Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

เมษายน 28, 2024, 11:09:48 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,625
  • หัวข้อทั้งหมด: 650
  • Online today: 65
  • Online ever: 153
  • (เมษายน 26, 2024, 05:40:09 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 48
Total: 48

วิจัย ศาสนา วาฮาบี ยะฮูดีกับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด

เริ่มโดย L-umar, กันยายน 23, 2009, 11:23:02 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar



คำพูดของอิบนุตัยมียะฮ์ คือ อะกีดะฮ์ของวาฮาบี


อิบนุตัยมียะฮ์ กล่าวว่า

فالشرك إن كان شركا يكفر به صاحبه ، وهو نوعان شرك في الإلهية وشرك في الربوبية ،
فأما الشرك في الإلهية فهو أن يجعل لله ندا أي مثلا في عبادته أو محبته أو خوفه أو رجائه أو إنابته ، فهذا هو الشرك الذي لا يغفره الله إلا بالتوبة منه قال تعالى ( قُل لِلَّذِينَ كَفَرُواْ إِن يَنتَهُواْ يُغَفَرْ لَهُم مَّا قَدْ سَلَفَ ) ، وهذا هو الذي قاتل عليه رسول الله (ص) مشركي العرب لأنهم أشركوا في الإلهية قال الله تعالى ( وَمِنَ النَّاسِ مَن يَتَّخِذُ مِن دُونِ اللّهِ أَندَاداً يُحِبُّونَهُمْ كَحُبِّ اللّهِ وَالَّذِينَ آمَنُواْ أَشَدُّ حُبًّا لِّلّهِ ) ، وقالوا ( مَا نَعْبُدُهُمْ إِلَّا لِيُقَرِّبُونَا إِلَى اللَّهِ زُلْفَى ) ،
وقالوا ( أَجَعَلَ الْآلِهَةَ إِلَهًا وَاحِدًا إِنَّ هَذَا لَشَيْءٌ عُجَابٌ )
وقال تعالى (أَلْقِيَا فِي جَهَنَّمَ كُلَّ كَفَّارٍ عَنِيدٍ ) إلى قوله ( الَّذِي جَعَلَ مَعَ اللَّهِ إِلَهًا آخَرَ فَأَلْقِيَاهُ فِي الْعَذَابِ الشَّدِيدِ ) .
وقال النبي (ص) لحصين : كم تعبد ؟ قال : ستة في الأرض وواحداً في السماء ، قال : فمن الذي تعد لرغبتك ورهبتك ؟ قال : الذي في السماء ، قال : ألا تسلم فأعلمك كلمات ؟ فأسلم ، قال النبي (ص) : قل اللهم ألهمني رشدي وقني شر نفسي .
وأما الربوبية فكانوا مقرين بها ، قال الله تعالى ( وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ ) ، وقال ( قُل لِّمَنِ الْأَرْضُ وَمَن فِيهَا إِن كُنتُمْ تَعْلَمُونَ * سَيَقُولُونَ لِلَّه ِ ) إلى قوله ( فَأَنَّى تُسْحَرُونَ ) وما اعتقد أحد منهم قط أن الأصنام هي التي تنزل الغيث وترزق العالم وتدبره ، وإنما كان شركهم كما ذكرنا اتخذوا من دون الله أندادا يحبونهم كحب الله ، وهذا المعنى يدل على أن من أحب شيئا من دون الله كما يحب الله تعالى فقد أشرك ، وهذا كقوله ( قَالُوا وَهُمْ فِيهَا يَخْتَصِمُونَ * تَاللَّهِ إِن كُنَّا لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ * إِذْ نُسَوِّيكُم بِرَبِّ الْعَالَمِينَ ) ، وكذا من خاف أحدا كما يخاف الله أو رجاه كما يرجو الله وما أشبه ذلك \\\"

الكتاب : مجموع الفتاوى  ج 1 / ص 91  
المؤلف : أحمد بن عبد الحليم بن تيمية الحراني أبو العباس
عدد الأجزاء : 35
  •  

L-umar


คำแปล

อิบนุตัยมียะฮ์  กล่าวว่า


ดังนั้นการทำชีรีก(ตั้งภาคี) แม้ว่ามันเป็นชีรีก ที่ผู้กระทำจะปฏิเสธมัน   และภาคีมี  2 ชนิดคือ

1.   ชีรีก(ภาคี)ในอิลาฮียะฮ์ ( ต่อพระเจ้าในฐานะควรสักการะ)

