ข่าว:

SMF - Just Installed!

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - L-umar

#81


ทุกปัญหาที่วาฮาบี  ข้องใจเชิญส่งคำถามไปที่เวบนี้


เมาซูอะฮ์  อัสอิละฮ์ ชีอะฮ์  มินอะฮ์ลิสซุนนะฮ์  


موسوعة أسئلة الشيعة من أهل السنة


http://alsoal.com/
#82
เชื่ออย่างชีอะฮ์ กับ ตายอย่างญาฮิลียะฮ์


ความเชื่อถือศรัทธาที่ชีอะฮ์มีต่ออิมามอัลมะฮ์ดีย์ อ เป็นความเชื่อที่ขึ้นตรงต่อหลักฐานทุกประการที่นักปราชญ์ฝ่ายซุนนะฮ์รับรองว่าถูกต้อง และยอมรับว่าจำเป็นที่ต้องยึดถือ ในประการแรก คือ ความเชื่อถือที่ว่า อิมามของประชาชาติมุสลิมนั้น วาญิบจะต้องเป็น มะอ์ซูม(ผู้บริสุทธิ์ปราศจากความบาป)
หมายความว่า  ถ้าหากอิมามของประชาชาติมุสลิมไม่ใช่มะอ์ซูม คำพูดของอิมามผู้นั้น ไม่อาจได้รับความเชื่อถืออย่างชอบธรรมตามหลักศาสนาได้ ฉะนั้น การทำตามคำสั่งใดๆหรือคำตัดสินใดๆของอิมามประเภทนั้น เป็นข้อสงสัย คลางแคลง ไม่สามารถบริหารจัดการให้สังคมประชาชาติมีความสงบ สันติ และเที่ยงธรรมได้ เพราะเป็นที่แน่นอนว่า อิมามประเภทนั้นมีความผิดพลาด หลงลืม โง่เขลา หรืออาจโกหก ในที่สุด ก็มิอาจเป็นไปตามคำสั่งของอัลลอฮ์ที่ระบุให้เคารพเชื่อฟังเขาได้

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آَمَنُوا أَطِيعُوا اللَّهَ وَأَطِيعُوا الرَّسُولَ وَأُولِي الْأَمْرِ مِنْكُمْ فَإِنْ تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللَّهِ وَالرَّسُولِ إِنْ كُنْتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآَخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلًا

โอ้บรรดาผู้ศรัทธา จงเคารพเชื่อฟังอัลลอฮ์และจงเคารพเชื่อฟังรอซูลและผู้มีอำนาจปกครองจากพวกเจ้า(บรรดาอิมามมะอ์ซูม) ดังนั้น ถ้าหากพวกเจ้าขัดแย้งกันในเรื่องใด ก็จงนำเรื่องนั้นย้อนไปหาอัลลอฮ์และรอซูล ถ้าหากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก (อันนิซาอ์/๕๙)
โองการนี้ระบุชัดว่า ถ้าหากบรรดาผู้ศรัทธาขัดแย้งหรือมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องใด ก็ให้นำเรื่องนั้นย้อนกลับไปหาอัลลอฮ์และรอซูล
แน่นอนอีกเช่นกัน เมื่อย้อนกลับไปหาอัลลอฮ์และรอซูลแล้ว ในโองการนี้ อัลลอฮ์ก็ได้ตรัสไว้อย่างสมบูรณ์อยู่แล้วว่า ต้องเคารพเชื่อฟังอัลลอฮ์ เคารพเชื่อฟังรอซูลและผู้มีอำนาจปกครองจากพวกเจ้า(บรรดาอิมามมะอ์ซูม)
ถ้าหากการแสวงหาข้อยุติที่ถูกต้องของปัญหาใดๆก็ตาม ไม่ได้อยู่ที่บรรดาอิมามผู้ซึ่งเป็นมะอ์ซูม ประชาชาติก็จะเกิดความระส่ำระสาย วกวนและถกเถียงกันไม่มีอันสิ้นสุด
ฉะนั้น การที่อัลลอฮ์ได้ให้น้ำหนักความสำคัญเท่าเทียมกันระหว่างการเชื่อฟัง(ฏออัต)ต่อพระองค์ กับการเชื่อฟัง(ฏออัต)ต่อบรรดาอิมาม ก็เพราะว่าพระองค์ทรงกำหนดให้บรรดาอิมามทุกคนปราศจากความผิดพลาดนั่นเอง
ไม่เช่นนั้น ความหมายของโองการนี้ก็เลื่อนลอย วกวนจนหาข้อยุติในปัญหาขัดแย้งในสังคมไม่ได้
เพราะว่า บรรดาผู้ปกครองที่มิใช่มะอ์ซูมนั้น ย่อมเป็นผู้กระทำความผิดพลาดซึ่งอาจตกในสภาพคนที่ฝ่าฝืนหลักการศาสนาได้อยู่เสมอ ดังนั้นผู้มีความประพฤติผิดต่อหลักศาสนาทุกคน ย่อมเป็นผู้อธรรมต่อตนเองไม่มากก็น้อย เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่มีคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งอิมามตามความหมายนี้ ตามที่อัลลอฮ์ทรงมีโองการว่า

قَالَ إِنِّي جَاعِلُكَ لِلنَّاسِ إِمَامًا قَالَ وَمِنْ ذُرِّيَّتِي قَالَ لَا يَنَالُ عَهْدِي الظَّالِمِينَ

\\\"ทรงตรัสว่า แท้จริงข้าได้แต่งตั้งเจ้าเป็นอิมามของมนุษย์ทั้งหลาย เขากล่าวว่า และส่วนหนึ่งจากเชื้อสายของฉันด้วย ทรงตรัสว่า พันธสัญญาของฉันย่อมไม่แผ่ถึงบรรดาผู้อธรรม\\\"(อัลบะเกาะเราะฮ์/๑๒๔)
คำว่า ผู้อธรรม ในที่นี้ บรรดานักปราชญ์ด้านภาษาอธิบายว่า มิได้หมายความเฉพาะแต่ ความอธรรม ที่มีต่อผู้อื่นเท่านั้น หากแต่มีความหมายครอบคลุมไปถึงความอธรรมต่อตนเองด้วย และคำว่า พันธสัญญาในโองการนี้ ก็มิใช่พันธสัญญาในเรื่องอื่น แต่ทว่า หมายถึงตำแหน่งอิมาม ตามความหมายที่ได้อธิบายผ่านไปแล้วเท่านั้น
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ตำแหน่งอิมามอันยิ่งใหญ่ อันเป็นตำแหน่งซึ่งรองรับการดำรงคงอยู่ของศาสนาและดำเนินกิจการ เกี่ยวกับประชาชาติอิสลามนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องทันที ถ้าหากมอบหมายให้แก่อิมามที่ทำผิดบ้าง ถูกบ้าง
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายศตวรรษฝ่ายอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ ก็ไม่เคยให้บัยอัตแก่ผู้ใด ในตำแหน่งอิมามของ ประชาชาติอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองประเทศมุสลิมประเทศใด บ้านเมืองใดในโลกอิสลาม ทั้งๆที่พวกเขามีหลักฐานระบุอย่างชัดเจนถึงความเชื่อในเรื่องอิมามไว้ในตำรา และพวกเขาก็ไม่มีหลักการให้ตะกียะฮ์ในสังคมที่มีคนมุสลิมเป็นผู้ปกครอง  
ส่วนชีอะฮ์นั้น ยืนยันอย่างเปิดเผยอยู่ตลอดเวลาเสมอมาว่า อิมามของพวกเขาในยุคปัจจุบันนี้คืออิมามมะอ์ซูมคนที่ ๑๒ จากวงศ์วานของนบีมุฮัมมัด ศ และเชื่อถือว่า จะให้สัตยาบันรับรองใครขึ้นเป็นอิมามของพวกเขามิได้ เพราะว่า ในกระบวน  การของบรรดาอิมามที่มิใช่มะอ์ซูมนั้น อาจนำความคิดเห็นที่ผิดพลาดของพวกเขาเข้ามาครอบงำศาสนา เปลี่ยนแปลงหลักการศาสนาได้ ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์จึงได้ปกป้องบรรดานบีและศาสนทูตของพระองค์ให้พ้นจากความผิดพลาดเหล่านี้ทุกประการ
ชีอะฮ์ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ผู้ดำรงตำแหน่งอิมามในยุคปัจจุบัน คืออิมามมะฮ์ดี อ ทั้งนี้ก็เพราะว่า อัลมะฮ์ดีย์ อ เป็นอิมามมะอ์ซูม ตามวจนะของท่านนบี ศ ที่ว่า

يَمْلأُ الأَرْضَ قِسْطًا وَعَدْلاً كَمَا مُلِئَتْ ظُلْمًا وَجَوْرًا
\\\"เขาจะทำให้โลกนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม หลังจากที่มันเคยเต็มเปี่ยมไปด้วยความอธรรมและความผิดพลาด\\\"
(ฮะดีษนี้มีบันทึกอยู่ในสุนันอะบูดาวูด ๔/๑๐๖,๑๐๗ ฮะดีษที่ ๔๒๘๒,๔๒๘๓,๔๒๘๕,เป็นฮะดีษที่อัลบานีย์ระบุว่าศอฮีฮ์ ในหนังสือศอฮีฮ์สุนันอะบีดาวูด๓/๘๐๗,๘๐๘ ฮะดีษที่ ๓๖๐๑,๓๖๐๔ หนังสือมิชกาตุลมะศอบีฮ์ ๓/๑๕๐๑,ฮะดีษที่ ๕๔๕๒,๕๔๕๔ หนังสือญามิอุศศอฆีร ๒/๔๓๘ ฮะดีษที่ ๗๔๘๙,๗๔๙๐ และได้รับรองว่าเป็นฮะดีษศอฮีฮ์ มุสนัดอะห์มัด บิน ฮัมบัล ๓/๒๗,๒๘,๓๖,๓๗,๕๒,๗๐)
ความหมายในฮะดีษดังกล่าวอธิบายให้เห็นว่า ความจริงเหล่านี้มิอาจปรากฏเป็นจริงขึ้นมาได้ นอกจากความเป็นมะอ์ซูม  ของท่าน และความรู้ของท่านในหลักการศาสนาที่บริบูรณ์ครบถ้วน
เราได้กล่าวก่อนหน้านี้ไปแล้วว่า อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ในประเทศอิสลามทั้งหลายนั้น ถึงแม้ว่า จะมีบุคคลที่มีคุณสมบัติ มีคุณลักษณะที่เหมาะสมกับตำแหน่งอิมามตามทัศนะของพวกเขา ที่วาญิบแก่พวกเขาทั้งหมด ต้องให้บัยอัตแก่บุคคลผู้นั้นเป็นอิมามของพวกเขาอยู่ก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่เคยให้การบัยอัตแก่ใคร            
ตามหลักฐานศอฮีฮ์ในมือของพวกเขายืนยันว่า ถึงแม้จะไม่มีบุคคลใด ที่มีคุณสมบัติ คุณลักษณะครบถ้วนตามบทบัญญัติ เรื่องการ \\\"บัยอัต\\\"ก็ยังเป็นวาญิบแก่พวกเขาอยู่ร่ำไป ที่จะต้องให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งในหมู่พวกเขาเป็นอิมามสำหรับมวลมุสลิม เพราะไม่เป็นที่อนุมัติให้มวลมุสลิมถูกละทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่มีอิมาม ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่วก็ตาม
นี่คือ หลักการหนึ่งที่บรรดานักปราชญ์ของพวกเขาวินิจฉัยไว้ในตำรา ฉะนั้น การที่พวกวะฮาบีย์ทั่วทุกหนแห่งมิได้นำพา ต่อการให้สัตยาบันแก่อิมามคนใดของพวกเขา ก็เท่ากับว่า พวกเขาทั้งหมดหรือส่วนมากล้วนเป็นผู้ที่ขัดแย้งต่อคำวินิจฉัยของบรรดานักปราชญ์ของพวกเขาเองที่ให้คำสอนว่า วาญิบแก่มวลมุสลิมทุกยุคทุกสมัยจะต้องให้บัยอัตแก่ผู้ที่เหมาะสมในหมุ่พวกเขาเป็นอิมาม และยังเป็นการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ต่อฮะดีษศอฮีฮ์ต่างๆที่ให้ความหมายในด้านนี้ ด้วยเหตุนี้ การตายของพวกเขา ก็คือการตายในสภาพของญาฮิลียะฮ์ ตามนัยยะของฮะดีษที่นำเสนอมาก่อนแล้ว

