Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

เมษายน 28, 2024, 07:00:27 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,628
  • หัวข้อทั้งหมด: 650
  • Online today: 67
  • Online ever: 153
  • (เมษายน 26, 2024, 05:40:09 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 62
Total: 62

จุดอ่อน (( ชีอะฮ์ )) คืออะไร ? ตอน 3

เริ่มโดย L-umar, กรกฎาคม 01, 2009, 11:57:12 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar



จุดอ่อน ((   ชีอะฮ์   ))  คืออะไร  ?   ตอน 3



เรื่องที่ชีอะฮ์เชื่อว่า  อิหม่ามผู้นำหลังจากท่านศาสดามุฮัมมัดจากไปนั้นมี สิบสอง คน  นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่   ฝ่ายวาฮาบี และอะชาอิเราะฮ์  นำมาโจมตีชีอะฮ์  กันสนุกปาก  และถือว่าเป็นจุดอ่อนอีกข้อหนึ่ง ที่ชีอะฮ์ทั่วไปไม่สามารถ ให้คำตอบที่ชัดเจนกับพวกเขาได้


ดังนั้น ต่อไปนี้   เราจะนำบทความที่ท่านอาจารย์  ฟารีด เฟ็นดี้  เขียนโจมตีชีอะฮ์  ในเวป

http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178

มาลงให้ท่านอ่าน   และ ((  เวปคำถามสำหรับซุนนี่   )) จะชี้แจงให้ท่านผู้อ่านทราบถึงความจริงในเรื่องนี้


หมายเหตุ  -

(( สีแดง  )) หมายถึงบทความ ของท่านอาจารย์  ฟารีด เฟ็นดี้


(( สีน้ำเงิน  ))  หมายถึง คำตอบของฝ่ายเวป  http://www.q4sunni.com/believe/




อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้

http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178



สิบสองคอลีฟะห์ไม่ใช่สิบสองอิหม่ามของชีอะห์

         
ผู้รายงานในระดับศอฮาบะห์คือ ท่านญาบิร บิน ซะมุเราะห์ พ่อลูกคู่นี้ (ญาบิรและซะมุเราะห์) เป็นศอฮาบะห์ของท่านรอซูลทั้งคู่ ทั้งสองรายงานว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
« لاَ يَزَالُ الإِسْلاَمُ عَزِيزًا إِلَى اثْنَىْ عَشَرَ خَلِيفَةً ». ثُمَّ قَالَ كَلِمَةً لَمْ أَفْهَمْهَا فَقُلْتُ لأَبِى مَا قَالَ فَقَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ ».

 "อัลอิสลามจะยังคงรุ่งเรืองจนกระทั่งถึงสิบสองคอลีฟะห์ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวถ้อยคำที่ฉันฟังไม่เข้าใจ ฉันได้จึงได้ถามพ่อของฉัน (ซะมุเราะห์) ว่าท่านนบีกล่าวว่าอย่างไร เขาตอบว่า (ท่านนบีกล่าวว่า) พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวกุรอยช์" บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 3395


อีกบทหนึ่งเป็นฮะดีษที่ศอฮาบะห์สองพ่อลูกคู่นี้รายงานไว้เช่นเดียวกัน แต่มีข้อความต่างจากบทแรกเล็กน้อยคือ
« لاَ يَزَالُ الدِّينُ قَائِمًا حَتَّى تَقُومَ السَّاعَةُ أَوْ يَكُونَ عَلَيْكُمُ اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ ».

ศาสนานี้จะยังคงธำรงอยู่จนกว่าจะถึงกาลอวสาน หรือจนกว่าจะมีสิบสองคอลีฟะห์มายังพวกเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวกุรอยช์"  บันทึกโดยอิหม่ามสุสลิม ฮะดีษเลขที่ 3398

          ฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่หลายบันทึก มีทั้งสายรายงานที่ศอเฮียะห์ และฏออีฟ แต่ที่เรานำมาแสดงให้เห็นนี้เป็นสำนวนคำรายงานจากบันทึกของอิหม่ามุสลิม ซึ่งแน่นอนว่า ชาวซุนนะห์มิได้สงสัยในสถานภาพของฮะดีษนี้ แต่สิ่งที่จะต้องนำมากล่าวกันก็คือ ความเข้าใจใน
วัตถุประสงค์และเป้าหมายของฮะดีษเป็นหลักว่าถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากเหล่าชีอะห์มักจะหยิบยกฮะดีษในบทนี้ไปแอบอ้างแก่บรรดาผู้คนว่า ท่านนบีได้กล่าวถึงอิหม่ามจำนวนสิบสองคนของพวกเขาไว้แล้ว และมีบันทึกอยู่ในตำราของชาวซุนนะห์ด้วย ดังนั้นเพื่อให้ผู้ที่ไม่รู้ภาษาอาหรับได้เข้าใจถึงความหมายและเป้าหมายของฮะดีษอย่างถูกต้อง จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของลัทธินอกรีตชีอะห์อิหม่ามสิบสอง เราจึงต้องนำเอาความเข้าใจของฮะดีษบทนี้มาชี้แจง