2.   ชีรีก(ภาคี)ในรุบูบียะฮ์ ( พระเจ้าในฐานะผู้สร้างและดูแล )


ส่วนชีรีกในอิลาฮียะฮ์คือ
 
เขาตั้งภาคีคู่เคียงสำหรับอัลลอฮ์  หมายถึงทำให้เท่าเทียมกัน(ระหว่างอัลลอฮ์กับสิ่งอื่น)ในการอิบาดะฮ์ของเขา การให้ความรักของเขา ความเกรงกลัวของเขา  ความหวังของเขา และการสำนึกผิดของเขา

การกระทำนี้ ถือว่าเป็นการทำชีรีกที่อัลลอฮ์จะไม่อภัยให้เขา ยกเว้นด้วยการเตาบะฮ์จากเขา  อัลลอฮ์ตรัสว่า

قُل لِلَّذِينَ كَفَرُواْ إِن يَنتَهُواْ يُغَفَرْ لَهُم مَّا قَدْ سَلَفَ

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) แก่คนกาเฟ็รทั้งหลายว่า หากพวกเขาหยุดยั้งสิ่งที่แล้วมา ก็จะถูกอภัยให้แก่พวกเขา ( 8 : 38 )  

ชีรีกนี้คือสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ทำการต่อสู้กับพวกมุชริกอาหรับ เพราะพวกเขาได้ตั้งภาคีในเรื่องอิลาฮียะฮ์(พระเจ้าที่ควรสักการะ)  อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

 وَمِنَ النَّاسِ مَن يَتَّخِذُ مِن دُونِ اللّهِ أَندَاداً يُحِبُّونَهُمْ كَحُبِّ اللّهِ وَالَّذِينَ آمَنُواْ أَشَدُّ حُبًّا لِّلّهِ

และบางส่วนของมนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดถือบรรดาภาคี(อันด๊าด) อื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นผู้ที่รักอัลลอฮ์มากยิ่งกว่า (บท  2 : 165 )

พวกเขา(มุชริก)กล่าวว่า
   
مَا نَعْبُدُهُمْ إِلَّا لِيُقَرِّبُونَا إِلَى اللَّهِ زُلْفَى

เรามิได้สักการะบูชาสิ่งเหล่านั้น (เพี่ออื่นใด) นอกจากเพื่อพวกเขาเหล่านั้นจะได้ทำให้เราเข้าใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์ยิ่งขึ้น (บท  39 : 3 )

พวกเขา(มุชริก)กล่าวว่า
   
أَجَعَلَ الْآلِهَةَ إِلَهًا وَاحِدًا إِنَّ هَذَا لَشَيْءٌ عُجَابٌ

เขาได้ทำให้พระเจ้าหลายองค์เป็นอิลาฮ์(พระเจ้า)องค์เดียวกระนั้นหรือ ? แท้จริงนี่เป็นเรื่องประหลาดจริง   ( ศ็อด : 5 )  

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

أَلْقِيَا فِي جَهَنَّمَ كُلَّ كَفَّارٍ عَنِيدٍ

เจ้าทั้งสองจงโยนพวกกาเฟ็รและผู้ดื้อรั้นทุกคนลงไปในญะฮันนัม ( 50 : 24 ) จนถึงอายะฮ์  

 الَّذِي جَعَلَ مَعَ اللَّهِ إِلَهًا آخَرَ فَأَلْقِيَاهُ فِي الْعَذَابِ الشَّدِيدِ

ซึ่งเขาได้ตั้งอิลาฮ์(พระเจ้า)อื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ ดังนั้นเจ้าทั้งสองจงโยนเขาสู่การลงโทษอันสาหัส
( 50: 26 )


ท่านนบี(ศ)  ได้กล่าวกับหุศ็อยนฺว่า :  

ปัจจุบันท่านเคารพบูชา พระเจ้ากี่องค์ ?