 http://www.yomyai.com/index.php?mo=3&art=427140
ท่านบัรซันญีย์กล่าวไว้ว่า  وأما عصمة المهدي ففي حكمه  \\\"สำหรับสภาพอิศมัตของอัลมะฮ์ดีย์นั้น อยู่ในการปกครองของท่าน\\\" (อัลอิชาอะฮ์ ลิอิชรอฏุซซาอะฮ์ หน้า ๑๐๘)
นักปราชญ์อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ท่านนี้ ได้กล่าวอีกว่า
لا يحكم المهدي إلا بما يلقي إليه الملَك من عند الله الذي بعثه إليه يسدِّده ، وذلك هو الشرع الحنيفي المحمدي ، الذي لو كان محمد صلى الله عليه وسلم حياً ورُفعت إليه تلك النازلة لم يحكم فيها إلا بحكم هذا الإمام... ولذا قال صلى الله عليه وسلم في صفته : « يقفو أثري لا يخطئ » فعرفنا أنه متَّبِع لا مشرِّع وأنه معصوم ، ولا معنى للمعصوم في الحكم إلا أنه معصوم من الخطأ ، فإن حكم الرسول لا يُنسب إلى الخطأ ، فإنه لا ينطق عن الهوى ، إن هو إلا وحي يوحى
 \\\"อัลมะฮ์ดีย์จะไม่ปกครองด้วยสิ่งอื่นใด นอกจากจะมีหลักการที่มะลาอิกะฮ์จากอัลลอฮ์มอบให้แก่ท่าน ซึ่งพระองค์ทรงส่งให้แก่ท่าน เพื่อสนับสนุนท่าน และนี่คือ หลักการอันบริสุทธิ์ของศาสดามุฮัมมัด ซึ่งถ้าหากว่า มุฮัมมัด ศ ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ถูกประทานลงมาเหล่านั้น ก็จะถูกนำมามอบให้แก่ท่าน เขาจะไม่ตัดสินด้วยหลักการอื่นใด นอกจากโดยหลักการตัดสินของอิมามท่านนี้...ด้วยเหตุนี้เอง ท่านนบี ศ ได้กล่าวถึงคุณลักษณะของเขาว่า \\\"เขาจะนำแบบฉบับของฉันที่ไม่ผิดพลาดมายืนหยัด\\\" ดังนั้น เราจึงรู้ว่า ท่านคือผู้ปฏิบัติตามคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้วางบทบัญญัติ และท่านคือมะอ์ซูม ความหมายของมะอ์ซูมในการปกครองจะมีไม่ได้เลย นอกจากว่าท่านต้องเป็นมะอ์ซูมที่ปราศจากความผิดพลาด เพราะแท้จริง การปกครองของท่านรอซูลจะไม่นำไปสู่ความผิดพลาด เพราะท่านจะไม่พูดจากอารมณ์ มันหาใช่อื่นใดไม่นอกจากเป็นวะห์ยู ที่ถูกประทานมา เท่านั้น\\\"(หน้า ๑๐ หนังสือเล่มเดียวกัน)
เราจึงกล่าวว่า อิมามอัลมะฮ์ดีย์ อ เป็นมะอ์ซูม การดำรงอยู่ของท่านในยุคปัจจุบันนี้ ยืนยันถึงการเป็นอิมามของท่าน เพราะเหตุว่า ประชาชาติอิสลามเชื่อถือตรงกันอยู่อย่างหนึ่งว่า ในยุคปัจจุบันนี้ นอกเหนือจากอัลมะฮ์ดีย์แล้ว ไม่มีใครเป็นมะอ์ซูม
ไม่เช่นนั้น ก็เท่ากับยอมรับว่ายุคปัจจุบัน เป็นห้วงเวลาที่ปราศจากผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นอิมามนั่นเอง แต่ทว่า นี่แหละคือความผิดพลาด
ผู้เป็นอิมามของประชาชาติมุสลิม วาญิบต้องมีคุณสมบัติตรงตามบทบัญญัติศาสนา นั่นคือ นอกเหนือจากจะเป็นมะอ์ซูม มีพลังทางจิตที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่สภาวะที่เร้นลับ และสูงส่งซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่สามารถจะเข้าถึงได้แล้ว ปัญหาความขัดแย้งอันยิ่งใหญ่ประเภทใดก็ตามในโลกนี้ ที่ถูกทิ้งไว้ให้เป็นช่องว่างแห่งความขัดแย้งของมวลมนุษยชาติและเป็นต้นเหตุของความแตกแยกของประชาชาติอย่างยาวนาน ล้วนจะต้องได้รับการแก้ไข และถูกชำระสะสางโดยอิมามมะอ์ซูม เช่น กรณีความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสะกีฟะฮ์ บะนีสะอีดะฮ์ ซึ่งผลพวงความขัดแย้งในเรื่องคอลีฟะฮ์ในวันนั้น ยังคงมีอยู่ตราบกระทั่งมาจนถึงวันนี้ ทั้งๆที่อัลลอฮ์ทรงมีบัญชาให้สมานฉันท์และห้ามการแตกแยก
 
وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا
  \\\"และจงยึดเหนี่ยวด้วยเชือกของอัลลอฮ์ อย่างพร้อมเพรียงกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน\\\"(อาลิ อิมรอน/๑๐๓)
وَلَا تَنَازَعُوا فَتَفْشَلُوا وَتَذْهَبَ رِيحُكُمْ
\\\"และจงอย่าขัดแย้งกัน เพราะจะทำให้พวกเจ้าพ่ายแพ้และพลังของพวกเจ้าจะสูญสลาย\\\"(อัลอัมฟาล/๔๖)
ดังนั้นความคิดของคนกลุ่มหนึ่งที่ถือว่า อัลลอฮ์ทรงเปิดประตูแห่งความแตกแยกและขัดแย้งอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ไปตลอดกาล กล่าวคือ ทรงมอบหมายภารกิจการเลือกคอลีฟะฮ์ให้แก่พวกเขากันเอง แล้วพวกเขาก็ขัดแย้งกัน นับว่า เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
หากการเป็นคอลีฟะฮ์ มีข้อยุติที่การเลือกตั้ง ก็เป็นที่แน่นอนว่า จะไม่ได้แก่คนที่ดีเด่นที่สุด เพราะว่าระบบการเลือกตั้งคอลีฟะฮ์ ส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์ส่วนบุคคล หรือไม่ก็จะเกี่ยวข้องกับความนิยมเป็นการส่วนตัว และเป็นการชิงดีชิงเด่นกันในเทือกเถาเหล่ากอและวงศ์ตระกูล
คนส่วนใหญ่ต่างพากันผละจากบุคคลที่ประเสริฐที่สุดในหมู่ประชาชาติ ในเมื่อเขาเป็นคนเคร่งครัดในหลักสัจธรรม หรือมีทรัพย์สินและพวกพ้องบริวารน้อยกว่า
แม้ในสังคมแคบๆที่คนทั้งหลายรู้ดีอยู่แล้วว่า ใครคือคนที่ประเสริฐกว่า ดีเด่นกว่า ก็ยังหนีไม่พ้นจากความจริงดังกล่าวนี้ ในสังคมที่กว้างขวางออกไป ในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่หลากหลาย ผู้คนจะประสบกับความยากลำบากสักปานใดในการตรวจสอบและพิจารณาหาคนดีมาเป็นคอลีฟะฮ์
ดังนั้น อัลลอฮ์จึงไม่มอบหมายภารกิจอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับอิมามให้เป็นหน้าที่ของมวลมนุษยชาติโดยลำพัง ซึ่งพระองค์ทรงกล่าวถึงลักษณะที่ผิดพลาด อันน่าชิงชังของมวลมนุษย์ส่วนใหญ่ไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ ดังนี้

وَإِنْ تُطِعْ أَكْثَرَ مَنْ فِي الْأَرْضِ يُضِلُّوكَ عَنْ سَبِيلِ اللَّهِ
และถ้าหากเจ้าปฏิบัติตามคนส่วนใหญ่ในแผ่นดิน พวกเขาจะทำให้เจ้าหลงผิดจากหนทางของอัลลอฮ์ (อัลอันอาม/๑๑๖)

