Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 07:48:34 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,701
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 102
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 71
Total: 71

ค่ำที่ 6 สิงหาคม = 15 ชะอ์บาน

เริ่มโดย L-umar, สิงหาคม 04, 2009, 08:58:34 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar



อายะฮ์ที่ 2-  

وَلَقَدْ كَتَبْنَا فِي الزَّبُورِ مِنْ بَعْدِ الذّكْرِ أنَّ الارْضَ يَرِثُهَا عِبَادِي الصَّالِحُون


และโดยแน่นอนเราได้บันทึกไว้ในคัมภีร์ซะบูร หลังจากที่เราได้บันทึกไว้ในเลาฮุลมะห์ฟูซว่า

แท้จริงโลกนี้จะมีปวงบ่าวของเราที่ดีมีคุณธรรมเป็นผู้สืบมรดกมัน


อัลอันบิยาอ์ : 105
  •  

L-umar


อธิบาย



แผ่นดิน (الارض)

ในอายัตคือ โลก จนบัดนี้ยังไม่พบว่ามีบ่าวของอัลเลาะฮ์คนใดปรากฏตัวออกมาจัดตั้งรัฐแห่งความยุติธรรมเลย ดังนั้นในอนาคตจะต้องมีบุรุษหนึ่ง

มาทำให้อายัตนี้เป็นจริง   สองอายัตนี้ถือว่าเพียงพอแล้วที่พิสูจน์ว่า บุรุษที่ชื่ออัลมะฮ์ดีต้องมีจริง และข้อสงสัยในบุรุษผู้นี้ต้องโมฆะไป

สองอายัตดังกล่าวแค่บ่งชี้ว่า อัลมะฮ์ดีต้องมี แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่า เขาเกิดแล้วหรือยัง  เราจึงต้องไปดูที่ฮะดีษว่า มีรายงานไว้อย่างไร ?
  •  

L-umar



ต่อไปนี้คือรายงานฮะดีษที่ระบุว่า     บุรุษชื่ออัลมะฮ์ดี   มีจริง



ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า :  

لَا تَذْهَبُ الدُّنْيَا أَوْ قَالَ لَا تَنْقَضِي الدُّنْيَا حَتَّى يَمْلِكَ الْعَرَبَ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي وَيُوَاطِئُ اسْمُهُ اسْمِي


ดุนยาจะยังไม่สูญสลาย จนกว่าจะมีชายอาหรับมาปกครอง เขาสืบเชื้อสายมา จากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อของฉัน


สถานะหะดีษ : ฮาซัน ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 3573 ตรวจทานโดยเชคชุเอบอัลอัรนะอูฏ
  •  

L-umar



ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า :

لا تقوم الساعة حتى تملأ الأرض ظلما و جورا و عدوانا ثم يخرج من أهل بيتي من يملأها قسطا و عدلا كما ملئت ظلما و عدوانا

วันสิ้นโลกจะยังไม่อุบัติจนกว่าโลกจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยุติธรรม , ความอธรรมกดขี่และความเป็นศัตรูกัน แล้วเมื่อนั้นจะมีบุรุษจากอะฮ์ลุลบัยต์

ของฉันออกมา เป็นผู้ที่จะทำให้โลกนี้เต็มเปี่ยมด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรมดั่งที่เคยเต็มเปี่ยมด้วยความอยุติธรรมและความอธรรมกดขี่


สถานะหะดีษ : ซอฮี๊ฮฺ

ดูอัลมุสตัดร็อกอัลฮากิม หะดีษที่ 8669 ตรวจทานโดยอัซ-ซะฮะบี
  •  

L-umar



สรุป



ประเด็นที่ 1  ความเชื่อเรื่องอัลมะฮ์ดีว่า มีจริงนั้นเป็นอะกีดะฮ์ที่ถูกต้อง มีกุรอ่านและฮะดีษรายงานไว้นับพันฮะดีษจนไม่สามารถปฏิเสธได้
  •  

L-umar



เมื่อพิสูจน์แล้วว่าอัลมะฮ์ดีนั้น  มีจริง



แต่สงสัยว่า เกิดแล้วหรือยัง ?  




