Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 01:57:29 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,699
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 102
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 97
Total: 97

ประวัติศาสตร์ ซุนนี่ กับ ผู้ปกครองรัฐ

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 11, 2009, 11:57:21 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


ตอน 16

ท่านอิบนุ ตัยมียะฮ์ ชัยคุลอิสลามของวาฮาบีกล่าวว่า


إِقَامَةَ الْحَجِّ وَالْجِهَادِ وَالْجُمَعِ وَالأَعْيَادِ مَعَ الأُمَرَاءِ أَبْرَارًا كَانُوا أَوْ فُجَّارًا،
متن العقيدة الواسطية  لإبن تيمية  ج 1  ص 33

(อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์นั้น) จะต้อง(ปฏิบัติอิบาดะฮ์ดังต่อไปนี้คือ) ทำหัจญ์  ทำการญิฮ๊าด ทำนมาซญะมาอะฮ์และนมาซอีดกับบรรดาผู้ปกครองที่เป็นคนดีหรือคนเลว

อ้างอิงจาก
อัลอะกีดะฮ์ อัลวาซีตียะฮ์ โดยอิบนุตัยมียะฮ์ เล่ม 1 : 33

ซึ่งคำนำของหนังสือเล่มนี้ หน้าหนึ่งท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

أَمَّا بَعْدُ؛ فَهَذَا اعْتِقَادُ الْفِرْقَةِ النَّاجِيَةِ الْمَنْصُورَةِ إِلَى قِيَامِ السَّاعَةِ: أَهْلِ السُّنَّةِ وَالْجَمَاعَةِ:

ต่อไปนี้  นี่คือหลักความเชื่อของกลุ่มที่ปลอดภัย ได้รับความช่วยเหลือจนถึงวันกิยามะฮ์ นั่นคือกลุ่มอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์

เราต้องขอยอมรับว่า กลุ่มที่เชคอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวถึงนั้น ปลอดภัยจริงๆ และมีชัยชนะเหนือกลุ่มอื่นจริงๆ หากยังมีอุดมการณ์ยึดมั่นตามที่ท่านกล่าวไว้ นั่นคือ
                                                            (((  วายิบต้องเชื่อฟังผู้ปกครองเลวๆ  )))

ซุนนี่ได้อาศัยอะกีดะฮ์แบบนี้เอาตัวรอดปลอดภัยมาโดยตลอดในอดีต  เหมือนที่สุนทรภู่กวีไทยกล่าวว่า  เอาตัวรอดเป็นยอดดี

ในทางกลับกัน หากลองหันไปมองสภาพชีวิตของพวกชีอะฮ์ในยุคการปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ โดยเฉพาะสมัยของมุอาวียะฮ์ ,ยะซีดและพวกมัรวานียีน    ยุคราชวงศ์อับบาซียะฮ์ , พวกซิลญูก ราชวงศ์อัยยูบีน  เรื่อยมาจนมาถึงยุคการปกครองของพวกออตโตมาน(อุษมานียีน)  

พวกชีอะฮ์ถูกเข่นฆ่าเหมือนผักเหมือนปลา จนพวกเขาต้องหันมาใช้วิธี " ตะกียะฮ์ " เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขา    

ซุนนี่กลับหยิบยกเรื่องตะกียะฮ์นี้มาโจมตี  ชีอะฮ์ว่า ชอบตะกียะฮ์ โดยที่ซุนนี่มองข้ามความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ว่า

พวกชีอะฮ์ในอดีตต้องตายไปมากมาย ด้วยความผิดข้อหาเดียวคือ อิหม่ามผู้นำที่แท้จริงของพวกเขาคือ อะฮ์ลุลบัยต์นบี


บรรพบุรุษของซุนนี่เองในอดีต เคยใช้วิธีการตะกียะฮ์นี้เก่งยิ่งกว่าชีอะฮ์เสียอีก  ลองย้อนกลับไปศึกษาเรื่องนี้สิว่า จริงหรือไม่

              สมัยที่กาหลิบมะอ์มูน อับบาซีปกครองพระองค์เป็นมุอ์ตะซิละฮ์ ดังนั้นพระองค์จึงมีอะกีดะฮ์เชื่อว่า คัมภีร์กุรอ่านคือมัคลู๊ก ( สิ่งถูกสร้างหรือของใหม่ ) และพระองค์ก็เรียกร้องเชิญชวนให้อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ในสมัยนั้นเชื่อตามพระองค์  
อุละมาอ์ซุนนี่โดยส่วนมากต่างตอบรับพระองค์ ทั้งๆที่ในใจพวกเขาไม่เชื่อแบบนั้น เนื่องจากซุนนี่เชื่อว่ากุรอ่านนั้นกิดัม(คือเก่า,มีมาแต่ดั้งเดิม)  พวกซุนนี่ต้องยอมใช้วิธีตะกียะฮ์

พวกซุนนี่ใช้วิธีตะกียะฮ์นี้หนักที่สุดก็คือยุคที่ราชวงศ์ฟาตีมียะฮ์ปกครองที่อียิปต์เพราะราชวงศ์นี้เป็นชีอะฮ์อิสมาอิลียะฮ์


ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาสอนให้มนุษย์ใช้สติปัญญา  โองการกุรอ่านมากมายที่กล่าวว่า

كَذَلِكَ يُبَيِّنُ اللَّهُ لَكُمْ آَيَاتِهِ لَعَلَّكُمْ تَعْقِلُونَ

เช่นนั้นแหล่ะ อัลเลาะฮ์จะทรงอธิบายบรรดาโองการของพระองค์แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้ใช้สติปัญญา          

บทที่ 2 :242

อัลลอฮ์ไม่เคยสั่งให้เชื่อฟังผู้ปกครองชั่วเหมือนที่ซุนนี่พูด  มีแต่อัลลอฮ์ตำหนิผู้ปกครองชั่ว

وَمَنْ لَمْ يَحْكُمْ بِمَا أَنْزَلَ اللَّهُ فَأُولَئِكَ هُمُ الْكَافِرُونَ
وَمَنْ لَمْ يَحْكُمْ بِمَا أَنْزَلَ اللَّهُ فَأُولَئِكَ هُمُ الظَّالِمُونَ
وَمَنْ لَمْ يَحْكُمْ بِمَا أَنْزَلَ اللَّهُ فَأُولَئِكَ هُمُ الْفَاسِقُونَ


ผู้ใด ที่มิได้ตัดสิน (หรือปกครอง) ด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมา ชนเหล่านั้นคือ
กาฟิรูน (ผู้ไร้ศรัทธา)   ซอลิมูน (ผู้อธรรม) และ ฟาซิกูน (ผู้ฝ่าฝืน)  

บทที่ 5 : 44,45,47


และโองการเหล่านี้คืออะกีดะฮ์ชีอะฮ์ในเรื่องผู้ปกครอง  ที่ซุนนี่รับไม่ได้และถือว่าขัดกับซุนนี่.
  •  

L-umar


ตอน 17


                 อะฮ์ลุสสุนนะฮ์กับพวกผู้ปกครองรัฐได้ให้การร่วมมือกันเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของกันและกันมิให้เสียหาย และการร่วมมือนี้มีมาจนถึงยุคปัจจุบัน

             ในยามที่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์อยู่อย่างสงบสุขและปลอดภัยเคียงข้างฝ่ายผู้ปกครองรัฐ ขณะเดียวกันกลุ่มอื่นๆกลับต้องใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัว และกระจัดกระจายไปทั่วทิศ พวกเขาต้องหนีการจับกุมของฝ่ายรัฐ  บางพวกถูกทำร้ายถูกเนรเทศ และบางพวกถูกตัดสินประหารชีวิต

             ในสมัยที่อาณาจักรอิสลามอยู่ภายใต้การปกครองของมุอาวียะฮ์ บินอบีสุฟยาน   มุอาวียะฮ์ชิงชังท่านอะลีและชีอะฮ์อะลีมาก เขาทั้งเนรเทศชีอะฮ์อะลี ทั้งทำร้ายและสังหารชีวิตพวกชีอะฮ์อะลีเหมือนผักเหมือนปลา



ในปีฮ.ศ.ที่ 51 เศาะหาบะฮ์ที่ชื่อ หะญัรบินอะดี อัลกินดีได้ถูกมุอาวียะฮ์สังหาร เพราะหะญัรมีความจงรักภักดีต่อท่านอะลีและไม่ยอมรับการปกครองของมุอาวียะฮ์

อัลฮากิม  อันนัยซาบูรี เจ้าของหนังสืออัลมุสตัดร็อก อะลัซเศาะฮีฮัยนิ บันทึกว่า

 حدثنا أبو بكر محمد بن أحمد بن بالويه ، ثنا إبراهيم الحربي ، حَدَّثَنَا مُصْعَبُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ الزُّبَيْرِيُّ قَالَ: « حُجْرُ بْنُ عَدِيٍّ الكندي يكنى أبا عبد الرحمن ، كان قد وفد إلى النبي صلى الله عليه وسلم ، وشهد القادسية ، وشهد الجمل ، وصفين مع علي رضي الله عنه قتله معاوية بن أبى سفيان بمرج عذراء ، وكان له ابنان : عبد الله ، وعبد الرحمن قتلهما مصعب بن الزبير صبرا (1) ، وقتل حجر سنة ثلاث وخمسين »

มุศอับ บินอับดุลลอฮ์ อัซ-ซุบัยรีเล่าว่า    

           หะญัรบินอะดี อัลกินดี ฉายาอบูอับดุลเราะห์มานเคยส่งคณะตัวแทนไปหาท่านนบี(ศ) เขาเคยร่วม(ออกศึก)กอดีซียะฮ์,สงครามญะมัล(อูฐ)และการรบที่ซิฟฟีนกับท่านอะลี  
มุอาวียะฮ์ บินอบีสุฟยานได้สังหารเขาตาย...

อ้างอิงจาก   อัลมุสตัดร็อก อะลัซเศาะฮีฮัยนิ   หะดีษที่ 6007

 سمعت أبا علي الحافظ ، يقول : سمعت ابن قتيبة ، يقول : سَمِعْتُ إِبْرَاهِيمَ بْنِ يَعْقُوبَ ، يقول : « قَدْ أَدْرَكَ حُجْرُ بْنُ عَدِيٍّ الجاهليةَ ، وأكل الدم فيها ، ثم صحب رسول الله صلى الله عليه وسلم وسمع منه ، وشهد مع علي بن أبي طالب رضي الله عنه الجمل ، وصفين ، وقتل في موالاة علي »


อิบรอฮีม บินยะอ์กูบเล่าว่า  

หะญัรบินอะดีอยู่ทันยุคสมัยญาฮิลียะฮ์ และเขากินเลือดในสมัยนั้น ต่อมาเขาได้มาร่วมอยู่กับท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)และได้สดับฟังจากท่าน  และเขาได้ร่วมรบกับท่านอะลีในสงครามญะมัล สงครามซิฟฟีนและเขาถูกฆ่าตายใน(คดี)จงรักภักดีที่มีต่อท่านอะลี  

อ้างอิงจาก  อัลมุสตัดร็อก อะลัซเศาะฮีฮัยนิ   หะดีษที่ 6016


               นี่คือหลักฐานที่ซุนนี่ระบุชัดว่า  

สมัยที่ราชวงศ์อุมัยยะฮ์เรืองอำนาจนั้น พวกเขาได้ใช้อำนาจทางทหารกำจัดทุกคนที่ขัดขวางเส้นทางอำนาจของพวกเขา  ยกเว้นซุนนี่ที่อยู่อย่างสบาย  เพราพวกเขาได้สร้างอะกีดะฮ์เป็นเกราะปกป้องพวกเขาเอาไว้แล้วนั่นคือ  ซุนนี่ทุกคนจะต้องเชื่อฟังผู้ปกครองทั้งดีและเลว

เพราะฉะนั้นพวกอุมัยยะฮ์จึงไม่แตะต้องพวกซุนนี่  เนื่องจากไม่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของราชบัลลังค์นั่นเอง.

 
  •  

L-umar



ตอน 18

หลังจากกษัตริย์มุอาวียะฮ์สิ้นชีพ   บุตรชายของเขาคือ ยะซีด บินมุอาวียะฮ์ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากบิดา


กษัตริย์ยะซีดแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์ผู้นี้ได้ส่งคนของเขาไปหาท่านฮูเซนบินอะลีที่เมืองมะดีนะฮ์เพื่อให้เขามอบสัตยาบันต่อยะซีดในฐานะผู้ปกครองอันชอบธรรม    แต่ฝ่ายท่านฮูเซนได้ปฏิเสธและตัดสินออกเดินทางไปเมืองมักกะฮ์  หลังจากนั้นก็เดินทางมุ่งไปที่ประเทศอิรัก  

ยะซีดจึงส่งกองทัพติดตามไปคุมตัวท่านฮูเซน บุตรฟาติมะฮ์ บุตรีศาสดามุฮัมมัด  ทหารยะซีดได้ปิดล้อมท่านฮูเซนไว้ที่กัรบาลา ประเทศอิรัก ในปีฮ.ศ.60  

วันศุกร์ที่ 10 เดือนมุหัรร็อม ปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 61  กษัตริย์ยะซีดได้ส่งกองทัพไปล้อมท่านฮูเซนหลานชายท่านศาสดามุฮัมมัดที่แผ่นดินกัรบาลา ประเทศอิรัก และได้ลงมือสังหารท่านอย่างโหดเหี้ยมในสภาพกระหายน้ำ
โดยอ้างเหตุผลว่า ท่านฮูเซนไม่ยอมมอบสัตยาบันให้เขาในฐานะผู้ปกครอง ส่วนลูกหลานของศาสดามุฮัมมัดที่รอดชีวิต ถูกทหารคุมตัวเป็นเชลยส่งไปให้ยะซีดที่กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย
พวกซุนนี่ลืมสิ่งที่ตระกุลอุมัยยะฮ์เหยียดหยามลูกหลานนบี ดังที่ซุนนี่เล่าไว้เอง
عن السديّ، عن أبي الديلم قال : لَمَّا جِيْءَ بِعَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ أَسِيْراً، فَأُقِيْمَ عَلَى دَرَجِ دِمَشْق، قَامَ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ الشَّامِ فَقَالَ : اَلْحَمْدُ لِلَّهِ الَّذِيْ قَتَلَكُمْ وَاسْتَأْصَلَكُمْ، وَقَطَعَ قَرْنَ الْفِتْنَةِ، فَقَالَ لَهُ عَلِيُّ بْنُ الْحُسَيْنِ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ : أَقَرَأْتَ الْقُرْآنَ ؟  قَالَ: نَعَمْ، قَالَ: أَقَرَأْتَ آلَ حم ؟  قَالَ : قَرَأْتُ الْقُرْآنَ وَلَمْ أَقْرَأْ آلَ حم ؟   قَالَ : مَا قَرَأْتَ : { قُل لاَّ أَسْـئَلُكُمْ عَلَيْهِ أَجْراً إِلاَّ ٱلْمَوَدَّةَ فِى ٱلْقُرْبَىٰ }  قَالَ : وَإِنَّكُمْ لَأَنْتُمْ هُمْ ؟   قَالَ : نَعَمْ .
อัซ-ซุดดีรายงานจากท่านอบี อัด-ดัยลัมเล่าว่า :   ตอนที่ท่านอะลี บุตรชายของท่านฮูเซนถูกคุมตัวเป็นเชลยมายืนอยู่ที่ถนนเมืองดามัสกัส  มีชายชาวเมืองซีเรียคนหนึ่งด่าท่านว่า : ขอบคุณอัลลอฮ์ที่ทรงสังหารพวกเจ้าและตัดเขาแห่งความวุ่นวาย
ท่านอะลี บุตรฮูเซนได้ถามชายชาวเมืองซีเรียคนนั้นว่า   : ท่านอ่านอัลกุรอ่านบ้างไหม ?  
ชายชาวเมืองซีเรีย :  เคยอ่านสิ    
ท่านอะลีบุตรฮูเซน : แล้วท่านเคยอ่านซูเราะฮ์อัชชูรอ(บทที่43)บ้างไหม
ชายชาวเมืองซีเรีย   :  ฉันเคยอ่านอัลกุรอ่าน แต่ไม่เคยอ่านซูเราะฮ์อัชชูรอ
ท่านอะลี บุตรฮูเซน  : ท่านคงไม่เคยอ่านโองการที่อัลลอฮฺทรงตรัสว่า  
จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัดต่อมุสลิมทั้งหลายว่า) ฉันไม่ขอค่าตอบแทนใด ๆ เพื่อการประกาศอิสลามนี้ ยกเว้น ให้แสดงความรักต่อญาติสนิท ) นี้ใช่ไหม ?  
ชายชาวเมืองซีเรียถามว่า   :  พวกท่านคืออัลกุรบา(ญาติสนิท)ของท่านศาสดามุฮัมมัดกระนั้นหรือ ?
ท่านอะลี บุตรฮูเซน ตอบว่า  :  ใช่แล้ว          
อ้างอิงจาก  
ตัฟสีรอัต-ต็อบรี   อิบนุ ญะรีร เล่ม 21 หน้า 528  ดูบทอัช-ชูรอ : 23
 