 وَمَا أَكْثَرُ النَّاسِ وَلَوْ حَرَصْتَ بِمُؤْمِنِينَ
และคนส่วนใหญ่จะไม่เป็นผู้ศรัทธา ถึงแม้เจ้าจะปรารถนาอย่างยิ่งก็ตาม\\\" (ยูซุฟ/๑๐๓)
ولكن أكثر الناس لا يعلمون  แต่ทว่า คนส่วนมากไม่รู้(อัลอะอ์รอฟ/๑๘๗) وأكثرهم للحق كارهون และส่วนมากในหมู่พวกเขารังเกียจสัจธรรม (อัลมุมินูน/๗๐)
ตำแหน่งอิมาม ก็คือตำแหน่งของผู้เป็นคอลีฟะฮ์แห่งอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ ฉะนั้น เมื่ออิมามเป็นคอลีฟะฮ์ของ  อัลลอฮ์และรอซูล จึงเป็นไปไม่ได้ที่คอลีฟะฮ์ของอัลลอฮ์และรอซูลฯจะมาจากทางอื่น นอกเหนือจากคำสั่งของอัลลอฮ์และรอซูลเอง
มีโองการจากอัลกุรอานอันทรงเกียรติ มากมายหลายโองการได้อธิบายอย่างชัดเจนว่า การแต่งตั้งนบี การแต่งตั้งอิมาม การแต่งตั้งวะซีร และคอลีฟะฮ์ ถูกยกให้เป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์ และเราไม่เคยพบแม้แต่โองการเดียวจากอัลกุรอานว่า การแต่งตั้งตำแหน่งเหล่านี้ ถูกมอหมายให้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ด้วยกันเอง
เกี่ยวกับการแต่งตั้งนบี จะมีโองการต่างๆเช่น
اذكروا نعمة الله عليكم إذ جعل فيكم أنبياء    พวกเจ้าจงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮ์ที่มีให้แก่พวกเจ้าเถิด เมื่อพระองค์ทรงแต่งตั้งบรรดานบี ในหมู่พวกเจ้า(อัลมาอิดะฮ์/๒๐)
เกี่ยวกับการแต่งตั้งคอลีฟะฮ์ แต่งตั้งอิมาม แต่งตั้งวะซีร(ผู้ช่วย) จะมีโองการต่างๆ เช่น
جعلناك خليفة في الأرض   يا داود إنَّا โอ้ดาวูด แท้จริงเราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นคอลีฟะฮ์ในแผ่นดิน(ศอด/๒๖)
وإذ قال ربك للملائكة إني جاعل في الأرض خليفة และจงรำลึกเมื่อพระผู้อภิบาลของเจ้าได้ตรัสแก่มะลาอิกะฮ์ว่า แท้จริงฉันได้แต่งตั้งคอลีฟะฮ์ในแผ่นดิน(อัลบะเกาะเราะฮ์/๓๐)
قال إني جاعلك للناس إماماً قال ومن ذرّيتي قال لا ينال عهدي الظالمين
ทรงตรัสว่า แท้จริงฉันได้แต่งตั้งเจ้าเป็นอิมาม เขากล่าวว่า และส่วนหนึ่งจากลูกหลานของฉันด้วย ทรงตรัสว่า พันธสัญญาของฉันไม่แผ่ถึงบรรดาผู้อธรรม(อัลบะเกาะเราะฮ์/๑๒๔)
واجعل لي وزيراً من أهلي * هارون أخي  \\\"และโปรดแต่งตั้งวะซีร(ผู้ช่วย)ให้แก่ข้า มาจากครอบครัวของข้า ฮารูนพี่น้องของข้า\\\"(ฏอฮา/๒๙-๓๐)
واجعلنا للمتقين إماماً  \\\"และโปรดแต่งตั้งเราเป็นอิมามสำหรับผู้สำรวมตน\\\"(อัลฟุรกอน/๗๔)
วะฮาบีย์บางคนมักจะกล่าวดูแคลนและติติงโองการเหล่านี้ว่า เป็นโองการประเภทที่มีความหมายครอบจักรวาล (ทั่วไป)ไม่เกี่ยวกับหลักฐานเรื่องอิมาม ตามความเชื่อของชีอะฮ์ แต่ประการใด
ที่แท้ เมื่อเราเชื่อว่า โองการเหล่านี้มีความหมายครอบจักรวาล(ทั่วไป) ก็แสดงว่า ความหมายของโองการเหล่านี้ ครอบคลุมถึงความถูกต้องของความเชื่อในเรื่องอิมาม ตามที่ชีอะฮ์เชื่อถืออยู่ด้วยนั่นเอง
ฮะดีษษะกอลัยน์ ในมือของนักปราชญ์อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ ก็คือ หลักฐานหนึ่งที่ยืนยันถึงอิมามอัลมะฮ์ดีย์ อ ซึ่งได้แก่ คำกล่าวตอนหนึ่งของท่านนบี ศ ว่า
إني تركتُ فيكم ما إن أخذتم به لن تضلّوا بعدي : الثقلين أحدهما أكبر من الآخر ، كتاب الله حبل ممدود من السماء إلى الأرض ، وعترتي أهل بيتي ، ألا وإنهما لن يفترقا حتى يردا عليَّ الحوض.  
 \\\"แท้จริงฉันได้ละทิ้งไว้ในหมู่พวกท่าน ซึ่งสิ่งที่ถ้าหากพวกท่านยึดถือแล้ว พวกท่านจะไม่หลงผิดภายหลังจากฉัน นั่นคือ สองสิ่งหนัก อย่างที่หนึ่งนั้น ยิ่งใหญ่กว่าอีกอย่างหนึ่ง คัมภีร์แห่งอัลลอฮ์ เป็นสายเชือกเชื่อมโยงจากฟ้ามาสู่ดิน และเชื้อสายของฉัน อะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน แน่นอน ทั้งสองสิ่งจะไม่แยกจากกัน จนกระทั่งจะได้ย้อนกลับไปหาฉัน ณ อัลเฮาฎ์\\\"
นี่คือหลักฐานที่ระบุถึงความจำเป็นในการยึดถือต่ออิมามจากอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านนบี ศ ผู้ซึ่งคำพูดใดๆและการกระทำใดๆของท่าน จะไม่แยกออกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์
แน่นอนที่สุด ในปัจจุบันนี้ อิมามอัลมะฮ์ดีย์ อ ยังดำรงอยู่ ท่านคือ เจ้าของตำแหน่งอิมาม เป็นผู้มีสิทธิได้รับการยึดถือ นอกเหนือจากอิมามอัลมะฮ์ดีย์ ล้วนมิใช่มะอ์ซูม เมื่อมิใช่มะอ์ซูม คำพูดและการกระทำของเขาก็จะแยกออกจากอัลกุรอานได้
ถ้าหาก อิมามสูงสุดแห่งประชาชาตินี้ มิใช่อิมามอัลมะฮ์ดีย์ อ แน่นอนที่สุด บรรดามุสลิมทั้งหลายจะต้องเป็นคนบาป ด้วยเหตุว่าละทิ้งกฎบังคับทางศาสนา(ฟัรฎู)ข้อนี้ นั่นก็หมายความว่า ประชาชาติที่น่าสงสารเหล่านี้ร่วมกันอยู่ในความผิดพลาดและความหลงผิดอย่างเป็นเอกฉันท์ และนี่ก็คือ ความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปจากคำพูดของท่านรอซูล ศ ที่กล่าวว่า
 لا تجتمع أمتي على ضلالة أو خطأ
\\\"ประชาชาติของฉัน จะไม่รวมตัวอยู่กับความหลงผิดหรือความผิดพลาด\\\"(สุนันอัตติรมิซีย์ ๔/๔๖๖๐ ฮะดีษที่ ๒๑๖๗ สุนันอิบนุมาญะฮ์ ๒/๑๓๐๓ ฮะดีษที่ ๓๙๕๐)
ซุนนีวาฮาบีย์บางคนก็เชื่อในเรื่องอิมามอัลมะฮ์ดีย์ แต่ยังมีข้อแย้งว่า อิมามอัลมะฮ์ดี อ ยังไม่เกิด และยังไม่มีปรากฏ แต่จะเกิดในยุคสุดท้ายก่อนวันสิ้นโลก และอิมามอัลมะฮ์ดีย์ ก็มิใช่ มุฮัมมัด บิน ฮะซัน อัลอัสกะรีย์ ตามที่ชีอะฮ์แอบอ้าง
คำโต้ตอบในประเด็นนี้ มิใช่ว่า ชีอะฮ์ อิมามียะฮ์ จะให้ไม่ได้ แต่ทว่า นี่คือ หลักศรัทธาที่มุสลิมทุกคนต้องศึกษา ต้องเรียนรู้ด้วยวิจารณญาณอันเที่ยงธรรมและด้วยความจริงใจของตนเอง

จึงขอเรียกร้องให้ซุนนีวะฮาบีย์ที่มีความประสงค์จะพิสูจน์และตรวจสอบหลักความเชื่อเกี่ยวกับอิมามอัลมะฮ์ดีย์ อ ได้อ่านหนังสือที่นักปราชญ์อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ผู้มีชื่อเสียงบางท่านได้เขียนและอธิบายไว้ จะดีที่สุด
นักปราชญ์อะฮ์ลิซซุนนะฮ์เหล่านี้ให้การยอมรับว่า อัลมะฮ์ดีย์ คือ มุฮัมมัด บิน ฮะซัน อัลอัสกะรีย์ อ และท่านยังคงอยู่จนกระทั่งบัดนี้ แต่ความเชื่อเหล่านี้ขัดแย้งกับคำอธิบายของนักปราชญ์อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ส่วนใหญ่ เพราะพวกเขาเห็นว่า ความเชื่ออย่างนี้จะสอดคล้องตรงกันกับมัซฮับชีอะฮ์
ผู้รู้ซุนนะฮ์วะฮาบีย์ น่าจะได้ศึกษาตำราของนักปราชญ์อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ส่วนหนึ่ง ที่เชื่อถือต่ออิมามอัลมะฮ์ดีย์ เช่นเดียวกับความเชื่อของชีอะฮ์ ดังนี้
๑-มุฮัมมัด บิน ฏ็อลหะฮ์ อัชชาฟิอีย์(ฮ.ศ๕๘๒-๖๕๒) กล่าวไว้ในหนังสือมะฏอละบุซซูอูล บทที่ ๑๒
๒-มุฮัมมัด บิน ยูซุฟ บิน มุฮัมมัด อัลกันญีย์ อัชชาฟิอีย์(ฮ.ศ ๖๕๘)กล่าวไว้ในหนังสือ อัลบะยาน ฟี อัคบาร ศอฮิบุซซะมาน)บทสุดท้ายของหนังสือ
๓-อะลี บิน มุฮัมมัด หรือ อิบนุศิบาฆ อัลมาลิกีย์ (ฮ.ศ ๗๘๔-๘๕๕)หนังสือ อัลฟุซูลุลมุฮิมมะฮ์ บทที่ ๑๒
๔-ซิบฏ์ อิบนุ อัลเญาซีย์(ฮ.ศ ๕๘๑-๖๕๔) หนังสือ ตัซกิรอตุลคอวาศ
๕-อับดุลวะฮาบ อัชชะรอนีย์(ฮ.ศ ๘๙๘-๙๗๓) บทที่ ๖๕ หนังสือ อัลยะวากีต วัลญะวาฮิร ฟี อะกออิดิล อะกาบิร
๖-มะห์ยุดดีน  บิน อะรอบีย์(ฮ.ศ๕๖๐-๖๓๘)หนังสืออัลฟุตูฮาตุล มักกียะฮ์ บทที่ ๓๖๖
๗-ศอลาฮุดดีน อัศศ็อฟดีย์(ฮ.ศ ๖๙๖-๗๖๔) กล่าวไว้ในหนังสือ ชัรฮุดดาอิเราะฮ์
๘-มุฮัมมัด บิน อะลีย์ บิน ฏูลูน(ฮ.ศ ๘๘๐-๙๕๓) หนังสือ อัลอะอิมมะฮ์ อิษนาอะชัร



อ้างอิงจากเวบ  http://yomyai.igetweb.com/index.php
#83


กลุ่มวาฮาบีมีความเชื่อว่า     อัลเลาะฮ์ ทรงมี  جِسْـمٌ   คือ มีเรือนร่างและอวัยยะ


نصوص علماء المذاهب الأربعة ونقل الإجماع على تكفير من يقول الله جسم كالأجسام وعلى كفر من يقول الله جسم لا كالأجسام


หลักฐานของอุละมาอ์สี่มัซฮับ มีมติตรงกันต่อการตักฟีร คือฮุก่มว่าเป็นกาเฟ็รต่อผู้ที่กล่าวว่า  อัลเลาะฮ์มีญิสม์(เรือนร่าง)เหมือนร่างต่างๆ  

และเป็นกาเฟ็รต่อผู้ที่กล่าวว่า  อัลเลาะฮ์ทรงมีญิสม์(เรือนร่าง) ไม่เหมือนเช่นร่างต่างๆ



ดูเวบซุนนี่ชื่อ   ดารุลฟัตวา


http://darulfatwa.org.au/content/view/1230/241/


อินชาอัลเลาะฮ์   เราจะทยอยแปลให้ท่านได้อ่านหลักฐานที่แท้จริงว่า   ทำไมอุละมาอ์ซุนนี่จึงฮุก่มว่าพวกวาฮาบีเป็นกาเฟ็ร ???
#85
มุฮัมมัด อิบนุ อับดุลวาฮับ เท่าที่ศึกษาประวัติของท่าน   รู้ว่าท่านเป็นประดุจปุโลหิตแห่งกองโจร   เป็นนักวิชาการให้กลุ่มโจรอิบนุซาอู๊ด ที่ได้ช่วยอังกฤษบ่อนทำลายอาณาจักรอุสมานียะฮ์ (อ็อตโตมาน เติร์ก) จนล่มสลายลง แล้วได้สถาปนาราชวงศ์ซาอุดขึ้น บนแผ่นดินฮารอมมัยน์ ของท่านศาสดา