เรื่องนี้มุสลิมแบ่งออกเป็น 2  กลุ่มคือ


1.   ซุนนี่เชื่อว่า   ยังไม่เกิด แต่จะเกิดในอนาคต

2.   ชีอะฮ์เชื่อว่า เกิดแล้ว ในปีฮ.ศ.255 และตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่
  •  

L-umar



ประเด็นที่  2  ข้อพิสูจน์ว่า อัลมะฮ์ดีเกิดแล้ว   มีบทนำ 4 หัวข้อ  :
  •  

L-umar



หัวข้อที่ 1 -  


ประวัติศาสตร์กล่าวไว้ ซึ่งความจริงในเรื่องนี้ ต้องได้รับการยืนยันด้วยกัน 2 วิธีคือ

1.   ด้วยฮะดีษมุตะวาติร ของฝ่ายชีอะฮ์/ซุนนี่

2.   ด้วยการคำนวณความเป็นไปได้ (حساب الاحتمال)ว่าเกิดแล้วจริง

วิธีที่ 1 –

การเกิดของอัลมะฮ์ดีเป็นฮะดีษมุตะวาติรอย่างที่ทราบกันดีว่า  มีแหล่งที่มามากมายจากเหล่านักรายงานฮะดีษ ผู้เล่าแต่ละคนมาจากทั่วสาระทิศ การรายงานของพวกเขามีความสอดคล้องกัน

ฮะดีษเรื่องนี้มีรอวีย์ถึง 200 - 300 คนได้เล่าให้เราฟังว่า อัลมะฮ์ดีบุตรชายอิม่ามฮาซันอัสการีเกิดแล้ว  จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เล่า จะรวมหัวกันโกหก    

ทำให้แน่ใจว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว


วิธีที่ 2 -
   
สมมุติว่า ฮะดีษเรื่องอัลมะฮ์ดีเกิดแล้ว ไม่ถึงขั้นมุตะวาติร มีคนเล่าแค่ 4 - 5 คน แต่ถ้าเอามารวมกันจากแหล่งรายงานต่างๆ  ทำให้แน่ใจได้ด้วย

สาเหตุการคำนวนความเป็นไปได้    

เพื่อความเข้าใจวิธีที่ 2 นี้ขอให้พิจารณาตัวอย่างดังนี้ :

เซดป่วยเป็นไข้หวัด2009 ซึ่งตอนนี้วงการแพทย์ยังไม่มียารักษาให้หายได้  ต่อมาฟูลานได้มาเล่าให้เราฟังว่า เซดหายป่วยแล้ว  เราอาจเชื่อ

คำพูดฟูลานได้แค่ 30%

แต่ถ้าเราได้รับข่าวสารเพิ่มเติมว่า ตอนนี้โรคไข้หวัด2009มียาโอลเซลทามิเวียร์รักษาแล้ว เราก็ยิ่งเชื่อคำพูดฟูลานมาก

ขึ้นเป็น 40% - 50% หรือมากกว่านั้น  

ยิ่งถ้าเรารู้ว่า ตอนนี้เซดไม่ได้ทานยานั้นอีกแล้ว เพราะเขาหายแล้ว เราก็ยิ่งแน่ใจมากขึ้น  

แต่ถ้าเราได้ไปเห็นเซดด้วยตาว่า เขานั่งสนทนากับเพื่อนๆหัวเราะร่าเริง  นี่เป็นประจักษ์พยานอีกเช่นกันทำให้เราเชื่อข่าวของฟูลานได้เต็ม

100 %   ฉะนั้น

ข่าวในลักษณะแบบนี้ แม้ความจริงจะไม่ใช่ข่าวมุตะวาติร แต่เมื่อได้ข้อมูลหลายสิ่งหลายอย่างมาประติดประต่อ จึงทำให้เกิดความแน่ใจต่อข่าว