ญะลาลุดดีน อัสสิยูตีเล่าว่า
ولما قتل الحسين وبنو أبيه بعث ابن زياد برؤوسهم إلى يزيد فسر بقتلهم أولا ثم ندم لما مقته المسلمون على ذلك وأبغضه الناس وحق لهم أن يبغضوه.
تاريخ الخلفاء  للسيوطي   ج 1  ص 85
เมื่อท่านฮูเซนถูกสังหาร  อิบนุซิยาดได้ส่งศรีษะทั้งหลายของพวกเขา(ที่ตัด)ไปให้กับยะซีด  เขาแสดงความดีใจต่อการตายของพวกเขาในตอนแรก  ต่อมายะซีดเริ่มเสียใจ เมื่อบรรดามุสลิมโกรธเคืองที่เขาทำเช่นนั้น และประชาชนชิงชังเขา และเป็นความถูกต้องแล้วสำหรับประชาชนที่จะชิงชังยะซีด
อ้างอิงจากหนังสือ ตารีคุลคุละฟาอ์ โดยสิยูตี เล่ม  1 : 85

ถ้าพิจารณาตามความจริง  ยะซีดจำเป็นต้องแสแสร้งสำนึกผิดต่อการตายของหลานท่านศาสดาและหันมาทำดีกับญาติที่หลงเหลือ  เพราะมิเช่นนั้น  บัลลังค์ของเขาอาจไม่ยั่งยืนต่อไปนั่นเอง

ต่อมาเมื่อลูกหลานท่านศาสดามุฮัมมัดที่รอดชีวิตถูกส่งตัวกลับมายังเมืองมะดีนะฮ์อันเป็นบ้านเกิดของพวกเขา ท่านอะลี ซัยนุลอาบิดีน บุตรชายท่านฮูเซน และซัยนับน้องสาวของท่านฮูเซนได้จัดสถานที่บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ทหารยะซีดได้ทำอย่างไรกับท่านฮูเซนและครอบครัวของเขาให้ชาวเมืองมะดีนะฮ์ได้รับรู้ความจริง
 
عَنْ عَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ : أَنَّهُمْ حِيْنَ قَدَمُوْا الْمَدِيْنَةَ مِنْ عِنْدَ يَزِيْدِ بْنِ مُعَاوِيَّة مَقْتَلِ الْحُسَيْنِ ابْنِ عَلِيٍّ رَضِيَ اللهُ عنهما لَقِِيَهُ الْمِسْوَرُ بْنُ مخرمة فَقَالَ لَهُ هَلْ لَكَ إِلَيَّ مِنْ حَاجَةٍ تَأْمُرُنِيْ بِهَا قَالَ فَقُلْتُ لَهُ لاَ
ท่านอะลี บุตรฮูเซน เล่าว่า  : เมื่อพวกท่านเข้ามาที่เมืองมะดีนะฮ์ จากกษัตริย์ยะซีด(ที่ส่งตัวกลับมาหลังจากที่)ท่านฮูเซน บินอะลีถูกสังหาร    
อัลมิสวัร บินมัคร่อมะฮ์ได้เข้ามาพบท่านแล้วกล่าวกับท่านว่า  ท่านมีความเดือดร้อนอันใดที่จะให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือไหม โปรดสั่งข้าพเจ้าให้ทำสิ่งนั้นเถิด   ท่านอะลี บิน ฮูเซนกล่าวกับเขาว่า  ไม่มี....
อ้างอิงจาก
ซอฮีฮุ อบีดาวูด  เล่ม 2 หน้า 390 หะดีษที่ 1821  เชคอัลบานีกล่าวเป็นหะดีษเศาะหิ๊หฺ

นับจากนั้นมาการบรรยายเรื่องราวของท่านฮูเซนในเดือนมุหัรร็อมจึงได้จัดมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน อันเป็นที่รู้จักกันในนาม
มัจญ์ลิสอาชูรอ ,   ชะอาเอ็ร ฮูซัยนียะฮ์   หรือที่ชาวไทยเรียกกันว่า  "  พิธีมุหัรร็อม  "

ซึ่งอุละมาอ์ซุนนี่ที่เข้าข้างราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้พยายามต่อต้านเรื่องงานไว้อาลัยให้กับท่านฮูเซนมาโดยตลอด โดยอ้างว่าท่านนบี(ศ)ไม่เคยทำ ดังนั้นจึงเป็นบิดอะฮ์
หากท่านนบีมุฮัมมัดยังมีชีวิตอยู่หลังหลานชายของท่านถูกสังหาร  เราคงได้เห็นท่านจัดงานไว้อาลัยนี้อย่างแน่นอน   พวกซุนนี่ไม่เคยใส่ใจกับคำพูดเหล่านี้
‏حُسَـيْنٌ ‏ ‏مِنِّيْ وَأنَا مِنْ ‏ ‏حُسَـيْنٍ ‏ ‏أحَبَّ اللهُ مَنْ أحَبَّ حُسَـيْناً  ‏
ท่านรอซูลุลลอฮ์กล่าวว่า  : ฮูเซนมาจากฉันและฉันมาจากฮูเซน  ขออัลลอฮ์โปรดรักบุคคลที่รักฮูเซน
หนังสือ ซิลซิละตุซ-ซอฮีฮะฮ์ มุคตะศ็อร เล่ม 3 หน้า 229 หะดีษที่ 1227  เชคอัลบานีกล่าวว่าเป็นหะดีษเศาะหิ๊หฺ
‏ ‏الحَسَـنُ ‏ ‏وَالْحُسَـيْنُ ‏ ‏سَـيِّدَا شَـبَابِ أهْلِ الْجَـنَّةِ
ท่านรอซูลุลลอฮ์ กล่าวว่า  : ฮาซันและฮูเซนคือหัวหน้าบรรดาชายหนุ่มแห่งสรวงสวรรค์
หนังสือ ซิลซิละตุซ-ซอฮีฮะฮ์ มุคตะศ็อร เล่ม 2 หน้า 423 หะดีษที่ 796  เชคอัลบานีกล่าวว่าเป็นหะดีษฮาซัน เศาะหิ๊หฺ
 
พวกซุนนี่ไม่ยอมฟังสิ่งที่ท่านศาสดาเตือนไว้ล่วงหน้าว่า
قَالَ رَسُوْلُ الله (ص) : أوَّلُ مَنْ يُغَيِّرُ سُنَّتِيْ رَجُلٌ مِنْ بَنِيْ أُمَيَّة
ท่านรอซูลุลลอฮ์กล่าวว่า : บุคคลแรกที่จะทำการเปลี่ยนแปลงซุนนะฮ์ของฉัน คือชายที่มาจากตระกูลอุมัยยะฮ์
หนังสือ  ซิลซิละตุล อะฮาดีษ อัซ-ซอฮีฮะฮ์ เล่ม 4 หน้า 329   หะดีษที่ 1749  
เชคอัลบานีกล่าวว่า : สายรายงานหะดีษนี้ ฮาซันคือดี / นักรายงานหะดีษนี้ เชื่อถือได้

ทั้งๆที่ซุนนี่บอกเล่าความชั่วร้ายของยะซีดลูกหลานตระกูลอุมัยยะฮ์ว่า เขาคือคนทำลายกะอ์บะฮ์
عَنْ عَطَاء  قَالَ :  لَمَّا احْتَرَقَ الْبَيْتُ زَمَنَ يَزِيْدِ بْنِ مُعَاوِيَّة حِيْنَ غَزَاهَا أَهْلُ الشَّامِ
ท่านอะตออ์เล่าว่า : บัยตุลเลาะฮ์ได้ถูกไฟเผาไหม้ในสมัยของกษัตรย์ยะซีด บิน มุอาวียะฮ์ ตอนที่ชาวเมืองช่ามยกทัพมารบกับชาวเมืองมักกะฮ์
อ้างอิงจากหนังสือ  
ซิลซิละตุล อะฮาดีษอัซ-ซอฮีฮะฮ์ เล่ม 1 : 42   หะดีษที่ 4  เชคอัลบานีกล่าวว่าเป็นหะดีษเศาะหิ๊หฺ  


ซุนนี่ลืมแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่ยะซีดส่งทหารไปล้อมเมืองมะดีนะฮ์
وقال الشيخ شمس الدين الذهبي: لما فعل يزيد بأهل المدينة ما فعل، وقتل الحسين رضي الله عنه وإخوته، وأكثر من شرب الخمر وارتكب أشياء منكرة أبغضه الناس وخرج عليه غير واحد ولم يبارك الله تعالى في عمره.

فوات الوفيات ج 4  ص 328
المؤلف : محمد بن شاكر الكتبي  المحقق : إحسان عباس  الناشر : دار صادر - بيروت

อัซ-ซะฮะบี เล่าว่า  :  ตอนที่ยะซีดกระทำกับชาวเมืองมะดีนะฮ์ในสิ่งที่เขาทำลงไป และสังหารท่านฮูเซนกับพี่น้องของเขา และยะซีดได้ดื่มสุราอย่างมากมาย และก่อบาปกรรมไว้หลายสิ่งหลายอย่างอันน่ารังเกียจ  ประชาชนจึงชิงชังเขามาก
อ้างอิงจากหนังสือ ฟะวาตุล วัฟยาต  เล่ม 4 : 328
ความชั่วของทหารยะซีดที่ทำกับชาวเมืองมะดีนะฮ์คือ พวกทหารได้ข่มขืนผู้หญิงที่เมืองนั้นจนท้องไม่มีพ่อไปหลายร้อยคน


ท่ามกลางการปราบปรามประชาชนที่ต่อต้านยะซีดอย่างหฤโหด  แต่ซุนนี่ก็อยู่อย่างสุขสบาย เพราะพวกเขาสร้างกฎว่า   ซุนนี่ทุกคนจำเป็นต้องเชื่อฟังผู้ปกครองทั้งดีและเลว
  •  

L-umar



ตอน  19


ปีฮ.ศ. 65- 67 ที่เมืองกูฟะฮ์  

(คือช่วงที่กษัตริย์อับดุลมะลิก บินมัรวานบินฮะกัมปกครอง  ฮ.ศ. 65- 86 = ค.ศ.685 -705 )


อัลมุคต้าร อิบนิอบีอุบัยดฺ  อัษ-ษะเกาะฟี

เขาได้ชักชวนประชาชนลุกฮือขึ้นต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลอุมัยยะฮ์ มุคต้ารได้สังหารทุกคนที่มีส่วนร่วมในการสังหารท่านฮูเซนบินอะลีเช่น
อุบัยดุลเลาะฮ์ บินซิยาดผู้ปกครองเมืองกูฟะฮ์
อุมัร บินสะอัด บุตรอบีวักกอศ
ชิมร์ บินซิลเญาชัน  

และในที่สุดมุคต้ารกับพวกก็โดนประหาร  นางอัมเราะฮ์ บินตินุอ์มานภรรยามุคต้ารก็โดนมุศอับบินอัซ-ซุบัยรฺสมุนรับใช้ราชวงศ์อุมัยยะฮ์สังหารนางหลังสามีตาย

ผลลัพท์ของผู้ที่รักอะฮ์ลุลบัยต์คือ

1.   ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
2.   หรือไม่ก็ถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนชั่ว


قال ابن حجر : كَانَ أَوَّل مَنْ خَرَجَ مِنْهُمْ الْمُخْتَار بْن أَبِي عُبَيْد الثَّقَفِيّ غَلَبَ عَلَى الْكُوفَة فِي أَوَّل خِلَافَة اِبْن الزُّبَيْر فَأَظْهَرَ مَحَبَّة أَهْل الْبَيْت وَدَعَا النَّاس إِلَى طَلَب قَتَلَة الْحُسَيْن فَتَبِعَهُمْ فَقَتَلَ كَثِيرًا مِمَّنْ بَاشَرَ ذَلِكَ أَوْ أَعَانَ عَلَيْهِ فَأَحَبَّهُ النَّاس ، ثُمَّ زَيَّنَ لَهُ الشَّيْطَان أَنْ اِدَّعَى النُّبُوَّة
فتح الباري لابن حجر ج 10 ص 410 ح : 3340

อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานีกล่าวว่า :

บุคคลแรกที่ออกมา(ต่อสู้) จากในหมู่พวกเขาคือ อัลมุคต้าร บินอบีอุบัยดฺ อัษ-ษะเกาะฟี เขาสามารถครอบครองเมืองกูฟะฮ์ไว้ได้ในช่วงแรกของการปกครองของอิบนุซ-ซุบัยรฺ แล้วมุคต้ารได้สำแดงความจงรักภักดีต่ออะฮ์ลุลบัยต์ เขาเรียกร้องประชาชนไปสู่การทวงสิทธิเรื่องการสังหารท่านฮูเซน มีคนตามพวกเขา แล้วมุคต้ารไดสังหารไปมากมายจากผู้ที่มีส่วนร่วมโดยตรงกับการสังหารนั้นหรือมีส่วนให้ความช่วยเหลือในการสังหารฮูเซน  ประชาชนจึงมีความรักชมชอบมุคต้าร  ต่อมาชัยตอนได้ล่อลวงมุคต้ารให้ประกาศตนเป็นศาสดา

อ้างอิงจาก
ฟัตฮุลบารี โดยอิบนุหะญัร เล่ม 10 : 410 หะดีษที่ 3340

มุคต้าร ผู้มีความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์นบี ได้ต่อสู้จนตัวตายเพื่อแก้แค้นให้กับฮูเซนหลานชายศาสดามุฮัมมัด  เขากลับกลายเป็นปีศาจในสายตาตระกูลอุมัยยะฮ์และถูกซุนนี่ยุคราชวงศ์อุมัยยะฮ์กุหะดีษใส่ร้ายว่า  เขาเป็นจอมโกหกเพราะอ้างตนเป็นศาสดา เช่นหะดีษแบบนี้


عَنِ ابْنِ عُمَرَ قَالَ  قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « فِى ثَقِيفٍ كَذَّابٌ وَمُبِيرٌ ».
قَالَ أَبُو عِيسَى يُقَالُ الْكَذَّابُ الْمُخْتَارُ بْنُ أَبِى عُبَيْدٍ وَالْمُبِيرُ الْحَجَّاجُ بْنُ يُوسُفَ.  