เขาตอบว่า : ( ฉันเคารพบูชา7องค์) 6 องค์อยู่ในแผ่นดิน และอีกหนึ่งองค์อยู่บนฟ้า
ท่านนบีถามว่า : แล้วองค์ไหนในหมู่พวกนั้น ที่ท่านเตรียมไว้สำหรับ(วิงวอนขอต่อ)ความต้องการของท่านและในความกลัวของท่าน ?
เขาตอบว่า : องค์ที่อยู่บนฟ้า  
ท่านนบีกล่าวว่า : (โอ้หุศ็อยนฺ ความจริง ) หากท่านเข้ารับอิสลาม ฉันก็จะสอนถ้อยคำต่างๆแก่ท่าน   แล้วหุศ็อยน์ได้รับอิสลาม  
ท่านนบีกล่าวว่า  : ท่านจงกล่าวว่า
اللَّهُمَّ أَلْهِمْنِي رُشْدِي ، وَقِنِيْ شَرَّ نَفْسِي
อัลลอฮุมม่ะ อัลฮิมนี รุชดี วะกินี ชัรร่อ นัฟซี


ส่วน(ชีรีกใน)รุบูบียะฮ์คือ  
เดิมพวกเขา(มุชริกีนอาหรับ)นั้นเป็นผู้ยอมรับต่อเรื่องนั้น   อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ

และถ้าพวกเจ้าถามพวกเขา(มุชริก)ว่า ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน  แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า อัลลอฮ์ ( ลุกมาน : 25 )

และทรงตรัสว่า
 
( قُل لِّمَنِ الْأَرْضُ وَمَن فِيهَا إِن كُنتُمْ تَعْلَمُونَ * سَيَقُولُونَ لِلَّه )ِ  إلى قوله (فَأَنَّى تُسْحَرُونَ )

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) แผ่นดินนี้ และผู้ที่อยู่ในนั้นเป็นของใคร หากพวกท่านรู้  (จนถึงอายะฮ์)
พวกเขาจะกล่าวว่า มันเป็นของอัลลอฮ์ จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ดังนั้นพวกท่านถูกหลอกลวงได้อย่างไร ( อัลมุอ์มินูน : 84-89 )

ไม่มีสักคนหนึ่งในหมู่พวกเขาที่เชื่อว่า  แท้จริง เทวรูป ทั้งหลายนั้นคือผู้ให้ฝน ให้ริซกีแก่ชาวโลก และคอยดูแลมัน

และแท้จริงการทำชีรีกของพวกเขาตามที่เรากล่าวมาแล้วก็คือ  พวกเขาได้ยึดถือบรรดาภาคี(อันด๊าด) อื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์

هذا المعنى يدل على أن من أحب شيئا من دون الله كما يحب الله تعالى فقد أشرك

ความหมายนี้ บ่งบอกว่า ผู้ใดให้ความรักต่อสิ่งหนึ่ง อื่นจากอัลลอฮ์ เหมือนที่เขาให้ความรักต่ออัลลอฮ์ตะอาลา  แท้จริง = เขาได้ตั้งภาคี(ต่ออัลลอฮ์)และนี่เปรียบดั่งที่พระองค์ตรัสว่า

قَالُوا وَهُمْ فِيهَا يَخْتَصِمُونَ * تَاللَّهِ إِن كُنَّا لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ * إِذْ نُسَوِّيكُم بِرَبِّ الْعَالَمِينَ

พวกเขากล่าว ขณะที่พวกเขาโต้เถียงกันอยู่ในนั้น ( ผู้บูชากับเจว็ด )  
ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า  แท้จริงพวกเราอยู่ในการหลงผิด  
ขณะที่พวกเรา ทำให้พวกท่าน(เจว็ด)มีความเท่าเทียมกับร็อบบุลอาละมีน(พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก)  (บท 26: 96-98)

และเช่นเดียวกัน ผู้ใดเกรงกลัวบุคคลหนึ่ง เหมือนที่เขาเกรงกลัวอัลลอฮ์  หรือมีความหวังกับบุคคลหนึ่ง เหมือนที่เขามีความหวังกับอัลลอฮ์  และสิ่งที่คล้ายกันนี้ (จบ).