นั้น  

และความเชื่อถือ ความแน่ใจเช่นนี้เรียกว่า ข้อมูลที่เป็นไปได้ว่าจริง หมายความว่า จากข้อมูลประกอบต่างๆทำให้เรื่องที่เราได้รับฟังมา

มีน้ำหนักพอที่จะเชื่อถือได้  

ฉะนั้นการที่เราจะเชื่อถือเรื่องใดๆก็ตามทางประวัติศาสตร์ จะมีความสมบูรณ์ได้ด้วยสองวิธีการดังกล่าวมาคือ

1, เป็นเรื่องมุตะวาติร

2, ถูกคำนวนว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้จริง
  •  

L-umar



หัวข้อที่ 2 -

 
ฮะดีษมุตะวาติร ไม่จำเป็นว่า รอวีย์ต้องษิเกาะฮ์ เพราะเงื่อนไขษิเกาะฮ์(ความน่าเชื่อถือในคำพูด)ถูกกำหนดไว้กับฮะดีษชนิดอื่น

เช่นมีคนเพียง 2 ถึง 3 คนรายงานเรื่องหนึ่งให้เราฟัง กรณีนี้เพื่อทำให้เรื่องนั้นยึดถือเป็นหลักฐานได้ มีเงื่อนไขว่า

รอวีย์ต้องอาดิล(มีคุณธรรม)               แต่ถ้าหากเรื่องนั้นมีคนรายงานถึง100 ,200หรือ 300 คน จำนวนรอวีย์ขนาดนั้นหมายความว่า ได้ทำให้เรื่องนั้นเป็นมุตะวาติรไปโดยปริยาย      จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบความอาดิลของรอวีย์  


ฉะนั้น 1,ความอาดิล และ  2,ความษิเกาะฮ์ เป็นเงื่อนไขสำหรับฮะดีษที่ไม่ถึงขั้นมุตะวาติร    จงระวังอย่าได้สับสนระหว่างฮะดีษมุตะวาติรกับฮะดีษที่ไม่มุตะวาติร   เพราะบางคนคิดว่าจำเป็นต้องนำ 2 เงื่อนไขนี้มาใช้ตรวจสอบฮะดีษมุตะวาติร  ซึ่งถือว่า ความคิดนี้ผิด
เงื่อนไขอาดิลกับษิเกาะฮ์นี้ คือมาตรการตรวจสอบฮะดีษชนิดอื่น ที่ไม่อยู่ในระดับมุตะวาติร


ถาม

ทำไม 2 เงื่อนไขนี้จึงไม่ต้องนำมาใช้กับฮะดีษมุตะวาติร ?  

ตอบ

1, ฮะดีษมุตะวาติรกำหนดให้เราเชื่อได้ 100% เพราะมีคนรายงานไว้มากมาย
ดังนั้นหลังจากเราได้รับความแน่ใจ 100 % ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปตรวจสอบความอาดิลและษิเกาะฮ์ของรอวีย์  
บนพื้นฐานเช่นนี้จึงถือว่า ไม่ใช่สิทธิและไม่ถูกต้องที่เรา จะหยิบยกฮะดีษที่รายงานว่า อัลมะฮ์ดีเกิดแล้ว หรือฮะดีษที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของอัลมะฮ์ดีขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์กันอีกว่า :  

สะนัดฮะดีษเรื่องนี้   ดออีฟ (อ่อนแอ ) , สะนัดฮะดีษเรื่องนี้   มัจญ์ฮูล (ผู้รายงานไม่เป็นที่รู้จัก )  
หรือ
ฮะดีษเรื่องอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วบทนี้มัจญ์ฮูล ฮะดีษบทนั้นก็มัจญ์ฮูล  ฮะดีษอิม่ามมะฮ์ดีบทที่ 1,ที่ 2 ที่ 3และที่ 4...ก็มัตรูก(ถูกทิ้ง) เพราะว่า มันเป็นฮะดีษที่ไม่ซอเฮี๊ยะห์ ยึดเป็นหลักฐานไม่ได้

