Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 08:53:53 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,698
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 13
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 36
Total: 36

วิจัย ศาสนา วาฮาบี ยะฮูดีกับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด

เริ่มโดย L-umar, กันยายน 23, 2009, 11:23:02 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


วิจัยเรื่อง ศาสนาวาฮาบี ยะฮูดี กับความญาเฮ้ล เรื่องเตาฮีด


เตาฮีด
คือความเชื่อและศรัทธาว่า อัลลอฮ์มีอยู่จริง และเป็นพระเจ้าที่แท้จริงเพียงองค์เดียวเท่านั้น

ชิรีก  
คือการสักการะบูชา(อิบาดะฮ์)ต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮ์


สารัตถะอิสลามที่แท้จริงประการแรกคือ  การกล่าวว่า

"ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ  และมุฮัมมัด(ศ)เป็นศาสนทูตของพระองค์"




พวกวาฮาบี

คือผลพวงที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์และท่านอิบนุอับดุลวะฮาบได้โปรยหว่านเมล็ดพันธ์แห่งความเข้าใจผิดในเรื่องเตาฮีดและชิรีกเอาไว้ ซึ่งเป็นอะกีดะฮ์ที่ไม่ตรงต่อสิ่งที่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้นำมา  

แต่อะกีดะฮ์วาฮาบีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม  โดยที่บรรดามุสลิมหาได้รู้ถึงอันตรายของวาฮาบี

เพราะพวกวาฮาบีได้ใส่ร้ายป้ายสีพี่น้องมุสลิมว่า พวกเขาทำชิรีกตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ และในที่สุดก็ทำการตักฟีรพี่น้องมุสลิม (คือฮุก่มว่าเขาตกเป็นกาเฟ็ร)  

ด้วยเหตุนี้เราจำเป็นต้องมาตรวจสอบเตาฮีดของวาฮาบีให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้คำอธิบายว่า  เตาฮีดของพวกวาฮาบีนั้นผิดอย่างไร


เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นมีที่มาจาก ท่านอิบนุตัยมียะฮ์มีความเข้าใจอย่างผิวเผินต่อความหมายของเตาฮีด ไม่ตรงตามที่ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ) ได้นำมาสอนสั่งมนุษยชาติ

จึงเป็นเหตุทำให้พี่น้องมุสลิมบางส่วนทั้งในดินแดนอาหรับและทั่วโลกพลอยเข้าใจเรื่องเตาฮีดผิดไปกับอิบนุตัยมียะฮ์ด้วย
และจากเข้าใจผิดในเรื่องเตาฮีดนี้ ได้แปรรูปเกิดเป็นขบวนการก่อการร้ายสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วโลก เช่น  การสังหาร หลั่งเลือดพี่น้องมุสลิมด้วยกัน  การระเบิดมัสญิดที่เกิดขึ้นในประเทศอิรัก  ปากีสถานจากฝีมือของพวกที่เชื่อถือตามอะกีดะฮ์ของอิบนุตัยมียะฮ์
โดยที่ผู้คนเหล่านั้นหาได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาค้นคว้า ตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด

ท่านจะสังเกตเห็นได้ว่า  อุปนิสัยทรามของวาฮาบีคือ

1.   ชอบกล่าวหาผู้อื่นว่า  ทำชิรีก ( ตัชรี๊ก - تشريك )
2.   ชอบด่วนตัดสินผู้อื่นว่า เป็นกาเฟ็ร ( ตักฟีร -تكفير )


อิสลามได้ย้ำถึงอันตรายของการตักฟีร(ฮุก่มคนอื่นเป็นกาเฟ็ร) อย่างมาก  

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَلاَ تَقُولُواْ لِمَنْ أَلْقَى إِلَيْكُمُ السَّلاَمَ لَسْتَ مُؤْمِنًا

พวกเจ้าจงอย่ากล่าวแก่ผู้ให้สะลามยังพวกเจ้าว่า  ท่านไม่ใช่ผู้ศรัทธา


(บทที่ 4 : 94 )


โองการนี้ได้ห้าม ตัดสินผู้ที่ให้สลามแก่เรามุสลิมว่า เป็นกาเฟ็ร

แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า กับผู้ที่กล่าวถ้อยคำเตาฮีด หรือปฏิญาณตนว่า

" ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ  และมุฮัมมัด(ศ)เป็นศาสนทูตของพระองค์ "

ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดต่อไป
  •  

L-umar


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

مَنْ مَاتَ وَهُوَ يَعْلَمُ أَنَّهُ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ دَخَلَ الْجَنَّةَ

ผู้ใดเสียชีวิต ในขณะที่เขารู้ดีว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์   เขาจะได้เข้าสวรรค์


เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 145


ที่ยิ่งกวานั้น ชาวอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ยังได้รายงานว่า อีหม่านจะให้คุณกับบ่าวคนหนึ่ง แม้ว่าบ่าวคนนั้นทำซีนา หรือลักขโมย


ท่านอบูษัรเล่าว่า

قَالَ أَتَيْتُ النَّبِىَّ - صلى الله عليه وسلم - وَعَلَيْهِ ثَوْبٌ أَبْيَضُ وَهْوَ نَائِمٌ ، ثُمَّ أَتَيْتُهُ وَقَدِ اسْتَيْقَظَ فَقَالَ « مَا مِنْ عَبْدٍ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ . ثُمَّ مَاتَ عَلَى ذَلِكَ ، إِلاَّ دَخَلَ الْجَنَّةَ » . قُلْتُ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ قَالَ « وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ » . قُلْتُ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ قَالَ « وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ » . قُلْتُ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ قَالَ « وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ عَلَى رَغْمِ أَنْفِ أَبِى ذَرٍّ » .

ฉันเข้ามาหาท่านนบี(ศ) บนท่านมีเสื้อผ้าสีขาว ขณะที่ท่านนอนอยู่ จากนั้นฉันได้เข้ามาหาท่านและท่านได้ตื่น  ท่านกล่าวว่า
ไม่มีบ่าวคนใดที่กล่าวว่า  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  จากนั้นเขาก็ตายบนสิ่งนั้น เว้นแต่เขาจะได้เข้าสวรรค์
อบูษัรกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยกระนั้นหรือ ?
ท่านกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยก็ตาม
อบูษัรกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยกระนั้นหรือ ?
ท่านกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยก็ตาม
อบูษัรกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยกระนั้นหรือ ?
ท่านกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยก็ตาม


เศาะหิ๊หฺบุคอรี หะดีษ  5827


จะเห็นได้ว่า หะดีษดังกล่าวตั้งเกณฑ์ความเชื่อถือศรัทธาต่ออัลลอฮ์ไว้ที่จิตใจเท่านั้น  
ส่วนอามั้ลการงานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดเป็นกรณีๆไป


คำถามที่สำคัญคือ

ท่านรอซูลุลลลอฮ์(ศ)กำหนดขอบข่ายความเป็นมุสลิมไว้อย่างไรบ้าง ???