อ้างอิงจากหนังสือ

มัจญ์มูอุล ฟะตาวา  โดยอิบนุตัยมียะฮ์  เล่ม 1  หน้า 91
  •  

L-umar


อิบนุตัยมียะฮ์  กล่าวว่า

والمشركون من قريش وغيرهم - الذين أخبر القرآن بشركهم واستحل دماءهم وأموالهم وسبي حريمهم وأوجب النار لهم - كانوا مقرين بأن الله وحده خلق السماوات والأرض كما قال ( وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ قُلِ الْحَمْدُ لِلَّهِ بَلْ أَكْثَرُهُمْ لَا يَعْلَمُونَ ) ... .
وكان المشركون الذين جعلوا معه آلهة أخرى مقرين بأن آلهتهم مخلوقة ولكنهم كانوا يتخذونهم شفعاء ويتقربون بعبادتهم إليه كما قال تعالى ( وَيَعْبُدُونَ مِن دُونِ اللّهِ مَا لاَ يَضُرُّهُمْ وَلاَ يَنفَعُهُمْ وَيَقُولُونَ هَؤُلاء شُفَعَاؤُنَا عِندَ اللّهِ ) ... .
وقد قال الله تعالى ( قُلِ ادْعُواْ الَّذِينَ زَعَمْتُم مِّن دُونِهِ فَلاَ يَمْلِكُونَ كَشْفَ الضُّرِّ عَنكُمْ وَلاَ تَحْوِيلاً * أُولَئِكَ الَّذِينَ يَدْعُونَ يَبْتَغُونَ إِلَى رَبِّهِمُ الْوَسِيلَةَ أَيُّهُمْ أَقْرَبُ وَيَرْجُونَ رَحْمَتَهُ وَيَخَافُونَ عَذَابَهُ ) ... .
والمشركون من هؤلاء قد يقولون إنا نستشفع بهم أي نطلب من الملائكة والأنبياء أن يشفعوا ، فإذا أتينا قبر أحدهم طلبنا منه أن يشفع لنا ... ، ومنهم من يتأول قوله تعالى ( وَلَوْ أَنَّهُمْ إِذ ظَّلَمُواْ أَنفُسَهُمْ جَآؤُوكَ فَاسْتَغْفَرُواْ اللّهَ وَاسْتَغْفَرَ لَهُمُ الرَّسُولُ لَوَجَدُواْ اللّهَ تَوَّابًا رَّحِيمًا ) ... .
فهذه الأنواع من خطاب الملائكة والأنبياء والصالحين بعد موتهم عند قبورهم وفي مغيبهم وخطاب تماثيلهم هو من أعظم أنواع الشرك الموجود في المشركين من غير أهل الكتاب وفي مبتدعة أهل الكتاب والمسلمين الذين أحدثوا من الشرك والعبادات ما لم يأذن به الله تعالى قال الله تعالى ( أَمْ لَهُمْ شُرَكَاء شَرَعُوا لَهُم مِّنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَن بِهِ اللَّهُ )

مجموع الفتاوى  ج 1 / ص 155


คำแปล

พวกมุชริกชาวกุเรช(พวกตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์)และอื่นจากพวกเขา ที่อัลกุรอ่านได้เล่าถึงการตั้งภาคีของพวกเขา  เลือด(ชีวิต)ของพวกเขา และทรัพย์สินของพวกเขานั้นเป็นที่ฮะล้าล(อนุมัติ)  และครอบครัวของพวกเขาต้องตกเป็นเชลย และไฟนรกนั้นเป็นวาญิบสำหรับพวกเขา

เดิมพวกเขา(มุชริก)ยอมรับว่า อัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้นคือ ผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน

ดังที่พระองค์ตรัสว่า

وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ قُلِ الْحَمْدُ لِلَّهِ بَلْ أَكْثَرُهُمْ لَا يَعْلَمُونَ

และถ้าสูเจ้าถามพวกเขา(มุชริก)ว่า ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า อัลลอฮ์       จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า การสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ แต่ทว่าส่วนมากของพวกเขานั้นไม่รู้  ( ลุกมาน : 25 )

พวกมุชริก ที่ทำให้มีพระเจ้าอื่นๆหลายองค์เคียงคู่กับอัลลอฮ์นั้นยอมรับว่า แท้จริงบรรดาพระเจ้าของพวกเขาคือมัคลู๊ก(สิ่งถูกสร้าง)  แต่พวกเขาได้ยึดถือพระเจ้าเหล่านั้นเป็น ผู้ขอชะฟาอะฮ์( ผู้ให้ความช่วยเหลือ)  และพวกมุชริกยังแสวงหาความใกล้ชิดยังอัลลอฮ์ ด้วยการเคารพบูชาพระเจ้าเหล่านั้น

ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَيَعْبُدُونَ مِن دُونِ اللّهِ مَا لاَ يَضُرُّهُمْ وَلاَ يَنفَعُهُمْ وَيَقُولُونَ هَؤُلاء شُفَعَاؤُنَا عِندَ اللّهِ