2, ท่านต้องเข้าใจว่า ฮะดีษที่รายงานว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วนั้น เป็นฮะดีษมุตะวาติร  จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปตรวจสอบ เพราะมาตรการตรวจสอบนี้ จะถูกนำไปใช้กับฮะดีษที่ไม่อยู่ในสถานะมุตะวาติรเท่านั้น  
 
  •  

L-umar



หัวข้อที่ 3 -  


สมมุติว่า   ข้อมูลฮะดีษเรื่องที่อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว  

ประเด็นหลักมีความหมายตรงกัน  

แต่ในรายละเอียดนั้นแตกต่าง


มันก็ยังสร้างความมั่นใจได้อยู่ดีว่า อัลมะฮ์ดีเกิดแล้วจริง  เพื่อความเข้าใจขอให้ท่านพิจารณาตัวอย่างดังต่อไปนี้ :

เราทราบว่า   นายเซดป่วยเป็นไข้หวัด2009  

เวลาต่อมานาย A มาบอกข่าวกับเราว่า เซดหายดีแล้วตอนบ่ายโมง,
ต่อมานาย B มาบอกว่า เซดหายแล้วตอนสองโมงเย็น,
แล้วต่อมานาย C มาแจ้งว่า เซดหายแล้วตอนสามโมงเย็น

ทั้งนาย A, B และ C ล้วนแจ้งเวลาที่เซดหายป่วยไม่ตรงกันสักคน  

แต่ข่าวที่ทั้ง 3 คนเล่าตรงกันคือ  ที่แน่ๆเซดหายป่วยแล้ว


ทีนี้ถ้าหากมีคนที่ 4, 5 และ 6 มาบอกเราอีกว่า   ที่เซดหายป่วยเพราะเซดใช้ยายี้ห้อนั้นยี่ห้อนี้  จะเห็นได้ว่า ความแตกต่างในเรื่องที่คนมาเล่าให้เรารับรู้ว่า เซดหายป่วย ที่จริงแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อยคือ  
เวลาที่หายป่วย    และยี้ห้อยาที่ใช้

แต่ประเด็นหลักที่บอกตรงกันคือ  " เซดหายป่วยแล้ว "  

ถาม
หากเราพบหรือได้ยินเรื่องในลักษณะเช่นนี้ มันพอจะพิสูจน์ได้ไหมว่า เซดหายแล้วจริงๆ ?  
แน่นอนคำบอกเล่าลักษณะเช่นนี้สามารถทำให้ผู้ฟัง เกิดความเชื่อถือได้   ประเด็นหลักคือ ทั้งสามคนแจ้งว่า เซดหายแล้ว  แต่ทั้ง3 คนได้เล่ารายละเอียดเรื่องเวลาแตกต่างกัน

ผลลัพท์ที่ได้ก็คือ  ลักษณะการรายงานฮะดีษเรื่องหนึ่ง ที่มีคนรายงานจำนวนมากมายหลายกระแสหลายทิศทาง เมื่อฮะดีษนั้นมีประเด็นตรงกันในมุมหนึ่งหรือด้านหนึ่งโดยเฉพาะ อันเป็นประเด็นหลัก เราย่อมจะได้รับความแน่ใจในเรื่องนั้นได้ แม้จะมีรายละเอียดของเนื้อเรื่องแตกต่างกันบ้าง

เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีสิทธิ ที่จะนำฮะดีษที่รายงานว่าอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว มาวิพากษ์วิจารณ์กันอีกต่อไป ด้วยข้ออ้างที่ว่า รายละเอียดของฮะดีษเหล่านั้นมันขัดแย้งกัน มันแตกต่างกันเช่น :

รอวีย์คนที่ 1 เล่าว่ามารดาของอิม่ามมะฮ์ดีชื่อนัรญิส, คนที่ 2 บอกชื่อซูซัน คนที่ 3 บอกว่าชื่อ...

