ข่าว:

SMF - Just Installed!

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - L-umar

#41
بِسْمِ اللّـــــهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيْمِ



ชีวประวัติศาสดามูฮัมมัด   ศ็อลลัลลอฮุ  อะลัยฮิ วะอาลิฮี วะซัลลัม

วันที่   27  เดือนเราะญับ   ค.ศ. 611
   
คือวันที่อัลเลาะฮ์ ตะอาลาได้ทรงแต่งตั้งบุรุษชื่อ มูฮัมมัด ให้เป็นศาสดาคนสุดท้ายมาสอนสั่งหลักธรรมแก่ชาวโลก  

ดังนั้นเราจึงขอนำเสนอชีวประวัติมหาบุรุษเอกของโลกท่านนี้ ในมุมมองจากคัมภีร์อัลกุรอ่านและอัลหะดีษเพื่อการศึกษา  

รวมทั้งนำการวิจัยและคำวิจารณ์ของนักปราชญ์อิสลามเกี่ยวกับชีวประวัติของท่านที่ควรจะเป็นจริง และสิ่งศัตรูอิสลามทั้งจากภายในและภายนอกที่พยายามกุเรื่องขึ้นมาเพื่อสร้างความเสื่อมเสียให้กับบุคลิกภาพของท่าน.
#42
ไม่เข้าหมวด / เปิดกระทู้นี้สำหรับ สนทนา
มิถุนายน 21, 2010, 03:45:58 หลังเที่ยง

อัสสลามุ  อะลัยกุม วะเราะห์มะตุลลอฮิ  วะบะร่อกาตุฮ์


เชิญ  ท่านโพสต์  ตามอัธยาศัยได้....................
#43
ซูเราะฮ์หัฟดุ และ อัลค็อลอุ  เคยมีในกุรอ่านด้วยหรือ ???


ท่านสิยูตีบันทึกว่า

وأخرج الطبراني بسند صحيح عن أبي إسحاق، قال : أمنا أمية بن عبد الله بن خالد بن أسيد بخراسان، فقرأ بهاتين السورتين: إنا نستعينك ونستغفرك
كتاب : الإتقان في علوم القرآن للسيوطي  ج 1 ص 77

อัตต็อบรอนีนำออกรายงานด้วยสายรายงานที่ซอฮิ๊ฮ์    จากท่านอะบีอิสฮากเล่าว่า  :

เราให้ความคุ้มครองอุมัยยะฮ์ บินอับดุลลอฮ์ บินคอลิด บินอุซัยด์ที่เมืองคูรอซาน  แล้วเขาได้อ่านสองซูเราะฮ์นี้คือ    {{  อินนา   นัสตะอีนุกะ  วะนัสตัฆฟิรุกะ }}

ดูอัลอิตติกอน  ฟีอุลูมิลกุรอาน  เล่ม  1 : 77


ต้นฉบับหะดีษคือ

حدثنا محمد بن إسحاق بن راهويه ثنا أبي ثنا عيسى بن يونس حدثني أبي عن جدي قال : أمنا أمية بن عبد الله بن خالد بن أسيد بخراسان فقرأ بهاتين السورتين إنا نستعينك ونستغفرك فذكر الحديث
كتاب : المعجم الكبير للطبراني  ج 1 ص 292  ح 860

มุฮัมมัด บินอิสฮากบินรอฮะวัยฮฺเล่าให้เราฟัง   บิดาของฉันเล่าให้เราฟัง  อีซา บินยูนุสเล่าให้ฉันฟัง จากบิดาของฉัน จากปู่ของฉันเล่าว่า  :  เราให้ความคุ้มครองอุมัยยะฮ์ บินอับดุลลอฮ์ บินคอลิด บินอุซัยด์ที่เมืองคูรอซาน  แล้วเขาได้อ่านสองซูเราะฮ์นี้คือ    {{  อินนา   นัสตะอีนุกะ  วะนัสตัฆฟิรุกะ }}

ดูหนังสือมุอ์ญัม กะบีร  โดบอัตต็อบรอนี   หะดีษที่  860


ท่านอัลฮัยษะมีตรวจสอบสายรายงานแล้วให้การรับรองว่า  ซอฮิ๊ฮ์  

وعن أبي إسحاق قال : أمنا أمية بن عبد الله بن خالد بن أسيد بخراسان فقرأ بها من السورتين إنا نستعينك ونستغفرك . قال فذكر الحديث
 رواه الطبراني ورجاله رجال الصحيح . قلت : وقد تقدم غير هذا الحديث في سورة { لم يكن }

จากอะบีอิสฮากเล่าว่า  :  เราให้ความคุ้มครองอุมัยยะฮ์ บินอับดุลลอฮ์ บินคอลิด บินอุซัยด์ที่เมืองคูรอซาน  แล้วเขาได้อ่านสองซูเราะฮ์นี้คือ    {{  อินนา   นัสตะอีนุกะ  วะนัสตัฆฟิรุกะ }}
ท่านต็อบรอนีรายงานมัน และนักรายงานของหะดีษนี้  เป็นนักรายงานที่ถูกต้อง
ดูหนังสือมัจญ์มะอุซซะวาอิด  โดยอัลฮัยาะมี  หะดีษที่  11616

ชมภาพหลักฐาน  ซูเราะฮ์อัลหัฟดุ และ อัลค็อลอุ  ได้ที่นี่เวบด้านล่างนี้

http://answering-islam.org/Arabic/Quran/ubay.html


เชคอัลบานี  ได้กล่าวถึงสองซูเราะฮ์นี้ว่า


وفي رواية لابن نصر عن عمر بن الخطاب أنه كان يقنت بالسورتين : اللهم اياك نعبد واللهم نستعينك . وفي أخرى عن سلمة بن كهيل أقرأها في مصحف أبي بن كعب مع قل أعوذ برب الفلق وقل أعوذ برب الناس . ومن المؤسف أن مختصر كتاب ابن نصر حذف إسناد هاتين الروايتين فحرمنا معرفة حالهما صحة أو ضعفا
كتاب : إرواء الغليل في تخريج أحاديث منار السبيل  ج 2 ص 171

มีรายงานหนึ่งเป็นของอิบนินัศร์  จากท่านอุมัร บินคอตตอบ แท้จริงเขาได้เคยทำการกุนูตด้วยสองซูเราะฮ์นี้  {{อัลลอฮุมมะ  อี้ยากะ  นะอ์บุดุ  วะอัลลลอฮุมมะ  นัสตะอีนุกะ }}

และในอีกรายงานหนึ่งจากสะละมะฮ์ บินกุฮัยล์ (เล่าว่า) ฉันได้อ่านมัน(สองซูเราะฮ์ดังกล่าว)ในมุศฮัฟของท่านอุบัย บินกะอับ อยู่พร้อมกับซูเราะฮ์กุลอะอูซุ บิร็อบบิลฟะลัก และซูเราะฮ์กุลอะอูซุ บิร็อบินนาส

(อัลบานีกล่าววว่า) น่าเสียดายที่มุคตะศ็อรของหนังสือของอิบนินัศร์ ได้ตัดสายรายงานของสองหะดีษนี้ออกไป  ดังนั้นมันจึงทำให้เราไม่รู้จักสภาพของสองหะดีษนี้ว่า  ซอฮิ๊ฮ์  หรือ ดออีฟ

ดูอิรวาอุลเฆาะลีล  โดยเชคอัลบานี  เล่ม  2 : 171


۩ คำถามสำหรับวาฮาบี

ซูเราะฮ์อัลหัฟดุและซูเราะฮ์อัลค็อลอุ  ตามที่ตำราหะดีษของท่านระบุ ปัจจุบันมันหายไปไหน ?

หมายเหตุ  แล้วอย่าอ้างว่าเป้นดุอาอ์กุนูตนะครับ  เพราะนัยยะหะดีษบ่งชัดด้วยคำว่า   สอง ซูเราะฮ์
#44
ชีอะฮ์ 6,236 อายัต แต่วาฮาบีมี 6,000 กว่าอายัต


อิม่ามอาลี(อ) บอกชัดว่า  อัลกุรอ่านมีทั้งหมด   6,236 อายัตเท่านั้น


Θ หลักฐานที่พบจากตัฟสีรซุนนี่

قال محمد بن عيسى : وجميع عدد آي القرآن في قول الكوفيين ستة آلاف آية ومائتا آية وثلاثون وست آيات
وهو العدد الذي رواه سليم والكسائي عن حمزة وأسنده الكسائي الى علي رضي الله عنه

มุฮัมมัด บินอีซากล่าวว่า  :  จำนวนอายัตกุรอ่านทั้งหมดตามทัศนะของชาวกูฟะฮ์คือ 6,236 อายัต

มันคือจำนวนที่ท่านสะลีมกับท่านอัลกะซาอีได้รายงานมันมาจากฮัมซะฮ์ และอัลกะซาอีได้อ้างอิงรายงานของเขาไปยังท่านอาลี (ร.ฎ.)


อ้างอิงจากตัฟสีรกุรตุบี เล่ม 1 หน้า 95


Θ หลักฐานที่พบจากตัฟสีรชีอะฮ์

رواه الطبرسي عن سعيد بن المسيب عن علي بن أبي طالب(عليه السلام) انّه قال: سألت النبيّ(صلى الله عليه وآله وسلم) عن ثواب القرآن فأخبرني بثواب سورة سورة على نحو ما نزلت من السماء إلى أن قال: ثمّ قال النبيّ(صلى الله عليه وآله وسلم): جميع سور القرآن مائة وأربع عشر سورة ، وجميع آيات القرآن ستّة آلاف آية ومائتا آية وست وثلاثون آية
تفسير مجمع البيان لعلامة الطبرسي  ج 10  ص 189

ท่านต็อบร่อซีบันทึกว่า  ท่านสะอีด บินมุสัยยับรายงานจากท่านอาลี บินอะลีตอลิบ(อ) แท้จริงเขาได้เล่าว่า

ฉันได้ถามท่านนะบี(ศ)ถึงผลบุญของ(การอ่าน)คัมภีร์กุรอ่าน  แล้วท่านได้บอกกับฉันถึงผลบุญของ(การอ่านอัลกุรอ่าน)ทีละซูเราะฮ์ๆตามลำดับการประทานมันลงมาฟากฟ้า จนท่านได้กล่าวว่า...