กองทหารโจรของอิบนุซาอู๊ด ได้ทำการปล้นสะดมพี่น้องมุสลิมที่ไม่ยอมรับในแนวคิดของสำนักคิดวะฮาบีย์ ใครที่ไม่ได้เป็นมุสลิมวะฮาบีย์ ก็จะถูกปล้นชิงเอาทรัพย์สิน เพราะมุสลิมกลุ่มนี้เชื่อว่าคนที่ไม่ใช่วะฮาบีย์ คือพวกชาวนรก ฆ่าได้ไม่บาป เพราะคนกลุ่มนี้(กลุ่มที่ไม่ใช่วะฮาบีย์) ไม่ต่างอะไรจากก้อนหิน ไม่มีค่าอะไรฆ่าได้ ปล้นชิงทรัพย์เอามาแบ่งกันได้ไม่บาป

ถ้าพี่น้องศึกษาเรื่อง T.E. Lawrence of Arabia ท่านจะรู้ว่า นายทหารอังกฤษผู้นี้ได้ร่วมทำอะไรในอาหรับ

และจะได้รู้ว่ามีกองโจรทะเลทรายกลุ่มไหนที่ช่วยทหารอังกฤษผู้นี้ ก่อกวนพวกเติร์กจนเติร์กหัวเสียตั้งตัวไม่ติด และอาณาจักรที่เคยยิ่งใหญ่ก็ล้มสลายลง ด้วยไส้ศึกที่เป็นมุสลิมวะฮาบีย์

และเมื่อสงครามจบลง รัฐบาลอังกฤษได้ออกคำแถลงการณ์บัลโฟร์ (Balfour Declaration) จนเป็นที่มาของรัฐไซออนิสต์อิสราเอล ในแผ่นดินปาเลสไตน์

ก็อาหรับพวกนี้แหละที่ช่วยอังกฤษก่อตั้งรัฐยิวทั้งทางตรงและทางอ้อม หลังจากช่วยล้มอาณาจักรอุสมานนียะฮ์ลง





โดย : mtf_24 :


อ้างอิงจาก

http://www.miftahcairo.com/webboard.php?qNo=158&option=answers&task=show&kword=&start_row=30
#86
ตำรา ความหลงผิดของ \\\"อัลบานีย์\\\" เชควะฮาบีย์ ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นนักหะดิษ

เชิญท่านอ่านได้ที่เวบ

http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=4286.0
#87
วาฮาบีได้กล่าวตักฟีร(ฮุก่มเป็นกาเฟ็ร)

ต่อผู้นับถือศาสนาอิสลามทุกเมือง รวมทั้งอุละมาอ์อิสลามทุกเมือง




เชคอับดุลเราะห์มาน (ฮ.ศ.1193 – 1285 ) หลานของเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบีกล่าวว่า

خُصُوْصاً إذاَ عَرَفَ أَنَّ أَكْثَرَ عُلَماَءِ الْأَمْصاَرِ الْيَوْمَ لاَ يَعْرِفُوْنَ مِنَ التَّوْحِيْدِ إِلاَّ ماَ أَقَرَّ بِهِ الْمُشْرِكُوْنَ

الكتاب : فَتْحُ الْمَجِيْدِ شَرْحُ كِتاَبِ التَّوْحِيْدِ   ص  : 191 - 192
المؤلف : الشيخ عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ حَسَنٍ آلُ الشَّيْخِ (مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ الْوَهَّابِ)

โดยเฉพาะเมื่อได้รู้แล้วว่า  แท้จริงวันนี้อุละมาอ์แห่งบ้านเมืองต่างๆโดยส่วนมากนั้น   พวกเขาไม่รู้จักเข้าใจจากเรื่องเตาฮีดเลย  นอกจากสิ่งที่พวกมุชริกได้ยืนยันรับรองต่อมัน

ดูหนังสือฟัตฮุลมะญีด   หน้า  191 – 192
http://www.arabsdurra.org/Durra_images/files/wfd2ztmynk1zitwuxnk2.jpg




คำถามสำหรับวาฮาบี

ผู้นับถืออิสลามทั้งหมดเป็นพวกมุชริกูน  ยกเว้นลัทธิวาฮาบีเท่านั้นใช่ไหมที่เป็นมุสลิม

สมแล้วที่พวกท่านได้สมญานามว่า   พวกลัทธิตักฟีร  คิดเหมือนยิวจริงๆที่กล่าวว่า สวรรค์เป็นของยิวเท่านั้น


 
#88
หนังสือชื่อ อัลมัจญ์มูอุลมุฟีด มิน อะกีดะติต – เตาฮีด

ผู้แต่ง  เชคอาลี บินมุฮัมมัด บินสินาน  อาจารย์สอนอยู่ในมัสญิดนะบะวีและมหาวิทยาลัยของวาฮาบี


كِتاَبُ : الْمَجْمُوْعُ الْمُفِيْدُ مِنْ عَقِيْدَةِ التَّوْحِيْدِ  مُؤَلِّف : عَلِيُّ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ سِناَنَ



อาลี บินมุฮัมมัดบินสินานได้กล่าวในหนังสือของเขาเล่มนี้ หน้า  55  ว่า  

أَيُّهَا الْمُسْلِمُونَ لَا يَنْفَعُ إسْلاَمَكُمْ إلاَّ إذاَ أَعْلَنْتُمُ الْحَرْبَ الْعَشْواَء عَلَى هَذِهِ الطُّرُقِ الصُّوْفِيَّة فَقَضَيْتُمْ عَلَيْهاَ قاَتِلُوْهُمْ قَبْلَ أَنْ تُقاَتِلُوْا الْيَهُوْدَ وَالْمَجُوْسَ

ท่านพี่น้องมุสลิมทั้งหลาย   จะไม่ให้คุณประโยชน์ใดต่ออิสลามของพวกท่าน  

ยกเว้นเมื่อพวกท่านจะประกาศสงครามต่อพวกตอรีกัตซูฟีเหล่านี้

แล้วพวกท่านได้จัดการต่อมัน  พวกท่านจงต่อสู้กับพวกเขาก่อนที่จะต่อสู้กับพวกยิวและพวกมะญูซี



อ้างอิงจากเวบ
http://alimaklad.blogspot.com/2008/03/blog-post_31.html




คำถามสำหรับวาฮาบี


ท่านคิดว่า  พวกซูฟีตอรีกัต ในประเทศไทยคือศัตรู หมายเลขหนึ่งที่จะต้องสังหารพวกเขาก่อนยิวกระนั้นหรือ
#89
ซอและห์เฟาซานเชควาฮาบี ฮุก่มอะชาอิเราะฮ์ว่าเป็นพวกมุชริก


ภาพเชควาฮาบี
http://www.alriyadh.com/2007/12/08/img/093102.jpg

เขาได้เรียบเรียงหลักสูตรการศึกษาสำหรับปีหนึ่งษานาวีขึ้นเล่มหนึ่งชื่อ อัต-เตาฮีด

التوحيد
للصف الاول الثانوي   تأليف : الدكتور صالح بن فوزان بن عبد الله الفوزان  

ดูภาพปกและตัวบทหนังสืออัตเตาฮีดของเชควาฮาบีชื่อซอและห์เฟาซานได้ที่เวบ
http://al7ewar.net/forum/showthread.php?t=477


ในหนังสือเล่มนี้หน้าที่  66 – 67 เชควาฮาบีชื่อ ซอและห์ เฟาซานได้กล่าวว่า


هؤلاء المشركون  هم سلف الجهمية والمعتزلة  والأشاعرة

คนเหล่านี้คือพวกมุชริก (พวกตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์)  พวกเขาคือสะลัฟแห่งญะฮ์มียะฮ์  พวกมุอ์ตะอ์ซิละฮ์  และพวกอะชาอิเราะฮ์

۩  คำถามสำหรับวาฮาบี

ตกลงท่านเชื่อว่า   ชาวอะชาอิเราะฮ์  คือ  พวกมุชริก  จริงหรือ
#90
อิหม่าม อิบนุอาบิดีน ได้กล่าวในหนังสือของเขาชื่อ

رد المحتار على الدر المختار شرح تنوير الأبصار  ج  4 ص 262

ร็อดดุลมุคต้าร อะลัดดุรริลมุคต้าร ชัรฮุตันวีริลอับศ็อร เล่ม 4 : 262 ว่า

مطلب في أتباع محمد بن عبد الوهاب الخوارج في زماننا :
كما وقع في زماننا في أتباع ابن عبد الوهاب الذين خرجوا من نجد وتغلبوا على الحرمين وكانوا ينتحلون مذهب الحنابلة لكنهم اعتقدوا أنهم هم المسلمون وأن من خالف اعتقادهم مشركون واستباحوا بذلك قتل أهل السنة وقتل علمائهم حتى كسر الله شوكتهم وخرب بلادهم وظفر بهم عساكر المسلمين عام ثلاث وثلاثين ومائتين وألف

หัวข้อเรื่องในการปฏิบัติตามมุฮัมมัด  บินอับดุลวาฮาบ อัลเคาะวาริจญ์ในสมัยของพวกเรา  :  

ตามที่ได้เกิดขึ้นในสมัยของเราในการปฏิบัติตามอิบนุอับดุลวาฮาบ บรรดาผู้ที่ได้ออกมาจากเมืองนัจญ์ด และพวกเขา(สามารถมีอำนาจ)ครอบครองฮะร็อมทั้งสอง(มักกะฮ์และมะดีนะฮ์)ได้  

เดิมทีพวกเขาสังกัดตนตามมัซฮับฮะนาบะละฮ์(ฮัมบาลี)  แต่พวกเขามีความเชื่อว่า พวกเขาคือ << มุสลิม >>

และผู้ที่เชื่อขัดแย้งต่อความเชื่อของพวกเขาคือ  ☻พวกมุชริก(ผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์) ☻


ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงอนุมัติให้สังหารชาวอะฮ์ลุสซุนนะฮ์และอุละมาอ์ของพวกเขา(อะฮ์ลุสซุนนะฮ์) จนกระทั่งอัลเลาะฮ์ทรงบันดาลให้ขวากหนาม(ความยุ่งยาก)ของพวกเขาแตกหัก และทรงทำลายบ้านเมืองของพวกเขา และทรงทำให้กองทัพมุสลิมมีชัยดหนือพวกเขาในปีฮ.ศ.1,233



۩  คำถามสำหรับวาฮาบี

จริงหรือที่ท่านเชื่อว่า  พวกท่านเท่านั้นที่เป็นมุสลิม ส่วนซุนนี่มัซฮับอื่นคือ พวกมุชริก
#91
มุฟตี นครมักกะฮ์  ฟัตวาว่า  วาฮาบี  กาเฟ็ร ซินดี๊ก