จากอิบนุอุมัรเล่าว่า :  ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) กล่าวว่า (กาลข้างหน้า) ในเผ่าษะกีฟ (เผ่าหนึ่งจากเมืองตออิฟ) จะมีจอมโกหกและผู้ทำลายล้าง(คร่าชีวิตคนบริสุทธิ์)

อบูอีซา(คืออัต-ติรมิซี)อธิบายว่า
กัซซ๊าบคือ อัลมุคต้าร บินอบีอุบัยดิน
ผู้สร้างความเสียหายคือ หัจญ๊าจญ์ บินยูสุฟ
สุนัน ติรมิซี  หะดีษที่    2381
เชคอัลบานีกล่าวว่าเป็นหะดีษ   เศาะหิ๊หฺ ดูเศาะฮีฮุต- ติรมิซี  หะดีษที่ 3090
เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษที่ 6660

ท่านว่ามันจะกินกับปัญญาไหม  ที่คนดีอย่างมุคต้ารอุตส่าจับดาบล้างแค้นให้กับลูกหลานนบี  เพราะความรักที่มีต่อศาสดามุฮัมมัด เขาเจ็บปวดแทนศาสดาของอิสลาม ขณะที่เขาญิฮ๊าดเพื่ออะฮ์ลุลบัยต์และก็อ้างว่าข้าคือศาสดาไปในเวลาเดียวกันกระนั้นหรือ ?

การที่ฝ่ายซุนนี่ใส้ร้ายมุคต้าร ว่าเขาประกาศตนเป็นศาสดานั้น เป็นคำพูดที่ไร้หลักฐานซึ่งมาจากพวกซุนนี่เองทั้งสิ้น

หรือว่าบุคคลที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) กล่าวว่า ในเผ่าษะกีฟ จะมีจอมโกหกและผู้ทำลายล้างชีวิตคนคือ คนๆเดียวกัน ซึ่งนั่นคือ หัจญ๊าจญ์ บินยูสุฟ

อิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

المختار بن أبي عبيد الذي أظهر الإنتصار للحسين وقتل قاتله بل كان هذا أكذب وأعظم ذنبا من عمر بن سعد فهذا الشيعي شر

อัลมุคต้าร บินอบีอุบัยดฺที่แสดงความช่วยเหลือให้กับฮูเซนและสังหารคนที่ฆ่าฮูเซน  แต่ว่าชายคนนี้คือจอมโกหกและมีบาปใหญ่มหันต์ยิ่งกว่าอุมัรบินสะอัด(แม่ทัพที่ยกทัพไปล้อมฮูเซน) ชายคนนี้เป็นชีอะฮ์ คนเลว

อ้างอิงจากหนังสือ
มินฮาญุซ-ซุนนะฮ์  โดยอิบนุ ตัยมียะฮ์  เล่ม  2 : 70  


อิบนุตัยมียะฮ์ยังกล่าวอีกว่า

ويزيد خير من غيره خير من المختار بن أبي عبيد الثقفي

และยะซีดนั้นประเสริฐกว่าชีอะฮ์และมุคต้าร บินอบีอุบัยดฺ อัษษะเกาะฟี

จากหนังสือ   มินฮาญุซ-ซุนนะฮ์  โดยอิบนุ ตัยมียะฮ์  เล่ม 4 : 567  


ซุนนี่มักยกย่องคนชั่ว

หรือคนที่ชิงชังอะฮ์ลุลบัยต์ของนบีมุฮัมมัดว่า เป็นคนดี และเชื่อถือได้ในการรายงาน



قال الذهبي : حدثنا محمد بن الضحاك، عن أبيه قال: خرج الحسين، فكتب يزيد إلى بن زياد نائبه إن حسينا صائر إلى الكوفة، وقد ابتلي به زمانك من بين الازمان، وبلدك من بين البلدان، وأنت من بين العمال، وعندها تعتق، أو تعود عبدا.  فقتله ابن زياد، وبعث برأسه إليه.
سير أعلام النبلاء للذهبي  ج 3  ص 305

อัซ-ซะฮะบีกล่าวว่า  

มุฮัมมัด บินอัฎ-เฎาะฮ๊ากรายงานจากบิดาเขาว่า เมื่อฮูเซนออกไป(ที่อิรัก) ยะซีดได้เขียนสารไปยัง(อุบัยดุลเลาะฮ์)อิบนิซิยาดตัวแทนของเขาว่า แท้จริงฮูเซนได้เดินไปที่เมืองกูฟะฮ์ และเวลาของเจ้านี้นับเป็นช่วงแห่งการทดสอบมากว่าช่วงเวลาทั้งหลายและมากว่าบ้านเมืองใดๆทั้งสิ้น และเจ้าอยู่ท่ามกลางคนงานทั้งหลาย ซึ่งที่นั่นเจ้าต้องปล่อยและนำกลับมาอย่างทาส  แล้วอิบนุซิยาดได้สังหารเขา(ฮูเซน)และส่งศรีษะฮูเซนไปให้ยะซีด

อ้างอิงจากหนังสือ
สิยัร อะอ์ลามุน-นุบะลาอ์ โดยอัซซะฮะบี เล่ม 3 : 305

قال العجلي :
حسين بن على بن أبي طالب وقُتِلَ الحسينُ بن على بن أبي طالب بكربلاء قتله عبيد الله بن زياد
الثقات للعجلي  ج 1  ص 301  رقم : 310

อัลอิจญ์ลี อุละมาอ์ซุนนี่กล่าวว่า :

ฮูเซน บุตรอะลีบินอบีตอลิบ และฮูเซนถูกสังหารที่กัรบาลา อุบัยดุลเลาะฮ์คือคน(บงการ)สังหารเขา

อ้างอิงจากหนังสือ
อัษ-ษิกอต  โดยอัลอิจญ์ลี เล่ม 1 : 301 อันดับที่ 310

قال إبن حبان :
والذي تولى في ذلك اليوم حز رأس الحسين بن على بن أبى طالب شمر بن ذي الجوشن ثم أنفذ عبيد الله بن زياد رأس الحسين بن على إلى الشام مع أسارى النساء والصبيان من أهل بيت رسول الله صلى الله عليه وسلم على أقتاب مكشفات الوجوه والشعور فكانوا إذا نزلوا منزلا أخرجوا الرأس من الصندوق وجعلوه في رمح وحرسوه إلى وقت الرحيل ثم أعيد الرأس إلى الصندوق ورحلوا فبيناهم كذلك إذ نزلوا بعض المنازل وإذا فيه دير راهب فأخرجوا الرأس على عادتهم وجعلوه في الرمح وأسندوا الرمح إلى الدير فرأى الديرانى بالليل نورا ساطعا من ديره إلى السماء فأشرف على القوم وقال لهم من أنتم قالوا نحن أهل الشام قال وهذا رأس من هو قالوا رأس الحسين بن على قال بئس القوم أنتم
ثقات ابن حبان  ج 2  ص 312

ในวันนั้น(วันอาชูรอ) ผู้ที่ตัดศรีษะท่านฮูเซนบุตรอะลีคือชิมร์ บินซิลเญาชัน จากนั้นอุบัยดุลเลาะฮ์บินซิยาดได้สั่งให้ส่งศรีษะของฮูเซนบินอะลีไปที่เมืองช่าม พร้อมกับเชลยที่เป็นสตรีกับเด็กๆที่เป็นอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (โดยทหารได้ให้เชลย)นั่งบนอานอูฐในสภาพเปิดใบหน้าและเส้นผม(คือไม่มีฮิญาบคลุมศรีษะ)  
เมื่อพวกทหารแวะพักลงแห่งใด พวกเขาจะเอาศรีษะ(ฮูเซนปออกมาจากหีบ และเอาศรีษะนั้นไปเสียบไว้ที่ปลายหอก และคอยเฝ้าศรีษะนั้นไว้จนได้เวลาออกเดินทาง จากนั้นก็นำศรีษะกลับไปเก็บไว้ในหีบ  พวกทหารเดินทางต่อไปในขณะที่พวกเขาได้แวะพักในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งตรงนั้นมีโบสถ์ของบาทหลวงคริสต์คนหนึ่ง  
พวกทหารได้เอาศรีษะออกมาอีกตามเดิมและเอาไปเสียบไว้ที่หอก แล้วเอาหอกนั้นไปวางพิงไว้ที่ข้างกำแพงโบสถ์   บาทหลวงได้แลเห็นแสงสว่างปรากฏขึ้นมาจากที่โบสถ์ของเขาสู่ท้องฟ้า  เขาจึงเข้ามาหาพวกทหารนั้น
และได้ถามพวกเขาว่า    พวกท่านเป็นใคร  ?
พวกทหารตอบว่า     พวกเราเป็นชาวเมืองช่าม
บาทหลวงถามว่า    และนี่เป็นศรีษะของผู้ใด ?  
พวกทหารตอบว่า   คือศรีษะของฮูเซน บุตรของอะลี
บาทหลวงจึงกล่าวว่า  พวกท่านช่างเป็นกลุ่มชนที่ชัวช้าเลวทรามยิ่งนัก

อ้างอิงจากหนังสือ
อัษ-ษิกอต โดยอิบนุ หิบบาน  เล่ม 2 : 312


แม้ว่าอุละมาอ์ซุนนี่จะบอกให้ชาวซุนนี่ทราบว่า  อุบัยดุลเลาะฮ์ บินซิยาดร่วมมือในการสังหารท่านฮูเซน บุตรอะลี  แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยอมรับว่า บุคคลคนนี้น่าเชื่อในการรายงานหะดีษและมุหัดดิษซุนนี่จึงบันทึกหะดีษของเขาไว้มากมาย ซึ่งถ้าเรามีโอกาสจะนำเสนอในคราวต่อไป


คำถามสำหรับซุนนี่

ตามสามัญสำนึกของท่าน  ท่านคิดว่า คนที่สังหารท่านฮูเซน หลานศาสดามุฮัมมัด  อย่างอุบัยดุลลเฮ บินซิยาด ยังมีความน่าเชื่อถือในการายงานหะดีษอีกหรือ  และยังเป้นคนที่ควรให้การยกย่องอีกหรือ
  •  

L-umar


ตอน 20


หัจญ๊าจญ์บินยูสุฟ มือสังหารประจำตระกูลอุมัยยะฮ์



ต่อมากษัตริย์อับดุลมาะลิกแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้แต่งตั้งหัจญ๊าจญ์บินยูสุฟ ให้เป็นหน่วยปราบปรามพิเศษพิทักษ์บัลลังค์     หัจญ๊าจญ์ผู้นี้มีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต  เขาสังหารทุกคนที่ทำตัวต่อต้านต่อราชวงศ์อุมัยยะฮ์  

มีรายงานว่าหัจญาจญ์สังหารมุสลิมไปจำนวนนับแสนคน
عَنْ هِشَامِ بْنِ حَسَّانَ قَالَ أَحْصَوْا مَا قَتَلَ الْحَجَّاجُ صَبْرًا فَبَلَغَ مِائَةَ أَلْفٍ وَعِشْرِينَ أَلْفَ قَتِيلٍ.

จากฮิช่าม บินหัสซานเล่าว่า พวกเขาได้นับ(จำนวนคน)ที่หัจญ๊าจญ์ได้สังหาร  มีจำนวนถึง หนึ่งแสนสองหมื่นคน
สุนันติรมิซี หะดีษที่ 2382
เชคอัลบานี กล่าวว่าเป็นหะดีษ  เศาะหิ๊หฺ  ดูเศาะหิ๊หฺ วะดออีฟ สุนันติรมิซี หะดีษที่ 2220

หัจญาจญ์ได้สังหารคนดีโดยส่วนมากเช่น   ท่านสะอีด บินญุเบร

سعيد بن جبير أسدى كوفى تابعي ثقة
عن مغيرة قال ما كان يفتى الناس بالكوفة قبل الجماجم إلا سعيد بن جبير
كتاب : الثقات للعجلي  ج 1  ص 395 رقم : 578
อัลอิจญ์ลีกล่าวว่า  :
สะอีด บินญุเบร อะซะดี เป็นชาวเมืองกูฟะฮ์ เป็นตาบิอี  การรายงานเชื่อถือได้  จากมุฆีเราะฮ์เล่าว่า ไม่เคยมีผู้ใครให้คำฟัตวา(ทางศาสนา)แก่ประชาชนที่เมืองกูฟะฮ์ ก่อนที่จะเกิดการสู้รบที่ญะมาญิม นอกจากสะอีด
กิตาบ อัษ-ษิกอต  โดยอัลอิจญ์ลี เล่ม 1 : 395 อันดับ 578



سعيد بن جبير بن هشام :  كان فقيها عابدا ورعا فاضلا
خرج مع بن الأشعث في جملة القراء فلما هزم بن الأشعث بدير الجماجم هرب سعيد بن جبير إلى مكة فاخذه خالد بن عبد الله القسري بعد مدة وكان واليا لعبد الملك على مكة
وبعث به إلى الحجاج فقال له الحجاج اختر لنفسك أي قتلة شئت فقال اختره أنت فان القصاص أمامك فقتله الحجاج بن يوسف
الثقات لابن حبان  ج 4  ص 275  رقم : 2883
อิบนุ หิบบานกล่าวว่า :
สะอีดเป็นฟะกีฮฺ(ผู้รู้) เป็นอาบิ๊ด(คงแก่การทำอิบาดัต) เป็นคนวะเราะอ์(ยำเกรงอัลลอฮ์มาก) เป็นคนฟาฎิ้ล(ดีมีคุณธรรม)
สะอีดได้ออกไป(สู้รบต่อต้านพวกราชวงศ์อุมัยยะฮ์)กับอิบนุ อัชอัษในกลุ่มบรรดานักอ่านกุรอ่าน เมื่ออิบนุ อัชอัษพ่ายแพ้ที่ดีรุลญะมาญิม  สะอีดบินญุเบรจึงได้หลบหนีไปที่เมืองมักกะฮ์
คอลิด บินอับดุลเลาะฮ์ อัลก็อสรีได้จับกุมสะอีดไว้พักหนึ่ง คอลิดเป็นข้าหลวงของกษัตริย์อับดุลมะลิก บินมัรวาน (ที่แต่งตั้งให้คอลิดเป็นผู้ปกครอง)เมืองมักกะฮ์
คอลิดส่งตัวสะอีดไปให้หัจญาจญ์    หัจญาจญ์ได้กล่าวกับสะอีดว่า เจ้าจงเลือกสำหรับตัวเจ้าเองว่าจะตายแบบไหนที่เจ้าต้องการ  
สะอีดกล่าวว่า ท่านจงเลือกเองเถิด เพราะคนที่จะถูกสำเร็จโทษนี้อยู่ต่อหน้าเจ้า  แล้วหัจญาจญ์บินยูสุฟได้ฆ่าเขา
กิตาบ อัษ-ษิกอต โดยอิบนุหิบบาน  เล่ม 4 :275 อันดับที่  2883

อิบนุ หะญัรเล่าว่า :
كان ابن عباس إذا أتاه أهل الكوفة يستفتونه يقول أليس فيكم ابن أم الدهماء يعني سعيد بن جبير وقال عمرو بن ميمون عن أبيه لقد مات سعيد بن جبير وما على ظهر الارض أحد إلا وهو محتاج إلى علمه
มีชาวกูฟะฮ์ได้มาหาท่านอิบนุอับบาส เพื่อขอคำฟัตวา(คำวินิจฉัยทางศาสนา)จากเขา
อิบนุอับบาสกล่าวว่า  ในหมู่พวกท่านไม่มีอิบนุ อุมมุด- ดะฮ์มาอ์(คือสะอีดบินญูเบร)อยู่หรือไง ?