จากนั้นท่านนะบี(ศ)ได้กล่าวว่า  ซูเราะฮ์ทั้งหมดของอัลกุรอ่านมี  114 บทและ

อายะฮ์ของอัลกุรอ่านทั้งหมดมี  6,236 โองการ


อ้างอิงจากตัฟสีรมัจญ์มะอุลบะยาน  โดยอัตต็อบร่อซี  เล่ม 10 : 189  
#45
เราเคยเตือนทั้งชาววาฮาบีและอะชาอิเราะฮ์ทั้งหลายแล้วว่า


ให้ยุติเรื่อง  คัมภีร์อัลกุรอ่านถูกบิดเบือน  อันมีสาเหตุมาจากหะดีษทั้งหลายทั้งจากตำราซุนนี่และชีอะฮ์ เพราะ

หนึ่ง - มันขัดแย้งต่อพระดำรัสของอัลลอฮ์ตะอาลาที่ทรงตรัสว่าพระองค์คือผู้รักษามันให้สมบูรณ์   และ

สอง -  หะดีษเหล่านั้นถูกจัดอยู่ทั้งในประเภทอาฮาด และมีสะนัดดออีฟ

เรามุสลิมต่างภาคภูมิใจที่อัลกุรอ่านเป็นคัมภีร์เล่มเดียว  ที่ไม่เคยถูกสังคายนา ดังนั้นถ้าไม่ยุติพดจาโจมตีเรื่องตะห์รีฟกุรอ่าน  สักวันเรื่องนี้จะกลายเป็นการชี้โพลงให้กระรอกเห็น


แล้วจับเอาไปโจมตีคัมภีร์อันศักดิ์ของศาสนาอิสลาม


แต่ดูเหมือนว่า  คำเตือนของเราช่างไร้ผล    จนกระทั่งบัดนี้    ชาวคริสเตียนได้หยิบยกหนังสือที่เขียนด้วยน้ำมือมุสลิม  ได้ตกเป็น

สื่อที่ชาวคริสต์หยิบยกเอามาโจมตีมุสลิม  



ในเวบคริสเตียนนี้    ได้หยิบยกหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ


อัลฟุรกอน  แต่งโดยอุละมาอ์ซุนนี่ชื่อ  อิบนุ  คอเตบ ชาวอียิปต์  ที่รวบรวบหลักฐานจากตำราตัฟสีร หะดีษ  ตารีค ที่บอกเล่าว่า


อัลกุรอ่าน  ถูก  บิดเบือน   เชิญชมได้ที่เวบนี้  




http://mechristian.wordpress.com/2007/09/21/%D8%AA%D8%AD%D8%B1%D9%8A%D9%81-%D8%A7%D9%84%D9%82%D8%B1%D8%A2%D9%86-%D8%B9%D9%86%D8%AF-%D8%A7%D9%84%D8%B3%D9%86%D8%A9-1-%D8%A7%D9%84%D9%81%D8%B1%D9%82%D8%A7%D9%86-%D9%84%D8%A3%D8%A8%D9%86-%D8%A7/



คำถามสำหรับวาฮาบี


โปรดชี้แจง ความจริง เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ด้วยว่า  ทำไมยังมีนักปราชญ์ซุนนี่ที่เชื่อว่า  อัลกุรอ่านถูกบิดเบือน
#46


เวบไซต์ชื่อ  ซุนนะฮ์ ออนไลน์  ไว้สำหรับ   ค้นคว้า ชีวประวัติ  นักรายงานหะดีษ



http://www.sonnaonline.com/SearchRowa.aspx




พิมพ์ชื่อนักรายงานหะดีษเป็นภาษอาหรับลงในช่องว่างที่จัดไว้    แล้วผมกรวิจัยจะปรากฏออกมาให้ท่านเอง
#47
 อัลกุรอ่านที่กษัตริย์ฟาฮัดพิมพ์แจก คือสะนัดชีอะฮ์   สะนัดกุรอ่าน ที่ใช้อ่านกันอยู่ทุกวันใครรายงาน


Φ ชาวซุนนะห์กล่าวว่า  ซอฮาบะฮ์ 8 คนที่เป็นนักอ่านกุรอ่านโด่งดังคือ

1.   อุษมาน  บินอัฟฟาน

2.   อาลี  บินอะลีตอลิบ


3.   อุบัย  บินกะอับ

4.   อับดุลลอฮ์  บินมัสอูด

5.   เซด  บินษาบิต

6.   อะบูมูซา  อัลอัชอะรี

7.   อะบุด ดัรดาอ์

8.   อุมัร  บินค็อตตอบ



ยุคต่อมา
บรรดากุรรอ(นักอ่านกุรอ่าน)ทั้ง 10 คนจึงได้อ้างอิงการอ่านคัมภีร์กุรอ่านของพวกเขาไปยัง →   ซอฮาบะฮ์ 8 คนนี้
#48
อื่น ๆ / วิจัยความโรคจิตของพวกวาฮาบี
มิถุนายน 16, 2010, 12:02:43 หลังเที่ยง
วิจัยความโรคจิตของพวกวาฮาบี


จากการสำรวจพฤติกรรมของพวกวาฮาบีที่ชอบทะเลาะเบาะแว้ง ชอบสร้างความขัดแย้งในสังคมมุสลิม จึงวิจารณ์ได้ดังนี้



สาเหตุหลักๆที่ทำให้จิตใจของพวกวาฮาบีหยาบคายไร้มารยาทคือ การก่อหรือสร้างความบาดหมางชิงชังในหมู่พี่น้องที่นับถือศาสนาเดียวกัน รวมทั้งในครอบครัวและชุมชนมุสลิมด้วย

ซึ่งสาเหตุที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ พวกวาฮาบีชอบหาเรื่องถกเถียงหรือฮุก่มฝ่ายตรงข้ามเสมอ

เราต่างรู้ดีว่า การที่คนเราอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์ ย่อมต้องมีความเห็นต่างกันไปในปัญหาหนึ่งๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  แต่เราจะทำอย่างไรที่จะแก้ไขปัญหาที่เห็นต่างกันโดยไม่ให้ทั้งสองฝ่ายเกิดกระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง ?

ฉะนั้นสิ่งแรกที่เราต้องระวังให้มากคือ การประณามหรือการโต้แย้งแบบรุนแรงต่อฝ่ายที่เห็นไม่ตรงกับความคิดเห็นของเรา   เพราะนิสัยของมนุษย์ทุกคนย่อมมีของที่ตนรักและที่ตนชังเป็นเรื่องปกติ☺☺☺


►ยกตัวอย่างเช่น
ความเชื่อในเรื่องอัลลอฮ์ทรงอยู่ประจำที่หรือไม่ประจำที่

วาฮาบี(คณะใหม่)กล่าวว่า  อัลลอฮ์อยู่บนอารัชเหนือชั้นฟ้า  

ส่วนอะชาอิเราะฮ์(คณะเก่า)กล่าวว่าอัลลอฮ์อยู่ในทุกสถานที่ไม่ใช่เฉพาะบนอารัช  

และทั้งสองฝ่ายต่างมีหะดีษกำกับสิ่งที่ตนเชื่อและชอบทำทั้งสิ้น  

ทีนี้มันอยู่ที่ใครชอบ  ใครไม่ชอบ แต่วาฮาบีได้หยิบเอาสิ่งนี้มาเป็นความขัดแย้ง(คิล๊าฟ)เอามาทะเลาะกันและฮุก่มฝ่ายตรงข้ามว่าเป็น พวกบิดอะฮ์ พวกเฎาะลาละฮ์ และในที่สุดก็เป็นกาเฟ็ร



ดังนั้นวิธีแก้โรคจิตสำหรับวาฮาบีที่มีอาการแบบนี้คือ ควรเล่าเรียนมารยามในการโต้เถียง  ดังนี้


۞ กฏที่หนึ่ง – ต้องไม่เชื่อมั่น ยึดมั่นว่า ตนถูกอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น


เราทุกคนไม่ใช่จะสามารถติดต่อสื่อสารโดยตรงไปยังชั้นฟ้าได้ และเราก็ไม่ได้รับวะห์ยูจากอัลลอฮ์ด้วย
วาฮาบีไม่สามารถติดต่อสื่อสารไปถามอัลลอฮ์ได้และวาฮาบีก็ไม่ได้รับวะห์ยูจากอัลลอฮ์ด้วย

ด้วยเหตุนี้เองเราทุกคนย่อมผิดพลาดได้เสมอ นะบี(ศ)บอกว่า อิจญ์ติฮาดผิดได้หนึ่งษะวาบ หากอิจญ์ติฮาดถูกได้สองษะวาบ

สมมุติวาฮาบีคนหนึ่งกล่าวว่า " ฉันถูก "  และฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าฉันก็ถูก จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายเข้าสู่ขบวนการโต้เถียงกันในเชิงวิชาการ  เพื่อพิสูจน์ว่า  " ใครถูกที่สุด "  ไม่ใช่ใครถูกคือมุสลิม ส่วนใครผิดเป็นกาเฟ็ร  การถกกันแบบนี้จะส่งผลกับสังคมไปในทางที่ดี  

ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า


اُدْعُ إِلَى سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ إِنَّ رَبَّكَ هُوَ أَعْلَمُ بِمَنْ ضَلَّ عَنْ سَبِيلِهِ وَهُوَ أَعْلَمُ بِالْمُهْتَدِينَ

จงเชิญชวน(ผู้คน)สู่แนวทางของพระเจ้าของสูเจ้าด้วยเหตุผลและการตักเตือนที่ดี   และจงโต้แย้งกับพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า  แท้จริงพระเจ้าของสูเจ้าทรงรู้ดียิ่งต่อผู้ที่หลงออกจากทางของพระองค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งต่อบรรดาผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง  


บทที่  16 : 125


۞ กฏที่สอง – วาฮาบีต้องพยายามฝึกมองคนอื่นหรือมองฝ่ายตรงข้ามไว้ในแง่ดี

วาฮาบีบางคนมักกล่าวว่า   ฝ่ายตรงข้ามกับฉันนั้น ดื้อดึงกับฉัน(คือไม่เชื่อฉัน) เราไม่ทราบว่าเขาไปรู้มาจากไหนว่าคู่กรณีของเขาดื้อรั้นกับเขา หรือเพราะเขาเห็นว่า ความถูกต้องนั้นอยู่กับตัวเอง

ทำไมวาฮาบีไม่ลองเอาใจฝ่ายตรงข้ามมาใส่ใจเขาบ้างล่ะ  
สมมุติถ้าฝ่ายตรงข้ามก็คิดและอยู่ในสภาวะเดียวกันกันเขาบ้าง แล้วจะเป็นอย่างไร

ท่านนะบี(ศ)สอนให้เรารักพี่น้องมุสลิมทุกคนเหมือนที่เรารักตัวเองมิใช่หรือ

ท่านนะบี(ศ)ได้สอนเราว่า

المؤمن مرآة المؤمن

[color=#FFFF00]ผู้ศรัทธาคือกระจกส่องผู้ศรัทธา(ด้วยกัน) [/color] ดูซิลซิละตุซ ซ่อฮีฮะฮ์  โดยเชคอัลบานี  หะดีษที่  926

นั่นหมายความว่า  ท่านต้องพยายามนำพาตัวเองให้มองคนอื่นในแง่ดีเสมอ

แม้กระทั่งว่า  ท่านได้กลิ่นสุราจากปากมุสลิมคนหนึ่ง ให้คิดว่าเขาอาจแค่บ้วนปากเท่านั้น  
หรือเห็นมุสลิมคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านขายสุรา ให้ท่านคิดว่าเขาเดินเข้าไปทำธุระหนึ่งหรือขอเข้าไปปัสสาวะ  หรือเห็นมุสลิมคนหนึ่งอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งในสภาพสองต่อสอง ให้ท่านคิดว่านั่นคือภรรยาของเขา

อิสลามต้องการให้เราพาตัวเราไปอยู่ในระดับนี้  เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในสภาพปกป้องดูแลตัวของพวกเราเอง

แต่สิ่งที่จะพาเราไปสู่ระดับนั้นได้คือ เราต้องมองพี่น้องมุสลิมในแง่ดีไว้เป็นหลักประจำใจ



ทีนี้ท่านลองย้อนกลับไปศึกษาพฤติกรรมคำพูดของพวกวาฮาบีตั้งแต่ระดับแกนนำจนถึงรากหญ้าดูสิว่า พวกเขาประพฤติ ปฏิบัติกับมุสลิมมัซฮับอื่นแบบไหน   ท่านก็จะทราบได้ทันทีว่า

พวกวาฮาบีเช่น  นายฟารีดเฟ็นดี้  นายริดอ สะมะดีและพวกพ้อง  มีสันดานชอบหาเรื่องทะเลาะกับพี่น้องมุสลิมเป็นประจำ แม้กระทั่งเป็นเรื่องฟิกฮ์เล็กๆที่ไม่ใช่วายิบหรือซุนนะฮ์ก็ยังหาเรื่องทะเลาะ นี่แหล่ะที่เขาเรียกว่า พวกโรคจิต
#49
มุศฮัฟ 5 เมืองมีจำนวนอายัตกุรอ่านไม่ตรงกัน



อัลกุรตุบีเล่าว่า


وأما عدد آي القرآن في المدني الأول فقال محمد بن عيسى : جميع عدد آي القرآن في المدني الأول ستة آلاف آية قال ابو عمرو : وهو العدد الذي رواه أهل الكوفة عن أهل المدينة...

ส่วนจำนวนอายัตกุรอ่านในทัศนะของชาวมะดีนะฮ์ยุคแรก  มุฮัมมัด บินอีซากล่าวว่า  จำนวนอายัตตามทัศนะของชาวมะดีนะฮ์ยุคแรกทั้งหมดคือ 6,000 อายัต  อะบูอัมรูกล่าวว่า มันคือจำนวนที่ชาวกูฟะฮ์ได้รายงานมันมาจากชาวมะดีนะฮ์...

وأما المدني الأخير فهو في قول إسماعيل بن جعفر : ستة آلاف آية ومائتا آية وأربع عشرة آية

ส่วนชาวมะดีนะฮ์ยุคหลัง มันคือทัศนะของอิสมาอีล บินญะอ์ฟัรเขากล่าวว่ามีทั้งหมด 6,214 อายัต

وقال الفضل : عدد آي القرآن في قول المكيين ستة آلاف آية ومائتا آية وتسع عشرة آية

อัลฟัฎลุกล่าวว่า  จำนวนอายัตกุรอ่านตามทัศนะของชาวมักกะฮ์มี  6,219 อายัต

قال محمد بن عيسى : وجميع عدد آي القرآن في قول الكوفيين ستة آلاف آية ومائتا آية وثلاثون وست آيات وهو العدد الذي رواه سليم والكسائي عن حمزة وأسنده الكسائي الى علي رضي الله عنه

มุฮัมมัด บินอีซากล่าวว่าจำนวนอายัตกุรอ่านทั้งหมดตามทัศนะของชาวกูฟะฮ์คือ 6,236 อายัต มันคือจำนวนที่สะลีม  อัลกะซาอีรายงานมันมาจากฮัมซะฮ์และอัลกะซาอีไปอ้างอิงสะนัดของเขาไปยังท่านอาลี (ร.ฎ.)

قال محمد  : وجميع عدد آي القرآن في عدد البصريين ستة آلاف ومائتنان وأربع آيات وهو العدد الذي مضى عليه سلفهم حتى الآن

มุฮัมมัดกล่าวว่า จำนวนอายัตกุรอ่านทั้งหมดในทัศนะของชาวบัศเราะฮ์คือ 6,204 อายัต  มันเป็นจำนวนที่สะลัฟของพวกเขาผ่านมันมายังเขาจนกระทั่งบัดนี้

وأما عدد أهل الشام فقال يحيى بن الحارث الذماري : ستة آلاف ومائتان وست وعشرون

ส่วนจำนวนอายัตของชาวช่าม(ซีเรีย) ยะห์ยา บินฮาริษ อัษษิมารีกล่าวว่ามีทั้งสิ้น  6,226 อายัต

في رواية ستة آلاف ومائتان وخمس وعشرون نقص آية : قال ابن ذكوان : فظننت أن يحيى لم يعد بسم الله الرحمن الرحيم

อีกรายงานหนึ่งกล่าวว่ามีทั้งสิ้น 6,225 อายัต  หรือน้อยกว่าหนึ่งอายัต(คือ6,224)   อิบนุซักวานกล่าวว่า ฉันคิดว่าท่านยะห์ยาไม่ได้นับอายัต บิสมิลลาฮิรเราะห์มานินร่อฮีม(เข้าไปด้วย)

قال ابو عمرو : فهذه الأعداد التي يتداولها الناس تأليفا ويعدون بها في سائر الآفاق قديما وحديثا  انظر تفسير القرطبي  ج 1  ص 95

อะบูอัมรูกล่าวว่า  ทัศนะของจำนวนอายัตเหล่านี้ประชาชนได้หมุนเวียนอยู่กับมันในด้านการเรียบเรียงและใช้นับด้วยมัน(จำนวนดังกล่าว)ไปในทั่วทุกสารทิศทั้งรุ่นเก่าและใหม่

อ้างอิงจากตัฟสีรกุรตุบี  เล่ม  1 หน้า 95




Θ วิจารณ์


จำนวนอายัตของอัลกุรอ่านทั้งห้าหัวเมืองมีความแตกต่างกันมีดังนี้

ชาวมะดีนะฮ์ยุคแรก     กล่าวว่ามี    6,000  อายัต
 
ชาวมะดีนะฮ์ยุคหลัง     กล่าวว่ามี    6,214  อายัต

ชาวมักกะฮ์                กล่าวว่ามี    6,219  อายัต

ชาวกูฟะฮ์                 กล่าวว่ามี    6,236  อายัต

ชาวบัศเราะฮ์             กล่าวว่ามี    6,204  อายัต

ชาวช่าม(ซีเรีย)           กล่าวว่ามี    6,226  อายัต



۩  คำถามสำหรับวาฮาบี

จากทัศนะของชาวเมืองทั้งห้าคือ

1.   ชาวมะดีนะฮ์
2.   ชาวมักกะฮ์                
3.   ชาวกูฟะฮ์                
4.   ชาวบัศเราะฮ์            
5.   ชาวช่าม(ซีเรีย)

คัมภีร์อัลกุรอ่านที่ประเทศซาอุดิอารเบียพิมพ์แจกไปทั่วโลกนั้นยึดจำนวนอายัตกุรอ่านตามทัศนะของชาวเมืองใด และเพราะอะไร  ???
#50
จำนวนอายัตกุรอ่านที่ไม่เคยลงตัวสำหรับปราชญ์ซุนนี่