และพวกเขาจะเคารพภักดี(อิบาดะฮ์)สิ่งอื่นไปจากอัลลอฮ์ ที่มิได้ให้โทษแก่พวกเขา และมิได้ให้คุณแก่พวกเขา  และพวกเขาจะกล่าวว่า เหล่านี้คือผู้ขอชะฟาอะฮ์(ผู้ให้การช่วยเหลือ)ของเรา ณ.ที่อัลลอฮ์  

(ยูนุส : 18)

قُلِ ادْعُواْ الَّذِينَ زَعَمْتُم مِّن دُونِهِ فَلاَ يَمْلِكُونَ كَشْفَ الضُّرِّ عَنكُمْ وَلاَ تَحْوِيلاً

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) พวกท่านจงร้องขอ(ความช่วยเหลือกับ)บรรดาสิ่งที่พวกท่านกล่าวอ้างอื่นจากอัลลอฮ์ พวกมันไม่มีอำนาจที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ยากออกไปจากพวกท่านได้และไม่อาจเปลี่ยนแปลง(มันได้)

(อัลอิสรอ : 56)

أُولَئِكَ الَّذِينَ يَدْعُونَ يَبْتَغُونَ إِلَى رَبِّهِمُ الْوَسِيلَةَ أَيُّهُمْ أَقْرَبُ وَيَرْجُونَ رَحْمَتَهُ وَيَخَافُونَ عَذَابَهُ إِنَّ عَذَابَ رَبِّكَ كَانَ مَحْذُورًا

เหล่านั้น ที่พวกเขาวิงวอนนั้น พวกมันก็ยังหวังที่จะหาสื่อ(วะซีละฮ์)เข้าสู่ร็อบ(พระเจ้า)ของพวกมันว่า ผู้ใดในหมู่พวกมันใกล้ชิดที่สุด  และพวกมันยังหวังในความเมตตาของพระองค์และกลัวการลงโทษของพระองค์     แท้จริงการลงโทษของร็อบ(พระเจ้า)นั้นควรน่าระวัง  

(อัลอิสรอ : 57)

พวกมุชริกเหล่านี้ ในบางครั้งพวกเขาก็กล่าวว่า พวกเราขอชะฟาอะฮ์(ความช่วยเลหือ)กับพวกเขาเหล่านั้น หมายถึง เราร้องขอจากบรรดามลาอิกะฮ์และบรรดานบีให้พวกเขา ขอชะฟาอะฮ์(ให้กับเรา) เมื่อเรามาที่หลุมฝังศพของนบีท่านหนึ่งท่านใดของพวกเขา  เราก็ร้องขอจากเขาให้ขอชะฟาอะอ์ให้แก่เรา...

และในหมู่พวกเขา มีผู้ที่ตีความโองการที่อัลลอฮ์ตะอาตรัสว่า

وَلَوْ أَنَّهُمْ إِذ ظَّلَمُواْ أَنفُسَهُمْ جَآؤُوكَ فَاسْتَغْفَرُواْ اللّهَ
وَاسْتَغْفَرَ لَهُمُ الرَّسُولُ لَوَجَدُواْ اللّهَ تَوَّابًا رَّحِيمًا

และมาตรแม้น แท้จริงพวกเขานั้น เมื่อพวกเขาได้อธรรมแก่ตัวเอง (พวกเขา)ได้มาหาเจ้า แล้วพวกเขาขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์
และรอซูลก็ได้ทำการขออภัยโทษให้แก่พวกเขา แน่นอนพวกเขาย่อมพบว่า อัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตา

( 4 : 64 )

ชีรีกประเภทต่างๆเหล่านี้คือ ส่วนหนึ่งจากการสนทนาของ(พวกเขากับ)บรรดามลาอิกะฮ์,บรรดานบีและบรรดาคนศอและห์ หลังจากที่พวกเขาตายแล้ว ที่หลุมฝังศพของพวกเขา และในยามที่พวกเขาไม่อยู่  และการสนทนากับรูปปั้นทั้งหลาย มันคือชีรีกชนิดที่ใหญ่ที่สุด ที่มีอยู่ในหมู่พวกมุชริกีน  อื่นจากพวกชาวคัมภีร์  
และในความบิดอะฮ์(อุตริกรรม)ของชาวคัมภีร์ และบรรดามุสลิมที่ได้อุตริทำขึ้นจากการทำชีรีกและการทำอิบาดะฮ์ต่างๆ  อันเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ตะอาลาไม่เคยอนุญาตต่อมัน