عَنْ أَبِى جَمْرَةَ قَالَ كُنْتُ أُتَرْجِمُ بَيْنَ يَدَىِ ابْنِ عَبَّاسٍ وَبَيْنَ النَّاسِ فَأَتَتْهُ امْرَأَةٌ تَسْأَلُهُ عَنْ نَبِيذِ الْجَرِّ فَقَالَ إِنَّ وَفْدَ عَبْدِ الْقَيْسِ أَتَوْا رَسُولَ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « مَنِ الْوَفْدُ أَوْ مَنِ الْقَوْمُ ». قَالُوا رَبِيعَةُ. قَالَ « مَرْحَبًا بِالْقَوْمِ أَوْ بِالْوَفْدِ غَيْرَ خَزَايَا وَلاَ النَّدَامَى ». قَالَ فَقَالُوا يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنَّا نَأْتِيكَ مِنْ شُقَّةٍ بَعِيدَةٍ وَإِنَّ بَيْنَنَا وَبَيْنَكَ هَذَا الْحَىَّ مِنْ كُفَّارِ مُضَرَ وَإِنَّا لاَ نَسْتَطِيعُ أَنْ نَأْتِيَكَ إِلاَّ فِى شَهْرِ الْحَرَامِ فَمُرْنَا بِأَمْرٍ فَصْلٍ نُخْبِرْ بِهِ مَنْ وَرَاءَنَا نَدْخُلُ بِهِ الْجَنَّةَ. قَالَ فَأَمَرَهُمْ بِأَرْبَعٍ وَنَهَاهُمْ عَنْ أَرْبَعٍ. قَالَ أَمَرَهُمْ بِالإِيمَانِ بِاللَّهِ وَحْدَهُ. وَقَالَ « هَلْ تَدْرُونَ مَا الإِيمَانُ بِاللَّهِ ». قَالُوا اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَعْلَمُ. قَالَ « شَهَادَةُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ وَإِقَامُ الصَّلاَةِ وَإِيتَاءُ الزَّكَاةِ وَصَوْمُ رَمَضَانَ وَأَنْ تُؤَدُّوا خُمُسًا مِنَ الْمَغْنَمِ

อบีญัมเราะห์ รายงานว่า ฉันเคยเป็นล่าม (ภาษาเปอร์เซีย) ให้กับ อิบนิอับบาส ในการอธิบายเรื่องศาสนาให้แก่คนทั่วไป  ตอนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาท่านและถามเกี่ยวกับเหยือกที่ใช้ดองสิ่งมึนเมา ท่านตอบว่า แท้จริงตัวแทนของเผ่าอับดุลกอยส์ ได้เคยมาหาท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ถามว่า : เป็นตัวแทนของใคร หรือจากกลุ่มชนใด ?
 
พวกเขาตอบว่า : จากเผ่ารอบีอะฮ์
ท่านกล่าวว่า : ยินดีต้อนรับตัวแทนของชนกลุ่มนี้ โดยไม่มีความทุกข์โศกและความระทมใดๆ  
เขากล่าวว่า : คนเหล่านั้นได้กล่าวว่า : โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลออ์ แท้จริงพวกเราจะมาหาท่านด้วยความยากลำบากและหนทางก็ไกล ระหว่างทางก็มีบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาจากมุฏ็อรคอยสกัดกั้น ทำให้พวกเราไม่สามารถมาพบท่านได้ (อย่างปลอดภัย) นอกจากเดือนต้องห้ามเท่านั้น (เดือนที่มีสนธิสัญญาสงบศึกสี่เดือนคือ รอญับ, ซุลเกาะอ์ดะห์, ซุลฮิจญะห์, และมุฮัรรอม) ดังนั้นได้โปรดสั่งใช้พวกเราตรงๆเถิด พวกเราจะได้นำไปบอกบรรดากลุ่มชนของเรา เพื่อพวกเราจะได้เข้าสวรรค์

เขากล่าวว่า : (ท่านรอซูล) ได้ใช้พวกเขา  4 ประการ และห้ามพวกเขา 4 ประการ

เขากล่าวว่า : ท่านใช้พวกเขาให้ศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์เพียงองค์เดียว  
โดยกล่าวว่า พวกเจ้ารู้ไหม  การศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์เป็นเช่นใด
พวกเขาตอบว่า : อัลลอฮ์และรอซูลของพระองเท่านั้นที่รู้ดียิ่ง

ท่านบอกว่าคือ :
1.   การปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ และมูฮัมหมัด ศือศาสนทูตของอัลลอฮ์,
2.   การดำรงละหมาด,
3.   การจ่ายซะกาต,
4.   ถือศีลอดเดือนรอมฏอน ,  
5.   การจัดจ่ายส่วนหนึ่งในห้าของทรัพย์เฉลยที่พวกเจ้าได้มา


เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 125



ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้อธิบายว่า  อีหม่าน(ความเชื่อความศรัทธา)นั้นมีเพียงการยืนยันด้วยถ้อยคำ " ชะฮาดะตัยนฺ " และปฏิบัติตามบทบัญญัติวาญิบตที่อิสลามตั้งอยู่บนมันเท่านั้น

จะเห็นได้ว่า พวกวาฮาบีมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเตาฮีด ,ชิรีก ,กุฟร์และอิสลาม ห่างไกลจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)อย่างไร  
หากวาฮาบียึดถือเรื่องความเป็นมุสลิมตามขอบเขตที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้วางไว้จริง พวกเขาคงไม่ฮุก่มมุสลิมคนอื่นอย่างง่ายดาย


เราลองมาพิจารณาหะดีษที่อะฮ์ลุลบัยต์นบี(อ)ได้บอกกล่าวไว้กับชีอะฮ์ดังนี้

อิม่ามบาเก็ร (อ)กล่าวว่า

بُنِيَ الْإِسْلَامُ عَلَى خَمْسٍ عَلَى الصَّلَاةِ وَ الزَّكَاةِ وَ الصَّوْمِ وَ الْحَجِّ وَ الْوَلَايَةِ

อิสลามนั้น ถูกสร้างอยู่บน 5 ประการ คือ การนมาซ จ่ายซะกาต ทำฮัจญ์ ถือศีลอด และวิลายะฮ์ (คือการยอมรับว่าอิม่ามทั้ง12คือผู้นำ )

สถานะหะดีษ  : เศาะหิ๊หฺ  ดูอัลกาฟี    เล่ม 2 : 18 หะดีษ 1


ทำไมอิม่ามบาเก็ร(อ)จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการกล่าวกะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนฺในหะดีษนี้ ?

ตอบเพราะ  การกล่าวกะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนฺ คือเงื่อนไขแรกที่เราจะต้องกล่าวปฏิญานตนเพื่อแสดงถึงการเป็นมุสลิม  
แต่หลังจากที่เราได้ยืนยันความเป็นมุสลิมด้วยคำพูดแล้ว อิสลามยังมีสิ่งให้เราต้องปฏิบัติตามที่ระบุในหะดีษดังกล่าว

ดังนั้นจึงไม่กินกับปัญญาที่คนเราจะทำนมาซ จ่ายซะกาต ทำฮัจญ์ ถือศีลอดและเชื่อฟังบรรดาอิม่ามทั้งสิบสอง  โดยที่เขายังไม่ยอมรับในเตาฮีดของอัลเลาะฮ์ และให้การรับรองว่านบีมุฮัมมัดคือรอซูลของอัลเลาะฮ์
เหมือนที่พวกวาฮาบีนำหะดีษนี้ไปโจมตีอย่างผิดประเด็น



เพื่อความกระจ่างขอให้ท่านลองอ่านหะดีษต่อไป      

عَنْ عَجْلَانَ أَبِي صَالِحٍ قَالَ قُلْتُ لِأَبِي عَبْدِ اللَّهِ ع أَوْقِفْنِي عَلَى حُدُودِ الْإِيمَانِ فَقَالَ شَهَادَةُ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَ أَنَّ مُحَمَّداً رَسُولُ اللَّهِ وَ الْإِقْرَارُ بِمَا جَاءَ بِهِ مِنْ عِنْدِ اللَّهِ وَ صَلَوَاتُ الْخَمْسِ وَ أَدَاءُ الزَّكَاةِ وَ صَوْمُ شَهْرِ رَمَضَانَ وَ حِجُّ الْبَيْتِ وَ وَلَايَةُ