ใครจะรู้บ้างไหม ในขณะที่วาฮาบีโจมตีชีอะฮ์เรื่องอัลกุรอ่านอย่างเพลิดเพลิน

แต่ถ้าท่านถามพวกเขาว่า  คัมภีร์กุรอ่านฉบับที่พวกคุณอ่านกันอยู่ทุกวันนี้มีกี่อายะฮ์(โองการ)  

ท่านจะพบว่า  พวกเขาจะให้ตอบแตกต่างกันไปอย่างไม่น่าเชื่อ  แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่เคยหยิบอัลกุรอ่านมานับทีละซูเราะฮ์จนครบ 114 บทว่า
สรุปแล้ว มีกี่อายะฮ์กันแน่  เข้าตำราปลาตายน้ำตื้น

มันไม่ใช่เรื่องแปลกแต่จริง เพราะแม้แต่นักปราชญ์ของพวกเขายังขัดแย้งกันในเรื่องจำนวนอายะฮ์ที่แน่นอนมาจนทุกวันนี้

อิบนุกะษีรเล่าว่า

فأما عدد آيات القرآن فستة آلاف آية، ثم اختلف فيما زاد على ذلك على أقوال، فمنهم من لم يزد على ذلك، ومنهم من قال: ومائتا آية وأربع آيات، وقيل: وأربع عشرة آية، وقيل: ومائتان وتسع عشرة، وقيل: ومائتان وخمس وعشرون آية، وست وعشرون آية، وقيل: ومائتا آية، وست وثلاثون آية   انظر تفسير ابن كثير  ج 1   ص 98

ส่วนกรณีเรื่องจำนวนอายะฮ์กุรอ่านนั้นมี  6,000  อายะฮ์

ต่อจากนั้น(นักปราชญ์ซุนนี่)ก็มีทัศนะขัดแย้งกันในจำนวนที่เกินกว่านั้น(คือเกินหกพัน)ซึ่งมีหลายทัศนะดังนี้

1.   บางคนกล่าวว่ามีไม่เกิน  6,000 อายะฮ์
2.   บางคนกล่าวว่ามี – 6,204 อายะฮ์
3.   บางคนกล่าวว่ามี – 6,014 อายะฮ์
4.   บางคนกล่าวว่ามี – 6,219 อายะฮ์
5.   บางคนกล่าวว่ามี – 6,225 อายะฮ์
6.   บางคนกล่าวว่ามี – 6,226 อายะฮ์
7.   บางคนกล่าวว่ามี – 6,236 อายะฮ์


อ้างอิงจากตัฟสีรอิบนิกะษีร  เล่ม 1 หน้า 98



สุดท้ายอิบนุกะษีรเองก็ไม่กล้าฟันธงว่า อัลกุรอ่านฉบับนี้มีกี่อายะฮ์กันแน่
#51
ฟัฎลุลคิตอบ   ตำราชีอะฮ์ที่วาฮาบีไม่ค่อยอ่าน หรือไม่เคยได้เห็นโฉมหน้าของมัน  แต่วาฮาบีท่องขึ้นใจไว้เพื่อเอาไว้ปรักปรำชีอะฮ์



ท่านต้องการเห็นโฉมหน้า   หรืออยากอ่านกิตาบ  ฟัฎลุล คิตอบ ของมีรซานูรี   เชิญโหลดได้ทันที ที่ด้านล่างนี้


ไฟล์   PDF





หน้าหนังสือ

http://www.archive.org/details/faslkhitab
#52
ผู้ปกครองวาฮาบีฉีกคัมภีร์กุรอ่าน

วาลีด  บินยาซีด บินอับดุลมะลิก บินมัรวาน  ฉีกคัมภีร์กุรอ่าน
الوليدُ بن يَزِيد بن عبد المَلِك


อัลกุรตุบีนักตัฟสีรซุนนี่ได้บันทึกเรื่อง  อัลวาลัดที่ 1 ผู้ปกครองแห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์ฉีกคัมภีร์กุรอ่านดังนี้

وحكى الماوردي في كتاب أدب الدنيا والدين أن الوليد بن يزيد بن عبد الملك تفاءل يوما في المصحف فخرج له قوله عز و جل : { وَاسْتَفْتَحُوا وَخَابَ كُلُّ جَبَّارٍ عَنِيدٍ } فمزق المصحف وأنشأ يقول :
 ( أتوعد كل جبار عنيد ... فها أنا ذاك جبار عنيد )
 ( إذا ما جئت ربك يوم حشر ... فقل يا رب مزقني الوليد )
 فلم يلبث إلا أياما حتى قتل شر قتلة وصلب رأسه على قصره ثم على سور بلده
تفسير القرطبي  ج 9  ص 297

อัลมาวัรดีเล่าไว้ในกิตาบอะดะบุดดุนยา วัดดีน ว่า  :  วันหนึ่งอัลวาลีด  บินยาซีด บินอับดุลมะลิก บินมัรวาน ได้ทำการตะฟาอุ้ล(ขอสิ่งดี)จากในมุศฮัฟ(คัมภีร์กุรอ่าน) แล้วผลลัพท์ได้ออกมาแก่เขาด้วยโองการนี้  

{ และพวกเขา(บรรดาร่อซูล) ขอต่อพระองค์ให้ได้รับชัยชนะ และให้ผู้หยิ่งผยองที่ดื้อด้านทุกคนประสบความพินาศ } บทที่ 14: 15  

เขา(อัลวาลีด)จึงฉีกคัมภีร์กุรอ่านขาดเป็นชิ้นๆแล้วเขาได้ร่ายกลอนต่อว่าคัมภีร์กุรอ่านว่า

(เจ้าข่มขู่ผู้หยิ่งผยองผู้ที่ดื้อด้านทุกคนกระนั้นหรือ    ก็ข้านั่นแหล่ะคือผู้หยิ่งผยอง ผู้ที่ดื้อด้าน  

เมื่อเจ้าได้มายังพระเจ้าของเจ้าในวันฟื้นคืนชีพ     ดังนั้นเจ้าจงฟ้องเถิดว่า โอ้พระเจ้าของฉัน อัลวาลีดได้ฉีกฉันเป็นเสี่ยงๆ )


เขามีชีวิตอยู่หลังจากนั้นได้ไม่กี่วัน แล้วเขาก็ถูกฆ่าตายอย่างเลวร้าย ศรีษะของเขาถูกเสียบประจานไว้บนปราสาทของเขา ต่อจากนั้นก็นำไปไว้ที่กำแพงเมือง

อ้างอิงจากตัฟสีรอัลกุรตุบี   เล่ม  9  หน้า 297


   
รายชื่อกษัตริย์ราชวงศ์อุมัยยะฮ์

ฮิจเราะฮ์ศักราช   คริสต์ศักราช  
41-60   661-680   มุอาวิยะห์ อิบนุ อบีสุฟยาน (มุอาวิยะห์ที่ 1)
60-64   680-683   ยะซีด ที่ 1
64-64   683-684   มุอาวิยะห์ ที่ 2
64-65   684-685   มัรวาน อิบนุ อัลหากัม (มัรวานที่ 1)
65-86   685-705   อับดุลมะลีก
86-96   705-715   อัลวะลีด ที่ 1  ◄96-99   715-717   สุไลมาน
99-101   717-720   อุมัร อิบนุ อัลอะซีซ
101-105   720-724   ยะซีด ที่ 2
105-125   724-743   ฮิซาม
125-126   743-744   อัลวะลีดที่ 2
126-126   744-744   ยะซีดที่ 3
126-127   744-744   อิบรอฮีม
127-132   744-750   มัรวาน อิลหิมาร์ (มัรวานที่ 2)



۩  คำถามสำหรับวาฮาบี

หนึ่ง – อาเล่มวาฮาบีเขาฟัตวาไว้อย่างไรสำหรับผู้ที่เจตนาเหยียดหยามทำลายคัมภีร์กุรอ่าน

สอง -  อัลวาลีดที่หนึ่ง คือผู้ปกครองที่ซุนนี่ยอมรับนับถือใช่หรือไม่
#53
เราได้พบเจอทั้งวาฮาบี และอะชาอิเราะฮ์ชวนกันรุมประณามชีอะฮ์ในเวบของพวกเขาอย่างเมามันว่า


พวกชีอะฮ์เชื่อว่า  คัมภีร์กุรอ่านฉบับนี้  ถูกตัดทอน หรือ ถูกเพิ่มเติมเข้าไป  ซึ่งภาอาหรับว่า  การตะห์รีฟ



พวกเขายังได้หยิบยกตำราต่างๆออกมาแสดงว่า  ชีอะฮ์เชื่อแบบนั้นจริงๆ    


อนึ่งตำราที่พวกเขาหยิบยกมาแสดง  ถ้าเป็นหะดีษ  พวกเขาก็ไม่เคยไปตรวจสอบค้นคว้าดูเสียก่อนว่า  หะดีษชีอะฮ์ดังกล่าวนั้น  

ซอฮิ๊ฮ์ หรือ ดออีฟ   สักแต่ว่ายกมาอ้างเท่านั้น แล้วก็บังคับให้ชีอะฮ์ยอมรับไปโดยปริยายว่า มันถูกต้อง


หรือไม่พวกเขาก็ชอบอ้างตำราชื่อฟัศลุลคิตอบของเชคนูรี  เรื่องซูเราะฮ์อัลวิลายะฮ์  อะไรทำนองนั้นออกมาแสดง


การกระทำเหล่านี้ได้ส่อแสดงถึงความโง่ออกมาอย่างไม่รู้ตัว  และแถมยังเป็นการชี้โพรงให้กระรอกเห็นอีกด้วย