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

أَمْ لَهُمْ شُرَكَاء شَرَعُوا لَهُم مِّنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَن بِهِ اللَّهُ

หรือว่า สำหรับพวกเขานั้น มีภาคีต่างๆ ที่ได้กำหนดศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺได้เคยอนุมัติให้กับมัน

(42 : 21)

อ้างอิงจากหนังสือ

มัจญ์มูอุล ฟะตาวา  โดบอิบนุตัยมียะฮ์  เล่ม 1 : 155
  •  

L-umar


คำพูดของมุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ คืออะกีดะฮ์ของวาฮาบี


มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ กล่าวว่า


وأما التوحيد فهو ثلاثة أنواع توحيد الربوبية وتوحيد الألوهية وتوحيد الأسماء والصفات ،
أما توحيد الربوبية : فهو الذي أقر به الكفارُ على زمن رسول الله (ص) ولم يدخلهم في الإسلام وقاتلهم رسول الله (ص) واستباح دماءهم وأموالهم وهو توحيده بفعله تعالى ، والدليل قوله تعالى ( قُلْ مَن يَرْزُقُكُم مِّنَ السَّمَاء وَالأَرْضِ أَمَّن يَمْلِكُ السَّمْعَ والأَبْصَارَ وَمَن يُخْرِجُ الْحَيَّ مِنَ الْمَيِّتِ وَيُخْرِجُ الْمَيَّتَ مِنَ الْحَيِّ وَمَن يُدَبِّرُ الأَمْرَ فَسَيَقُولُونَ اللّهُ فَقُلْ أَفَلاَ تَتَّقُونَ )
( قُلْ مَن رَّبُّ السَّمَاوَاتِ السَّبْعِ وَرَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ * سَيَقُولُونَ لِلَّهِ قُلْ أَفَلَا تَتَّقُونَ * قُلْ مَن بِيَدِهِ مَلَكُوتُ كُلِّ شَيْءٍ وَهُوَ يُجِيرُ وَلَا يُجَارُ عَلَيْهِ إِن كُنتُمْ تَعْلَمُونَ * سَيَقُولُونَ لِلَّهِ قُلْ فَأَنَّى تُسْحَرُونَ ) ... .
النوع الثاني : وهو توحيد الألوهية ، فهو الذي وقع فيه النِزَاعُ في قديم الدهر وحديثه ، وهو توحيد الله بأفعال العبادة كالدعاء والنذر والنحر والرجاء والخوف والتوكل والرغبة والرهبة والإنابة ،
ودليل الدعاء قوله تعالى ( وَقَالَ رَبُّكُمُ ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ إِنَّ الَّذِينَ يَسْتَكْبِرُونَ عَنْ عِبَادَتِي سَيَدْخُلُونَ جَهَنَّمَ دَاخِرِينَ ) ... .
وأما النوع الثالث : فهو توحيد الذات والأسماء والصفات قال تعالى ( قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ * اللَّهُ الصَّمَدُ * لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ * وَلَمْ يَكُن لَّهُ كُفُوًا أَحَدٌ ) ... \\\"

كتاب : مجموعة التوحيد ص3- 4 .


คำแปล


มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ กล่าวว่า


ส่วนเตาฮีดนั้น มี  3 ชนิด คือ

1.   เตาฮีด รุบูบียะฮ์

2.   เตาฮีด อุลูฮียะฮ์

3.   เตาฮีด อัลอัสมาอ์ วัซ-ซิฟาต



ชนิดที่หนึ่ง - เตาฮีด รุบูบียะฮ์

คือที่พวกกาเฟ็รยอมรับต่อเรื่องนั้นในสมัยท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) และมิได้นำพวกเขาเข้าสู่อิสลาม
และท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ต่อสู้กับพวกเขา  เลือด(ชีวิต)ของพวกเขาและทรัพย์สินของพวกเขาถือว่าเป็นที่อนุมัติ
และมันคือการให้เตาฮีดกับพระองค์ต่อการการกระทำของอัลลอฮ์ตะอาลา
หลักฐานคือ พระดำรัสของอัลลฮอฮ์ ตะอาลา

قُلْ مَن يَرْزُقُكُم مِّنَ السَّمَاء وَالأَرْضِ أَمَّن يَمْلِكُ السَّمْعَ والأَبْصَارَ وَمَن يُخْرِجُ الْحَيَّ مِنَ الْمَيِّتِ وَيُخْرِجُ الْمَيَّتَ مِنَ الْحَيِّ وَمَن يُدَبِّرُ الأَمْرَ فَسَيَقُولُونَ اللّهُ فَقُلْ أَفَلاَ تَتَّقُونَ