เชคอะหมัด บินซัยนี บินอะหมัด ดะฮ์ลาน  อัลมักกี  

الشيخ احمد بن زيني بن احمد دحلان المكي مفتي الشافعية بمكة

มุฟตีมัซฮับชาฟิอีแห่งเมืองมักกะฮ์  มรณะฮศ. 1304   เจ้าของหนังสือ

خُلاَصَةُ الْكَلاَمِ فِيْ بَياَنِ أُمَراَءِ الْبَلَدِ الْحَراَمِ مِنْ زَمَنِ النَّبِيِّ عليه الصلاة والسلام إلَى وَقْتِناَ هَذاَ بالتمام

คุลาเศาะตุลกะลาม  ฟีบะยานิ อุมะรออิลบะละดิลฮะรอม   เล่ม  2  หน้า  228

 

 


เชคอะหมัด บินซัยนี บินอะหมัด ดะฮ์ลานกล่าวว่า   :


وحقيقةُ حالِهم، فإنَّ فتنتهُم مِن أعظمِ الفِتَن التي ظهرت في الإسلام، طاشت من بلاياها العقول، وحار فيها أرباب المعقول، وكان ابتداء ظهور محمد بن عبد الوهاب سنة 1143 ألف ومئة وثلاث وأربعين، واشتهر أمره بعد الخمسين فأظهر العقيدة الزائفة بنجد، وقراها فقام بنصرته محمد بن سعود أمير الدرعية بلاد مسيلمة الكذاب،


สภาพที่แท้จริงของพวกเขา(วาฮาบี)     แท้จริงฟิตนะฮ์(การก่อความวุ่นวาย)ของพวกเขา(วาฮาบี)นั้นนับเป็นฟิตนะฮ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ปรากฏขึ้นในศาสนาอิสลาม

จนสติปัญญาทั้งหลายมึนงงจากบะลาต่างๆของมัน และปัญญาชนทั้งหลายก็งงงวยในมัน   มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบเริ่มปรากฏในปีฮ.ศ. 1143 และเรื่องราวของเขาเริ่มโจษขานกันภายหลังจากปีฮ.ศ. 1150  เขา(มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ) ได้สำแดงอะกีดะฮ์บาติลขึ้นที่เมืองนัจญ์ด และเมืองต่างๆของมัน  แล้วมุฮัมมัด บินสะอู๊ด หัวหน้าแห่งดิรอียะฮ์เมืองของมุซัยละมะฮ์อัลกัซซ๊าบก็ได้ให้การช่วยเหลือสนับสนุนเขา...



ونظروا إلى عقائدهم فوجدوها مشتملة على كثير من المكفرات فبعد أن أقاموا البرهان عليهم كتبوا عليهم حجة عند قاضي الشرع بمكة تتضمن الحكم بكفرهم ونظروا إلى عقائدهم فوجدوها مشتملة على كثير من المكفرات فبعد أن أقاموا البرهان عليهم كتبوا عليهم حجة عند قاضي الشرع بمكة تتضمن الحكم بكفرهم


(มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบได้ส่งคนของเขาจากดิรอียะฮ์ไปที่มักกะฮ์และมะดีนะฮ์เพื่อแสดงอะกีดะฮ์วาฮาบีให้นักวิชาการทั้งสองเมืองรับฟังและทั้งสองฝ่ายมีการถกเถียงกัน)  

พวกเขา(นักวิชาการแห่งมักกะฮ์และมะดีนะฮ์) ได้พิจารณาไปที่อะกีดะฮ์ต่างๆของพวกเขา(วาฮาบี) และพวกเขาพบว่าเนื้อหาโดยส่วนมากมันประกอบไปด้วยเรื่องที่ถูกปฏิเสธ  

แล้วหลังจากที่พวกเขาได้แสดงหลักฐานต่อพวกเขา(วาฮาบี) และได้เขียนหลักฐานให้พวกเขา(วาฮาบี) กับผู้พิพากษาทางศาสนาที่นครมักกะฮ์  จึงได้ออกฮุก่มด้วยการกล่าวว่า  พวกเขา(วาฮาบี )คือกาเฟ็ร



فلما اختبرهم علماء مكة وجدوهم لا يتدينون إلا بدين الزنادقة   فأبى أن يقر لهم في حمى البيت الحرام  قرار  ،ولم يأذن لهم في الحج بعد أن ثبت عند العلماء أنهم الكفار


เมื่ออุละมาอ์แห่งนครมักกะฮ์ได้ทำการทดสอบพวกเขา(วาฮาบี)แล้วพวกเขาได้พบว่า  พวกเขา(วาฮาบี) ไม่ได้ดำเนินตามศาสนาใดเลยนอกจาก ศาสนาของพวกซินดี๊ก จึงได้ปฏิเสธที่จะให้การรับรองต่อพวกเขา(วาฮาบี)ในการปกป้องบัยตุลฮะรอมอันมั่นคง และไม่อนุญาตให้พวกเขา(วาฮาบี)ในการ(มาประกอบ)พิธีหัจญ์

หลังจากได้มีการยืนยันของบรรดาอุละมาอ์ว่า  พวกเขา(วาฮาบี) คือพวกกุฟฟ้าร



ดูภาพหนังสือ และตัวบทหนังสือได้ที่เวบ
http://www.soufia-h.net/showthread.php?t=1486




ชีวประวัติเชคอะหมัด บินซัยนี บินอะหมัด ดะฮ์ลาน  อัลมักกี  

เขาสังกัดมัซฮับชาฟิอี   ฟะกีฮ์(ผู้รู้)  นักประวัติศาสตร์อิสลาม  มีความรู้ในวิชาการอิสลามมากมายหลายสาขา   เป็นหัวหน้ามุฟตีแห่งมัซฮับชาฟิอีที่นครมักกะฮ์  เป็นชัยคุลอิสลาม
เกิดที่นคนมักกะฮ์  ปีฮ.ศ. 1231   มรณะที่นครมะดีนะฮ์ เดือนมุหัรรอมปีฮ.ศ. 1304
เขาแต่งตำราเอาไว้มากมาย และตีพิมพ์อย่างแพร่หลายถ่ายทอดกันมาเช่น    
الأزهار الزينية في شرح متن الألفية ، وتاريخ الدول الإسلامية بالجداول المرضية ، وفتح الجواد المنان على العقيدة المسماة بفيض الرحمن ، والدرر السنية في الرد على الوهابية ،
ونهل العطشان على فتح الرحمن ، في تجويد القرآن ، وخلاصة الكلام في أمراء البلد الحرام ، والفتوحات الإسلامية ،
เป็นต้นฯลฯ   และหนังสือที่ท่านอ่านอยู่ก็เป็นหนังสือที่เขาเรียบเรียง
#92


ท่านสามารถชม   ต้นฉบับหนังสืออิสลาม   ทุกวิชา ทุกศาสตร์  ได้ที่เวบ


http://khizana.blogspot.com/search/label/01%20%D8%A7%D9%84%D8%AA%D9%81%D8%B3%D9%8A%D8%B1
#93
เชคอับดุลเราะห์มาน  มุฮัมมัด  สะอีด  ดิมัชกียะฮ์     อุละมาอ์ผู้โด่งดังคนหนึ่งของวาฮาบี

الشيخ عبد الرحمن محمد سعيد دمشقية

ภาพ

http://img.youtube.com/vi/NQQ9gWw2aGs/0.jpg



ดูบทความ   ตำรับตำรา และการบรรยายของเขาได้ที่เวบ

http://www.saaid.net/Doat/dimashqiah/index.htm




จากนั้นใครจะทราบบ้างว่า  

เชควาฮาบีผู้นี้  ในอดีตเขาได้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยอัซฮัร เลบานอน  

ด้วยข้อหา    ลิว๊าฏ   หมายถึง   การร่วมเพศทางทวาร



นี่คือเอกสารที่ทางมหาลัยประกาศความผิดของเชควาฮาบีผู้นี้

http://www.ahlussunah.org/images/Demashkiah.jpg



ปัจจุบันเชควาฮาบีผู้เสพเมถุน ท่านนี้  ยังทำหน้าที่สั่งสอนศาสนาตามแนวทางวาฮาบี
     
#94
ต่อไปนี้คือหลักฐานต่างๆของซุนนี่  มัซฮับอะชาอิเราะฮ์ที่กล่าวว่า    พวกวาฮาบีเป็นกาเฟ็ร
เชิญเปิดอ่านได้ที่เวบ

http://www.ahlussunah.org/docs/Rudood/Wahabiah/jameil_thesis/wahabiah_new_thesis_index.htm



นักวิชาการอะชาอิเราะฮ์ได้ฮุก่มและออกฟัตวาว่า    มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบี   และพวกวาฮาบีคือ กาเฟ็ร
#95
รายชื่ออุละมาอ์ซุนนี่ฟัตวาว่า  วาฮาบี เป็น กาเฟ็ร


ภาพหนังสือ

http://www.soufia-h.net/showthread.php?t=1486


แล้วจะค่อยๆทะยอยแปลเป็นภาษาไทยให้อ่าน   อินชาอัลลอฮ์
#96

อัลกออิดะห์
อ้างอิงจากเวบ

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C



จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 
ธงของอัลกออิดะห์ในอิรักอัลกออิดะห์ (อาหรับ: القاعدة‎,al-Qā`ida คำแปล: ฐานที่มั่น (The Base), อังกฤษ: Al-Qaeda) เป็นกลุ่มก่อการร้ายสากลชาวอิสลาม ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2531[1] มีนายอุซามะห์ บิน ลาดิน และนาย Ayman al-Zawahiri เป็นหัวหน้า

อัลกออิดะห์ หรืออัลไกดา เป็นองค์กรทางทหารของมุสลิมนิกายซุนนี มีเป้าหมายเพื่อขับไล่อิทธิพลของต่างชาติออกไปจากประเทศมุสลิม สมาชิกส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือลัทธิวะฮาบีย์หรือซาฟาอีย์ อัลกออิดะห์เป็นที่รู้จักจากการก่อวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทำให้สหรัฐอเมริกาออกมาต่อต้านกลุ่มนี้ภายใต้คำว่า "สงครามต่อต้านการก่อการร้าย" กลุ่มนี้ถูกจัดให้เป็นกลุ่มก่อการร้ายโดยสหรัฐอเมริกา[2] อังกฤษ[3] แคนาดา[4] ออสเตรเลีย[5] อินเดีย,[6] ซาอุดิอาระเบีย นาโต[7][8]สหประชาชาติ[9] สหภาพยุโรป [10] อิสราเอล,[11] ญี่ปุ่น[12] เกาหลีใต้,[13] ฝรั่งเศส,[14] เนเธอร์แลนด์,[15] รัสเซีย,[16] สวีเดน,[17] ตุรกี[18] และสวิตเซอร์แลนด์.[19]
#97
หลังจากนักวิชาการฝ่ายวาฮาบีสี่คน  ได้ขึ้นปราศัยทางวิชาการกับนักวิชาการฝ่ายชีอะฮ์หนึ่ง  ที่แสนแสบ


มีพี่น้องมุสลิมมากกมายได้รับความเข้าใจมากขึ้นถึงแนวทางชีอะฮ์  อะฮ์ลุลบัยต์ อะลัยฮิมุสสลามและมีพี่น้องซุนนี่ส่วนหนึ่งถึงกับ