หรือ
รอวีย์คนที่ 1เล่าว่า  อิม่ามมะฮ์ดีเกิดคืนวันศุกร์ คนที่ 2 เล่าว่าเกิดคืนวันเสาร์  

หรือ
รอวีย์คนที่ 1 เล่าว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดฮ.ศ. 250  คนที่ 2 เล่าว่า เกิดฮ.ศ.ที่ 255  คนที่ 3 บอกว่าเกิดฮ.ศ. 260


แล้วก็เลยสรุปเอาเองว่า ฮะดีษเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้หรือไม่เป็นที่ยอมรับ
เพราะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันทั้งวัน/เดือน/ปีเกิด  และชื่อมารดาก็ไม่เหมือนกัน...

ทำไมเขาจึงมองข้ามประเด็นหลัก ที่รายงานตรงกันว่า อัลมะฮ์ดีได้เกิดแล้วในศตวรรษที่สาม
  •  

L-umar


หัวข้อที่ 4 -


เราไม่มีสิทธิอิจญ์ติฮ๊าด(วิจัย)เรื่องศาสนาที่ขัดกับตัวบทหลักฐาน (اجتهاد فی مقابل النص)
ในเมื่อเรามีตัวบท(نص) ที่ระบุชัดเจนและมีสายรายงานที่สมบูรณ์จากสองวิธีการดังกล่าว        เพื่อความเข้าใจขอให้ท่านพิจารณาตัวอย่างดังต่อไปนี้  :

อัลลอฮ์ตรัสว่า :

 وَأقِيمُوا الصَّلاَةَ وَآتُوا الزَّكَاة  

พวกเจ้าจงดำรงนมาซ และจ่ายซะกาต  

อัลบะก่อเราะฮ์ : 43


โองการ(อายะฮ์)นี้ระบุชัดว่า   อัลลอฮ์ต้องการให้มุสลิมทำนมาซและจ่ายทานซะกาต

เรียกว่า  เฏาะลับ -  طلب  - แปลว่า ความต้องการ  หรือเรียกร้องให้กระทำ  

สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจคือ

คำสั่งนี้เป็น  วาญิบ(จำเป็นต้องปฏิบัติ )  หรือ มุสตะฮับ(ส่งเสริมให้ปฏิบัติ ซึ่งสามารถละทิ้งได้ โดยไม่ถูกตำหนิ)


ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  
หากมีมุสลิมคนหนึ่งออกมาประกาศว่า ผมจะอิจญ์ติฮ๊าดอายัตนี้ว่า มันไม่ได้ระบุว่า อัลลอฮ์ต้องการให้มุสลิมทำนมาซและจ่ายซะกาต  ซึ่งถ้าใครจะมาวิจัยเช่นนี้  ถือว่าเป็นการวิจัยที่ขัดกับตัวบทอัลกุรอ่าน



แต่ถ้าจะทำการวิจัยว่า ความต้องการในอายัตนี้ เป็นวาญิบหรือมุสตะฮับ  อันนี้อนุญาติให้อิจญ์ติฮ๊าดได้


กรณีฮะดีษเรื่องอิมามมะฮ์ดีเกิดแล้วนั้นก็เช่นกัน   มุสลิมไม่มีสิทธิจะมากล่าวว่า  ผมจะวิจัยฮะดีษที่บอกว่าอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว  เป็นการกระทำที่ไร้ความหมาย

เพราะฮะดีษที่รายงานว่าอัลมะฮ์ดีเกิดแล้วเป็นฮะดีษมุตะวาติรว่าท่านเกิดแล้วในศตวรรษที่สามของฮิจเราะฮ์ศักราช  

ดังนั้นการอิจญ์ติฮ๊าด(การวิจัย)ในเรื่องนี้จึงไม่มีผลตอบสนองใดๆ เพราะสถานะของฮะดีษ อยู่ในระดับมุตะวาติร
  •  

L-umar




อะไรคือ   ปัจจัยเหตุที่ทำให้แน่ใจว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว  ???