อัจญ์ลาน อบีศอและห์เล่าว่า ฉันได้กล่าวกับท่านอบูอับดุลลอฮ์(อิม่ามศอดิก)ว่า
กรุณาทำให้ฉันยืนอยู่บนขอบเขตของอีหม่านด้วยเถิด
ท่านอิม่ามกล่าวว่าคือ :  การปฏิญาณว่า  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  และแท้จริงมุฮัมมัดคือรอซูลุลลอฮ์และให้การรับรองต่อสิ่งที่ท่านได้นำมันมาจากอัลลอฮ์,
1.   ดำรงนมาซห้าเวลา,
2.   จ่ายทานซะกาต,
3.   ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน,
4.   การไปประกอบพิธีหัจญ์ที่บัยตุลเลาะฮ์,
5.   และการมีวิลายะฮ์  


สถานะหะดีษ  : เศาะหิ๊หฺ  ดูอัลกาฟี    เล่ม 2 : 18 หะดีษ 2


หะดีษที่สองคงสร้างความเข้าใจได้ชัดเจนว่า

คนที่ไม่ยอมรับว่า  อัลลอฮ์คือพระเจ้าองค์เดียว  และมุฮัมมัดไม่ใช่รอซูลุลลอฮ์
และไม่ให้การรับรองต่อสิ่งที่ท่านนบี(ศ)ได้นำมา
คนประเภทนี้ก็จะไม่ยอมปฏิบัติในเรื่องการนมาซ จ่ายซะกาต ทำฮัจญ์ ถือศีลอด และวิลายะฮ์อย่างเด็ดขาด  ถามว่าทำไม ?  ตอบก็เพราะว่าเขาไม่ใช่ผู้ศรัทธาต่ออิสลามนั่นเอง


หากเราย้อนไปพิจารณาหะดีษที่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์รายงานว่า  

بُنِىَ الإِسْلاَمُ عَلَى خَمْسٍ شَهَادَةِ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ ، وَإِقَامِ الصَّلاَةِ ، وَإِيتَاءِ الزَّكَاةِ ، وَالْحَجِّ ، وَصَوْمِ رَمَضَانَ

อิสลามนั้น วางอยู่บนรากฐาน 5 ประการ คือ
1.   การปฏิญานตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์
2.   การดำรงการละหมาด
3.   การจ่ายซะกาต
4.   การประกอบพิธีหัจญ์ และ
5.   การถือศีลอดในเดือนรอมฏอน


เศาะหิ๊หฺบุคอรี หะดีษ  8


ท่านจะเห็นได้ว่า  ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย บนพื้นฐานทั้งห้า ตามที่หะดีษของทั้งสองฝ่ายระบุเอาไว้ถึงเงื่อนไขของความเป็นมุสลิม


แต่ด้วยสาเหตุอะไรที่ทำให้  พวกวาฮาบี  มีความสุดโต่งกับการตักฟีรมุสลิมด้วยกัน  อันนี้ต้องศึกษากันต่อไป...
  •  

L-umar


หะดีษต่อไปนี้จะให้รายละเอียดและความชัดเจนยิ่งกว่าเก่าในการกำหนดขอบเขตว่า

ผู้ใดเป็นมุสลิม ?


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

مَنْ صَلَّى صَلاَتَنَا ، وَاسْتَقْبَلَ قِبْلَتَنَا ، وَأَكَلَ ذَبِيحَتَنَا ، فَذَلِكَ الْمُسْلِمُ

ผู้ใดที่นมาซเหมือนกับนมาซของเรา และผินสู่กิบลัตเดียวกับเรา และกินสัตว์เชือดของเรา นั่นแหละคือมุสลิม

เศาะหิ๊หฺบุคอรี  หะดีษ 391


ด้วยเงื่อนไขง่ายๆที่ท่านรอซูล(ศ) ยอมรับ ในความเป็นมุสลิมคือ

1.   ทำนมาซ
2.   เวลานมาซต้องหันหน้าสู่กิบลัตมุสลิม
3.   ทานเนื้อสัตว์ที่มุสลิมเชือด

ถามว่า  มีตรงไหนที่ท่านรอซูล(ศ)ระบุถึงเรื่อง กะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนฺ ?

ไม่มีเลย แต่เป็นที่รู้กันว่า  ผู้ที่ปฏิญาญตนด้วยกะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนฺเท่านั้นถึงจะปฏิบัติสามประการดังกล่าว
  •  

L-umar


ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า

مَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَكَفَرَ بِمَا يُعْبَدُ مِنْ دُونِ اللَّهِ حَرُمَ مَالُهُ وَدَمُهُ وَحِسَابُهُ عَلَى اللَّهِ

ผู้ใดกล่าวว่า " ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ "

และเขาปฏิเสธต่อสิ่งที่ถูกเคารพสักการะ อื่นจากอัลลอฮ์   ทรัพย์ของเขา ชีวิตของเขา และการพิพากษาเขาตกเป็นของอัลเลาะฮ์

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 139


รายงานถัดมา ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า

مَنْ وَحَّدَ اللَّهَ  ثُمَّ ذَكَرَ بِمِثْلِهِ.

ผู้ใดมี " เตาฮีด " ต่ออัลเลาะฮ์  

แล้วกล่าวเหมือนหะดีษข้างต้นคือ ( และเขาปฏิเสธต่อสิ่งที่ถูกเคารพสักการะ อื่นจากอัลลอฮ์   ทรัพย์ของเขา ชีวิตของเขา และการพิพากษาเขาตกเป็นของอัลเลาะฮ์)

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 140


สิ่งสำคัญคือ หะดีษที่ 140 ได้เปลี่ยนคำ " ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ "
ไปเป็นคำว่า    " ผู้ใดมี เตาฮีด ต่ออัลเลาะฮ์  " แทน
ย่อมแสดงว่า  ทั้งสองประโยคสามารถสลับใช้แทนกันได้



ดังนั้นผู้ใดกล่าวว่า " ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ "

เท่ากับเขา = ได้อยู่นอกขอบข่ายของการตั้งภาคี (ชิรีก)แล้ว ตามตัวบทหะดีษข้างต้น

ตราบใดที่บ่าวคนหนึ่งมีใจเชื่อมั่นและกล่าวยืนยันว่า

" ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และนบีมุฮัมมัด คือรอซูลุลลอฮ์ "

เขาคือมุสลิม  




ในกรณีที่เขายอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวาญิบคือ การนมาซ ถือศีลอด จ่ายซะกาตและการทำหัจญ์
แต่เขาละทิ้งไม่นำมาปฏิบัติ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อิสลามได้กำหนดบทลงโทษเอาไว้ แต่เขายังคงสภาพเป็นมุสลิมอยู่


ส่วนมุสลิมที่สมควรต้องโทษประหาร อาจมีหลายสาเหตุดังต่อไปนี้เช่น
ตกมุรตัด  ปฏิเสธเตาฮีดของอัลเลาะฮ์หรือปฏิเสธตำแหน่งนุบูวะฮ์ของท่านรอซูล(ศ)

ยิ่งกว่านั้น หากเขาปฏิเสธหลักปฏิบัติวาญิบของอิสลามประการใดประการหนึ่ง โดยเขาไม่ยอมรับว่า สิ่งเหล่านี้เป็นวาญิบเช่น  การทำนมาซ การจ่ายซะกาต ด้วยตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมันในข้อนี้อย่างชัดเจน  จึงจะฮุก่มเขาได้ว่า  ไม่ใช่มุสลิมอีกต่อไป




วาฮาบีไม่เคยใช้หะดีษเหล่านี้มาเป็นบรรทัดฐานในการวัดความเป็น " มุสลิม "

แต่วาฮาบีกลับใช้ทัศนะคำพูดของบรรดา " อุละมาอ์วาฮาบี " เป็นมาตรการแทนหะดีษของท่านรอซูล(ศ)

แล้ววาฮาบี ก็อ้างว่า ตนคือผู้ปฏิบัติตาม ซุนนะฮ์นบี ?