ยอมเปลี่ยนมาเป็นชีอะฮ์เพราะรู้ซึ้งถึงสัจธรรมความจริงในแนวทางชีอะฮ์อาลี     เป็นเหตุทำให้ลัทธิวาฮาบีเสียมวลชนไปอย่างที่ทำอะไรไม่ได้  ได้แต่มองดูด้วยความเสียดาย    และต่อไปนี้คือบทความฝ่ายวาฮาบีที่ได้ระบายความในใจออกมาว่า   การถกกันครั้งนั้นนับเป็นความปราชัยอย่างที่ไม่น่าให้อภัยแก่อาจารย์วาฮาบีทั้งสี่ท่านที่พลาดท่าไม่สามารถโค่นล้มฝ่ายชีอะฮ์ได้อย่างราบคาบ  แต่สุดท้ายพวกวาฮาบีก็ได้ยอมรับความพ่ายแพ้ พร้อมทั้งกล่าวประณามแนวทางชีอะฮ์ต่อไป



ความในใจจากวาฮาบี


ถ้อยแถลงของเรา : ไม่มีประโยชน์ที่จะขึ้นเวทีอภิปรายกับนักเผยแพร่ชีอะฮฺ

ส่งมาโดย mudafia เมื่อ 21/5/2007 23:09:54 (609 ครั้งที่อ่าน)  
 
ความจริงการอภิปราย หรือการโต้เวทีบทเวทีต่อหน้าสาธารณชนโดยทั่วๆไปนั้น หากมีความมุ่งหมายและดำเนินการเพื่อให้เกิดความงอกงามทางวิชาการอย่างแท้จริงแล้ว เป็นสิ่งที่ดีและน่าสนับสนุนเป็นอย่างยิ่ง

หากแต่การอภิปรายนั้นเป็นไปเพื่อการเอาชนะคะคานกันด้วยสำนวนโวหาร หรือเกิดจากการยั่วยุ ท้าทายเพื่อผลแห่งการแพ้ชนะทางจิตวิทยาแต่เพียงอย่างเดียว การอภิปรายนั้นเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง

เหตุการณ์ที่พี่น้องมุสลิมในกรุงเทพมหานครเรียกกันว่า 4 รุม 1 นับเป็นบทเรียนสอนใจชาวอะหฺลุซซุนนะฮฺได้เป็นอย่างดี เมื่ออาจารย์ฝ่ายสุนนีย์สี่ท่านขึ้นเวทีอภิปรายปะทะคารมกับเชคฝ่ายชีอะฮฺที่ขึ้นเวทีเพียงคนเดียว นับเป็นความหาญกล้าของ \\\" ฝ่ายที่มีเพียงหนึ่ง \\\" เป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ของ \\\" ฝ่ายที่มีถึงสี่ \\\" อย่างไม่น่าให้อภัย และนับเป็นเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงของ \\\" ฝ่ายที่มีเพียงหนึ่ง \\\" ชนิดที่ฝ่ายที่มีมากกว่าไม่มีวันจับได้ไล่ทัน

ไม่น่าให้อภัยเพราะอะไร ?

เพราะพวกเรามีมากกว่า ทำไมจึง \\\"รุมเล่นงาน\\\" คนจำนวนน้อยกว่าหากพิจารณาในแง่ความยุติธรรมและจริยธรรมแล้ว ไม่ต้องเปิดฉากอภิปรายในคำแรก พวกเราก็แพ้ตั้งแต่กรรมการเคาะระฆังให้เริ่มชกแล้ว ถ้ารุมเล่นงานเขาจนต้องหยอดน้ำข้าวต้มแล้ว พวกเราจะภาคภูมิใจได้แล้วหรือ ?

เป็นเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงเพราะอะไร ?

เพราะถ้าฝ่ายที่มีเพียงหนึ่งพ่ายแพ้ ก็จะอ้างว่า \\\" ก็มัน 4 รุม 1 นี่นา \\\"แพ้ไปก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหน จริงไหมครับ? ถ้าเสมอ หรือเกิดชนะขึ้นมาฝ่ายที่มีเพียงหนึ่งก็จะตีปีกด้วยความลิงโลดใจ และนำไปใช้เป็นจุดในการโฆษณาชวนเชื่อได้อย่างดีเยี่ยม

เพราะฝ่ายที่มีเพียงหนึ่งฝึกฝนวิชา \\\"ฝ่ามือปราบสุนนีย์ 18 ท่าอรหันต์\\\" ของสำนักเส้าหลินสาขาเมืองกุมมาเป็นพิเศษ จนเกิดความเชี่ยวชาญในการใช้ตรรกโต้เถียงอภิปรายเอาชนะชาวสุนนีย์ โดยเฉพาะลีลาการตั้งคำถามหลอกล่อที่เต็มไปด้วยกับดักพลิกแพลงนั้นพวกเขา \\\"อาเหล่ม\\\" ขนาดหนัก และใช้ได้อย่างพลิกแพลงทีเดียว

เพราะฝ่ายที่มีเพียงหนึ่งเชี่ยวชาญการโฆษณาชวนเชื่อและงานมวลชนพวกเขาชอบท้าทายให้ผู้รู้สุนนีย์ขึ้นเวทีอภิปรายต่อหน้าสาธารณชน ในฐานะที่เชี่ยวชาญความรู้เฉพาะด้านนี้มากกว่า พวกเขาต้องการโค่นผู้รู้สุนนีย์ให้สาธารณชนเห็นต่อหน้าต่อตา จะได้อัดเทปและถ่ายวีดิโอไปเผยแพร่ต่อไปซึ่งในแง่นี้ พวกเขาทำได้ผลเป็นอย่างมาก และเคยทำมาในหลายๆ ประเทศแล้ว

เพราะฝ่ายที่มีเพียงหนึ่งเข้าใจจิตวิทยามวลชนเป็นอย่างดี พวกเขารู้ว่าชาวบ้านนั้นเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่สามารถตัดสินเนื้อหาการถกเถียงทางวิชาการที่ถูกนำเสนอได้ด้วยเหตุผล นอกจากการมีใจโอนเอียงตามอารมณ์ชอบหรือไม่ชอบของตนเอง ฝ่ายที่มีเพียงหนึ่งช่ำชองการใช้สำนวนโวหาร คารมคมคาย มีไหวพริบดีและสามารถควบคุมความรู้สึกของตนเอง ไม่ให้แสดงอาการโกรธและก้าวร้าวได้ในทุกๆ สถานการณ์ ปรากฏกายด้วยชุดของผู้คงแก่เรียน มีภาพลักษณ์ของความสุภาพถ่อมตน นอบน้อมสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าถึงมวลชนได้มากกว่าหลักฐานและข้อโต้แย้งทางวิชาการที่แสนจะเข้าใจยาก

ถ้าผู้รู้สุนนีย์ของเราไม่รู้จักพัฒนาไหวพริบปฏิภาณ หลักการพูดและการโต้วาทีที่ดี ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตนเองในสถานการณ์ที่ถูกยั่วยุและท้าทาย ให้สงบเยือกเย็น ยิ้มและมีอารมณ์ดีได้ตลอดเวลาตลอดจนการมีบุคลิกภาพที่นอมน้อมถ่อมตน ปรากฏกายด้วยกิริยามารยาทที่งดงาม สวมเสื้อผ้าให้สมกับฐานะของ \\\" ผู้รู้ที่น่าเคารพ \\\" นอกเหนือจากการมีความรอบรู้เฉพาะด้านแล้ว รับรองได้เลยว่า แพ้เขาร้อยเปอร์เซ็นต์ในสายตาของสาธารณชน

ท่านผู้รู้ทั้งหลาย!

การขึ้นเวทีอภิปรายโต้เถียงกับนักเผยแพร่ชีอะฮฺในปัจจุบันควรจะหยุดได้แล้ว เพราะแทนที่จะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายอะหฺลุซซุนนะฮฺ มันกลับทำให้เรา เสียมวลชนมากกว่า ไทยอะหฺลุซซุนนะฮฺไซเบอร์ขอเรียกร้องให้บรรดาผู้รู้สุนนนีย์ทั้งหลายยุติการขึ้นเวทีอภิปรายโต้เถียงกับนักเผยแพร่ชีอะฮฺไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดๆ หรือไม่ว่าจะถูกยั่วยุและท้าทายเพียงใดก็ตาม

     ไม่ต้องหวั่นและอับอาย ถ้าจะถูกก่นด่าว่า \\\"ไอ้ขี้แพ้\\\"
     ไม่ต้องหวั่นและอับอาย ถ้าจะถูกขนานนามว่า \\\"คนตาขาว\\\"
     ปล่อยพวกเขาให้เต้นแร้งเต้นกาไปเถอะ มีแรงเต้นก็เต้นไป

ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ท่านผู้รู้สายอะหฺลุซซุนนะฮฺควรกระทำก็คือ :

ศึกษาค้นคว้าตำรับตำราของชาวชีอะฮฺ ในทุกๆ ภาษาที่ท่านมีความสามารถ เพื่อดูว่าพวกเขานำเสนอข้อถกเถียงในประเด็นใดบ้าง และใช้หลักฐานอะไรมาสนับสนุน ทั้งนี้เพื่อท่านจะได้เชี่ยวชาญเรื่องของพวกเขาจาก \\\"แหล่ง\\\" ของพวกเขาเอง

ค้นคว้าตำรับตำราในอดีตอย่างเจาะลึกเพื่อหาข้อหักล้างประเด็นที่ชาวชีอะฮฺนำเสนอ ท่านควรจะตีพิมพ์และเผยแพร่ \\\" ข้อหักล้าง \\\" เหล่านั้นออกสู่สังคมอย่างเป็นวิชาการ ท่านต้องทุ่มหนังสือในแนวนี้เข้าสู่สังคมให้มากขึ้นและลดจำนวนของหนังสือในแนวอื่นๆ ให้น้อยลง

แต่! ไม่ใช่มัวเขียนด่าประณามชาวชีอะฮฺว่าผิดอย่างโน้นอย่างนี้ถ่ายเดียว เพราะมันไม่มีประโยชน์ และไม่ช่วยให้ความกระจ่างแก่ผู้เริ่มมีใจโอนเอียงไปทางชีอะฮฺ(แต่ยังไม่ปลักใจเชื่อ) หรือผู้ที่เพิ่งถูกนักเผยแพร่ชีอะฮฺชักชวนเพียงครั้งสองครั้ง บุคคลเหล่านี้มองหนังสือ \\\"ด่าประณาม\\\" เหล่านั้นในลักษณะลบมากกว่า และยิ่งจะพลักดันให้พวกเขาใกล้ชิด เห็นใจและโอนเอียงไปทางนักเผยแพร่ชีอะฮฺมากยิ่งขึ้น

เผยแพร่และชี้แจงความจริงของเรื่องนี้ให้คนรุ่นใหม่ในสังคมได้รับรู้ ในรูปของการอบรมและการจัดกลุ่มศึกษา โดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษามุสลิม ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของขบวนการเผยแพร่ของชีอะฮฺในประเทศไทยปัจจุบัน

ควรเร่งเสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคีในหมู่ชาวอะหฺลุซซุนนะฮฺด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ยึดมั่นในมัซฮับใดก็ตาม หรือแนวทางใดก็ตาม พวกเราจะต้องยุติท่าทีก้าวร้าวและการเป็นปฏิปักษ์ที่มีต่อกัน เพราะไม่ว่าคณะเก่า หรือคณะใหม่มันก็อะหฺลุซซุนนะฮฺเหมือนกัน เราต้องสร้างจิตสำนึกร่วมตัวนี้ให้ได้ และทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า เรากำลังมีศัตรูร่วมตัวเดียวกันที่อันตรายที่สุดในปัจจุบัน