กล่าวคือ   เรามุสลิมทั้งโลกต่างมีความภาคภูมิใจว่า   อัลกุรอ่านเป็นคัมภีร์เล่มเดียวที่สมบูรณ์



แต่มาวันนี้ทั้งวาฮาบี  ทั้งอะชาอิเราะฮ์ กลับไม่ยอมรับฟังเหตุผล และคำชี้แจงจากฝ่ายชีอะฮ์ในเรื่องนี้


ฉะนั้นบัดนี้   เราจึงขอนำหลักฐานมาแสดงให้ชาวชีอะฮ์และท่านผู้มีวิจารณญาณได้อ่าน    
 

คำฟัตวาของอุละมาอ์ชีอะฮ์ว่าด้วยเรื่อง  อัลกุรอ่านไม่ได้ถูกตะห์รีฟ( เพิ่มเติมหรือตัดทอน)


ดังต่อไปนี้
#54
ฟารีดโง่ เรื่อง ความเชื่อชีอะฮ์เกี่ยวกับหะดีษ

อ้างอิงจากนายฟารีดเฟ็นดี้

กระทู้ชื่อ ► อัลกุรอานและฮะดีษตามความเชื่อของชีอะฮ์

www.fareedfendy.com/modules.php?name=Con...showpage&pid=112




ความเชื่อของชีอะฮ์ในเรื่องฮะดีษ ที่นายฟารีดเฟ็นดี้เข้าใจ

นายฟารีดกล่าวว่า

ชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองมีความเชื่อในเรื่องฮะดีษที่แตกต่างไปจากมุสลิมทั้งโลก พวกเขามิได้เอารายงานฮะดีษจากตำราฮะดีษของชาวซุนนะห์ ไม่ว่าจะเป็นศอเฮียะห์บุคคอรี,ศอเฮียะห์มุสลิม,สุนันอบีดาวูด,สุนันนะซาอีย์,สุนันอิบนิมาญะห์,มุสนัดิหม่ามอะห์หมัด หรือตำราบันทึกฮะดีษอื่นๆ ที่ชาวซุนนะห์ใช้กัน




วิจารณ์

วาฮาบีก็มีความเชื่อในเรื่องฮะดีษที่แตกต่างไปจากมุสลิมทั้งโลก และพวกเขามิได้เอารายงานฮะดีษจากตำราฮะดีษของชีอะฮ์เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอัลกาฟี,มันลายะห์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์,อิสติบศ็อร,อัตตะฮ์ซีบ,วะซาอิลุชชีอะฮ์,อัลมะฮาซิน หรือตำราบันทึกฮะดีษอื่นๆ ที่ชาวชีอะฮ์ใช้กัน

กล่าวง่ายๆคือพวกวาฮาบีไม่ยอมรับหะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์นะบี(อ) แล้วพวกเขายังจะมาตำหนิผู้อื่นว่าไม่ยอมรับตำราหะดีษของพวกเขา  ฟังดูแล้วค่อนข้างเป็นชนเห็นแก่ตัวจริงๆ
#55
นายฟารีด เฟ็นดี้ หมดปัญญาตอบ 213  อายัตของซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบ หายไปไหน ?????



ซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบมีจำนวน 73   อายะฮ์ และ

ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์มี    286 อายะฮ์

เอา   286 – 73 = เหลือ 213


ตำราอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ระบุว่า ซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบเคยมีจำนวนเท่ากับซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์
นั่นแสดงว่ามี 213 อายะฮ์ของซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบได้สูญหายไป


หลักฐาน


عَنْ عَاصِمِ بْنِ أَبِي النَّجُودِ عَنْ زِرٍّ ( بْنِ حُبَيْشٍ) عَنْ أُبَيِّ بْنِ كَعْبٍ قاَلَ :

كَانَتْ سُورَةُ الأَحْزَابِ تُوَازِيْ سُورَةَ الْبَقَرَةِ ، فَكَانَ فِيهَا : الشَّيْخُ وَالشَّيْخَةُ ، إِذَا زَنَيَا ، فَارْجُمُوْهُمَا الْبَتَّةَ

صحيحُ ابنِ حبان ج 10  ص 273  ح 4428  

ท่านอุบัย บินกะอับเล่าว่า :

เดิมซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบมีจำนวนเท่าซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ แล้วปรากฏว่าในนั้นมีโองการ ชายชราและหญิงชรา เมื่อทั้งสองทำซีนา ดังนั้นจงขว้างทั้งสอง(ด้วยหิน)


สถานะหะดีษ : ซอฮี๊ฮฺ  

ดูซอฮี๊ฮฺ อิบนุหิบบาน หะดีษที่ 4428 ตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฐ




۩ คำถามสำหรับวาฮาบี


หนึ่ง -  213 อายะฮ์ของซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบหายไปไหน
   
สอง - หากอ้างว่า 213 อายะฮ์นี้ถูกยกเลิก(มันซูค) ถามว่า มันถูกยกเลิกไปในสมัยท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ยังมีชีวิตอยู่หรือหลังจากท่านเสียชีวิตไปแล้ว

สาม – 213 อายะฮ์นี้ถูกยกเลิกไปเพราะสาเหตุอะไร

สี่  -  ตำราเล่มใดที่กล่าวว่า  213 อายะฮ์ของซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบถูกยกเลิก

ห้า – เนื้อหาของ 213 อายะฮ์นี้ได้กล่าวถึงเรื่องอะไรบ้าง
#56


อ้างอิงจากนายฟารีดเฟ็นดี้

กระทู้ชื่อ   ► อัลกุรอานและฮะดีษตามความเชื่อของชีอะฮ์

http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=112
#57
ฟารีด เฟ็นดี้โง่เรื่องเงื่อนไขการเป็นมุสลิม   ตอน  1


อ้างอิงจากบทความฟารีด

อย่าให้กะลิมะห์ชะฮาดะห์ของผู้ใดมาล่อลวงเรา


http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=108
#58

ท่านฟารีด  เฟ็นดี้   คุยหนักคุยหนาว่า   ทันรู้ทันชีอะฮ์ไปเสียทุกเรื่อง   จนเรียงร้อยออกมาเป็นตำราชื่อ


รู้ทันชีอะฮ์ชุด 1  ( แบบโง่ๆของฟารีดเฟ็นดี้ )

ดู

http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=195


เขาคงคิดเดาเอาว่า    ชีอะฮ์หมดปัญญาจะตอบบทความของเขาได้        



ดังนั้นเราจึงคิดว่า   หากเรายังพอมีเวลา จะพยายาม ทยอยตอบสิ่งที่นายฟารีดเฟ็นดี้ ตั้งกระทู้ไว้   รวมทั้งเราจะถามกลับไปยังเขาบ้าง


อินชาอัลลอฮ์


ขออัลลอฮ์ทรงประทานเตาฟีกให้กับพวกเราในการตอบพวกแอนตี้แนวทางอะฮ์ลุลบัยต์ด้วยเถิด อามีน
#59
ฟารีดเฟ็นดี้แหกตา ข้อแตกต่างระหว่างซุนนะห์และชีอะฮ์


อ้างอิงบทความจากนายฟารีดเฟ็นดี้

ขอให้ท่านคลิกที่นี่เพื่ออ่านบทความที่นายฟารีดเฟ็นดี้ใส่ร้ายชีอะฮ์

http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=110





۩  วิจารณ์

บทความของนายฟารีดชื่อ  " ข้อแตกต่างด้านโครงสร้างศาสนาระหว่างซุนนะห์และชีอะฮ์ "   เขาเขียนเพื่อใส่ความชีอะฮ์ว่า  มีความเชื่อไม่เหมือนเขา   แต่น่าแปลกที่เขาไม่ยอมมองย้อนกลับบ้างว่า   ทำไมเขามีความเชื่อไม่เหมือนพวกอะชาอิเราะฮ์ทั้งๆที่เป้นซุนนี่เหมือนกัน  กล่าวคือในขณะที่นายฟารีดเชื่อว่าพระเจ้าทรงนั่งประทัยอยู่บนอารัชบ้างบนกุรซีบ้าง แต่พวกซุนนี่อะชาอิเราะฮ์ไม่เชื่อแบบนี้ และทุกวันนี้พวกเขายังหาข้อสรุปที่ลงตัวกันไม่ได้  
หรือในขณะที่ชาวซุนนี่ด้วยกันยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าพระเจ้าของพวกเขามีห้านิ้วหรือหกนิ้ว ดู http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1673

แต่นายฟารีดกลับมานั่งวิจารณ์เรื่องชีอะฮ์อย่างผิดๆ และไม่ถูกต้อง หรือนั่นคือวิสัยทรามของนายฟารีดเฟ็นดี้อันติดมาแต่กำเนิดจนศาสนาที่เขาร่ำเรียนก็ไม่อาจล้างจิตของเขาให้สะอาดได้  


ก่อนอื่นท่านต้องเข้าใจว่า  ชีอะฮ์คือผู้ปฏิบัติตาม
หนึ่ง -  คัมภีร์กุรอ่าน
สอง -  สิ่งที่มีรายงานมาจากท่านนะบี(ศ)และอิม่ามสิบสองที่มาจากอะฮ์ลุลบัยต์นะบี(อ)



เมื่อคัมภีร์กุรอ่านกล่าวว่า

يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ آمِنُواْ بِاللّهِ وَرَسُولِهِ وَالْكِتَابِ الَّذِي نَزَّلَ عَلَى رَسُولِهِ وَالْكِتَابِ الَّذِيَ أَنزَلَ مِن قَبْلُ وَمَن يَكْفُرْ بِاللّهِ وَمَلاَئِكَتِهِ وَكُتُبِهِ وَرُسُلِهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ فَقَدْ ضَلَّ ضَلاَلاً بَعِيدًا

โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงศรัทธาต่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์เถิด และคัมภีร์(อัลกุรอาน)ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาแก่รอซูลของพระองค์ และคัมภีร์ที่พระองค์ได้ทรงประทานลงมาก่อนหน้านั้น และผู้ใดปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และมลาอิกะฮ์ของพระองค์และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์และบรรดารอซูลของพระองค์ และวันสิ้นโลกแล้วไซร้ แน่นอนเขาได้หลงทางอย่างห่างไกล    
 
ซูเราะฮ์อัน-นิซาอ์ : 136

อัลกุรอ่านระบุว่าอีหม่านมีแค่  5 ประการคือ
1.   การศรัทธาต่ออัลลอฮ์
2.   มลาอิกะฮ์ของพระองค์
3.   บรรดาคัมภีร์ของพระองค์
4.   บรรดารอซูลของพระองค์
5.   วันสิ้นโลก


หากชีอะฮ์คนใดปฏิเสธอีหม่านห้าประการดังกล่าว  ชีอะฮ์คนนั้นก็เป็นกาเฟ็ร
หากซุนนี่คนใดปฏิเสธอีหม่านห้าประการดังกล่าว  ซุนนี่คนนั้นก็เป็นกาเฟ็รเหมือนกัน



ตำราชีอะฮ์บันทึกเรื่องกอฎอ กอดัร (การศรัทธาต่อการกำหนดสภาวการณ์) เป็นหะดีษดังนี้

عن أبي حازم، عَنْ عَمْرُو بْنِ شُعَيْبٍ عَنْ أَبِيهِ عَنْ جَدِّهِ ، قال: قال رسول الله صلى الله عليه وآله وسلم: لا يؤمن أحدكم حتى يؤمن بالقدر خيره وشره وحلوه ومره
كتاب : التوحيد  للشيخ الصدوق  ج 27 / ص 12  ح 27

จากอะบีฮาซิม จากอัมรู บินชุอัยบ์ จากบิดาของเขาจากปู่ของเขาเล่าว่า  

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกท่านจะยังมีอีหม่าน(ไม่สมบูรณ์)จนกว่าเขาจะมีศรัทธาต่อเรื่องเกาะดัร  

ดูหนังสืออัตเตาฮีด โดยเชคศอดูก   หะดีษที่ 27  


ฉะนั้นชีอะฮ์คนปฏิเสธเรื่องกอดอ กอดัรของอัลเลาะฮ์ตะอาลา ชีอะฮ์คนนั้นก็กาเฟ็ร
และซุนนี่คนปฏิเสธเรื่องกอดอ กอดัรของอัลเลาะฮ์ตะอาลา ซุนนี่คนนั้นก็กาเฟ็รเช่นกัน


จุดประสงค์ของนายฟารีดคือ จะโจมตีชีอะฮ์ว่า
อะกีดะฮ์ห้าข้อนี้ไม่มีในกุรอ่านหรือฮะดีษแบบกล่าวเรียงไว้ ก็แค่นั้นเอง
คำตอบคือ อะกีดะฮ์ทั้งห้านี้ได้เอามาจากอัลกุรอานและฮะดีษ เพียงแต่ไม่ได้กล่าวเรียงกันเท่านั้น

หากนายฟารีดโต้แย้งว่า :
ในเมื่ออะฮ์ลุลบัยต์ไม่ได้กำหนดอะกีดะฮ์ไว้แบบนี้ ก็แสดงว่าอะกีดะฮ์ทั้งห้านี้เป็นเรื่องบิดอะฮ์  

เราขอถามนายฟารีดบ้างว่า

เชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ ผู้ก่อตั้งแนวทางวาฮาบี (1115-1206 ฮ.ศ.) ได้แบ่งเตาฮีดออกเป็น 3 ประเภทคือ  

1,เตาฮีดอุลูฮียะฮ์

2, เตาฮีดรุบูบียะฮ์
 
3, เตาฮีดอัสมาอ์วะซิฟาต  


การแบ่งนี้ไม่มีระบุไว้ในอัลกุรอาน ฮะดีษนบี  และบรรดาซอฮาบะฮ์  ตาบิอีน  และตาบิอิตตาบิอีน  ก็ไม่ได้กล่าวไว้เลยเป็นที่ทราบดีว่า การแบ่งเตาฮีดออกเป็น 3 ข้อเช่นนี้ไม่เคยมีในยุคศตวรรษที่ 3  จนถึงศตวรรษที่ 6 เมื่อถึงศตวรรษที่ 7 การแบ่งเตาฮีดเป็นอุลูฮียะฮฺและรุบูบียะฮฺพึ่งเกิดขึ้น
ขอถามวาฮาบีอย่างนายฟารีดว่า :
การแบ่งเตาฮีดออกเป็น 3 ประเภทนี้  เป็นบิดอะฮ์ใช่ไหม ?

จริงอยู่ที่ในรายละเอียดของเรื่องอีหม่าน เราอาจเข้าใจและอธิบายลึกซึ้งกันไปเช่นชีอะฮเชื่อว่า อัลลอฮ์ตะอาลาทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมพระองค์ไม่เคยกดขี่หรืออธรรมต่อมนุษย์

การที่ชีอะฮ์เชื่อว่า  พระเจ้าทรงมีความยุติธรรม เพราะอัลลอฮ์ตรัสว่า
 
مَنْ عَمِلَ صَالِحًا فَلِنَفْسِهِ وَمَنْ أَسَاء فَعَلَيْهَا وَمَا رَبُّكَ بِظَلَّامٍ لِّلْعَبِيدِ
ผู้ใดทำความดีก็ได้แก่ตัวเขาเอง และผู้ทำความชั่วมันก็ตกหนักแก่ตัวเขาเอง และพระผู้อภิบาลของเจ้าไม่เคยอยุติธรรมต่อบ่าว     ฟุศศิลัต : 46  

และอัลลอฮ์ตรัสว่า
إِنَّ اللّهَ لاَ يَظْلِمُ النَّاسَ شَيْئًا وَلَـكِنَّ النَّاسَ أَنفُسَهُمْ يَظْلِمُونَ
แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงอธรรม(ซอเล็ม)แก่มนุษย์แต่อย่างใด แต่มนุษย์ต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง   ยูนุส : 44

และอัลลอฮ์ตรัสว่า

مَن جَاء بِالْحَسَنَةِ فَلَهُ عَشْرُ أَمْثَالِهَا وَمَن جَاء بِالسَّيِّئَةِ فَلاَ يُجْزَى إِلاَّ مِثْلَهَا وَهُمْ لاَ يُظْلَمُونَ
ผู้ใดที่นำความดีมา เขาก็จะได้รับสิบเท่าของความดีนั้น และผู้ใดนำความชั่วมาเขาจะไม่ถูกตอบแทน นอกจากเท่าความชั่วนั้นเท่านั้น และพวกเขาจะไม่ถูกอธรรม  อันอาม : 160

คำถามสำหรับวาฮาบี

ท่านเชื่อว่า  อัลลอฮ์ ตะอาลามีความยุติธรรมหรือไม่
ถ้าท่านไม่เชื่อสิ่งนี้ก็แสดงว่าท่านเป็นกาเฟ็ร

หากท่านเชื่อว่าอัลลอฮ์มีความยุติธรรม นั่นแสดงว่าท่านมีความเชื่อเหมือนชีอะฮ์ใช่ไหม  เพราะหลักศรัทประการหนึ่งของชีอะฮ์คืออัลลอฮ์อาดิล   ส่วนหลักศรัทธาของท่านไม่มีกล่าวว่าอัลลอฮ์อาดิล

ถ้าถามว่า  :   ใครกำหนดอะกีดะฮ์ห้าข้อนี้ ?
1,เตาฮีด 2,อดิล 3,นุบูวะฮ์ 4,อิมามะฮ์ 5,มะอ๊าด

ตอบง่ายๆคือ :   เชคมุฟีด  

แล้วเชคมุฟีดเป็นใคร  ตอบ  อุละมาอ์ชีอะฮ์คนหนึ่ง
เชคมุฟีด ชื่อจริงคือ มุฮัมมัด บินมุฮัมมัด บินอัน-นุอ์มาน ชาวเมืองแบกแดด ประเทศอิรัค เกิดวันที่ 11 ซุลกิอ์ดะฮ์ ฮ.ศ.336 มรณะคืนวันศุกร์ที่ 3 รอมฎอน ฮ.ศ. 413 รวมอายุ 95 ปี  สัยยิดมุรตะฏอเป็นอิม่ามนำ นมาซญะนาซะฮ์ให้ มีทั้งซุนนี่และชีอะฮ์มาร่วมนมาซญะนาซะฮ์ให้เขาอย่างเนืองแน่น เดิมร่างถูกฝังไว้ที่บ้านสองปี ต่อมาได้ย้ายไปฝังไว้ที่เมืองกาซิมัยน์ เคียงข้างกับอาจารย์ของเขาคือเชคศอดูก ตรงบิรเวณด้านล่างสุสานของท่านอิม่ามญะวาด อะลัยฮิสสลาม
เชคมุฟีดนับได้ว่าเป็นนักวิชาการที่มีความรู้สูงสุดในยุคที่เขามีชีวิตอยู่ มีความฉลาดหลักแหลมในการตอบคำถามและเชี่ยวชาญวิชาฟิกฮ์  ,ริวายะฮ์และอิลมุลกะลาม  เขาแต่งตำราไว้สองร้อยกว่าเล่ม ซึ่งคนรุ่นหลังล้วนได้รับประโยชน์จากเขาอย่างมากมาย  