قال هشيم حدثني عتبة مولى الحجاج قال حضرت سعيد بن جبير حين أتى به الحجاج بواسط فجعل الحجاج يقول له ألم أفعل بك ألم أفعل بك فيقول بلى قال فما حملك على ما صنعت من خروجك علينا قال بيعة كانت علي قال فغضب الحجاج وصفق بيديه وقال فبيعة أمير المؤمنين كانت أسبق وأولى وأمر به فضربت عنقه.
ฮุชัยมุนเล่าว่า อุตบะฮคนรับใช้หัจญาจ์เล่าให้ฉันฟังว่า
เมื่อสะอีดบินญุเบรถูกนำตัวมาให้หัจญาจญ์ที่เมืองวาซิฏ(ประเทศอิรักซึ่งตอนนั้นกษัตริย์อับดุลมะลิกแต่งตั้งหัจญาจญ์ให้เป็นผู้ปกครองที่นั่น)
หัจญาจญ์เริ่มถามกับเขาว่า :  ข้าไม่เคยทำกับเจ้าหรือๆ  
สะอีดตอบว่า :  ใช่แล้ว
หัจญาจญ์กล่าวว่า  : อะไรพาเจ้าให้ทำการก่อกบฏต่อพวกเรา
สะอีดตอบว่า : การมอบสัตยาบัน (ที่ถูกต้องนั้น) คือท่านอะลี
อุตบะฮ์เล่าว่า  หัจญาจญ์โกรธมากและตบมือทั้งสองของเขา และหัจจญาจญ์กล่าวว่า  สัตยาบันของท่านอมีรุลมอ์มินีน(อับดุลมะลิก)นั้นต้องมาก่อนและมีสิทธิมากที่สุด (จากนั้น)หัจญาจญ์จึงได้สั่งให้ตัดคอสะอีด.
قال أبو قاسم الطبري هو ثقة إمام حجة على المسلمين قتل في شعبان وهو ابن (49) سنة وقال أبو الشيخ قتله الحجاج صبرا سنة (59).
تهذيب التهذيب لابن حجر  ج 4  ص 11  رقم : 14
อบู กอซิม อัฏ-ฏ็อบรีกล่าวว่า  เขา(คือท่านสะอีดบินญูเบร)นั้นมีความน่าเชื่อถือในการรายงานหะดีษ เขาเป็นอิหม่ามเป็นหลักฐานของปวงมุสลิม  เขาถูกสังหารในเดือนชะอ์บาน ตอนอายุ 49ปี   หัจญาจญ์คือคนสังหารเขาตายในปีฮ.ศ. 59  

อ้างอิงจากหนังสือ

ตะฮ์ซีบุต-ตะฮ์ซีบ เล่ม 4 : 11 อันดับที่ 14



ท่านจะเห็นได้ว่า  คดีที่หัจญาจญ์บินยูสุฟประหารชีวิตท่านสะอีดบินญุเบรอุลละมาอ์ในยุคนั้นที่หาตัวจับได้ยากคือ  

                                             สะอีด บินญูเบรเป็นชีอะฮ์อะลี

และเขาไม่ยอมรับว่า อับดุลมะลิก บินมัรวานแห่งตระกุลอุมัยยะฮ์ผู้ปกครองในเวลานั้นคืออิหม่ามที่เขาต้องให้สัตยาบัน
ส่วนหัจญาจญ์ก็บอกชัดว่า  อับดุลมะลิกคือ อมีรุลมุอ์มินีนของเขาอันชอบธรรม

แน่นอนอำนาจอยู่ในมือของคนชั่ว จะพูดจะทำอะไรก้ได้ตามใจชอบ และซุนนี่เองก็สนับสนุนคนชั่วแบบนี้ พวกเขาจึงครองอำนาจร่วมกันมาโดยตลอด.


แม้ว่า หัจจญาจญ์ บินยูสุฟจะชั่วช้าปานใด แต่ซุนนี่ในยุคนั้นก็ยอมนมาซตามหลังเขา ยอมฟังเขาคุฏบะฮ์เทศนา


เรื่องที่ผู้ปกครองรัฐ กับนักการศาสนาฝ่ายซุนนี่ที่มีอาชีพช่างทาสี คือชอบใส่ร้ายป้ายสีคนกลุ่มอื่นว่า มีอะกีดะฮ์ไม่ถูกต้อง เพราะไม่ตรงกับซุนนี่  

มุสลิมมากมายในอดีตจนปัจจุบันต้องโดนพวกเขาพิพากษาโทษตามอำนาจที่พวกเขามีมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย
  •  

L-umar


ตอนที่ 21

ญะฮัม บิน ศ็อฟวาน


เขาพำนักอยู่ที่กูฟะฮ์ อยู่สมัยเดียวกับวาศิล บินอะฏออ์หัวหน้าพวกมุอ์ตะซิละฮ์
ญะฮัม บินศ็อฟวานถูกใส่ร้ายว่า

หนึ่ง -  ปฏิเสธ ซิฟาตของอัลเลาะฮ์  

สอง -  เชื่อว่า คัมภีร์กุรอ่าน คือ มัคลู๊ก

สาม -  มนุษย์ทุกคน ถูกลิขิตให้เดินตามที่อัลเลาะฮ์ประสงค์

 
[ ش ( الجهمية ) هم الطائفة من المبتدعة يخالفون أهل السنة في كثير من الأصول كمسئلة الرؤية وإثبات الصفات . ينسبون إلى جهم بن صفوأن من أهل الكوفة ]
سنن ابن ماجه  باب فيما أنكرت الجهيمة  ج 1  ص 62


มุหัดดิษซุนนี่ชื่อ อิบนุมาญะฮ์กล่าวว่า  อัลญะฮ์มียะฮ์ คือคนกลุ่มหนึ่งจากพวกบิดอะฮ์  พวกเขาขัดแย้งกับอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ในเรื่องอุศูลมากมาย  เช่นเรื่องการเห็นอัลเลาะฮ์ การยืนยันซิฟัตของอัลลอฮ์   คนกลุ่มนี้เกิดมาจากญะฮัม บินศ็อฟวาน เป็นชาวกูฟะฮ์

อ้างอิงจาก สุนัน อิบนิมาญะฮ์   บาบ ปฏิเสธพวกญะฮ์มียะฮ์  เล่ม 1 : 62


ปีฮ.ศ.  128  

ซาลิม บินอะห์วัซ อัลมาซินีได้สังหารญะฮัมที่เมืองเมรูในช่วงปลายการปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ์  ด้วยคดีญะฮัมคือเป็น   " มุรญิอะฮ์ "




ฆีลาน บินมัรวาน  อัด-ดิมัชกี


ต่อมาฆีลาน อัด-ดิมัชกี ก็ถูกฆ่าตาย  เพราะมีอะกีดะฮ์  ก็อดรียะฮ์

บิดาฆีลานคือคนรับใช้ท่านอุษมาน บินอัฟฟาน   ฮิช่าม บินอับดุลมะลิกคือผู้สั่งประหารชีวิตเขา

หลังจากนั้นเจ็ดปี  ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ก็ล่มสลาย
  •  

L-umar


ตอนที่ 22

พฤติกรรมของผู้ปกครองในราชวงศ์อุมัยยะฮ์


ครองราชย์ระหว่างปี ฮ.ศ. 41-132 / ค.ศ. 661-750
ศูนย์กลางการปกครองที่ซีเรีย

ปีครองราชย์   รายชื่อกษัตริย์
ฮิจเราะฮ์ศักราช   คริสต์ศักราช  


41-60   661-680   มุอาวิยะห์ อิบนุ อบีสุฟยาน (มุอาวิยะห์ที่ 1)
60-64   680-683   ยะซีด ที่ 1
64-64   683-684   มุอาวิยะห์ ที่ 2
64-65   684-685   มัรวาน อิบนุ อัลหากัม (มัรวานที่ 1)
65-86   685-705   อับดุลมะลีก
86-96   705-715   อัลวะลีด ที่ 1
96-99   715-717   สุไลมาน
99-101   717-720   อุมัร อิบนุ อับดุลอะซีซ
101-105   720-724   ยะซีด ที่ 2
105-125   724-743   ฮิช่าม บินอับดุลมะลิก บินมัรวาน
125-126   743-744   อัลวะลีดที่ 2
126-126   744-744   ยะซีดที่ 3
126-127   744-744   อิบรอฮีม
127-132   744-750   มัรวาน อิลหิมาร์ (มัรวานที่ 2)


อ้างอิงจากเวป

http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=1214.0


1- มุอาวียะฮ์ บินอบีสุฟยาน บินหัรบ์ บินอุมัยยะฮ์  
 
1.   เปลี่ยนการปกครองจากระบอบคอลีฟะฮ์อิสลามไปเป็นระบอบกษัตริย์
2.   สั่งการให้ด่าทอสาปแช่งท่านอะลี บินอบีตอลิบบน มิมบัรทั่วทุกหัวเมือง
3.   วางยาพิษท่านฮะซัน บุตรท่านอะลี



เชิญท่านอ่านบทความที่ซุนนี่วิจารณ์ความประพฤติของราชวงศ์นี้เองเถิด

เวปไซต์ของโรงเรียนศาสนูปถัมภ์ปากพะยูนมูลนิธิ

http://ansor-ansunnah.tripod.com/pawatisa.htm

ราชวงศ์อุมัยยะฮ.

ก่อนหน้าท่านคอลีฟะฮ์อะลีจะสิ้นชีวิต มุอาวิยะฮ.ได้อ้างว่าตนเองเป็นเคาะลีฟะฮ.ที่ถูกต้อง หลังจากนั้น ตระกูลอุมัยยะฮ.ของเขาได้มีเคาะลีฟะฮ.ปกครองมุสลิมสืบทอดต่อกันมาถึง 14 คน จนถึง ค.ศ. 750 มุอาวิยะฮ.ได้ย้ายเมืองหลวงของแผ่นดินอิสลามจากมะดีนะฮ.ไปที่ดามัสกัส ซึ่งเป็นเมืองหลวงของซีเรีย เพราะเขาเคยเป็นผู้ปกครองอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่สมัยของเคาะลีฟะฮ.อุษมาน และผู้สนับสนุนเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย เคาะลีฟะฮ.ในสมัยราชวงศ์อุมัยยะฮ.แต่ละคนจะใช้วิธีการแต่งตั้งญาติใกล้ชิดของตัวเองเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากตน ก่อนที่จะเสียชีวิต ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการโต้แย้ง แต่ขณะเดียวกัน การทำเช่นนั้นก็เป็นการสร้างระบบการปกครองด้วยวงศ์ตระกูลขึ้นมา

แต่ขณะเดียวกัน ราชวงศ์อุมัยยะฮ.ก็เริ่มละทิ้งกฎระเบียบของอิสลาม คัมภีร์กุรอานมิได้ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานของกฎหมาย และผู้ปกครองในราชวงศ์นี้มิได้เป็นมุสลิมที่ดีเหมือนกับเคาะลีฟะฮ.ในยุคต้น พวกเขาเริ่มสร้างวังหรูหราไว้นอกเมืองหลายแห่ง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับการล่าสัตว์หรือการดื่มสิ่งมึนเมา และเต้นรำท่ามกลางผู้หญิงสวยงาม กวีและนักดนตรี สภาพเช่นนี้ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มไม่พอใจต่อการปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ. ท้องพระโรงภายในวังของผู้ปกครองในสมัยนี้ปูด้วยหินอ่อนสีขาว กำแพงของมัสญิดถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนสีสรรตระการตาและเหนือขึ้นไปก็จะประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีทองและสีอื่น ๆ ที่ตกแต่งเป็นรูปต้นไม้ เมืองต่าง ๆ และตัวอักษรอย่างวิจิตรงดงาม ภาพต้นไม้และเมืองที่มีชื่อเสียงทั้งหลายสามารถพบได้บนผนังสิ่งก่อสร้างเหล่านี้

ไม่นานนัก ได้มีชาวอาหรับกลุ่มหนึ่งใช้ความไม่พอใจนี้สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้แก่ราชวงศ์อุมัยยะฮ. คนกลุ่มนี้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในแผ่นดินที่ยึดมาจากอาณาจักรเปอร์เซียและเป็นลูกหลานของอับบาสซึ่งเป็นลุงของท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล) คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า อับบาซี คนกลุ่มนี้ได้เริ่มต่อต้านราชวงศ์อุมัยยะฮ.ด้วยการประณามความเลวทรามของผู้ปกครองก่อน หลังจากนั้นก็รวมคนที่สนับสนุนพวกตนขึ้นเป็นกองทัพและโค่นอำนาจการปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ. ในการทำสงครามครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 750 พวกอับบาซีได้รับชัยชนะและเมื่อเคาะลีฟะฮ.ถูกฆ่า อำนาจการปกครองมุสลิมของราชวงศ์อุมัยยะฮ.ก็ต้องสิ้นสุด

เวปไซต์ซุนนี่ชื่อมุสลิมชลบุรี

http://www.muslimchonburi.com/index.php?page=show&id=144

ได้ลงบทความวิจารณ์ความชั่วของมุอาวียะฮ์และตระกูลอุมัยยะฮ์ว่า

มุอาวียะฮ์(Mu awiyah)