ซึ่งเห็นได้ชัดว่า  พวกวาฮาบีโกหก

แล้วผู้ตามวาฮาบีทั้งหลายก็หลงตามไปกับอุสต๊าดวาฮาบีอีกทีหนึ่ง
  •  

L-umar


สิ่งสำคัญคือ   ต้องแยกแยะให้ออกว่า  ระหว่างการกระทำที่

ต้องถูกลงโทษ ( حد )   กับ

การทำที่ทำให้ตกเป็นกาเฟร ( كفر )


ซึ่งทั้งสอง  มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


แต่ในสายตาของวาฮาบีคิดเพียงว่า  

ผู้ใดไม่เชื่อ หรือไม่ทำตามพวกตน   ผู้นั้นเป็นพวกบิดอะฮ์  พวกเฎาะลาละฮ์ พวกมุชริก และสุดท้ายเป้นกาเฟ็ร  
  •  

L-umar


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ใช้ให้ตัดสินความเป็น" มุสลิม " ของคนเราเพียงภายนอก(ซอเฮ็ร)

หากเขากล่าวว่า  " ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ "  


ส่วนในใจ(บาเต็น)ของเขาจะศรัทธาจริงหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์(ซบ.)ที่จะพิพากษาเขาเอง  ไม่ใช่เรา



หะดีษหลายบทระบุชัดว่า บุคคลใดกล่าวคำว่า (( ลาอิลาฮะ อิลัลเลาะฮ์ -  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  )) คือยืนยันในเตาฮีดเพียงคำพูด ชีวิตของเขาก็ได้รับการพิทักษ์  


ซอฮาบะฮ์คนหนึ่งชื่อ อุซามะฮ์ บินเซดบินฮาริษะฮ์
ได้เล่าเหตุการณ์หนึ่งให้ฟังว่า ท่านรอซูล(ศ)ส่งเขาไปปราบพวกมุชริกกลุ่มหนึ่ง ทหารมุสลิมได้ตีชนกลุ่มนั้นจนแตกพ่าย  ในขณะที่อุซามะฮ์กับชาวอันศ็อรคนหนึ่งได้ไล่ล่าชายคนหนึ่งจนตามทัน
 
เมื่อชายคนนั้นรู้ตัวว่า คงหนีไม่รอดเขาจึงกล่าวว่า  لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ –ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์   ชาวอันศ็อรจึงไม่ทำอะไรเขา

แต่อุซามะฮ์เล่าว่า
 
وَطَعَنْتُهُ بِرُمْحِى حَتَّى قَتَلْتُهُ. قَالَ فَلَمَّا قَدِمْنَا بَلَغَ ذَلِكَ النَّبِىَّ -صلى الله عليه وسلم- فَقَالَ لِى « يَا أُسَامَةُ أَقَتَلْتَهُ بَعْدَ مَا قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ ». قَالَ قُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنَّمَا كَانَ مُتَعَوِّذًا. قَالَ فَقَالَ « أَقَتَلْتَهُ بَعْدَ مَا قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ ». قَالَ فَمَازَالَ يُكَرِّرُهَا عَلَىَّ حَتَّى تَمَنَّيْتُ أَنِّى لَمْ أَكُنْ أَسْلَمْتُ قَبْلَ ذَلِكَ الْيَوْمِ.

ฉันได้แทงเขาด้วยหอก จนฉันได้ฆ่าเขาตาย   อุซามะฮ์เล่าว่า  พอพวกเรากลับมา  ข่าวนั้นได้ล่วงรู้ไปถึงท่านนบี(ศ)  
ท่าน(ศ)ได้กล่าวกับฉันว่า : โอ้อุซามะฮ์  เจ้าได้สังหารเขาหรือ หลังจากที่เขาได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์

อุซามะฮ์ตอบว่า : โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  ที่จริงแล้วเขาแค่ต้องการปกป้อง(ตัวเองให้พ้นอันตรายเท่านั้น)  

ท่าน(ศ)กล่าวว่า : เจ้าได้สังหารเขาหรือ หลังจากที่เขาได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์

อุซามะฮ์เล่าว่า : ท่าน(ศ)ยังคงถามกับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จนฉันคิดว่า ฉันยังไม่เคยได้เข้ารับอิสลามมาก่อนหน้าวันนั้น

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 288


อีกรายงานหนึ่งบันทึกคำพูดของอุซามะฮ์ว่า

يَا رَسُول اللَّه إِنَّمَا قَالَهَا خَوْفًا مِنْ السِّلَاح قَالَ : أَفَلَا شَقَقْت عَنْ قَلْبه حَتَّى تَعْلَم قَالَهَا أَمْ لَا ؟

โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  แท้จริงที่เขากล่าว " ลาอิลาฮะอิลัลลอฮ์ " เพราะเขากลัวอาวุธ

ท่าน(ศ)กล่าวว่า  ทำไมเจ้าไม่ผ่าหัวใจของเขา(ออกมาดูเลยล่ะ) เจ้าจะได้รู้ว่า เขากล่าวมัน(ด้วยใจจริง)หรือไม่ ?

ชัรฮุ นะวาวี  เล่ม 1 : 203 หะดีษ 140


เรื่องการกล่าวคำ " ลาอิลาฮะอิลัลลอฮ์ " นั้นเป็นปัญหาทางจิตใจ(ก็อลบี) ที่มนุษย์กล่าวคำนั้นออกมา  ซึ่งบางทีมันก็ออกมาจากอีหม่าน คือเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง
และบางทีมันก็ออกมาจากความนิฟ๊าก  คือความกลับกลอกหลอกลวง

แต่สำหรับเราไม่มีสิทธิ จะไปพิพากษาเกินเลยไปกว่าภายนอกของมนุษย์ ตามที่หะดีษที่ระบุว่า

وَحِسَابُهُ عَلَى اللَّهِ

การพิพากษาของเขา(คนที่กล่าวคำเตาฮีด)นั้นเป็นหน้าที่ของอัลเลาะฮ์

เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 133,134,139


วาฮาบีนั้นทำเกินคำพูดของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)   พวกเขาชอบฮุก่มพี่น้องมุสลิมว่าเป็นพวกมุชริก เป็นพวกกาเฟ็ร เลือดเป็นที่ฮะล้าลสำหรับพวกเขา  สาเหตุเพราะพวกเขาเชื่อถือคำพูดของอิบนิตัยมียะฮ์มากกว่าท่านรอซูล(ศ)นั่นเอง
  •  

L-umar



พวกวาฮาบี ไม่เคยให้ความสำคัญกับบุคคลที่กล่าวว่า   " ลาอิลาฮะอิลัลเลาะฮ์ "

แต่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ย้ำว่า จงให้ความสำคัญกับผู้ที่กล่าว " ลาอิลาฮะอิลัลเลาะฮ์ "