เชคมุฟีดเป็นบุคคลแรกที่ได้ประมวลอะกีดะฮ์ชีอะฮ์จากกุรอ่านและฮะดีษไว้หนังสือชื่อ " อัน-นุกัต อัลเอี๊ยะอ์ติกอดียะฮ์ " หนังสือเล่มนี้เชคมุฟีดได้แบ่งหลักศรัทธาออกเป็น 5 บทคือ
1.   มะอ์ริฟะตุลเลาะฮ์วะศิฟาติฮี (การรู้จักพระเจ้าและคุณลักษณะของพระองค์)
2.   อัลอัดลุ (ความยุติธรรมของอัลลอฮ์)
3.   อัน-นุบูวะฮ์ ( การศรัทธาต่อศาสดาของอัลลอฮ์)
4.   อัลอิมามะฮ์  ( การศรัทธาต่อผู้นำที่สืบต่อจากนบีมุฮัมมัด)
5.   อัลมะอ๊าด (การศรัทธาต่อวันปรโลก)  

จนยุคต่อๆมานักวิชาการชีอะฮ์ได้เรียบเรียงหนังสืออะกีดะฮ์โดยแบ่งเรื่องหลักศรัทธาออกเป็นห้าหัวข้อเหมือนที่เชคมุฟีดได้นำเสนอไว้จนกลายเป็นเรื่องมุตะวาติรถ่ายทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้  วัลลอฮุอะอ์ลัม


ท่านจะเห็นได้ว่า   ไม่น่าเชื่อที่คนอย่างนายฟารีดจะไม่รู้ว่า  ชีอะฮ์เขามีความเชื่ออย่างไร แต่เนื่องจากนายฟารีดเจตนาโจมตีชีอะฮ์แบบไม่ลืมหูลืมตา  และนี่คือนิสัยทรามของเขานั่นเอง


คำถามสำหรับวาฮาบีอย่างนายฟารีด

ในตำราชีอะฮ์มีหลักฐานใดที่ท่านสามารถนำมายืนยันได้ว่า ชีอะฮ์ไม่เชื่อไม่ศรัทธาต่อ
1.   อัลเลาะฮ์
2.   มลาอิกะฮ์ของพระองค์
3.   บรรดาคัมภีร์ของพระองค์
4.   บรรดารอซูลของพระองค์
5.   วันสิ้นโลก
6.   การศรัทธาต่อการกำหนดสภาวการณ์
หากท่านหาหลักฐานมาแสดงไม่ได้  นั่นแสดงว่า   นายฟารีดคือคนโกหกนั่นเอง
#60
ฟารีดเฟ็นดี้แหกตา 3  อิสลามไม่มีนิกาย



อ้างอิงจากคำพูดของนายฟารีดเฟ็นดี้ ►

อาจจะมีบางท่านตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าอิสลามไม่มีนิกายตามที่กล่าวแล้ว ถ้าเช่นนั้นคำว่า มัซฮับ (مذهب ) จะหมายถึงอะไร เช่นที่กล่าวกันว่า มัซฮับมาลิกี, มัซฮับฮานาฟี,มัซฮับซาฟีอี และมัซฮับฮัมบาลี  ที่ผู้รู้บางท่านแปลว่า นิกายมาลิกี,นิกายฮานาฟี,นิกายซาฟีอี และนิกายฮัมบาลี อย่างนี้เป็นต้น
ขอทำความเข้าใจกับท่านว่า คำว่ามัซฮับที่ถูกนำมาใช้ในที่นี้ หมายถึง " แนวทาง "

การวิเคราะห์ปัญหาข้อปลีกย่อยบางประการของบรรดานักฟิกฮ์ มิได้หมายถึงนิกายหรือลัทธิที่แยกความเชื่อและการปฏิบัติที่เป็นหลักออกไป


ดูhttp://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=109



۩  วิจารณ์

นายฟารีดเฟ็นดี้พยายามบอกกับชาวโลกว่า ชีอะฮ์  ไม่ใช่มัซฮับที่มีความเกี่ยวข้องกับอิสลาม  

แต่ถ้าท่านสังเกตดีๆจะพบว่า บทความของเขามักพูดแบบน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง คือพูดไม่ตรงประเด็นเท่าไหร่นักเช่น
 
นายฟารีดตั้งชื่อบทความว่า  

" อิสลามไม่มีนิกาย "  เขาได้ให้ความหมายคำ " มัซฮับ "   ว่า  " แนวทาง "    

นายฟารีดกล่าวว่า การวิเคราะห์ปัญหาข้อปลีกย่อยบางประการของบรรดานักฟิกฮ์ มิได้หมายถึงนิกายหรือลัทธิ จุดประสงค์ของเขาคือ  ชีอะฮ์ไม่เกี่ยวข้องกับมัซฮับฟิกฮ์ทั้งสี่ของซุนนี่

ทีนี้เราลองย้อนกลับไปดูสิว่า

อาเล่มวาฮาบีเรียกพวกชีอะฮ์ว่าอะไร และ

บรรดานักฟิกฮ์ซุนนี่อ้างอิงสิ่งใดเกี่ยวกับฟิกฮ์ของชีอะฮ์บ้าง

หนึ่ง - อิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

وكان أهل العراق على مذهب الأوزاعي وأهل الشام وكانوا يعظمون مذهب أهل الحديث وينصره بعضهم في كثير من الأمور
وهم من أبعد الناس عن مذهب الشيعة وكان فيهم من الهاشميين الحسينيين كثير
ومنهم من صار من ولاة الأمور على مذهب أهل السنة والجماعة

ปรากฏว่าชาวอิรักอยู่บนมัซฮับ(แนวทางของ)อัลเอาซาอี   ส่วนชาวช่าม(ซีเรีย)และพวกเขายกย่อง(แนวทางของ)มัซฮับอะฮ์ลุลหะดีษและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องราวต่างๆมากมาย และพวกเขาคือคนที่ห่างไกลที่สุดจากมัซฮับ(แนวทางของ)ชีอะฮ์และในหมู่พวกเขานั้นมาจากพวกตระกูลฮาชิม ที่สืบเชื้อสายมาจากฮูซัยนี(อิม่ามฮูเซน)เสียส่วนมาก และพวกเขาส่วนหนึ่งได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลกิจการงานต่างๆบนมัซฮับ(แนวทางของ)อะฮ์ลุสซุนนะฮ์
ดูมินฮาญุสซุนนะฮ์   เล่ม 6 : 420

สอง –  อิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

وَبِقَوْلِهِ تَعَالَى : { ثُمَّ مَحِلُّهَا إلَى الْبَيْتِ الْعَتِيقِ } . وَإِيجَابُ الْمُتْعَةِ هُوَ قَوْلُ طَائِفَةٍ مِنْ أَهْلِ الْحَدِيثِ وَالظَّاهِرِيَّةِ : كَابْنِ حَزْمٍ وَغَيْرِهِ وَهُوَ مَذْهَبُ الشِّيعَةِ أَيْضًا لَكِنَّ الْجَمَاهِيرَ مِنْ الصَّحَابَةِ وَالْأَئِمَّةِ الْأَرْبَعَةِ وَغَيْرِهِمْ عَلَى أَنَّهُ يَجُوزُ التَّمَتُّعُ وَالْإِفْرَادُ ؛
مجموع فتاوى ابن تيمية - (ج 6 / ص 126
และพระดำรัสของพระองค์ผู้ทรงสูงส่งที่ตรัสว่า(และสถานที่เชือดของมันคือบริเวณบ้านอันเก่าแก่(มักกะฮ์) ซูเราะฮ์อัลฮัจญ์ : 33)  และการถือว่าฮัจญ์มุตอะฮ์นั้นเป็นวายิบมันคือคำพูดของคนกลุ่มหนึ่งจากอะฮ์ลุลหะดีษและพวกซอฮิรียะฮ์ เช่นอิบนิหัซมินและคนอื่นจากเขาและพวกมัซฮับชีอะฮ์ก็เช่นเดียวกัน
แต่ว่ามหาชนจากซอฮาบะฮ์และอิหม่ามทั้งสี่และคนอื่นจากพวกเขามีทัศนะว่า อนุญาตให้ทำฮัจญ์ตะมัตตุ๊อ์และกิรอนได้
ดูมัจญ์มู๊อ์ ฟะตาวา   เล่ม 6 : 126

สาม -  อาลิมวาฮาบียุคปัจจุบันชื่อ  เชคอับดุลอะซีซ อัลรอญิฮีกล่าวว่า

أما مذهب الشيعة عموما غير الرافضة فهو الغلو في أهل البيت
شرح العقيدة الطحاوية - عبدالعزيز الراجحي - (ج 1 / ص 363
ส่วนมัซฮับชีอะฮ์  โดยอุมูม(ทั่วไป) นอกเหนือไปจากพวกรอฟิเดาะฮ์  ดังนั้นเขาจะมีความฆูล๊าตในอะฮ์ลุลบัยต์นะบี(เป็นอย่างมาก)
ดูชัรฮุลอะกีดะฮ์   เตาะฮาวียะฮ์  โดยเชคอับดุลอะซีซ อัลรอญิฮี เล่ม 1 : 363
http://shrajhi.com/

ท่านจะเห็นว่า  ทั้งอิบนุตัยมียะฮ์และอาเล่มวาฮาบีอัลรอญิฮีก็เรียกชีอะฮ์ว่า  มัซฮับชีอะฮ์

จะว่าไปเชคอัลรอญิฮีเขาก็พูดถูกนะที่ว่า พวกชีอะฮ์จงรักภักดีต่ออะฮ์ลุลบัยต์เป็นอย่างมาก