เราจะต้องไม่หลงกลการตอกลิ่มของชาวชีอะฮฺที่พยายามแยกคณะชาวอะหฺลุซซุนนะฮฺ พวกเขาต้องการแยกผู้ยึดมั่นในแนวทางสุนนะฮฺอย่างเคร่งครัด(ไม่ว่าจะเรียกหาด้วยนามใด อาทิ คณะใหม่ วะฮาบีย์ หรือสะลาฟีย์)ออกจากผู้ยึดมั่นในแนวทางมัซฮับ และยุแหย่ให้ทั้งสองฝ่ายแตกแยกกันมากยิ่งขึ้น

อาทิ พวกเขาบอกว่า พี่น้องที่มีมัซฮับนั้นเป็นมุสลิมเหมือนกัน แต่พวกวะฮาบีย์ไม่ใช่ พวกนี้ไม่ใช่มุสลิม เป็นพวกอเมริกาและยิว ทำให้พวกที่มีมัซฮับเกลียดชังวะฮาบีย์มากยิ่งขึ้น

ผู้รู้สายอะหฺลุซซุนนะฮฺต้องรู้จักประมาณตน อย่าคิดว่าเราเก่ง เรารู้มากเกี่ยวกับเรื่องชีอะฮฺ พยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง ต้องรู้ว่า \\\"เหนือฟ้ายังมีฟ้า\\\" และ \\\"เหนือคนเก่งยังมีคนเก่ง\\\"

พยายามอย่าไปโต้เถียงและปะทะคารมกับชาวชีอะฮฺอย่างเด็ดขาด อย่าเอาชนะคะคานกันในลักษณะนี้เลย ยิ่งท่านชอบปะทะคารมด้วยแล้ว วันหนึ่งเขาจะยั่วยุให้ท่านขึ้นเวที เมื่อนั้นท่านจะ \\\"ถูกเชือดต่อหน้าต่อตาคนดู\\\" เพราะท่านเองอาจจะไม่เก่งจริงๆ อย่างที่คิดก็ได้ เพราะในเหตุการณ์ \\\"สี่รุมหนึ่ง\\\" นั้น \\\"หนึ่ง\\\" ของเขาคนนั้นยังเป็นเพียงแค่ \\\"มือรอง\\\" หรือมวยแทนเท่านั้น พวกเขายังมี \\\"เชค\\\" ที่เชี่ยวชาญและเก่งกว่าคนนั้นอีกนะครับ

ควรรู้ว่าการโต้คารมกับชาวชีอะฮฺไม่มีประโยชน์ เพราะพวกเขาไม่ได้ใช้หลักฐานใน \\\"มาตรฐาน\\\" เดียวกันกับเรา และแม้จะใช้ตำรับตำราของพวกเรา พวกเขาก็ใช้อย่างมีชั้นเชิง คิดว่าตามพวกเขาทันแล้วหรือ ?

ในตำราเล่มเดียวกันที่ชาวชีอะฮฺยกมาอ้าง หรือแม้กระทั่งในหนังสือหะดีษเล่มเดียวกันที่พวกเขานำมาสนับสนุน พวกเขาจะรับเฉพาะ \\\"ส่วน\\\" ที่เป็นประโยชน์และเป็นคุณเอื้อต่อการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขา อาทิ หะดีษที่รายงานถึงความผิดพลาดและความบกพร่องของเศาะหาบะฮฺบางท่านพวกเขาจะไม่คำนึงถึงการตรวจสอบความถูกต้องน่าเชื่อถือของสายรายงาน ซึ่งต้องกระทำตามหลักวิชาหะดีษเป็นลำดับแรกเสียก่อน แต่ขณะเดียวกันพวกเขาจะไม่ยอมรับหะดีษที่รายงานเกี่ยวกับความประเสริฐและคุณความดีของบรรดาเศาะหาบะฮฺ สำหรับรายงานเหตุการณ์จากหนังสือประวัติศาสตร์ พวกเขาก็จะปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน

แม้กระทั่งหลักฐานจากลูกหลานของท่านอะลี รอฎิฯ ที่พวกเขานับถือ และจินตนาการว่าเป็นอิมามผู้ปราศจากความผิดบาป หรือรายงานจากสมาชิกในครัวเรือนของท่านนบี ศ็อลฯ ที่คัดมาจากตำรับตำราของชาวชีอะฮฺเอง ถ้าเป็นรายงานที่พาดพิงถึงความผิดพลาดและความไม่ดีของชาวชีอะฮฺ หรือรายงานที่สวนทางกับความเชื่อของพวกเขา หรือคัดค้านความเชื่อของพวกเขา พวกเขาจะไม่ยอมรับและอ้างว่า ท่านเหล่านั้นกล่าวคำพูดเหล่านั้นไปเพราะต้องการที่จะทำตะกียะฮฺ(อำพรางความจริง)

ด้วยเหตุฉะนี้ เราจึงหวังว่าผู้รู้ของเราจะได้มีบทบาทในการปกป้องความเชื่อ หลักยึดมั่น และความจริงตามแนวอะหฺลุซซุนนะฮฺได้อย่างมีผล และมีประสิทธิภาพมากขึ้น เราอยากเห็นท่านเป็นนักเขียน นักแปลและนักค้นคว้าวิจัยมากขึ้นกว่าการเป็นนักพูด สังคมของเรามีนักพูดมากอยู่แล้วเราน่าจะสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรทางด้านการเขียนและการแปลให้มากขึ้น และดำเนินการกันอย่างจริงจัง

ดูสิว่าถ้าเราทุ่มเททำกันอย่างจริงจัง เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและมุ่งมันแล้ว นักเผยแพร่ชีอะฮฺจะรุกคืบในสังคมของเราได้อย่างไร

Thai Ahlus Sunnah Cyber
18 เมษายน 2543/ 13 มุฮัรรอม 1421
 

อ้างอิงจากเวบ  

http://www.sunnahcyber.com/truepath/modules/news/article.php?storyid=15


คำถามสำหรับวาฮาบี


ท่านคิดว่า    ประชาชนที่มาฟัง   พวกเขาโง่เขลา แยกแยะสิ่งถูกสิ่งผิดไม่ออกในการถกกันระหว่างวาฮาบีกับชีอะฮ์ที่แสนแสบกระนั้นหรือ    หรือว่า พวกท่านยอมรับความจริงไม่ได้เอง
#98
Q4 วาฮาB 13  กะอับอัลอะห์บาร  ต้นกำเนิดหะดีษตัชบี๊ห์และตัจญ์ซีม



เจ้าของข้อมูลเก่าแก่ที่สุดแห่งหะดีษที่เปรียบอัลลอฮ์เหมือนมัคลู๊กหรือทรงมีเรือนร่างมีอวัยวะนั้นมีที่มาจาก  

► กะอับ  อัลอะห์บ้าร ◄


► รายชื่อซอฮาบะฮ์ ที่รับหะดีษเรื่องพระเจ้ามีเรือนร่างจากกะอับ อัลอะห์บ้ารคือ

1.   ท่านอุมัร บินคอตตอบ
2.   อับดุลเลาะฮ์  อิบนิอุมัร
3.   อะบู มูซา อัลอัชอะรี
4.   อะบู บักเราะฮ์  บินอะบูมูซา
5.   อับดุลลอฮ์ บินอัมรู บินอัลอาศ
6.   อะบู ฮุร็อยเราะฮ์


► ต่อมา ผู้ปกครองแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์  
ได้สานความเชื่อทางการเมืองนี้ต่อ  โดยสั่งประชาชนให้รับความเชื่อจากยิวที่เข้ารับอิสลามแล้วสอนความเชื่อให้มุสลิม จนหะดีษของพวกเขาแพร่หลายกลายเป็นหลักฐานสำคัญ แล้ววัฒนธรรมความเชื่อของยิวจากในคัมภีร์เตารอตที่ถูกตะห์รีฟได้ถ่ายทอดเข้าสู่สังคมมุสลิมและกลายเป็นวัฒนธรรมความเชื่อของมุสลิม


► รายชื่อตาบิอีน  
ที่รับวัฒนธรรมความเชื่อของยิวเรื่องพระเจ้ามีเรือนร่างมีมากมายเช่น

มุกอติล  บินสุลัยมาน และสานุศิษย์ของเขา
วะฮับ  บินมุนับบิฮ์ และพี่น้องของเขา
ฮาซัน อัลบัศรี่ และสานุศิษย์ของเขา
หัมม๊าด บินสะละมะฮ์ และสานุศิษย์ของเขา
มุกอติล  บินสุลัยมาน อัลบัลคี และสานุศิษย์ของเขา...


►ต่อมา กาหลิบแห่งราชวงศ์อับบาซียะฮ์
ได้ดำเนินความเชื่อตามเส้นทางเดียวกันนี้ต่อ  โดยเฉพาะกาหลิบมุตะวักกิลอับบาซี พระองค์ถึงกับให้การอุปถัมภ์และเชิดชูนักวิชาการแนวมุญัสสะมะฮ์(เชื่อเรื่องพระเจ้ามีเรือนร่าง)และตั้งให้เป็นมัซฮับของทางการ
รายชื่อนักวิชาการมัซฮับมุญัสสะมะฮ์ที่ได้รับการเชิดชูเช่น

1.   อะหมัด  บินฮัมบัล
2.   อัลบุคอรี
3.   อะบู ยะอ์ลา อัลมูศิลี
4.   อัส สิมนานี
5.   อัด ดาริมี
6.   อะบุลอับบาส  อัสสัรร็อจญ์
7.   อิสฮ๊าก อัลฮันซ่อลี..
และยังมีพวกมุชับบิฮะฮ์และมุญัสสิมะฮ์อีกมากมาย  ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ได้นำวัฒนธรรมความเชื่อของยิวเรื่องพระเจ้ามีเรือนร่างมาสั่งสอนในหมู่มุสลิม  โดยได้รับสนับสนุนจากผู้ปกครองแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์  ต่อจากนั้นก็พวกกาหลิบแห่งราชวงศ์อับบาซียะฮ์(มีกาหลิบบางคนไม่ยอมรับ)  



۩   คำถามสำหรับวาฮาบี

1- หากท่านตัดรายงานหะดีษของบุคคลเหล่านี้ออกคือ
กะอับอัลอะห์บ้ารและสานุศิษย์ของเขา
ท่านอุมัร บินคอตตอบและอิบนุอมัร
อะบูมูซา อัลอัชอะรีและบุตรของเขา

จะเหลืออะไรอยู่กับพวกท่านอีกเกี่ยวกับหะดีษที่รายงานเรื่องซิฟัตของอัลลอฮ์ที่บรรดามุสลิมยึดถือว่าพระองค์มีเรือนร่างและมีลักษณะคล้ายมัคลู๊ก ?

