนบี(ศ)กล่าวหะดีษบทนี้  แต่เมื่อจบเหตุการณ์ท่านอุมัรกลับเดินเข้ามา ?

หรือว่า  ภายหลังการวะฟาตของท่านรอซูล(ศ)    พวกมุนาฟิกเหล่านี้สามารถควบคุมอำนาจไว้ในมือได้

พวกเขาจึงลบรายชื่อพวกเขาออกไปจากหะดีษบทดังกล่าว  เพื่อคนยุคปัจจุบันจะได้ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร

เราไม่ทราบว่ารายชื่อเหล่านั้นมันลบเลือนไปท่ามกลางสังคมมุสลิมได้อย่างไร    
  •  

61 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้