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้า และแผ่นดินแด่พวกท่าน หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมอง และใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังจากการตายและเป็นผู้ให้ตายหลังจากมีชีวิตมา และใครเป็นผู้บริหารกิจการ  
แล้วพวกเขาจะกล่าวว่า อัลลอฮ์ ดังนั้นจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า พวกท่านจะไม่ยำเกรงหรือ ( ยูนูส : 31)

قُلْ مَن رَّبُّ السَّمَاوَاتِ السَّبْعِ وَرَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ใครเป็นเจ้าของชั้นฟ้าทั้งเจ็ด และเป็นผู้สร้างบัลลังก์อันยิ่งใหญ่

سَيَقُولُونَ لِلَّهِ قُلْ أَفَلَا تَتَّقُونَ

พวกเขาจะกล่าวว่า มันเป็นของอัลลอฮ์

قُلْ مَن بِيَدِهِ مَلَكُوتُ كُلِّ شَيْءٍ وَهُوَ يُجِيرُ وَلَا يُجَارُ عَلَيْهِ إِن كُنتُمْ تَعْلَمُونَ

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า  อำนาจอันกว้างใหญ่ไพศาลทุกสิ่งอย่างนี้อยู่ในพระหัตถ์ของผู้ใด ? และพระองค์เป็นผู้ทรงปกป้องคุ้มครอง และจะไม่มีใครปกป้องคุ้มครองพระองค์ หากพวกท่านรู้

سَيَقُولُونَ لِلَّهِ قُلْ فَأَنَّى تُسْحَرُونَ

พวกเขาจะกล่าวว่า มันเป็นของอัลลอฮ์ จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ดังนั้นพวกท่านถูกหลอกลวงได้อย่างไร   ( อัลมุอ์มินูน : 84-89 )


ชนิดที่สอง - เตาฮีด อุลูฮียะฮ์

คือที่เกิดความขัดแย้งกันในเรื่องนี้ ทั้งเวลาในอดีตและยุคใหม่
และมันคือการให้เตาฮีดกับอัลลอฮ์ต่อการกระทำต่างๆของอิบาดะฮ์  เช่นการขอดุอาอ์  การบนบาน การเชือด ความหวัง  ความเกรงกลัว การมอบหมาย  ความปรารถนา ความหวาดกลัว และการกลับตัว
หลักฐานเรื่องการขอดุอาอ์คือ พระดำรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา
 
وَقَالَ رَبُّكُمُ ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ إِنَّ الَّذِينَ يَسْتَكْبِرُونَ عَنْ عِبَادَتِي سَيَدْخُلُونَ جَهَنَّمَ دَاخِرِينَ

และพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าได้ตรัสว่า พวกเจ้าจงขอต่อข้าเถิด ข้าจะตอบสนองพวกเจ้าอย่างแน่นอน แท้จริงบรรดาผู้ยิ่งยโสในการนมัสการต่อข้า พวกเขาจะต้องเข้านรกอย่างอัปยศเป็นที่สุด ( อัลมุอ์มิน : 60 )


ชนิดที่สาม - เตาฮีด อัลอัสมาอ์ วัซ-ซิฟาต
คือการให้เตาฮีดกับซ๊าต(อาตมัน) , พระนามและพระคุณลักษณะต่างๆ  อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ * اللَّهُ الصَّمَدُ * لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ * وَلَمْ يَكُن لَّهُ كُفُوًا أَحَدٌ )

1- จงกล่าวเถิด ( มุฮัมมัด )  พระองค์คือ อัลลอฮ์ ผู้ทรงเอกะ  
2- (อัลลอฮ์)ทรงเป็นที่พึ่ง(ของสรรพสิ่งทั้งมวล)  
3- พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ถูกประสูติ  
4- และไม่มีผู้ใด (และสิ่งใด ) เสมอเหมือนพระองค์  
( อัลอิคลาศ 1- 4)

อ้างอิงจากหนังสือ

มัจญ์มูอุต – เตาฮีด  หน้า 3-4
  •  

L-umar

เรา จะทยอยเอาข้อมูล  ลงไปเรื่อยๆ   อินชาอัลลอฮ์
  •  

48 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้