ท่านชะฮ์ร็อสตานีได้พรรณาถึงชีอะฮ์ว่า

الشيعة هم : الذين شايعوا علياً رضي الله عنه على الخصوص وقالوا بإمامته وخلافته : نصاً ووصية إما جلياً وإما خفياً .
واعتقدوا أن الإمامة لا تخرج من أولاده وإن خرجت فبظلم يكون من غيره أو بتقية من عنده .
الملل والنحل للشهرستاني - (ج 1 / ص 80

อัช-ชีอะฮ์   คือบรรดาผู้ดำเนินตาม(แนวทางของ)ท่านอาลีโดยเฉพาะ  และพวกชีอะฮ์กล่าวว่า เขา(ท่านอาลี)เป็นอิหม่ามและเป็นคอลีฟะฮ์  อันเป็นหลักฐานและคำสั่งเสียทั้งที่ประกาศชัดเจน(ต่อหน้าประชาชน)และที่ประกาศไว้แบบเป็นนัยยะ
และพวกเขา(ชีอะฮ์)ยังเชื่อว่า  ตำแหน่งอิม่ามผู้นำจะไม่ออกนอกไปจากลูกหลานของท่านอาลี...
ดูอัลมิลัล วันนิฮัล  เล่ม 1 : 80 บาบที่หก

ก็นายฟารีดไม่เคยไปอ่านตำราชีอะฮ์บ้างหรือที่พวกเขามีหะดีษรายงานว่า
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กับหะดีษ  12  อิม่าม ( บทที่ 2)

قاَلَ الشَّيْخُ الصَّدُوْقُ : حَدَّثَنَا ْ أَحْمَدُ بْنُ زِيَادِ بْنِ جَعْفَرٍ الْهَمَذَانِي‏ قَالَ : حَدَّثَنَا عَلِىُّ بْنُ اِبْرَاهِيْمَ بْنِ هَاشِمٍ عَنْ أَبِيْهِ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي عُمَيْر عَنْ غِيَاثِ بْنِ إِبْرَاهِيْمَ عَنِ الصَّادِقِ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ أَبِيْهِ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِىٍ عَنْ أَبِيْهِ عَلِىِّ بْنِ الْحُسَيْنِ عَنْ أَبِيْهِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِىٍّ عَلَيْهِ السَّلاَمِ قَالَ: سُئِلَ أَمِيْرُ الْمُؤْمِنِيْنَ عَلَيْهِ السَّلاَمِ عَنْ مَعْنَى قَوْلِ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ إِنِّىْ مُخَلِّفٌ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ مَنِ الْعِتْرَةُ ؟ فَقَالَ : أَنَا وَالْحَسَنُ وَالْحُسَيْنُ وَالْأَئِمَّةُ التِّسْعَةُ مِنْ وُلْدِ الْحُسَيْنِ تَاسِعُهُمْ مَهْدِيُّهُمْ وَقَائِمُهُمْ لاَ يُفَارِقُوْنَ كِتَابَ اللهِ وَلاَ يُفَارِقُهُمْ حَتَّى يَرِدَوْا عَلَى رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ حَوْضَـهُ

เชคศอดูกเล่าว่า :   อะหมัด บินซิยาด บินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานีเล่าให้เราฟัง จากอาลี บินอิบรอฮีม บินฮาชิมจากบิดาเขา จากมุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน จากฆิยาษ บินอิบรอฮีมเล่าว่า :  จากอิม่ามอัศศอดิก ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด จากบิดาเขาคืออิม่ามมุฮัมมัด บินอาลี จากบิดาเขาคืออิม่ามอาลี บินฮูเซน จากบิดาเขาคืออิม่ามฮูเซน บินอาลีเล่าว่า :  ท่านอิม่ามอะมีรุลมุอ์มินีน(อิม่ามอาลี) ถูกถามถึงความหมายของวจนะท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ที่กล่าวว่า :

แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่าน  สิ่งแรกคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอิตเราะฮ์ของฉัน,(ว่า) ใครคืออิตเราะฮ์ ?

ท่าน(อิม่ามอาลี)ได้ตอบว่า :  คือฉัน , ฮาซัน , ฮูเซนและบรรดาอิม่ามอีก 9 คนที่สืบเชื้อสายจากลูกหลานของฮูเซน   คนที่ 9 คือมะฮ์ดีของพวกเขาและคือกออิมของพวกเขา  

พวกเขาจะไม่แยกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และคัมภีร์ของอัลลอฮ์ก็จะไม่แยกจากพวกเขา จนทั้งสองจะกลับคืนมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ที่สระอัลเฮาฎ์ของท่าน

ดูหนังสืออุยูนุ อัคบาริลริฎอ(อ)  โดยเชคศอดูก  เล่ม 1 : 57 หะดีษที่ 25
สถานะหะดีษ : สายรายงานเชื่อถือได้ทั้งหมด
http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1835

แล้วนายฟารีดจะให้พวกชีอะฮ์เขาไปทำตามแนวทางอื่นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อพวกเขามีหะดีษกำกับว่า  อาลีและลูกหลานของเขาคือ  อิหม่ามผู้นำที่อยู่คู่กับคัมภีร์กุรอ่าน ?

ในตำราฟิกฮ์มัซฮับฮานาฟีกล่าวถึงมัซฮับชีอะฮ์ว่า

( فَصْلٌ ) : وَأَمَّا حُكْمُ طَلَاقِ الْبِدْعَةِ فَهُوَ أَنَّهُ وَاقِعٌ عِنْدَ عَامَّةِ الْعُلَمَاءِ .
وَقَالَ بَعْضُ النَّاسِ : إنَّهُ لَا يَقَعُ وَهُوَ مَذْهَبُ الشِّيعَةِ أَيْضًا
كتاب : بدائع الصنائع في ترتيب الشرائع - (ج 7 / ص 39

ฮุก่มต่อล๊าก(หย่าล้างแบบ)บิดอะฮ์ ถือว่าเป็นจริง(คือขาดจริง)ตามทัศนะของบรรดาอุละมาอ์ทั่วไป และคนบางส่วนกล่าวว่า  การหย่าแบบบิดอะฮ์จะไม่เกิดขึ้นจริงและนั่นคือทัศนะของมัซฮับชีอะฮ์
ดูบะดาอิอุศเศาะนาอิ๊อ์  เล่ม 7 : 39

ในตำราฟิกฮ์มัซฮับมาลิกีกล่าวถึงมัซฮับชีอะฮ์ว่า

( تَنْبِيهٌ ) كَانَ عَلِيٌّ رَضِيَ اللَّهُ تَعَالَى عَنْهُ يَزِيدُ ( حَيَّ عَلَى خَيْرِ الْعَمَلِ ) بَعْدَ حَيِّ عَلَى الْفَلَاحِ وَهُوَ مَذْهَبُ الشِّيعَةِ الْآنَ
كتاب : حاشية الدسوقي على الشرح الكبير - (ج 2 / ص 221

(หมายเหตุ) ปรากฏว่าท่านอาลี ร่อดิยัลลอฮุอันฮุ เพิ่มคำ( ฮัยยะ อะลาค็อยริลอามัล)หลังอะซานคำว่า ฮัยยะอะลัลฟะลาห์และนั่นคือมัซฮับ(แนวทางของ)ชีอะฮ์ปัจจุบัน
ดูฮาชีอะฮ์ อัดดะซูกี อะลัชชัรฮิลกะบีร  เล่ม 2 : 221

ในตำราฟิกฮ์มัซฮับชาฟีอีกล่าวถึงมัซฮับชีอะฮ์ว่า(ด้วยเรื่องสิ่งที่ทำให้น้ำละหมาดเสีย)ว่า

( قَوْلُهُ : أَوْ نَوْمٍ ) وَلَوْ فِي الصَّلَاةِ خِلَافًا لِأَبِي حَنِيفَةَ وَقَوْلُ عِنْدَنَا حَكَاهُ النَّوَوِيُّ فِي الْمَجْمُوعِ ا هـ وَحَكَى عَنْ أَبِي مُوسَى الْأَشْعَرِيِّ وَسَعِيدِ بْنِ الْمُسَيِّبِ وَجَمَاعَةٍ أَنَّ النَّوْمَ لَا يَنْقُضُ بِحَالٍ وَهُوَ مَذْهَبُ الشِّيعَةِ
كتاب : شرح البهجة الوردية - (ج 2 / ص 38

(คำพูดของเขา  หรือนอนหลับ)  แม้ว่าจะอยู่ในการละหมาดซึ่งขัดกับอิหม่ามอะบีฮะนีฟะฮ์และทัศนะของเรา  ท่านนะวาวีได้เล่าไว้ในอัลมัจญ์มู๊อ์ เขาได้เล่าจากท่านอะบีมูซาอัลอัชอะรี และสะอีดบินมุสัยยับและญะมาอะฮ์กลุ่มหนึ่งว่า  แท้จริงการนอนหลับจะไม่เสีย(วุฎุอ์)ด้วยสภาพหนึ่งและนั่นคือ(ทัศนะของ)มัซฮับชีอะฮ์
ดูชัรฮุลบะฮ์ญะติลวัรดียะฮ์  เล่ม 2 : 38

ท่านจะเห็นได้ว่าตำราฟิกฮ์ซุนนี่ก็มีความเกี่ยวข้องกับฟิกฮ์ของมัซฮับชีอะฮ์ในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจ

เพราะฉะนั้นคนลวงโลกคือ  ฟารีดเฟ็นดี้



คำถามสำหรับวาฮาบี

หากชีอะฮ์ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลามตามที่นายฟารีดเฟ็นดี้พูด ทำไมตำราฟิกฮ์ซุนนี่จึงมีการกล่าวพาดพิงอ้างอิงถึงฟิกฮ์มัซฮับชีอะฮ์