ท่านมิกด๊าด บินอัลอัสวัดเล่าว่า

قَالَ يَا رَسُولَ اللَّهِ أَرَأَيْتَ إِنْ لَقِيتُ رَجُلاً مِنَ الْكُفَّارِ فَقَاتَلَنِى فَضَرَبَ إِحْدَى يَدَىَّ بِالسَّيْفِ فَقَطَعَهَا. ثُمَّ لاَذَ مِنِّى بِشَجَرَةٍ فَقَالَ أَسْلَمْتُ لِلَّهِ. أَفَأَقْتُلُهُ يَا رَسُولَ اللَّهِ بَعْدَ أَنْ قَالَهَا قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « لاَ تَقْتُلْهُ ». قَالَ فَقُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنَّهُ قَدْ قَطَعَ يَدِى ثُمَّ قَالَ ذَلِكَ بَعْدَ أَنْ قَطَعَهَا أَفَأَقْتُلُهُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « لاَ تَقْتُلْهُ فَإِنْ قَتَلْتَهُ فَإِنَّهُ بِمَنْزِلَتِكَ قَبْلَ أَنْ تَقْتُلَهُ وَإِنَّكَ بِمَنْزِلَتِهِ قَبْلَ أَنْ يَقُولَ كَلِمَتَهُ الَّتِى قَالَ ».

เขาได้กล่าวว่า   โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ ท่านมีความเห็นเช่นไร  หากฉันพบชายคนหนึ่งจากพวก " กาเฟ็ร "     เขาได้ต่อสู้กับฉัน เขาฟันมือข้างหนึ่งของฉันด้วยดาบ แล้วเขาได้ตัดมัน   จากนั้นเขาก็ไปหลบฉันที่ต้นไม้   แล้วเขากล่าวว่า  ฉันได้เข้ารับอิสลามแล้วเพื่ออัลลอฮ์
   
โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  ฉันจะฆ่าเขาได้ไหมหลังจากที่เขาได้กล่าวมัน(ลาอิลาฮะอิลัลเลาะฮ์) ?

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  :  ท่านจงอย่าฆ่าเขา

มิกด๊าด บินอัลอัสวัดกล่าวว่า :  
โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ แท้จริงเขาฟันมือฉันขาดเลยนะครับ แล้วเขาก็กล่าวคำนั้นหลังจากที่ได้ตัดมัน


ฉันจะฆ่าเขาได้ไหม ?

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  :  จงอย่าฆ่าเขา
 
เพราะหากท่านฆ่าเขาตาย เขาจะไปอยู่ในตำแหน่งของท่าน  ก่อนหน้าที่ท่านจะฆ่าเขา
ส่วนท่านก็จะตกไปอยู่ในตำแหน่งของเขา ก่อนหน้าที่เขาจะกล่าวคำนั้น ที่เขาได้กล่าวออกมา

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 284


อันนะวาวีได้อธิบายตรงนี้ว่า

وَأَظْهَرهُ مَا قَالَهُ الْإِمَام الشَّافِعِيُّ ، وَابْنُ الْقَصَّار الْمَالِكِيُّ ، وَغَيْرهمَا أَنَّ مَعْنَاهُ فَإِنَّهُ مَعْصُوم الدَّم ، مُحَرَّم قَتْلُهُ بَعْد قَوْله : لَا إِلَه إِلَّا اللَّه

ที่ชัดเจนที่สุดคือสิ่งที่อิหม่ามชาฟิอี  อิบนุลก็อศศ็อรและอัลมาลิกีและอื่นจากทั้งสองได้กล่าวถึงมันเอาไว้ว่า  :
แท้จริงความหมายของหะดีษก็คือ  เขาคือผู้ที่ได้รับการพิทักษ์ชีวิต  การสังหารเขาถือว่าเป็นสิ่งฮะร่าม  หลังจากที่เขาได้กล่าวคำว่า  " ลาอิลาฮะอัลลัลเลาะฮ์ " ออกมา

ชัรฮุล นะวาวี หรือชะเราะห์ เศาะหิ๊หฺมุสลิม เล่ม 1 : 202 หะดีษ 139



เรื่องราวเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในตำราหะดีษเศาะหิ๊หฺของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์เองทั้งสิ้น

มีความชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยนักวิชาการคนใดมาอธิบายเนื้อของตัวบทหะดีษอีก

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ

1.   ทำไมพวกวาฮาบีจึงไม่ยึดถือตามซุนนะฮ์นี้ แต่กลับไปยึดฟัตวาอุละมาอ์ของพวกเขาแทนคำพูดของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) = วาฮาบีไม่ได้ยึดถือซุนนะฮ์นบีอย่างแท้จริง

2.   พวกวาฮาบีโง่เขลา ไม่รู้จักแม้กระทั่งวิธีการปฏิบัติและให้เกียรติกับบุคคลที่มีเตาฮีดต่ออัลเลาะฮ์(ซบ.)  

สรุป

ต้นเหตุที่ทำให้พวกวาฮาบีชอบฮุก่มพี่น้องมุสลิมต่างมัซฮับว่าเป็น  " กาเฟ็ร "   นั้นมีที่มาจากการที่พวกเขาศึกษาความหมายหะดีษขั้นพื้นฐานง่ายๆของพวกเขาเองไม่เข้าใจอย่างท่องแท้นั่นเอง เลยทำให้วาฮาบีเป็นคนจิตใจคับแคบ ไม่เปิดกว้างที่จะรับฟังเหตุผลของคนมัซฮับอื่น.
 
  •  

L-umar


การที่วาฮาบีชอบใส่ร้ายมุสลิมด้วยคำครหาว่า เขาทำชิรีกนั้น นับว่าเป็นการตักฟีรที่อันตรายยิ่งประการหนึ่ง



ท่านคงได้อ่านหะดีษต่างๆก่อนหน้านี้มาแล้วว่า  ผู้ใดยืนยันด้วยลิ้นของเขาด้วยถ้อยคำเตาฮีด(ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์) เขาคือ มุสลิม
ท่านก็ไม่ควรจะไปกล่าวหาเขาให้เป็นอื่นไปจากนั้น
ผู้ใดยืนยันต่อเตาฮีดของอัลลอฮ์ = ผู้นั้นรับรองว่า อัลเลาะฮ์คือผู้สร้าง ผู้ควบคุมดูแล ผู้ที่ได้รับการเคารพสักการะ  ไม่อนุญาตให้เขาเห็นสิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์เป็นพระเจ้า เป็นผู้สร้าง ผู้ควบคุมดูแล ผู้ที่ควรแก่การอิบาดะฮ์
และผู้ใดยืนยันว่า อัลเลาะฮ์คือผู้สร้าง ผู้ควบคุมดูแล  แต่เขากลับให้การเคารพสักการะสิ่งต่างๆมากมาย  = เขาคือ " มุชริก "  (ผู้ที่ทำการตั้งภาคีต่ออัลเลาะฮ์)

ใช่แล้วครับ เขาตั้งภาคีต่ออัลเลาะฮ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  เรามีสิทธิไปฮุก่ม(ตัดสิน)คนที่มีเตาฮีดว่าเป็น " กาเฟ็ร "  ตราบใดที่เขายังไม่ปฏิเสธอัลเลาะฮ์  รอซูลและบทบัญญัติวายิบต่างๆของอิสลามตามที่หะดีษก่อนหน้านี้ได้อธิบายเอาไว้
การที่จะฮุก่ม(ตัดสิน) มุสลิมคนหนึ่งเป็นกาเฟ็รได้ หมายถึงเมื่อเขาได้เรียนรู้พอสังเขปว่า  อัลเลาะฮ์คือพระเจ้า  มุฮัมมัดคือนบีคนสุดท้าย  และรับรู้ว่าการนมาซ,ถือศีลอด,จ่ายซะกาต,การทำหัจญ์นั้นเป็นวาญิบ  แต่หลังจากนั้นเขาได้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ทั้งๆที่เขาเข้าใจดีแล้ว