ลักษณะพิเศษของสมัยอุมัยยะฮ์


การเข้าครอบครองอาณาจักรอิสลามของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ไม่ได้หมายถึงแค่การเปลี่ยนราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนหลักการและกำเนิดขององค์ประกอบใหม่ๆ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากมายต่อชะตากรรมของอาณาจักรอิสลามและพัฒนาการของประเทศอีกด้วย ดังจะเห็นได้คือในสมัยของคอลีฟะฮ์ทั้งสี่ ตำแหน่งเคาะลีฟะฮ์ถูกเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากในเมืองมะดีนะฮ์ และชาวอาหรับนอกเมืองมะดีนะฮ์ก็เคารพต่อการเลือกตั้งนั้นด้วย แต่ในสมัยมุอาวิยะฮ์เป็นต้นมา กษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นผู้แต่งตั้งผู้สืบต่อโดยท่านเอง และผู้ได้รับแต่งตั้งก็ทำสัตย์สาบานต่อหน้าท่าน ระบบการแต่งตั้งนี้เป็นการถอนรากถอนโคนลักษณะแบบสาธารณรัฐของอิสลามเสียสิ้น ในสมัยเคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่บัยตุลมาลหรือกองคลัง สาธารณะเป็นสมบัติของประชาชน ประชาชนทุกคนในอาณาจักรมีสิทธิ์ในเงินนี้เท่าๆกัน แต่ทว่านับตั้งแต่สมัยมุอาวิยะฮ์มา กองคลังนี้ได้กลายเป็นสมบัติของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ เคาะลีฟะฮ์ทุกท่านในราชวงศ์อุมัยยะฮ์ ถือว่าบัยตุลมาลเป็นสมบัติส่วนตัวของตนและใช้จ่ายเงินทองในนั้นตามความประสงค์ของท่านเว้นแต่ อุมัรบินอับดุลอาซีซเท่านั้น
ในสมัยเคาะลีฟะฮ์สี่ท่าน เคาะลีฟะฮ์มีสภาอาวุโสเป็นผู้ช่วย เรื่องราวที่สำคัญทั้งหลายได้รับการอภิปรายปรึกษาหารือกันอย่างเปิดเผย คนธรรมดาสามัญก็มีเสียงในการปกครองนั้นด้วย ลักษณะสำคัญที่สุดของสมัยนั้นก็คือมีการคิดอย่างอิสระ และวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลได้อย่างเสรี แต่ในสมัยอุมัยยะฮ์สภาอาวุโสได้ถูกล้มเลิกไปและไม่ยอมให้มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลได้โดยเสรีอีกต่อไป
ในสมัยสาธารณรัฐอิสลาม คำสั่งสอนของท่านศาสดาได้กวาดล้างความอิจฉาริษยาระหว่างเผ่าพันธ์ออกไป ถึงแม้จะยังมีอยู่มันก็ถูกหักห้ามไว้ แต่ในสมัยอุมัยยะฮ์ได้มีการรื้อฟื้นความเป็นปรปักษ์ระหว่างเผ่าขึ้นมาใหม่เพื่อผลประโยชน์ของราชวงศ์นั่นเอง ความอิจฉาริษยาระหว่างพวกมุฏอรีย์(Mudarith)กับพวกฮิมยะรีย์(Himyarith) ซึ่งเกือบจะหมดไปแล้วในสมัยสาธารณรัฐอิสลามได้ทำให้กำลังของอิสลามอ่อนแอลง และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการโค่นล้มราชวงศ์อุมัยยะฮ์ในตอนหลัง
เคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่ทำตัวให้ราษฏร์แม้ที่ต่ำต้อยที่สุดก็เข้าถึงได้ ท่านมักจะออกมาเดินเที่ยวในยามกลางคืนเพื่อดูสภาพของประชาชนโดยไม่มีองค์รักษ์คุ้มครอง ท่านมีความเป็นอยู่ตามหลักการของอิสลาม ไม่เคยมีราชวังใหญ่โตอยู่ ตรงกันข้ามกับเคาะลีฟะฮ์ในสมัยอุมัยะฮ์ ซึ่งจะอยู่ในปราสาทราชวังและมีทหารองค์รักษ์ การดื่มสุรา การพนัน การแข่งม้า ฯลฯ ถูกนำมาในสังคม จึงนับได้ว่าศักราชใหม่ในประวัติศาสตร์ของอิสลามได้มาถึงพร้อมกับการเข้าครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ์


จากบทความที่ซุนนี่เขียนสรุปความชั่วได้ดังนี้

1.   มุอาวิยะฮ.ได้อ้างว่าตนเองเป็นเคาะลีฟะฮที่ถูกต้อง
2.   ราชวงศ์อุมัยยะฮละทิ้งกฎระเบียบของอิสลาม คัมภีร์กุรอานมิได้ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานของกฎหมาย และผู้ปกครองในราชวงศ์นี้มิได้เป็นมุสลิมที่ดีเหมือนกับเคาะลีฟะฮในยุคต้น
3.   สร้างวังหรูหราไว้นอกเมืองหลายแห่ง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับการล่าสัตว์หรือการดื่มสิ่งมึนเมา และเต้นรำท่ามกลางผู้หญิงสวยงาม กวีและนักดนตรี
4.   ท้องพระโรงภายในวังของผู้ปกครองในสมัยนี้ปูด้วยหินอ่อนสีขาว กำแพงของมัสญิดถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนสีสรรตระการตาและเหนือขึ้นไปก็จะประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีทองและสีอื่น ๆ ที่ตกแต่งเป็นรูปต้นไม้ เมืองต่าง ๆ และตัวอักษรอย่างวิจิตรงดงาม ภาพต้นไม้และเมืองที่มีชื่อเสียงทั้งหลายสามารถพบได้บนผนังสิ่งก่อสร้างเหล่านี้
5.   ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้เปลี่ยนระบออคอลีฟะฮ์เป็นระบอบกษัตริย์ ระบบการแต่งตั้งนี้เป็นการถอนรากถอนโคนลักษณะแบบสาธารณรัฐของอิสลามเสียสิ้น
6.   ในสมัยเคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่บัยตุลมาลหรือกองคลังสาธารณะ เป็นสมบัติของประชาชน ประชาชนทุกคนในอาณาจักรมีสิทธิ์ในเงินนี้เท่าๆกัน แต่ทว่านับตั้งแต่สมัยมุอาวิยะฮ์มา กองคลังนี้ได้กลายเป็นสมบัติของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ พวกราชวงศ์อุมัยยะฮ์ทุกคนถือว่าบัยตุลมาลเป็นสมบัติส่วนตัวของตนและใช้จ่ายเงินทองในนั้นตามความประสงค์ เว้นท่านอุมัรบินอับดุลอะซีซเท่านั้น
7.   ในสมัยเคาะลีฟะฮ์สี่ท่าน เคาะลีฟะฮ์มีสภาอาวุโสเป็นผู้ช่วย เรื่องราวที่สำคัญทั้งหลายได้รับการอภิปรายปรึกษาหารือกันอย่างเปิดเผย คนธรรมดาสามัญก็มีเสียงในการปกครองนั้นด้วย ลักษณะสำคัญที่สุดของสมัยนั้นก็คือมีการคิดอย่างอิสระ และวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลได้อย่างเสรี แต่ในสมัยอุมัยยะฮ์สภาอาวุโสได้ถูกล้มเลิกไปและไม่ยอมให้มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาลได้โดยเสรีอีกต่อไป
8.   ในสมัยสาธารณรัฐอิสลาม คำสั่งสอนของท่านศาสดาได้กวาดล้างความอิจฉาริษยาระหว่างเผ่าพันธ์ออกไป ถึงแม้จะยังมีอยู่มันก็ถูกหักห้ามไว้ แต่ในสมัยอุมัยยะฮ์ได้มีการรื้อฟื้นความเป็นปรปักษ์ระหว่างเผ่าขึ้นมาใหม่เพื่อผลประโยชน์ของราชวงศ์นั่นเอง ความอิจฉาริษยาระหว่างพวกมุฏอรีย์(Mudarith)กับพวกฮิมยะรีย์(Himyarith) ซึ่งเกือบจะหมดไปแล้วในสมัยสาธารณรัฐอิสลามได้ทำให้กำลังของอิสลามอ่อนแอลง
9.   เคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่ทำตัวให้ราษฏร์แม้ที่ต่ำต้อยที่สุดก็เข้าถึงได้ ท่านมักจะออกมาเดินเที่ยวในยามกลางคืนเพื่อดูสภาพของประชาชนโดยไม่มีองค์รักษ์คุ้มครอง ท่านมีความเป็นอยู่ตามหลักการของอิสลาม ไม่เคยมีราชวังใหญ่โตอยู่  แต่กษัตริย์ในสมัยราชวงศ์อุมัยะฮ์ จะอยู่ในปราสาทราชวังและมีทหารองค์รักษ์ การดื่มสุรา การพนัน การแข่งม้า ฯลฯ ถูกนำมาในสังคม



คำถามสำหรับซุนนี่


อัลเลาะฮ์และระซูลสอนให้ท่านศรัทธาและยอมรับผู้ปกครองที่ทำตัวละเมิดบทบัญญัติอิสลามเหล่านี้เป็นผู้ปกครองกระนั้นหรือ

หรือเป็นเพราะพวกท่าน  เลือกเองเพื่อประโยชน์แก่ตัวพวกท่านเอง  จะได้อยู่อย่างสุขสบาย
  •  

L-umar


ตอน  23


2- ยะซีด บินมุอาวียะฮ์


1.   บงการสังหารท่านฮูเซน บุตรท่านอะลี ด้วยคดีไม่ยอมให้สัตยาบันแก่เขา
2.   เผาทำลายอัลกะอ์บะฮ์กิบละฮ์ของมุสลิมด้วยปืนมันญานี๊ก
3.   บุกล้อมนครมะดีนะฮ์สามวัน กองทหารได้ขืนใจสตรีนับร้อย




3- มุอาวียะฮ์  บินยะซีด


1.   ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้สี่สิบวัน บ้างบอกสองเดือนและบ้างบอกสามเดือน จากนั้นได้ประกาศถอดถอนตัวเองจากบัลลังค์ และตายในปีฮ.ศ. 64  รวมอายุได้ 21 ปี
2.   สนับสนุนท่านอะลี ซัยนุลอาบิดีน บุตท่านฮูเซนเป็นผู้ปกครอง แต่ถูกพวกอุมัยยะฮ์ต่อต้าน
3.   ประณามการกระทำของปู่และบิดาต่อหน้าสาธารณชนว่าทั้งสองได้แย่งชิงอำนาจการปกครองอันชอบธรรมมาจากอะฮ์ลุลบัยต์นบี จนมารดาต่อว่าเขาว่า ข้าไม่น่าให้เจ้าเกิดมาเลย  มุอาวียะฮ์บินยะซีดตอบมารดาว่า ฉันก็คิดเช่นนั้น
4.   ก่อนตาย เขาถูกถามว่า ท่านจะแต่งตั้งใครเป็นกษัตริย์คนต่อไป เขาตอบว่า ข้าไม่เคยได้ลิ้มรสความหวานของมันเลยแล้วทำไมข้าจะต้องแบกรับความขมของมันไว้ด้วยล่ะ
มุอาวียะฮ์ บินยะซีด  ไม่มีบุตรและไม่ได้แต่งตั้งใครเป็นรัชทายาท ฝ่ายราชสำนักจึงแต่งตั้งให้มัรวาน  บินอัลฮะกัมเป็นกษัตริย์องค์ที่ 4  แห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์



4- มัรวาน บินอัลฮะกัม บินอบิลอาศ บินอุมัยยะฮ์



1.   ชายผู้นี้ต่อต้านท่านอะลีทั้งในสงครามญะมัลและซิฟฟีน
2.   ปีที่ ฮ.ศ.64 มุอาวียะฮ์บินยะซีดตาย การเมืองของตระกูลอุมัยยะฮ์และชาวเมืองช่ามเกิดสับสนโกลาหน  สุดท้ายชาวช่ามจึงได้ให้สัตยาบันกับมัรวาน และเขาเป็นคนแรกที่ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ปกครองด้วยการใช้ดาบแย่งชิงอำนาจมา
มัรวานครองราชย์อยู่ได้ไม่ถึงปีก็ตายและได้แต่งตั้งบุตรชื่ออับดุลมะลิกเป็นกษัตริย์ต่อไป



ตระกูลมัรวานียีนที่ครองราชย์ต่อจากมัรวาน บินอัลฮะกัม บินอบิลอาศ บินอุมัยยะฮ์

5- อับดุลมะลิก บินมัรวาน
6-อัลวะลีด บินอับดุลมะลิก
7-สุไลมาน บินอับดุลมะลิก
8-อุมัร  บินอับดุลอะซีซ บินมัรวาน บินฮะกัม
9-ยะซีด บินอับดุลมะลิก
10-ฮิช่าม บินอับดุลมะลิก
11-อัลวะลีด บินยะซีด บินอับดุลมะลิก
12-ยะซีด บินอัลวะลีด
13-อิบรอฮีม บินอัลวะลีด
14-มัรวาน บินมุฮัมมัด บินมัรวาน บินอัลฮะกัม อัลฮิมาร




ราชวงศ์อุมัยยะฮ์ละทิ้งบทบัญญัติอิสลาม มิได้นำคัมภีร์กุรอ่านมาใช้เป็นพื้นฐานของกฎหมายปกครองประเทศ
ผู้ปกครองมิได้ทำตัวเป็นมุสลิมที่ดีแก่ประชาชน
สร้างวังหรูหราไว้นอกเมืองหลายแห่ง
ใช้วังเหล่านั้นเป็นสถานที่สำหรับการล่าสัตว์หรือการดื่มสิ่งมึนเมา และเต้นรำท่ามกลางผู้หญิงสวยงาม กวีและนักดนตรี
ท้องพระโรงภายในวังของผู้ปกครองในสมัยนี้ปูด้วยหินอ่อนสีขาว กำแพงของมัสญิดถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนสีสรรตระการตาและเหนือขึ้นไปก็จะประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีทองและสีอื่น ๆ ที่ตกแต่งเป็นรูปต้นไม้ เมืองต่าง ๆ และตัวอักษรอย่างวิจิตรงดงาม ภาพต้นไม้และเมืองที่มีชื่อเสียงทั้งหลายสามารถพบได้บนผนังสิ่งก่อสร้างเหล่านี้


หากท่านผู้อ่าน มีความเคร่งครัดต่ออัลอิสลามอย่างแท้จริง  คงมองภาพออกว่า พวกตระกูลอุมัยยะฮ์โดยส่วนมากนั้นชั่วช้าฟาซิกแค่ไหน   แต่เรื่องแปลกอย่างหนึ่งก็คือ  ชาวซุนนี่ยังรักและเทิดทูนเอาไว้เหนือหัว
ส่วนสาเหตุเพราะอะไรนั้น  ท่านคงต้องใช้วิจารณญานกันเอาเอง...
  •  

L-umar


ตอน 24

ราชวงศ์อับบาซียะฮ์  ค.ศ.  750 - 1258

ดูสาแหรกตระกูลอับบาซียะฮ์ ได้ที่เวป

http://www.bawazir.com/abbasid-caliphs-lineage.htm
http://www.bawazir.com/abbasid-caliphs-arabic.htm


                    ในที่สุดคนในตระกูลอับบาส บุตรอับดุลมุตตอลิบ   ก็ได้โค่นล้มพวกบนูอุมมัยยะฮ์ลง และสถาปนาราชวงศ์อับบาซียะฮ์ขึ้นมาปกครองอาณาจักรอิสลาม มีศูนย์การปกครองอยู่ที่กรุงแบกแดด
ราชวงศ์นี้มีระยะการปกครองยาวนานถึง 524  ปี  ระหว่างปี ฮิจเราะฮ์ศักราช 132-247 เป็นช่วงแรกแห่งการเรืองอำนาจมากที่สุดของราชวงศ์นี้โดยกาหลิบ  10 คนแรก     ส่วนพวกอุมัยยะฮ์ที่เหลือก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่อันดาลุส ประเทศสเปน

รายชื่อกาหลิบราชวงศ์อับบาซียะฮ์

خلفاء بني العباس (في بغداد)
ملاحظات    مدة الحكم    اللقب    الخليفة
     132-136    أبو العباس السفّاح    عبد الله بن محمد بن علي
     136-158    أبو  جعفر المنصور    عبد الله بن محمد
     158-169    المهدي    محمد بن عبد الله المنصور
     169-170    الهادي    موسى بن محمد المهدي
     170-193    الرشيد    هارون بن محمد المهدي
     193-198    الأمين    محمد بن هارون الرشيد
     198-218    المأمون    عبد الله بن هارون الرشيد
     218-227    المعتصم    محمد بن هارون الرشيد
     227-232    الواثق    هارون بن محمد المعتصم
     232-247    المتوكّل    جعفر بن محمد المعتصم
حكام العباسيين في دور سيطرة العسكريين
 
 
 