2–ท่านจะว่าอย่างไร กับสิ่งที่ท่านซะฮะบีที่ได้เล่าถึงคำพูดของท่านอิม่ามมาลิก(หัวหน้ามัซฮับมาลิกี)เกี่ยวกับหะดีษมุญัสสิมะฮ์(คืออัลลอฮ์มีอวัยวะ)ว่า แท้จริงหะดีษเหล่านี้มีที่มาจากคนรุ่นตาบิอีนที่เป็นเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่กับพวกอุมัยยะฮ์  ซึ่งตาบิอีนเหล่านั้นไม่ใช่ผู้รู้  

ท่านซะฮะบีเล่าว่า

أَبُو أَحْمَدَ بْنُ عَدِىٍّ : حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ عَلِىٍّ الْمَدَائِنِىُّ ، حَدَّثَنَا إِسْحَاقُ بْنُ إِبْرَاهِيمَ بْنِ جَابِرٍ ، حَدَّثَنَا أَبُو زَيْدِ بْنُ أَبِى الْغَمْرِ قاَلَ ابْنُ الْقَاسِمِ سَأَلْتُ ماَلِكاً عَمَّنْ حَدَّثَ بِالْحَدِيْثِ الَّذِيْ قاَلُوْا : إنَّ اللهَ خَلَقَ آدَمَ عَلَى صُوْرَتِهِ، وَالْحَدِيْثُ الَّذِيْ جاَءَ : إنَّ اللهَ يَكْشِفُ عَنْ ساَقِهِ، وَأَنَّهُ يُدْخِلُ يَدَهُ فِي جَهَنَّمَ حَتَّى يُخْرِجَ مَنْ أَراَدَ ، فَأَنْكَرَ ماَلِكُ ذَلِكَ إِنْكاَراً شَدِيْداً وَنَهَى أَن يُحَدِّثَ بِهاَ أَحَدٌ ! فَقِيْلَ لَهُ إِنَّ ناَساً مِنْ أَهْلِ الْعِلْمِ يَتَحَدَّثُوْنَ بِهِ فَقاَلَ : مَنْ هُوَ ؟ قِيْلَ ابْنُ عَجْلَانَ عَنْ أَبِي الزِّنَادِ ، قاَلَ لَمْ يَكُنْ ابْنُ عَجْلَانَ يَعْرِفُ هَذِهِ الْأَشْياَءَ وَلَمْ يَكُنْ عَالِماً، وَذَكَرَ أَباَ الزِّناَدِ فَقاَلَ : لَمْ يَزَلْ عاَمِلاً لِهَؤُلاَءِ حَتَّى ماَتَ

อะบูอะหมัด บินอะดี : อะหมัด บินอาลี อัลมะดาอินีได้เล่าให้เราฟัง, อิสฮ๊าก บินอิบรอฮีมบินญาบิรได้เล่าให้เราฟัง,  อะบูเซด บินอะบิลฆ็อมริได้เล่าให้เราฟัง,  อิบนุกอสิมเล่าว่า :

ฉันได้ถามอิม่ามมาลิก
เกี่ยวกับผู้ที่รายงานด้วยหะดีษ  ซึ่งพวกเขาเล่าว่า  แท้จริงอัลลอฮ์ได้สร้างอาดัมมาบนรูปลักษณ์ของพระองค์ และหะดีษที่มีมาว่า แท้จริงอัลลอฮ์จะเลิกหน้าแข้งของพระองค์  และพระองค์จะนำมือของพระองค์เข้าไปในนรกญะฮันนัมจนทรงนำออกมา(จากนรก)ผู้ที่พระองค์ต้องการ  

อิม่ามมาลิกได้ปฎิเสธสิ่งนั้นอย่างรุนแรงและท่านได้สั่งห้ามคนใดเล่าถึงมัน

จึงมีคนกล่าวกับท่านว่า มีคนกลุ่มหนึ่งเป็นผู้มีความรู้พวกเขาได้รายงานถึงมัน  อิม่ามมาลิกได้ถามว่า  เขาเป็นใคร ?   มีคนกล่าวว่าเขาคือ  อิบนุอัจญ์ลาน(ซึ่งเขา)ได้รายงานจากท่านอะบุซซินาด  

อิม่ามมาลิกกล่าวว่า  อิบนุอัจญ์ลานไม่เคยรู้จักสิ่งเหล่านี้เลยและเขาไม่ได้เป็นผู้รู้

และเขาได้กล่าวถึงอะบุซซินาด

อิม่ามมาลิกกล่าวว่า  เขา(อะบุซซินาด)ยังคงเป็นคนงานของพวกเขาเหล่านี้จนเขาเสียชีวิต

ดูหนังสือสิยัร อะอ์ลามุนนุบะลาอ์  เล่ม 8 : 103



วรรคที่อิม่ามมาลิกกล่าวว่า << เขา(อะบุซซินาด)ยังคงเป็นคนงานของพวกเขาเหล่านี้ >> หมายถึงพวกตระกูลอุมัยยะฮ์


3 – ถ้าหากหะดีษที่เล่าว่า อัลลอฮ์มีเรือนร่างอวัยวะเหล่านี้เป็นหะดีษที่ซอฮิ๊ฮ์จริงๆ อีกทั้งเป็นอะกีดะฮ์ที่สำคัญมากในศาสนาอิสลาม  แน่นอนมันคงเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในสมัยท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ) จากบรรดาซอฮาบะฮ์ทุกๆคนหรือโดยส่วนมาก  
แต่ทำไมซอฮาบะฮ์โดยส่วนมากกลับไม่เคยรายงานถึงหะดีษเหล่านี้ ที่ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังปฏิเสธมันอีกด้วย  ทำไม ???
#99
วาฮาบี ระเบิดสิ่งที่ชาวพุทธเคารพบูชา

 طالبان وهابي هدم بودا در باميان




ในปีพุทธศักราชที่  2544 ตรงกับคริสตศักราชที่ 2001  กลุ่มตาลีบันหรือตอลีบอน นักรบวาฮาบีแห่งประเทศอัฟกานิสถานได้ระเบิดทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยัน   เป็นพระพุทธรูปยืนจำนวนสององค์ที่สลักอยู่บนหน้าผาสูงสองพันห้าร้อยเมตรในหุบผาบามียัน ณ จังหวัดบามียัน ในพื้นที่ฮาซาราจัตทางตอนกลางของประเทศอัฟกานิสถาน อันห่างจากกรุงคาบูลไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณสองร้อยสามสิบกิโลเมตร หมู่พระพุทธรูปนี้สถาปนาขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 10 ตามศิลปะแบบกรีกโบราณ  


ชมภาพ
http://www.palungdham.com/buddhism/bamiyan.jpg

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/302/5302/images/Bamiyan.jpg

http://gdb.rferl.org/3FFBCC67-17D4-4552-BAAB-B1D350AABBCA_mw800_s.jpg

ภาพตอนที่พวกตาลีบันระเบิดเทวรูป
http://modersmal.skolutveckling.se/daripashto/dari/foto_album/The%20distruction%20of%20Bamyan%20Statue%20by%20the%20savages%20Taliban.jpg

หมู่พระพุทธรูปนี้ถูกทำลายด้วยระเบิดไดนาไมต์เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2544 ตามคำสั่งของนายมุลลา มูฮัมมัด อูมัร ประมุขของรัฐบาลตาลิบัน ซึ่งเขาได้อ้างแบบโง่และผิดๆว่า กฎหมายอิสลามไม่อนุญาตให้บูชารูปปั้นรูปเคารพ

ในขณะที่นานาประเทศต่างประณามการกระทำของรัฐบาลตอลิบานอย่างรุนแรง เพราะหมู่พระพุทธรูปนี้มิใช่สมบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแต่เป็น \\\"มรดกโลก\\\" อันเป็นสาธารณสมบัติและความภาคภูมิใจของคนทั้งโลก

การกระทำของวาฮาบีตอลิบันเหล่านี้ถือว่า เป็นการขัดกับอัลกุรอ่านอย่างสิ้นเชิง  


อัลเลาะฮ์ตะอาลา ได้ตรัสว่า

وَلَا تَسُبُّوا الَّذِينَ يَدْعُونَ مِنْ دُونِ اللَّهِ فَيَسُبُّوا اللَّهَ عَدْوًا بِغَيْرِ عِلْمٍ

และพวกเจ้าจงอย่าด่าว่า บรรดา(เทวรูป)ที่พวกเขาวิงวอนขออื่นจากอัลลอฮ์   แล้วพวกเขาก็จะด่าว่าอัลลอฮ์เป็นการตั้งตนเป็นศัตรูโดยปราศจากความรู้     ซูเราะฮ์ อัลอันอาม  : 108


ในเมื่ออัลเลาะฮ์ทรงสั่งห้ามมุสลิมด่าทอพระเจ้าของผู้ที่นับถือศาสนาอื่น
การทำลายสิ่งที่ศาสนาอื่นเขาเคารพบูชาจะไม่ยิ่งสมควรจะถูกห้ามมากกว่าการด่าทออีกหรือ


อิบนุกะษีรเล่าว่า
ท่านนะบี(ศ)ตอนบูรณะอาคารกะอ์บะฮ์ ท่านจะสร้างให้สมบูรณ์ตรงบริเวณเกาะวาเอ็ดอิบรอฮีม
لكن خشى من حداثة عهد الناس بالجاهلية، فتنكره قلوبهم
แต่ท่านนะบี(ศ)ยังเกรงใจพวกมุชริกที่เพิ่งเข้ารับอิสลามใหม่ๆจะรับไม่ได้ และจิตใจของพวกเขาจะต้องปฏิเสธมัน ท่านจึงปล่อยเอาไว้  ดูซีเราะฮ์อิบนิกะษีร  เล่ม 4 : 310

ภาพฐานของนะบีอิบรอฮีม ( เกาะวาอิด อิบรอฮีม )
http://www.athagafy.net/Kaabah/kaabah4.jpg


บรรดาคอลีฟะฮ์เมื่อยกทัพไปเปิดบ้านเมืองใด  พวกเขาไม่เคยออกคำสั่งให้มุสลิมไปสัมผัสแตะต้องหรือทำลายติมษ้าล(รูปปั้น,รูปเคารพ)ของชาวเมืองนั้นๆ


► แต่พวกวาฮาบีตอลีบันกลับทำตัวเป็นผู้รู้เกินกิตาบและซุนนะฮ์ และแบบอย่างของบรรดาคอลีฟะฮ์เสียอีก


Θ  ทำไมพวกตอลิบันจึงระเบิดปูชนียสถานของชาวพุทธ  ???

คำตอบคือ   ลัทธิวาฮาบีสอนว่า   ต้องทำลายสิ่งที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจของมนุษย์

ขนาดสุสานของอะฮ์ลุลบัยต์นะบี(อ) ยังถูกทำลาย แล้วเทวรูปที่อัฟกานิสถานจะไปเหลืออะไร


☻ ในประเทศไทยบ้านเรา วันที่  21 มีนาคม 2549   เมื่อเวลา 01.30 น.ที่ผ่านมา เกิดเหตุชายวิกลจริตทราบชื่อภายหลัง คือ นายธนากร ภักดีมากใช้ฆ้อนทุบศาลพระพรหมเอราวัณ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ จนแตกละเอียด

Φ  นายริดอ  สะมะดี  นักวิชาการวาฮาบีในเมืองไทยได้ไปบรรยายที่มูลนิธิสันติชนว่า  การกระทำของบังธนากรนั้นทำถูกต้องแล้ว

นั่นแหล่ะ  ลัทธิวาฮาบี  ผู้เกิดมาเพื่อทำลาย มากกว่าสร้างสรรค์โลกและสังคมให้อยุ่กันอย่างสันติ  เพราะลัทธิวาฮาบีถูกสอนมาให้ทำลายทุกสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อของพวกเขา


۩  คำถามสำหรับวาฮาบี

หากวันหนึ่งชาวพุทธ  ชาวฮินดูเขาไปทำลายมัสยิดของวาฮาบีบ้าง ท่านจะว่าอย่างไร
#100
จากเผาบานประตูบ้านท่านหญิงฟาติมะฮ์  จนถึงการทำลายสุสานลูกหลานฟาติมะฮ์

มีคนกลุ่มเดียวที่กล้าทำได้แบบนี้คือ   วาฮาบี