อ้างถึงพวกวาฮาบีจะแยกแยะไม่ออกระหว่างการ อิบาดะฮ์  กับ การอิ๊ห์ติรอม

พวกวาฮาบีถือว่า การยกย่อง ให้เกียรติแก่บุคคล หรือสถานที่ หรืออื่นๆบางอย่างนั้นคือการอิบาดะฮ์  จึงไม่แปลกที่เรามักได้ยินพวกวาฮาบีใช้คำพูดแบบมักง่ายประณามพี่น้องมุสลิมต่างมัซฮับว่า เป็นพวกมุชริก พวกกุฟร์  

วาฮาบีละเลยหะดีษที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)กล่าวว่า

إِذَا كَفَّرَ الرَّجُلُ أَخَاهُ فَقَدْ بَاءَ بِهَا أَحَدُهُمَا

เมื่อชายคนหนึ่งได้ตักฟีรพี่น้องของเขา(ว่าเป็นกาเฟ็ร)  แท้จริงหนึ่งในสองคนนั้นจะกลับไปยังมัน(คือตกเป็นกาเฟ็รคนหนึ่งแน่)

เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 224

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ท่านจะเห็นได้ว่า หัวหน้าลัทธิวาฮาบีตลอดจนสมุนบริวารในประเทศซาอุดิอารเบียได้ปฏิบัติกับบรรดาพี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์ด้วยมารยาทป่าเถื่อน และด้วยถ้อยคำที่ว่า ยามุชริก - เจ้าคนมุชริก  

ทำไม สาเหตุหลักเพราะพวกวาฮาบีขาดความเข้าใจอย่างแท้จริงระหว่างความหมายของคำว่า " เตาฮีด "  กับ  "  ชีรีก " นั่นเอง


เราจึงควรพยายามทำความเข้าใจคำเตาฮีดและชีรีกตามที่อัลเลาะฮ์และรอซูลได้อธิบายไว้[/b][/size]
  •  

L-umar


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ไม่ได้กลัวหรือห่วงว่า ประชาชาติของท่านจะตั้งภาคีต่ออัลเลาะฮ์


พวกวาฮาบีอ้างว่า เหตุที่ต้องเน้นเตือนพี่น้องมุสลิมเรื่องการตั้งภาคี เพราะกลัวว่าสังคมมุสลิมจะเปลี่ยนไปเป็นพวกมุชริก


หากถามว่า แล้วท่านรอซูล(ศ)กลัวหรือเป็นห่วงเรื่องอะไร  ?



ท่านอุกบะฮ์ บินอามิร เล่าว่า

أَنَّ النَّبِىَّ - صلى الله عليه وسلم - خَرَجَ يَوْمًا فَصَلَّى عَلَى أَهْلِ أُحُدٍ صَلاَتَهُ عَلَى الْمَيِّتِ ، ثُمَّ انْصَرَفَ إِلَى الْمِنْبَرِ فَقَالَ « إِنِّى فَرَطٌ لَكُمْ ، وَأَنَا شَهِيدٌ عَلَيْكُمْ ، وَإِنِّى لأَنْظُرُ إِلَى حَوْضِى الآنَ ، وَإِنِّى أُعْطِيتُ مَفَاتِيحَ خَزَائِنِ الأَرْضِ - أَوْ مَفَاتِيحَ الأَرْضِ - وَإِنِّى وَاللَّهِ مَا أَخَافُ عَلَيْكُمْ أَنْ تُشْرِكُوا بَعْدِى ، وَلَكِنِّى أَخَافُ عَلَيْكُمْ أَنْ تَنَافَسُوا فِيهَا »

แท้จริงท่านนบี(ศ)ได้ออกมาวันหนึ่ง ท่านได้นมาซ(ญะนาซะฮ์ให้กับชาวบะดัรที่เสียชีวิต จากนั้นท่านหันมาที่มิมบัร แล้วปราศรัยว่า  แท้จริงฉันจะล่วงหน้าไปก่อนพวกท่าน และฉันคือผู้เป็นพยานให้กับพวกท่าน  และแน่นอนฉันกำลังมองไปที่สระ(เกาษัร)ของฉันในตอนนี้  และฉันได้รับกุญแจขุมคลังต่างๆของโลกนี้  และแท้จริงฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ฉันไม่ได้หวาดกลัวต่อพวกท่านว่าจะทำชีรีก(ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์)หลังจากฉัน(จากไป)  แต่ที่ฉันกลัว(และห่วง)ต่อพวกท่านคือ การที่พวกท่านจะแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันในโลกดุนยานี้(ต่างหากเล่า)

เศาะหิ๊หฺบุคอรี หะดีษ 4085 และเศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 6117


วาฮาบีห่วงเรื่องมุสลิมจะเป็นมุชริก  แต่ท่านรอซูล(ศ)ไม่ห่วงว่า อุมมะฮ์ของท่านจะกลับไปเป็นพวกมุชริก ไม่ว่าจะทำชีรีกชนิดใดประเภทใดก็ตาม  แต่ที่วาฮาบีอ้างถึงคือ มีการตั้งภาคีปรากฏไปทั่วในสังคมมุสลิม


สิ่งท่านรอซูล(ศ)กลัวและเป็นห่วงคือการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในประชาชาติของท่าน


ท่านอิบนุมัสอูดเล่าว่า

أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال : « إن إبليس يئس أن تعبد الأصنام بأرض العرب ، ولكنه سيرضى بدون ذلك منكم بالمحقرات من أعمالكم ، وهي الموبقات

แท้จริงท่านรอซูลุลลอฮ์ (ศ) กล่าวว่า : แท้จริงมารอิบลีสนั้นสิ้นหวังแล้วกับการที่เจว็ดรูปปั้นทั้งหลายในแผ่นดินอาหรับจะได้รับการกราบไหว้  
แต่มันจะยังพอใจต่อสิ่งอื่นจากนั้นจากหมู่พวกท่าน กับความเลวทรามต่ำช้าจากการงานต่างๆของพวกท่าน และนั่นก็คือ การทำบาปใหญ่ต่างๆและการสร้างความเสียหาย

สถานะหะดีษ : เศาะหิ๊หฺ

ดูอัลมุสตักร็อก อะลัซ-ซ่อฮีฮัยนิ โดยอัลฮากิม  หะดีษ 2182



ถึงแม้ว่ายังมีหะดีษส่วนหนึ่งที่รายงานถึงสาระสำคัญของเรื่องการทำชีรีกไว้ก็ตาม แต่หะดีษทั้งหมดได้กล่าวเกี่ยวกับสัญญาณวันสิ้นโลก เช่นหะดีษที่ท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์รายงานว่า กาลเวลาจะเปลี่ยนไป จนกระทั่งจะมีการกราบไหว้บูชารูปเจว็ดอีก ซึ่งถ้าถึงวันนั้นก็หมายถึงวันกิยามัตใกล้ถึงแล้ว

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า


لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَضْطَرِبَ أَلَيَاتُ نِسَاءِ دَوْسٍ عَلَى ذِى الْخَلَصَةِ » . وَذُو الْخَلَصَةَ طَاغِيَةُ دَوْسٍ الَّتِى كَانُوا يَعْبُدُونَ فِى الْجَاهِلِيَّةِ .