 
عصر سيطرة العسكريين الأتراك
(247-334)    274-248    المنتصر بالله    محمد بن جعفر المتوكل [1]
   248-252    المستعين بالله   أحمد بن محمد المعتصم
   252-255    المعتز بالله    محمد بن جعفر المتوكل [2]
   255-256    المهتدي بالله    محمد بن هارون ا لواثق
   256-279    المعتمد على الله   أحمد بن جعفر المتوكل
   279-289    المعتضد بالله    أحمد بن طلحة بن جعفر المتوكل
   289-295    المكتفي بالله   علي بن أحمد المعتضد
   295-320    المقتدر بالله    جعفر بن أحمد المعتضد
   320-322    القاهر بالله    محمد بن أحمد المعتضد
   322-329    الراضي بالله    محمد بن جعفر المقتدر
   329-333    المتقي لله    إبراهيم بن جعفر المقتدر
   333-334    المستكفي بالله    عبد الله بن علي المكتفي
عصر سيطرة الفرس البويهيين الشيعة
(334-447)    334-363    المطيع لله    الفضل بن جعفر المقتدر
   363-381    الطائع لله    عبد الكريم بن الفضل المطيع
   381-422    القادر بالله    أحمد بن إسحاق بن جعفر المقتدر
   422-467    القائم بأمر الله    عبد الله بن أحمد القادر
 
 
 
 
عصر سيطرة السلاجقة الأتراك
(447-656)
     467-487    المقتدي بأمر الله    عبد الله بن محمد بن عبد الله القائم
   487-512    المستظهر بالله    أحمد بن عبد الله المقتدي
   512-529    المسترشد بالله    الفضل بن أحمد المستظهر
   529-530    الراشد بالله    منصور بن الفضل المسترشد
   530-555    المقتفي لأمر الله   محمد بن أحمد المستظهر
   555-566    المستنجد بالله   يوسف بن محمد المقتفي
   566-575    المستضيء بأمر الله    الحسن بن يوسف المستنجد
   575-622    الناصر لدين الله   أحمد بن الحسن المستضيء
   622-623    الظاهر بأمر الله    محمد بن أحمد الناصر لدين الله
   623-640    المستنصر بأمر الله    منصور بن محمد الظاهر بأمر الله
   640-656    المستعصم بالله   عبد الله بن منصور المستنصر بالله



กาหลิบอัลมุตะวักกิล อับบาซี่


ได้ลงโทษอย่างรุนแรงต่อคู่กรณีของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์หรือซุนนี่ เช่นพวกชีอะฮ์และพวกมุอ์ตะซิละฮ์

   อัลมุตะวักกิลประกาศยกเลิกความเชื่อเรื่องคัมภีร์กุรอ่านคือมัคลู๊ก เขาเนรเทศพวกมุอ์ตะซิละฮ์ที่ก่อนหน้านี้กาหลิบมะอ์มูนให้การอุปถัมภ์  อัลมุตะวักกิลมีใจให้กับมัซฮับฮัมบาลีและทำร้ายวพวกที่ถือมัซฮับชีอะฮ์อย่างไร้ความปรานี  เขามอบทรัพย์สินและให้ความช่วยเหลือต่อพวกฮัมบาลี และยกย่องผู้ที่อยู่ในมัซฮับอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ มอบอำนาจการดูแลควบคุมกิจการศาสนาให้กับคนกลุ่มนี้
จากนั้นอัลมุตะวักกิลได้หันมาจัดการกับพวกมุอ์ตะซิละฮ์และพวกชีอะฮ์อย่างเลวทรามต่ำช้า  และเขาให้นักการศาสนาฝ่ายซุนนี่ออกประกาศฟัตวาว่า มุอ์ตะซิละฮ์กับชีอะฮ์คือพวกหลงทาง หลังจากนั้นอัลมุตะวักกิลก็ถูกสังหาร

ยุคการปกครองของอัลกอดิร บิลลาฮ์แห่งราชวงศ์อับบาซี่
ก็ให้การอุปถัมภ์ชาวซุนนี่ มีการให้ซุนนี่แต่งตำราอุศูลุดดีนขึ้นมา ซึ่งในตำรานี้ได้บรรจุเรื่อง ความประเสริฐของเศาะหาบะฮ์ (فضائل الصحابة) และฮุก่มพวกมุอ์ตะซิละฮ์เป็นกาเฟร(สิ้นสภาพความเป็นมุสลิม) และพวกที่กล่าวว่ากุรอ่านคือมัคลูกก้ตกเป้นกาเฟร  หนังสืออุศูลเล่มนี้ถูกนำมาอ่านทุกวันศุกร์ในหมู่นักวิชาการสาขาหะดีษที่มัสญิดอัลมะฮ์ดี ในกรุงแบกแดด


หากท่านพิจารณาการเมืองของผู้ปกครองอาณาจักรอิสลามตัวปลอมทั้งหลาย จะเห็นได้ว่า พวกฮากิมหรือซุลตอนจะหยิบยกนักการศาสนาในมัซฮับต่างๆที่มีผลประโยชน์ต่ออาจการปกครองของพวกเขามาอุปถัมภ์อยู่เคียงข้างบัลลังค์ของพวกเขาทุกยุค เช่น

กาหลิบมะอ์มูน อับบาซี่ได้เอาพวกมุอ์ตะซิละฮ์และพวกชีอะฮ์มาต่อต้านโจมตีอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ และแม่แต่อัลมุอ์ตะซิมกับอัลาษิกก็เดินเกมการเมืองนี้เช่นกันหลังจากมะอ์มูน

ที่อันดาลุส ประเทศสเปน พวกอุมัยยะฮ์ตั้งอัลหะกัม บินฮิชามเป็นอมีรุลอันดาลุส มีหน้าที่ออกฟัตวาและพิพากษาคดีตามมัซอับมาลิกี

ยุคที่พวกมะมาลีก
ขึ้นมาเรื่องอำนาจ พวกเขาก็อาศัยผลประโยชน์ทางการเมืองจากอิบนุตัยมียะฮ์และกลุ่มของเขาในการโจมตีมุสลิมแนวคิดกลุ่มอื่นๆ  และอิบนุตัยมียะฮ์และกลุ่มของเขาก็ได้ใช้อำนาจที่ผู้ปกครองให้นี้มาทำลายพวกชีอะฮ์ในซีเรีย
ต่อมาเมื่อแผนของพวกมะมาลีกล้มเหลว พวกเขาก็หันมาทำลายล้างอิบนุตัยมียะฮ์และคนกลุ่มนี้

เฉกเช่นยุคปัจจุบันที่พวกราชวงศ์ซาอู๊ด ผู้ปกครองประเทศซาอุดิอารเบียที่ได้รับผลประโยชน์ทางการเมืองจากคนกลุ่มวาฮาบียะฮ์ในการค้ำชูบัลลังค์อำนาจของพวกเขาเอาไว้ทั้งในประเทศและนอกประเทศ

ยุคที่เศาะลาหุดดีน อัลอัยยูบี
สามารถโค่นล้มราชวงศ์ฟาตีมียะฮ์ที่อียิปต์ได้สำเร็จ เขาก็กำหนดมัซฮับชาฟิอีและอะชาอิเราะฮ์ขึ้นเป็นทางการ และลงโทษพวกชีอะฮ์อย่างรุนแรงเช่น เนรเทศ และประหารชีวิต เหมือนที่พวกมะมาลีกและพวกออตโตมานก่อนหน้านี้ทำมาแล้ว โดยมีมาตรฐานที่อยู่ที่ว่า มุสลิมคนใดมีอะกีดะฮ์ไม่ตรงกับซุนนี่ มีโทษสถานเดียวคือตาย.
  •  

L-umar

ตอน  25  


ก่อนหน้าที่คำว่า   " อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ "  จะปรากฏในสังคมมุสลิมนั้น

พวกผู้ปกครองในราชวงศ์อุมัยยะฮ์ได้ใช้ประโยชน์จากกลุ่มมุรญิอะฮ์และกลุ่มญับรียะฮ์ ในการปิดประตูทางความคิดของประชาชนเรื่องผู้นำที่ถูกต้องตามหลักการอิสลามมาแล้ว
เพราะตอนนั้นประชาชนกำลังพิจารณาระหว่าง อะฮ์ลุลบัยต์นบีและชีอะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยต์  กับพวกราชวงศ์อุมัยยะฮ์ และพวกเคาะวาริจญ์ที่ตั้งตนเป็นศัตรูต่อทั้งสองฝ่าย
มุรญิอะฮ์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อมอมเมาประชาชนยุคนั้นให้มองความขัดแย้งทางการเมืองการปกครองระหว่างตระกูลอุมัยยะฮ์กับตระกูลอะละวี(ลูกหลานของท่านอะลี)เป็นเรื่องที่ต้องมอบหมายให้อัลลอฮ์เป็นผู้ตัดสินชะตาชีวิตเอง เพราะฉะนั้นประชาชนที่มีความคิดแบบมุรญิอะฮ์จึงไม่ลุกขึ้นต่อสู้หรือให้ความช่วยเหลือฝ่ายชีอะฮ์หรือฝ่ายเคาะวาริจญ์ทั้งทางกองทหารหรือทางการเมืองทำให้พวกตระกุลอุมัยยะฮ์เบามือลงไป


เพราะพวกมุรญิอะฮ์ถือว่า

บุคคลใดกล่าวว่า ลาอิลาฮะ อิลัลเลาะฮ์ เขาคนนั้นเป็นมุอ์มิน อีหม่านคือความเชื่อไม่ใช้การปฏิบัติ ไม่ใช่อิบาดัตที่ต้องทำ ดังนั้นเมื่อมุอาวียะฮ์ก็มีกะลิมะฮ์ ท่านอะลีก็มีกะลิมะฮ์ ทั้งสองเป็นมุอ์มิน เมื่อมุอ์มินกับมุอ์มินรบกันพวกเขาจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พวกเขามุ่งหวังให้อัลเลาะฮ์เป็นผู้จัดการเรื่องนี้เอง


ส่วนพวกญับรียะฮ์

ก็มีแนวคิดปฏิเสธซิฟัตต่างๆของอัลเลาะฮ์ และยืนยันรับรองไว้แค่สองซิฟัตเท่านั้นคือ ซิฟะตุลฟิ๊อฺลิกับซิฟะตุลค็อลกิ(إثبات صفتي الفعل والخلق)ด้วยพื้นฐานความคิดแบบนี้ พวกญับรียะฮ์จึงถือว่าไม่ถูกต้องที่จะไปอธิบายบรรดามัคลูกของอัลเลาะฮ์ ด้วยสองซิฟัตดังกล่าวมา  ดังนั้นมนุษย์จึงไม่มีทางเลือกอิสระที่จะทำหรือไม่ทำด้วยตัวเอง จึงกลายเป็นว่ามนุษย์ถูกบังคับถูกคอนโทรลในการกระทำของพวกเขา




ความคิดของ พวกญับรียะฮ์จึงนำมารับใช้พวกผู้ปกครองได้เป็นอย่างดี  เพราะคนกลุ่มนี้ก็จะปฏิเสธความรับชอบการกระทำหรือความผิดของตัวพวกเขาเอง  ตราบใดที่พวกเขามีอะกีดะฮ์ว่า พวกเขาถูกบังคับให้เดินอย่างไร้ทางเลือกไร้อิสระ
  •  

L-umar


ตอน  26

อะฮ์ลุสสุนนะฮ์เอามาอะไรมาวัดว่า  พวกเขาคือมัซฮับที่ถูกต้อง

 

เราจำเป็นต้องวิเคราะห์เจาะหาสาเหตุว่า ทำไมอะฮ์ลุสสุนนะฮ์หรือพวกซุนนี่จึงกล่าวว่า หลักศรัทาของตนเองถูกและหลักศรัทธาที่ตรงข้ามกับพวกเขานั้นผิด


ทำไมซุนนี่จึงคิดว่า พวกตนคือกลุ่มรอดปลอดภัย  (الفرقة الناجية) ตามความนึกคิดของพวกซุนนี่เพียงฝ่ายเดียว
อะฮ์ลุสสุนนะฮ์จะประณามกลุ่มอื่นๆว่าเป็น พวกบิดอะฮ์ พวกเฎาะลาละฮ์



อัลบัฆดาดี นักวิชาการซุนนี่กล่าวว่า

สิ่งที่ถูกต้องตามทัศนะของเรา(ทัศนะของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์)กล่าวคือ แท้จริงอุมมัตอิสลาม จะมีมติยืนยันตรงกันในเรื่อง  โลกคือสิ่งที่อุบัติใหม่  ผู้สร้างโลกมีเพียงองค์เดียว  พระองค์มีมาแต่เดิม  เรื่องซิฟัตของพระองค์  ความยุติธรรมของพระองค์  ฮิกมะฮ์ของพระองค์ ปฏิเสธการเปรียบความเหมือนออกไปจากพระองค์  เรื่องนุบูวะฮ์ของมุฮัมมัด(ศ)  เรื่องสาส์นของเขาที่มีไปยังประชาชาติทั้งหลาย การให้การสนับสนุนรับรองชะรีอะฮ์ของเขา  ทุกสิ่งที่เขานำมานั้นคือสัจธรรม  แท้จริงคัมภีร์กุรอ่านคือต้นกำเนิดของอะห์กามชะรีอะฮ์  แท้จริงกะอ์บะฮ์คือกิบลัตที่จำเป็นต้องนมาซหันหน้าไปยังมัน  ดังนั้นทุกคนที่ยืนยันต่อสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด และไม่นำมันไปเปรียบกับสิ่งทีเป็นบิดอะฮ์(อุตริกรรม)อันส่งผลไปสู่การกุฟร์(ไร้ศรัทธา)  เพราะฉะนั้นเขาคนนั้นก็คือชาวซุนนี่ มุวะห์ฮิด

อ้างอิงจากหนังสือ

อัลฟิร็อก บัยนัลฟิร็อก บาบุษ-ษานี อัลฟัศลุลเอาวัล  

โลดหนังสือเล่มนี้ได้ที่เวป

http://majles.alukah.net/showthread.php?t=8287


จากคำพูดของอัลบัฆดาดีข้างต้น ซุนนี่คิดว่าตนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นหรือที่เชื่อเช่นนั้น


สาเหตุหลักคือ  " หะดีษ หรือ ริวายะฮ์ "    พวกซุนนี่ได้ยึดรายงานของพวกเขาฝ่ายเดียวเป็นหลักเกณฑ์และกำหนดเป็นพื้นฐานความเชื่อเอามาฮุก่มมุสลิมกลุ่มอื่นๆว่า ผิด



ต่อมาซุนนี่ก็เริ่มอุปโลกน์สร้างทฤษฎีต่างๆดังต่อไปนี้เช่น
 
-   เศาะหาบะฮ์ทุกคนเป็นคนดีมีคุณธรรม(อะดาละฮ์ เศาะหาบะฮ์)
-   ทฤษฎีที่ว่าจำเป็นต้องเชื่อฟังผู้ปกครอง
-   ทฤษฎีที่ต้องยกย่องบรรดาผู้ปกครอง
-   ความเชื่อที่ว่า อัลเลาะฮ์มีการเสด็จขึ้น เสด็จลง มีหัวเราะและอื่นๆอันเป็นเรื่องราวที่ได้มาจากหะดีษต่างๆ


ผลลัพท์ของอะกีดะฮ์ที่ซุนนี่สร้างขึ้นมาจากหะดีษเหล่านั้นก็คือ  อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ถือว่า ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับอะกีดะฮ์ของซุนนี่  ถือว่าเขาคือฝ่ายค้านของซุนนี่


อะฮ์ลุสสุนนะฮ์อาศัยอำนาจการสนับสนุนที่ฝ่ายผู้ปกครองมอบให้ ยัดเหยียดอะกีดะฮ์ของตนให้ประชาชนยอมรับ และนักการศาสนาซุนนี่ประณามมุสลิมกลุ่มอื่นว่าผิดหมดเช่น