เรามีหลายเหตุผล ด้วยกัน  ที่พิสูจน์ว่า    ท่านอิม่ามมะฮ์ดี  บุตรอิม่ามฮาซันอัสการี   เกิดมานานแล้ว


เชิญท่าน ร่วมพิจารณาไปพร้อมๆกัน.......
  •  

L-umar

  •  

L-umar


เหตุผลที่ 1 –

เป็นฮะดีษมุสัลละมาต (مُسَلَّمَاتٌ) คือที่ได้รับการยอมรับทั้งฝ่ายชีอะฮ์และซุนนี่ว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว


ขอยกตัวอย่างเพียง 3 ฮะดีษเท่านั้น

ฮะดีษที่ 1 -   ฮะดีษษะก่อลัยน์

เป็นฮะดีษมุตะวาติรของชีอะฮ์และซุนนี่ ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวไว้หลายวาระหลายสถานที่ด้วยกัน เช่น

ที่การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย(ฮัจญะตุลวิดาอ์)  

ที่ฆ่อดีรคุม

ที่บ้านท่านตอนที่ท่านใกล้จะสิ้นใจ


เนื่องด้วยตัวบทฮะดีษษะเกาะลัยน์นั้นมีความแตกต่างกันไป อันเนื่องมาจากผู้รายงานแต่ละคนได้ฟังฮะดีษมาคนละสถานที่คนละเวลา

เราจึงขอยกรายงานหะดีษเหล่านั้นที่มีสถานะ  \\\" มุตะวาติร \\\"   ทั้งลัฟซี  หรือมะอ์นาวี  มากล่าวดังต่อไปนี้



ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ)กล่าวว่า :  

يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنِّى قَدْ تَرَكْتُ فِيكُمْ مَا إِنْ أَخَذْتُمْ بِهِ لَنْ تَضِلُّوا كِتَابَ اللَّهِ وَعِتْرَتِى أَهْلَ بَيْتِى

โอ้ประชาชนทั้งหลาย ! แท้จริงฉันได้ทิ้งไว้ให้แก่พวกท่านถึงสิ่งซึ่งหากพวกท่านยึดมั่นต่อสิ่งนั้นแล้ว  พวกท่านจะไม่หลงทางโดยเด็ดขาด สิ่ง

นั้นคือคัมภีร์ของอัลลอฮฺ  และอิตเราะตี(คือ)อะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน


อ้างอิงจากหนังสือชีอะฮ์  :

อัลกาฟี  โดยเชคกุลัยนี เล่ม 2 : 415 ฮะดีษที่ 1


และหนังสือซุนนี่

ซอฮี๊ฮฺ ดูซอฮีฮุต-ติรมิซี   หะดีษที่  2978   ตรวจทานโดยเชคอัลบานี

สถานะฮะดีษ :  ซอฮี๊ฮฺ    ดูหนังสือซิลซิละตุซ ซอฮีฮะฮ์ โดยเชคอัลบานี  ฮะดีษที่ 1761




 
  •  

L-umar



قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : إِنِّي تَارِكٌ فِيكُمْ خَلِيفَتَيْنِ كِتَابُ اللَّهِ حَبْلٌ مَمْدُودٌ مَا بَيْنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ أَوْ مَا بَيْنَ السَّمَاءِ إِلَى الْأَرْضِ وَعِتْرَتِي أَهْلُ بَيْتِي وَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَّقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)กล่าวว่า :


แท้จริงฉันได้มอบ 2  คอลีฟะฮ์  ไว้ในหมู่พวกท่าน

(คอลีฟะฮ์แรกคือ) คัมภีร์ของอัลเลาะฮ์คือเชือกทอดอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน และ

(คอลีฟะฮ์ที่สอง) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน

และแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่มีวันแยกจากกัน จนกว่าจะกลับมายังฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาซัร)


สถานะฮะดีษ : ซอฮี๊ฮฺ

ดูซอฮีฮุล ญามิอิซ-ซอฆีร ฮะดีษที่ 2457  ตรวจทานโดยเชคอัลบานี
  •  

71 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้