วันกิยามะฮ์จะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกสตรีแห่งเผ่าเด๊าส์จะหวลกลับมาที่ซิลเคาะละเศาะฮ์(ศาลเจว็ดแห่งหนึ่ง) และเจ้าซุลเคาะละเศาะฮ์คือ  ตอฆูตแห่งเผ่าเด๊าส์ที่พวกเขาเคยกราบไหว้บูชาในสมัยญาฮิลียะฮ์มาก่อน

เศาะหิ๊หฺบุคอรี หะดีษ 7116
  •  

L-umar


หะดีษดังกล่าวมาได้บ่งบอกว่า การหวลกลับไปสู่สภาพตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์อีกครั้งคือสัญญาณวันกิยามัตประการหนึ่ง  

ส่วนกรณีการหวลไปกราบไหว้รูปเจว็ดในอดีตที่เคยได้รับการเคารพบูชามาแล้วนั้น ลองมาฟังหะดีษบทนี้

ท่านหญิงอฺาอิชะฮ์เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า


لاَ يَذْهَبُ اللَّيْلُ وَالنَّهَارُ حَتَّى تُعْبَدَ اللاَّتُ وَالْعُزَّى ». فَقُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنْ كُنْتُ لأَظُنُّ حِينَ أَنْزَلَ اللَّهُ (هُوَ الَّذِى أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ وَلَوْ كَرِهَ الْمُشْرِكُونَ) أَنَّ ذَلِكَ تَامًّا قَالَ « إِنَّهُ سَيَكُونُ مِنْ ذَلِكَ مَا شَاءَ اللَّهُ ثُمَّ يَبْعَثُ اللَّهُ رِيحًا طَيِّبَةً فَتَوَفَّى كُلَّ مَنْ فِى قَلْبِهِ مِثْقَالُ حَبَّةِ خَرْدَلٍ مِنْ إِيمَانٍ فَيَبْقَى مَنْ لاَ خَيْرَ فِيهِ فَيَرْجِعُونَ إِلَى دِينِ آبَائِهِمْ ».

กลางคืนและกลางวันจะยังไม่ถึงกาลอวสาน จนกว่า(เจว็ด)ล๊าตและอุซซา(เทวรูปต่างๆ)จะถูกสักการะ(อีกครั้ง)

ฉัน(อาอิชะฮ์)จึงถามว่า : โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ ฉันคิดว่า ตอนที่อัลลอฮฺทรงประทานโองการลงมาว่า {พระองค์คือผู้ทรงส่งรอซูลของพระองค์มาพร้อมกับทางนำและศาสนาอันเที่ยงแท้เพื่อให้มีชัยเหนือลัทธิศาสนาทั้งปวง แม้ว่าบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายจะไม่ชอบก็ตาม (บท 9 : 33)} นั่นย่อมหมายความว่าภารกิจได้จบสมบูรณ์แล้วไม่ใช่หรือคะ

ท่าน(ศ)ตอบว่า : มันจะเป็นเช่นนั้นแหล่ะตามที่อัลลอฮ์ประสงค์ แล้วพระองค์จะทรงส่งลมดีมาปลิดชีพทุกคนที่ในหัวใจของเขามีอีหม่านศรัทธาแม้เพียงเท่าธุลี เหลือแต่คนที่ไม่มีความดี(ความศรัทธา)อยู่ในหัวใจเลย(หมายถึงคนที่ปฏิเสธอัลลอฮฺ) พวกเขาจึงหวนกลับสู่ลัทธิศาสนาของบรรพบุรุษของพวกเขา(ที่สักการะเจว็ด)

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 7483


ท่านเษาบานเล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า


لاَ تَزَالُ طَائِفَةٌ مِنْ أُمَّتِى ظَاهِرِينَ عَلَى الْحَقِّ لاَ يَضُرُّهُمْ مَنْ خَذَلَهُمْ حَتَّى يَأْتِىَ أَمْرُ اللَّهِ

มีคนกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของฉัน ยังคงยืนหยัดอยู่บนสัจธรรม ผู้ที่คิดจะขัดขวางพวกเขามิสามารถที่จะทำอันตรายต่อพวกเขาได้ จนกระทั่งพระบัญชาของอัลลอฮ์ได้มาถึงพวกเขา

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 5059


ท่านอับดุลลอฮ์เล่าว่า ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า


لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ إِلاَّ عَلَى شِرَارِ النَّاسِ

วันกิยามะฮ์จะยังไม่อุบัติขึ้น ยกเว้น ก็ต่อเมื่อมีมนุษย์ชั่วช้า(ดาษดื่นไปหมด)

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 7590


เพราะฉะนั้นจึงควรตีความหมายหะดีษในหนังสืออัลมุสตัดร็อก อะลัซ-ซ่อฮีฮัยนฺ หะดีษ 8509 ที่ท่านอิบนุอับดุลวะฮาบได้นำมาอ้างอิงไว้ในกิตาบอัตเตาฮีดของเขาคือ  

ท่านเษาบานเล่าว่า  ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า


وَإِنِّي لَا أَخَافُ عَلَى أُمَّتِي إِلَّا الْأَئِمَّةَ الْمُضِلِّينَ ، وَلَنْ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَلْحَقَ قَبَائِلُ مِنْ أُمَّتِي بِالْمُشْرِكِينَ وَحَتَّى تَعْبُدَ قَبَائِلُ مِنْ أُمَّتِي الْأَوْثَانَ

และแท้จริงฉันไม่เคยเป็นห่วงประชาชาติของฉัน ยกเว้น บรรดาผู้นำที่ทำให้(คนอื่น)หลงทาง และวันกิยามะฮ์จะยังไม่อุบัติขึ้นเด็ดขาด จนกว่าเผ่าต่างๆจากประชาชาติของฉันจะติดตามไปกับพวกมุชริก(พวกตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์) และจนกระทั่งเผ่าต่างๆจากอุมมะฮ์ของฉันจะเคารพสักการะรูปเจว็ดทั้งหลาย

อ้างอิงจาก กิตาบ อัตเตาฮีด โดยอิม่ามมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ หน้า 35


กรณีที่ประชาชาติชั่วช้า จะหวลกลับไปกราบไหว้บูชาเจว็ดในช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงวันกิยามัตนั้นมีหะดีษมากมายที่รายงานชัดเจนว่า

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องที่ประชาชาติ(อุมมัต)ของท่านจะกลับไปทำชีรีก ซึ่งถือว่าชัดเจนดีแล้ว และเป็นเกณฑ์ตัดสินได้ด้วย
  •  

L-umar



คำถามสำหรับวาฮาบี

ระหว่างเรื่องมุสลิมจะทำชีรีกต่ออัลลอฮ์ในยุคสุดท้าย  กับ

เรื่องที่มุสลิมถูกชี้นำโดยผู้ปกครองที่หลงทางและผู้รู้ศาสนาที่ชั่วช้า  

เรื่องใดที่ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)มีความเป็นห่วงต่อประชาชาติของท่านมากที่สุด ?
  •  

L-umar


เรามาฟังคำตอบจากหะดีษ ดังนี้


การที่มุสลิมทำชีรีกต่ออัลเลาะฮ์ก็เป็นปัญหาที่สำคัญที่ต้องรีบแก้ไข และการที่มุสลิมต้องตกอยู่ภายใต้การชี้นำของผู้นำหรืออุละมาอ์ชั่วก็เป็นปัญหาที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


แต่ปัญหาใดที่มีความสำคัญมากที่สุด ( أَهَمُّ ) ?