มุรญิอะฮ์  /  ก็อดรียะฮ์  /  มุอ์ตะซิละฮ์ /  ญะฮ์มียะฮ์ / ชีอะฮ์ และมุสลิมกลุ่มอื่นๆอีกมากมาย

ปัจจบันพวกอุละมาอ์วาฮาบี  ที่รับใช้ผู้ปกครองประเทศซาอุดิอารเบีย ถึงกับออกมาประกาศว่า  พวกอะชาอิเราะฮ์และมาตูริดียะฮ์ ไม่ใช่ อะฮ์ลุสสุนนะฮ์   ทั้งๆที่ทั้งสองกลุ่มคือซุนนี่

قال الشيخ ابن عثيمين في شرحه لـ ((الواسطية)) (1/53): ((عُلِمَ من كلام المؤلف رحمه الله أنه لا يدخل فيهم من خالفهم في طريقتهم، فالأشاعرة مثلاً والماتريدية لا يُعَدُّون من أهل السنة والجماعة
لأنهم مخالفون لما كان عليه النبي - صلى الله عليه وسلم - وأصحابه في إجراء صفات الله سبحانه وتعالى على حقيقتها،
لهذا يخطئ من يقول: إن أهل السنة والجماعة ثلاثة: سلفيُّون، وأشعريُّون، وماتريديُّون، فهذا خطأ؛ نقول: كيف يكون الجميع أهل سنة وهم مختلفون؟!
شرح العقيدة الواسطية   لِمُحمد بن صالح العثيمين   ج 1 ص 25

เชคอิบนุอุษัยมีนกล่าวไว้ในหนังสือชัรฮุลอะกีดะติลวาซิฏียะฮ์ของเขาเล่ม 1 หน้า 25 ว่า :   จึงเข้าใจได้จากคำพูดของผู้เขียน(คือท่านอิบนุตัยมียะฮ์) ว่าไม่ได้เข้าอยู่ร่วมในพวกเขา ผู้ที่ขัดแย้งกับพวกเขาในแนวทางของพวกเขาเช่น อะชาอิเราะฮ์และมาตูรีดียะฮ์ ทั้งสองไม่ถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
เพราะพวกเขา(อะชาอิเราะฮ์และมาตูรีดียะฮ์) มีความเชื่อขัดแย้งกับสิ่งที่ท่านนบีและบรรดาเศาะหาบะฮ์กล่าวไว้ในรายละเอียดเรื่องซิฟาตุลเลาะฮ์บนฮะกีกัตของมัน
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นความผิดพลาดของผู้ที่พูดว่า แท้จริงของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์นั้นมีสามกลุ่มคือ สะละฟีย์  อะชาอิเราะฮ์ และมาตูรีดียะฮ์  คำกล่าวเช่นนี้ถือว่าผิด
เราขอกล่าวว่า ทั้งสามกลุ่มนั้นจะเป็นอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้อย่างไรในเมื่อพวกเขามีความเชื่อขัดแย้งกัน ?
หนังสือชัรฮุลอะกีดะติลวาซิฏียะฮ์ โดยเชคอิบนุอุษัยมีน เล่ม 1หน้า 25

อัลลามะฮ์มุหัมมัด บินศอและห์ อัลอุษัยมีน เกิด 1347 มรณะ 1421 ฮ.ศ. รวมอายุ 74 ปี
http://www.ibnothaimeen.com/all/Shaikh.shtml

อัลลามะฮ์มุหัมมัด บินศอและห์ อัลอุษัยมีนนักปราชญ์ผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูงแห่งประเทศซาอุดิอารเบียได้ประกาศชัดว่า :
มัซฮับอะชาอิเราะฮ์และมาตูรีดียะฮ์  ไม่ใช่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  
เพราะ อะกีดะฮ์ของอะชาอิเราะฮ์ขัดแย้งกับท่านนบีมุหัมมัดและเศาะหาบะฮ์.
ส่วนพวกอะชาอิเราะฮ์ ก็พยายามปกป้องตนเองว่า เขานั่นแหล่ะคืออะฮ์ลุสสุนนะฮ์ที่แท้จริง ส่วนวาฮาบีนั้นไม่ใช่

พวกอะชาอิเราะฮ์เองก็ต่อต้านพวกวาฮาบีแบบสุดๆ  ซ฿งท่านสามารถอ่านบทความดจมตีของฝ่ายอะชาอิเราะฮ์ได้ที่เวป


http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?action=printpage;topic=3911.0

 

ยิ่งกว่านั้นนักการศาสนาฝ่ายซุนนี่บางคนที่มีอาการขั้นโคม่า มีความตะอัซซุบและฆุล๊าตหนักเกินความพอดียังกล่าวเกินหะดีษโดยฟันะงฮุก่มมุสลิมกลุ่มอื่นๆว่า เป็น " กาเฟ็ร "


หากท่านอยากรู้ว่า ซุนนี่มีนิสัยชอบฮุก่มมุสลิมกลุ่มอื่นๆอย่างไร ก็ต้องลองไปอ่านหนังสืออะกีดะฮ์ของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้จากหนังสือดังต่อไปนี้

อัลอะกีดะฮ์ อัต-ต่อฮาวียะฮ์ (  العقيدة الطحاوية)
ดูเวป
http://www.al-eman.com/islamlib/viewchp.asp?BID=133&CID=1

อะกีดะฮ์ อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ ของอิหม่ามอิบนิฮัมบัล (عقيدة أهل السنة لابن حنبل )

อัลอะกีดะฮ์ อัลวาซีตียะฮ์ ของอิบนุตัยมียะฮ์ (العقيدة الواسطية لابن تيمية )
ดูเวป
http://www.islamhouse.com/tp/27132


หนังสืออะกีดะฮ์ข้างต้นจะกล่าวว่า อะไรคือความเชื่อของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ หลังจากนั้นเจ้าของตำราก็จะประณามว่า หากใครมีอะกีดะฮ์ตรงกันข้ามกับอะกีดะฮ์ตามที่เจ้าของตำราระบุไว้  เขาคนนั้นคือพวกบิดอะฮ์ พวกเฎาะลาละฮ์ พวกกาเฟร พวกซินดีก


และนี่คือความเห็นแก่ตัวของพวกเขา ที่พูดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียวนมมานานหลายศตวรรษ แต่ถ้าหากพวกซุนนี่ค้นพบตำราจากฝ่ายอื่นที่เขียนในทำนองนี้บ้างพวกเขาก็ยิ่งหยิบเอามาโจมตี โดยพวกเขาลืมสิ่งที่ตัวเองทำมาก่อนและยังทำอยู่จนปัจจุบัน.
  •  

L-umar


ตอน  27

จากการที่อุละมาอ์ฝ่ายวาฮาบี ออกมาประกาศว่า  อะชาอิเราะฮ์  ไม่ใช่ อะฮ์ลุสสุนนะฮ์  

จึงทำให้ฝ่ายอะชาอิเราะฮ์ออกมตอบโต้ว่า     วาฮาบี  ก็ไม่ใช่   อะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ เหมือนกันถ้ามาฮุก่มพวกเขาเช่นนั้น


อ้างอิงจากเวป

http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?action=printpage;topic=3638.0



หัวข้อ    วะฮาบีย์คืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์หรือไม่ ?


(อาจารย์อัซฮะรี นักวิชาการมัซฮับอะชาอิเราะฮ์ในเมืองไทยกล่าวว่า ) :

ปราชญ์แห่งโลกอิสลามได้นำเรื่องอะกีดะฮ์มาเป็นตัวตัดสินว่า  กลุ่มใดคือกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์และกุล่มใดคือกลุ่มบิดอะฮ์  อนึ่ง  คำถามนี้ผมถือว่าไม่จำเป็นต้องตอบเพราะได้นำเสนอหลักการในกระทู้ต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว  แต่ยังมีวะฮาบีย์บางคนเร่งเร้าให้ผมตอบ  ดังนั้นผมจึงขอตอบด้วยใจเป็นธรรมและปราศจากความอคิต  ซึ่งผมจะไม่ตอบแบบเจาะจง  แต่จะบ่งถึงคุณลักษณะของผู้ที่อยู่ในแนวทางบิดอะฮ์เบี่ยงเท่านั้น  และผมก็หวังอย่างยิ่งว่าพี่น้องบางส่วนจะอยู่ในกลุ่มที่หนึ่ง  กล่าวคือ

กลุ่มวะฮาบีย์นั้นแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม :


1. กลุ่มวะฮาบียะฮ์ที่มั๊วะตะดิละฮ์


หมายถึงกลุ่มวะฮาบีย์ที่เป็นกลาง  ไม่กล่าวหาฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์แบบเหมารวมว่าเป็นกลุ่มที่บิดอะฮ์เบี่ยงเบน  ซึ่งวะฮาบีย์กลุ่มนี้ถือว่าอยู่ในแนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์โดยความหมายรวม โปรดดูกระทู้ ตัวอย่างของจุดยืนนี้ (http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=3423.0) จากกลุ่มที่หนึ่ง


2. กลุ่มวะฮาบียะฮ์ฆุลาฮ์  


หมายถึงกลุ่มวะฮาบีย์สุดโต่ง  ซึ่งกลุ่มนี้จะทำการฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อทุกแนวทางที่ไม่เหมือนกับตน  เช่น  ฮุกุ่มแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรีดียะฮ์และแนวทางอื่น ๆ ที่ต่างจากแนวทางของตนเองว่าเป็นพวกบิดอะฮ์เบี่ยงเบน  ซึ่งวะฮาบีย์กลุ่มนี้จะพรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยมีหลักการที่ตัชบีห์(พรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์คล้ายกลับมัคโลค) และมีหลักการตัจญ์ซีม(พรรณาคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์โดยเป็นรูปร่าง)  แน่นอนพวกเขาที่มีคุณลักษณะเช่นนี้ถือว่าเป็นกลุ่มบิดอะฮ์เบี่ยงเบนไม่ใช่อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ โปรดดูกระทู้ ตัวอย่างที่1  (http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=754.0) , ตัวอย่างที่2  (http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=2953.0) จากกลุ่มที่สองนี้

ดังนั้นแนวทางใดที่ฮุกุ่มตัดสินอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์ว่าบิดอะฮ์  ผู้นั้นย่อมอยู่ในแนวทางบิดอะฮ์ , ผู้ใดฮุกุ่มพวกเขากลุ่มหลง  ผู้นั้นคือผู้ที่ลุ่มหลง , และผู้ใดที่ฮุกุ่มพวกเขากาเฟร  ผู้นั้นย่อมเป็นกาเฟรกลับไปหาตัวเขา  ตามคำฟัตวาของนักปราชญ์ผู้มีคุณธรรมดังต่อไปนี้

ท่านอิมาม อะบุลมุซ็อฟฟัร  อัลอิสฟิรอยีนีย์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า  \\\"และท่านจะทราบว่า  ทุกคนที่ยอมรับด้วยกับหลักการของศาสนานี้ที่เราได้พรรณามันไว้จากหลักศรัทธาของกลุ่มที่ปลอดภัย(คือกลุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์และอัลมะตูรียะฮ์) เขาย่อมอยู่บนสัจธรรมและอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง  ดังนั้นผู้ใดที่ฮุกุ่มบิดอะฮ์ต่อเขา(ผู้อยู่แนวทางดังกล่าว)  ผู้นั้นย่อมเป็นคนบิดอะฮ์ , และผู้ใดฮุกุ่มเขาว่าลุ่มหลง  ผู้นั้นย่อมเป็นคนลุ่มหลง , และผู้ใดฮุกุ่มเขาเป็นกาเฟร  ผู้นั้นย่อมเป็นคนกาเฟรด้วย\\\"  
หนังสืออัตตับซีร ฟิดดีน หน้า 111 ของท่านอิมามอัลอัสฟิรอยีนีย์

ท่าน อิมาม อิบนุ รุชดฺ อัลมาลิกีย์ (ผู้เป็นปู่) (รอฮิมะฮุลลอฮ์) ที่ได้รับฉายานามว่า ชัยค์อัลมัซฮับ (ปรมาจารย์แห่งมัซฮับมาลิกีย์) ฟัตวาว่า \\\"ปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์เหล่านั้น ที่ท่านได้กล่าวชื่อพวกเขามา เป็นส่วนหนึ่งจากนักปราชญ์ที่เป็นแกนนำของนักปราชญ์แห่งความดีงามและอยู่ในทางนำ  และเป็นบรรดาบุคคลที่จำเป็นต้องดำเนินตามพวกเขา  เนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ยืนหยัดช่วยเหลือหลักชาริอะฮ์(บทบัญญัติแห่งอิสลาม) และทำลายสิ่งคลุมเครือต่าง ๆ ของพวกเบี่ยงเบนและลุ่มหลง  พวกเขาได้ทำให้ประเด็นปัญหาต่าง ๆ มีความคลี่คลายและชัดเจน  พวกเขายังอธิบายถึงสิ่งที่จำเป็นต้องยอมรับจากบรรดาหลักการศรัทธา  ดังนั้น  ด้วยการรอบรู้ถึงบรรดาหลักพื้นฐาน(อุซูล)ของศาสนา จึงทำให้พวกเขาเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริง  เนื่องจากพวกเขารู้ดียิ่งเกี่ยวกับอัลเลาะฮ์  ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่วายิบสำหรับพระองค์  สิ่งที่อนุญาติต่อพระองค์ และสิ่งที่(มุสตะฮีล)เป็นไปไม่ได้จากพระองค์  เพราะประเด็นนิติบัญญัติข้อปลีกย่อยจะไม่สามารถรู้ได้นอกจากต้องรู้หลักอุ ศูล(หลักศรัทธา)เสียก่อน   เพราะฉะนั้น  จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงความประเสริฐและยอมรับถึงสถานะความเป็นแกนนำ ของพวกเขา  ฉะนั้น  พวกเขาย่อมเป็นจุดมุ่งหมายของท่านร่อซูลุลเลาะฮ์ ซ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ที่ว่า  \\\"ความรู้นี้  ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา)  โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม  ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด  , (ปฏิเสธ)การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา\\\"  ดังนั้น จะไม่มีการเชื่อว่าพวกเขา(อัลอะชาอิเราะฮ์)ได้อยู่บนความลุ่มหลงและความโง่เขลา นอกจากผู้ที่เขลาเบาปัญญาหรือผู้ที่อุตริกรรมอีกทั้งเบี่ยงเบนออกจากสัจจะธรรมเท่านั้น  และคนหนึ่งจะไม่ประณามอัลอะชาอิเราะฮ์และพาดพิงกล่าวหาไปยังพวกเขาด้วยกับสิ่งที่ไม่พวกเขาไม่ได้ยึดถืออยู่  นอกจาก(คนกล่าวหานั้น)เขาคือคนชั่ว  แท้จริงอัลเลาะฮ์ อัซซะวะญัลล่า ทรงตรัสว่า \\\"บรรดาบุคคลที่สร้างความเดือนร้อนแก่บรรดาผู้ศรัทธาชายและบรรดาผู้ศรัทธา หญิง  ด้วยกับสิ่งที่พวกเขาไม่ได้พากเพียรไว้  แน่นอน พวกเขาย่อมแบกรับความมุสาและบาปอันชัดแจ้ง\\\" ฟะตาวา อิบนุ รุชด์ เล่ม 2 หน้า 802  ตีพิมพ์ ดารุลฆ่อร่อบิลอิสลามีย์ เบรุต ฮ.ศ. 1407