ท่านอิหม่ามอะลี อะลัยฮิสสลามเล่าว่า

وَلَقَدْ قَالَ لِي رَسُولُ اللهِ(صلى الله عليه وآله): \\\"إِنِّي لاَ أَخَافُ عَلَى أُمَّتِي مُؤْمِناً وَلاَ مُشْرِكاً، أَمَّا الْمُؤمِنُ فَيَمْنَعُهُ اللهُ بِإِيمَانِهِ، وَأَمَّا الْمُشْرِكُ فَيَقْمَعُهُ اللهُ بِشِرْكِهِ،لكِنِّي أَخَافُ عَلَيْكُمْ كُلَّ مَنَافِقِ الْجَنَانِ، عَالِمِ اللِّسَانِ، يَقُولُ مَا تَعْرِفُونَ،وَيَفْعَلُ مَا تُنْكِرُونَ\\\".
نهج البلاغة ج 25 / ص 8
الكتاب ( 27 ) و من عهد له عليه السّلام إلى محمد بن أبى بكر حين قلّده مصر

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้กล่าวกับฉันว่า  :  แท้จริงฉันไม่ได้เป็นห่วงประชาชาติ(อุมมะฮ์)ของฉันว่า เขาจะเป็นมุอ์มินหรือเป็นมุชริก  

เพราะคนมุอ์มินนั้นอัลลอฮ์จะขัดขวางเขาด้วยอีหม่านของเขาเอง ส่วนมุชริกนั้น อัลลอฮ์ก็จะสกัดกั้นเขาต่อการตั้งภาคีของเขา  
แต่ที่ฉันเป็นห่วงต่อพวกท่านคือ
 
1.   พวกมุนาฟิกทั้งหลาย ที่ปกปิดซ่อนความกลับกลอกเอาไว้ในใจ

2.   อาเล่ม ลิซาน
( คือ ผู้รู้ศาสนาเพียงปลายลิ้น คือเขารอบรู้เรื่องศาสนาอิสลามเป็นอย่างดี มันจึงง่ายสำหรับเขาที่จะนำมาอธิบายต่อพี่น้องมุสลิม)

อาเหล่ม(ประเภทนี้)จะพูดในสิ่งที่พวกท่านรู้และเข้าใจ แต่เขาจะทำในสิ่งที่พวกท่านไม่ยอมรับ ( นั่นคือสิ่งชั่วและเลวทราม ที่คนมุอ์มินเขาไม่ทำกัน )

อ้างอิงจาก
นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ เล่ม 25 : 8 กิตาบ 27 เรื่องวะซียัตของอิม่ามอะลีที่มีต่อท่านมุฮัมมัด บินอบีบักร



ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

إِنَّ أَخْوَفَ مَا أَخَافُ عَلَى أُمَّتِي كُلُّ مُنَافِقٍ عَلِيمِ اللِّسَانِ

แท้จริงสิ่งที่ฉันเป็นห่วงมากที่สุดต่อประชาชาติของฉันคือ อุลามาอ์(ผู้รู้)ที่ชักนำให้หลงผิด

พวกมุนาฟิกทั้งหลาย (ที่ปกปิดซ่อนความกลับกลอกเอาไว้ในใจ)

อาเล่ม ลิซาน ( ผู้รู้ศาสนาเพียงปลายลิ้น )


สถานะหะดีษ สายรายงานแข็งแรง

ดูมุสนัดอิหม่ามอะหมัด หะดีษ 143 ตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี
  •  

L-umar



ผู้รู้  ที่หลงทาง  เมื่อเขาได้ทำหน้าที่สอน เขาจึงพามุสลิมหลงทาง


ผู้รู้  ที่ทำตัวชั่วช้า  เมื่อเขาได้ขึ้นมาทำหน้าที่สอน  สิ่งที่เขาสอนจึงไม่มีบะเราะกัตจากปากของคนชั่ว
  •  

L-umar


เมื่อท่านต้องการเป็นมุสลิมที่ดี เพื่อเป็นบุคคลที่รักยิ่งของอัลเลาะฮ์(ซบ.)  ท่านก็ต้องพยายามแสวงหาความรู้ เพื่อเพิ่มพูนอีหม่านความศรัทธาของท่าน และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับปรุงและขัดเกลาตัวเอง   บุคคลที่สามารถช่วยชี้แนะและให้ความรู้แก่เราก็คือ   อาเหล่ม(ผู้รู้)  ซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันไปเช่น

เชค , อุสต๊าด, โต๊ะครู  , อาจารย์ เป็นต้น



ปัญหาคือ หากเชคหรือโต๊ะครู เป็นคนไม่ดี  แล้วพวกเขาได้ขึ้นมาเป็นผู้ชี้นำคนในมุเก่ม(สังคม) หนึ่ง แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ?  

แน่นอน ผู้รู้ชั่วย่อมสร้างความเสียหายให้ทั้งปัจเจกบุคคลและสังคมนั้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย

การที่มุสลิมคนหนึ่งทำการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์(ทำชีรีก) เป็นเรื่องที่สามารถมองเห็นได้ง่าย และเราสามารถป้องกันได้  

แต่การที่มีเชคหรือโต๊ะครูชั่วๆ เป็นมารศาสนามาทำหน้าที่ชี้นำคนในสังคม  เป็นเรื่องยากที่คนในสังคมจะเข้าใจและแยกแยะได้  เพราะมันเป็นเรื่องที่ซ่อนอยู่ภายใน

นั่นแสดงว่า " อุละมาอ์ชั่ว " นั้นเป็นอันตรายมากกว่า เรื่องทำชีรีก  


ด้วยเหตุนี้ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) จึงมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อประชาชาติของท่านเป็นอย่างมาก

ว่า ให้พวกเขาจงระวังพวกเชคชั่ว หรือพวกโต๊ะครูเลวๆ
  •  

L-umar

หะดีษ

عن جعفر بن محمد عن أبيه عن جده عن علي بن أبي طالب رضي الله عنه قال :
قال رسول الله صلى الله عليه و سلم صلى الله عليه و سلم : يوشك أن يأتي على الناس زمان لا يبقى من الإسلام إلا اسمه و لا يبقى من القرآن إلا رسمه مساجدهم عامرة و هي خراب من الهدى عُلَماَؤُهُمْ أَشَرُّ من تحت أديم السماء من عندهم يُمْدَحُ الْفِتْنَةُ

ท่านอะลีเล่าว่า  :    ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

ยุคสมัยหนึ่งเกือบจะมายังพวกมนุษย์ ซึ่งอัล-อิสลามนั้นจะไม่หลงเหลืออยู่เลย นอกจากจะเหลืออยู่เพียงแต่ชื่อ  

และอัล-กุรอ่านจะไม่หลงเหลืออยู่เลย นอกจากจะเหลืออยู่เพียงแต่ตัวหนังสือ  

มัสญิดทั้งหลายของพวกเขานั้นทำนุบำรุง(อย่างสวยงามและเจริญรุ่งเรือง)   ทว่ามันนั้นอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมในเรื่องของฮิดายะฮ์  

และอุละมาอ์ของพวกเขาเป็นผู้ชั่วช้าที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ใต้ท้องฟ้า(คือบนพื้นโลก)  


ซึ่งเรื่องฟิตนะห์(ของพวกอุละมาอ์ที่กระทำนั้น) กลับได้รับการยกย่องชมเชย

   
ชะอ์บุลอีหม่าน  โดยอัลบัยฮะกี  หะดีษ 1908
  •  

36 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้