ท่านชัยคุลิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ตอบฟัตวาความว่า \\\"บรรดาปวงปราชญ์(อัลอะชาอิเราะฮ์)เหล่านั้น  มิได้เป็นเฉกเช่นที่ผู้ที่แหวกแนวทาง  ออกนอกหลักศาสนา  คาดเดา  ลุ่มหลง  เลยเถิด  โง่เขลา  และเอนเอียงออกจากสัจธรรมเลย  ยิ่งกว่านั้น  พวกเขาเป็นนักปราชญ์แห่งศาสนา  เป็นนักปราชญ์มุสลิมีนที่ยิ่งใหญ่  ดังนั้น  จึงจำเป็นต้องเจริญรอยตาม  เนื่องจากพวกเขาได้ยืนหยัดช่วยเหลือชะรีอะฮ์ (อิสลาม) และแจกแจงบรรดาข้อสงสัยต่าง ๆ  และทำการโต้ตอบความคลุมเครือจากพวกที่เบี่ยงเบน  และทำการชี้แจงสิ่งที่จำเป็นของหลักความเชื่อ(เอี๊ยะติก๊อต)และหลักการต่าง ๆ ของศาสนา  เนื่องจากพวกเขามีความรู้เกี่ยวกับอัลเลาะฮ์  ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพระองค์  สิ่งที่มุสตะฮีล(เป็นไปไม่ได้)ต่อพระองค์  และสิ่งที่อนุญาตในสิทธิของพระองค์  และจะไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมายได้นอกจากรู้จักถึงหลักศรัทธาพื้นฐานเสีย ก่อน  และจำเป็นต้องยอมรับถึงความประเสริฐของบรรดานักปราชญ์ที่ถูกกล่าวมาข้างต้น และนักปราชญ์ก่อนหน้าพวกเขาด้วย  และพวกเขาก็คือกลุ่มเป้าหมายจากคำกล่าวของท่านร่อซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม  ได้กล่าวว่า \\\"ความรู้นี้  ได้แบกรับจากทุก ๆ ผู้สืบทอด(ต่อ ๆ กันมา)  โดยบรรดาผู้ทรงคุณธรรม  ซึ่งพวกเขาจะทำการปฏิเสธจากการบิดเบือนของผู้ที่เลยเถิด  , การประกาศศาสนาของบรรดาผู้ที่อธรรม และจากการตีความของบรรดาบุคคลโง่เขลา\\\"  ดังนั้นจะไม่กล่าวหาว่าอัลอะชาอิเราะฮ์ลุ่มหลงนอกจากผู้ที่โฉดเขลาหรือผู้ทำบิดอะฮ์ ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรม  ดังนั้น  จึงจำเป็นให้คนไม่รู้ได้ประจักษ์ถึงพวกเขา  คนชั่วต้องถูกลงโทษ  ผู้บิดอะฮ์ที่เบี่ยงเบนจากสัจธรรมที่กระทำมักง่ายด้วยบิดอะฮ์ต้องถูกใช้ให้ เตาบะฮ์\\\" อัลฟะตาวา อัลฮะดีษียะฮ์ อัลกุบรอ หน้า 227  ตีพิมพ์ เอี๊ยะห์อุษตุร๊อษ เบรุต  

ท่านชัยค์  อะบุล  หะซัน  อัลนัดวีย์  ได้กล่าวถึงแนวทางอัลอะชาอิเราะฮ์  ความว่า  \\\"ทั่วทุกมุมโลกอิสลาม  ต้องน้อมรับให้กับวิชาความรู้และและความสำเร็จของปวงปราชญ์อัลอะชาอิเราะฮ์...และด้วยความประเสริฐของพวกเขาเหล่านั้น  ทำให้แกนนำเชิงแนวคิดแห่งโลกอิสลามมีการขับเคลื่อน  และสามารถชี้นำกลุ่มมั๊วะตะซิละฮ์ให้กลับไปสู่แนวทางของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์\\\"  หนังสือ ริญาลุล ฟิกร์วัดดะอฺวะฮ์ ฟีลอิสลาม หน้า 137 ของท่านอะบุลฮะซัน อัลนัดวีย์

ดังนั้น  ผม(อัซฮะรี)จึงอยากจะสรุปให้พี่น้องทราบว่า  วะฮาบีย์ที่ฮุกุ่มอะฮ์ลิสซุนนะฮ์อัลอะชาอิเราะฮ์บิดอะฮ์  ผู้นั้นแหละอยู่ในแนวทางบิดอะฮ์  ตามที่บรรดาปราชญ์ผู้มีคุณธรรมได้ฟัตวาเอาไว้นั่นเอง  ส่วนกลุ่มพี่น้องวะฮาบีย์ที่มั๊วะตะดิ้ลเป็นกลาง  พวกเขาคืออะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ถึงหากแม้นว่าบางประเด็นที่ต่างกันแต่เราไม่ฮุกุ่มว่าเป็นแนวทางบิดอะฮ์หรือฮุกุ่มกาเฟรต่อกัน  นี่คือเอกลักษ์ของแนวทางอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์


เมื่อท่านอ่านแล้ว จึงสรุปความได้ว่า

หากฝ่ายวาฮาบีย์หุกุ่มว่า    อะชาอิเราะฮ์ไม่ใช่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์

ฝ่ายอะชาอิเราะฮ์จึงถือว่า   วาฮาบีย์ก็ไม่ใช่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์


น่าแปลกทั้งๆที่คำอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เป็นชื่อบิดอะฮ์ไม่มีในกิตาบและสุนนะฮ์
 แต่ทั้งสองกลุ่มก็พยายามแย่งชิงความเป็นผู้นำกลุ่มชื่อบิดอะฮ์  ?
  •  

L-umar


ตอน 28


ต่อไปนี้เราจะกล่าวถึงหะดีษต่างๆที่ชาวอะฮ์ลุสสุนนะฮ์
ได้นำมาใช้เป็นอาวุธทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม


หรืออาศัยหะดีษเหล่านี้ประณามกลุ่มอื่นๆว่า  
หลงทาง - เฎาะลาละฮ์  / นอกรีต – ซินดีก / ตกเป็นผู้ไร้ศรัทธา - กุฟร์  ตามหลักการศาสนาของพวกเขา



หะดีษที่ 1

حَدَّثَنَا وَاصِلُ بْنُ عَبْدِ الأَعْلَى الْكُوفِىُّ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ فُضَيْلٍ عَنِ الْقَاسِمِ بْنِ حَبِيبٍ وَعَلِىِّ بْنِ نِزَارٍ عَنْ نِزَارٍ عَنْ عِكْرِمَةَ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « صِنْفَانِ مِنْ أُمَّتِى لَيْسَ لَهُمَا فِى الإِسْلاَمِ نَصِيبٌ الْمُرْجِئَةُ وَالْقَدَرِيَّةُ »
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า มีคนสองประเภทจากอุมมัตของฉัน ซึ่งสำหรับพวกเขาไม่ได้ส่วนใดๆเลยในอิสลามนั่นคือ  พวกมุรญิอะฮ์และพวกก็อดรียะฮ์

สุนัน ติรมิซี หะดีษที่ 2301
เชคอัลบานี กล่าวว่า : สะนัด ดออีฟ  ดูหนังสือ ดออีฟุต-ติรมิซี หะดีษที่ 380

حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ إِسْمَاعِيلَ الرَّازِىُّ أَنْبَأَنَا يُونُسُ بْنُ مُحَمَّدٍ حَدَّثَنَا عَبْدُ اللَّهِ بْنُ مُحَمَّدٍ اللَّيْثِىُّ حَدَّثَنَا نِزَارُ بْنُ حَيَّانَ عَنْ عِكْرِمَةَ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ وَعَنْ جَابِرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ قَالاَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « صِنْفَانِ مِنْ أُمَّتِى لَيْسَ لَهُمَا فِى الإِسْلاَمِ نَصِيبٌ أَهْلُ الإِرْجَاءِ وَأَهْلُ الْقَدَرِ ».
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า มีคนสองประเภทจากอุมมัตของฉัน ซึ่งสำหรับพวกเขาไม่ได้ส่วนใดๆเลยในอิสลามนั่นคือ  พวกมุรญิอะฮ์และพวกก็อดรียะฮ์

สุนัน อิบนิมาญะฮ์ หะดีษที่ 77
เชคอัลบานี กล่าวว่า : สะนัด ดออีฟ  ดูหนังสือ ดออีฟ อิบนิมาญะฮ์  หะดีษที่ 72


ประวัติศาสตร์อิสลามกล่าวว่า  บุคคลสองกลุ่มปรากฏขึ้นในช่วงปลายการปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ์
  •  

L-umar


ตอน 29


หะดีษที่ 2

51 - حَدَّثَنَا دَاوُدُ بْنُ سُلَيْمَانَ الْعَسْكَرِىُّ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ عَلِىٍّ أَبُو هَاشِمٍ بْنُ أَبِى خِدَاشٍ الْمَوْصِلِىُّ قَالَ حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ مِحْصَنٍ عَنْ إِبْرَاهِيمَ بْنِ أَبِى عَبْلَةَ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ الدَّيْلَمِىِّ عَنْ حُذَيْفَةَ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « لاَ يَقْبَلُ اللَّهُ لِصَاحِبِ بِدْعَةٍ صَوْمًا وَلاَ صَلاَةً وَلاَ صَدَقَةً وَلاَ حَجًّا وَلاَ عُمْرَةً وَلاَ جِهَادًا وَلاَ صَرْفًا وَلاَ عَدْلاً يَخْرُجُ مِنَ الإِسْلاَمِ كَمَا تَخْرُجُ الشَّعَرَةُ مِنَ الْعَجِينِ ».

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  อัลเลาะฮ์จะไม่รับ(อิบาดัต)ของพวกทำบิดอะฮ์ ไม่ว่าจะเป็นการถือศีลอด การนมาซ การจ่ายทานซอดะเกาะฮ์ การทำหัจญ์  การทำอุมเราะฮ์ การทำญิฮ๊าด การเตาบัตหรือการฟิดยะฮ์...

สุนัน อิบนิมาญะฮ์ หะดีษที่ 51
เชคอัลบานี กล่าวว่า : สะนัด ดออีฟ  ดูหนังสือ ดออีฟ อิบนิมาญะฮ์  หะดีษที่ 48

เพราะฉะนั้นอะฮ์ลุสสุนนะฮ์จึงมักเรียกมุสลิมฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขาว่า " อะฮ์ลุลบิดอะฮ์ "


หะดีษที่ 3

97 - حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ الْمُصَفَّى الْحِمْصِىُّ حَدَّثَنَا بَقِيَّةُ بْنُ الْوَلِيدِ عَنِ الأَوْزَاعِىِّ عَنِ ابْنِ جُرَيْجٍ عَنْ أَبِى الزُّبَيْرِ عَنْ جَابِرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « إِنَّ مَجُوسَ هَذِهِ الأُمَّةِ الْمُكَذِّبُونَ بِأَقْدَارِ اللَّهِ إِنْ مَرِضُوا فَلاَ تَعُودُوهُمْ وَإِنْ مَاتُوا فَلاَ تَشْهَدُوهُمْ وَإِنْ لَقِيتُمُوهُمْ فَلاَ تُسَلِّمُوا عَلَيْهِمْ ».

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  แท้จริงพวกมะญูซีแห่งประชาชาตินี้คือ พวกที่ปฏิเสธต่อการเกาะดัรต่างๆของอัลเลาะฮ์    หากพวกเขาเจ็บป่วย  พวกเจ้าจงอย่าไปเยี่ยมพวกเขา  หากพวกเขาตาย พวกเจ้าจงอย่าเดินไปร่วม(งานศพของ)พวกเขา และหากพวกเจ้าพบเจอพวกเขา ก็จงอย่างให้สลามพวกเขา

สุนัน อิบนิมาญะฮ์ หะดีษที่ 97
เชคอัลบานี กล่าวว่า : สะนัด ฮะซัน(ดี)  ดูหนังสือ ดออีฟ อิบนิมาญะฮ์  หะดีษที่ 89



อะฮ์ลุสสุนนะฮ์จะถือว่า หะดีษต่างๆในตำราหะดีษฝ่ายของเขาที่รายงานบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องอีหม่านความศรัทธาคือ หะดีษที่ปฏิเสธต่อแนวความคิดของมุรญิอะฮ์ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้หะดีษนั้นมาต่อต้านพวกมุรญิอะฮ์


ท่านสามารถตรวจดูว่า คำพูดนี่จริงเท็จแค่ไหนได้ที่ " กิตาบุลอีหม่าน - บทว่าด้วยเรื่องความเชื่อความศรัทธา " ในหนังสือเศาะหิ๊หฺมุสลิมที่อันนะวาวีทำการอธิบายหรือหนังสือฟัตฮุลบารีที่อธิบายเศาะหิ๊หฺบุคอรี.
  •  

L-umar


ตอน 30

เช่นเดียวกันกับกรณีมีหะดีษต่างๆในตำราเศาะหิ๊หฺบุคอรี เศาะหิ๊หฺมุสลิมและตำราหะดีษของฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ที่รายงานบอกเล่าถึงความประเสริฐของเศาะบะฮ์ ( فضائل الصحابة )  พวกเขาก็จะนำเอาประเด็นนี้มาตำหนิโจมตีใส่ร้ายพวกชีอะฮ์


และชาวอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ก็ได้หยิบยกหะดีษของพวกเขาที่รายงานไว้โดยเฉพาะเกี่ยวกับการลงโทษในสุสานกับพวกที่ใช้ทัศนะความคิดและใช้สติปัญญา มาโจมตีต่อต้านพวกมุอ์ตะซิละฮ์ พวกนักปรัชญามุสลิมและพวกปัญญาชนมุสลิม


ซึ่งท่านสามารถไปตรวจสอบได้ที่หนังสือดังต่อไปนี้

สุนันอิบนิมาญะฮ์ บทว่าด้วยเรื่องให้ออกห่างจากการใช้ทัศนะความคิดและการกิยาส อนุมานเปรียเทียบ (باب اجتناب الرأي والقياس) หรือบทที่ว่าด้วยการปฏิเสธพวกญะฮ์มียะฮ์(باب فيما أنكرت الجهمية)

หนังสือ นักฎิล มันติก(ข้อแย้งเรื่องตรรกะ)ของอิบนุตัยมียะฮ์(نقض المنطق)
หนังสือ ดัรอุ ตะอารุฎิลอักลิ วันนักลิ ของอิบนุตัยมียะฮ์(درء تعارض العقل والنقل)
หนังสือ ตัลบีส อิบลีส ของอิบนุลเญาซี (تلبيس إبليس)
หนังสือ อัลอิอ์ติศอม ของอัชชาติบี (الاعتصام للشاطبي)
หนังสือ อัลอิอ์ติกอดของอัลบัยฮะกี (الاعتقاد للبيهقي)



หรือหนังสืออะกีดะฮ์ต่างๆตามแนวทางของชาวอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ที่เรียบเรียงขึ้นมาเพื่อโจมตีใส่ร้ายมัซฮับอื่นๆอย่างเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว  ทั้งนี้เพราะส่วนมากผู้ปกครองรัฐให้การสนับสนุนฝ่ายอะฮ์ลุสสุนะฮ์แนวทางแห่งผลประโยชน์ของรัฐ


ในขณะที่มัซฮับอื่นๆไร้ผลประโยชน์ต่อรัฐ จึงไม่มีสิทธิมีเสียงออกมาแถลงการณ์ตอบโต้คำครหาของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ดังนั้นพวกอะฮ์ลุสสุนนะฮ์จึงมีภาพในเชิงได้เปรียบกลุ่มอื่นๆมาโดยตลอด.
  •  

97 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้