เวปคำถามสำหรับซุนนี่  ขอชี้แจงดังนี้  :  

สงสัยท่านอาจารย์ฟารีด  คงไม่ทราบ  กฎของการมุนาเซาะเราะฮ์ ( المناظرة )  คือการโต้วาที  ว่าเมื่อฝ่ายชีอะฮ์ต้องการพิสูจน์เรื่องความเชื่อเกี่ยวกับสิบสองผู้นำ  ให้ฝ่ายซุนนี่รับฟังเหตุผล  ก็จำเป็นต้องยกหะดีษของฝ่ายซุนนี่มาแสดงก่อนว่า  เรื่องสิบสองผู้นำไม่ใช่เป็นความเชื่อของชีอะฮ์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ตำราหะดีษของซุนนี่เองก็ได้รายงานไว้ในระดับเศาะหิ๊หฺ  

เราขอถามว่า   หากฝ่ายชีอะฮ์ยกหะดีษเรื่องสิบสองผู้นำ จากตำราหะดีษชีอะฮ์มาอ่านให้พี่น้องซุนนี่ฟัง  พวกท่านจะเชื่อหรือ ในเมื่อพวกท่านไม่ใช่ชีอะฮ์  ?  เพราะฉะนั้นเห็นได้ว่าอาจารย์ฟารีด พูดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ซึ่งต่อไปเราจะยกคำพูดของเขามาให้ท่านได้อ่านบ้างว่า ตัวท่านอาจารย์ฟารีดเองก็ยกหะดีษชีอะฮ์ มาอ้างอิงเป็นหลักฐานให้ชีอะฮ์ยอมรับอย่างไร

เรื่องหะดีษสิบสองผู้นำนั้น มีนักรายงานหะดีษชีอะฮ์ที่โด่งดังคนหนึ่งชื่อ  علي بن محمد الخزّاز   อะลี บินมุฮัมมัด อัลคอซซาซ  อัลกุมมี มุหัดดิษชีอะฮ์(อยู่ในยุคศตวรรษที่สามร้อย)ผู้นี้ได้รวบรวมหะดีษสิบสองผู้นำเอาไว้หนังสือของเขาชื่อ     กิฟายะตุลอะษัร (كفاية الاَثر )

قال المجلسي: وكتاب الكفاية كتاب شريف لم يوَلّف مثله في الاِمامة.

อัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี(เจ้าของหนังสือบิฮารุลอันวาร)ได้ให้คำยกย่องว่า  กิตาบอัลกิฟายะฮ์เป็นหนังสือที่มีเกียรติยิ่งนัก ไม่เคยมีผู้ใดเรียบเรียงเกี่ยวกับเรื่องอิหม่ามผู้นำได้เทียบเท่าหนังสือเล่มนี้
อะลี บินมุฮัมมัด อัลคอซซาซ รายงานหะดีษจากเชคศอดูก (มรณะฮ.ศ. 381) และอบุลมุฟัฎฎ็อล มุฮัมมัด บินอับดุลลอฮฺ อัช-ชัยบานี (มรณะฮ.ศ.387 ) และกอฎี อบุลฟะรัจญ์ อัลมุอาฟี บินซะกะรียา (มรณะฮ.ศ.390)

นักวิชาการชีอะฮ์สาขาอิลมุลริญาลเช่น อัน-นะญาชี , เชคตูซี , อัลลามะฮ์ฮิลลี่ , อิบนุดาวูดและสัยยิดอัลคูอี   ได้วิจารณ์สถานะการายงานหะดีษของเขาว่าอยู่ในระดับ  ษิเกาะฮ์  คือเชื่อถือได้ ดังนี้  
700- علي بن محمد بن علي الخزاز
ثقة من أصحابنا، أبو القاسم، وكان فقيها وجها له كتاب الإيضاح في أصول الدين على مذهب أهل البيت عليهم السلام.
رجال النجاشي - (ج 1 / ص 191

422- علي الخزاز الرازي
متكلم جليل، له كتب في الكلام و له أنس بالفقه، و كان مقيما بالري و بها مات رحمه الله.
الفهرست للطوسي - (ج 1 / ص 80

53 - علي بن محمد بن علي الخزاز بالخاء المعجمة والزاي قبل الالف وبعدها يكنى أبا القاسم كان ثقة من أصحابنا فقيها \\\" وجها \\\".
خلاصة الاقوال للعلامة الحلي - (ج 22 / ص 10

1078 - علي بن محمد بن علي الخزاز، بالمعجمات، أبو القاسم (جش) ثقة كان في أصحابنا وجيها
رجال ابن داود - (ج 1 / ص 136

( 8459 ) - علي بن محمد بن علي الخزاز : ثقة من أصحابنا ، وكان فقيها وجها ، له كتاب الايضاح ، في أصول الدين على مذهب أهل البيت عليهم السلام \\\" .
من كتبه : الكفاية في النصوص \\\" .
معجم رجال الحديث للسيد الخوئي - (ج 13 / ص 120
ท่านสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ที่เวป
http://www.ahl-ul-bayt.org/Final_lib/aqaed/Kefayat_Ol_Asar/index.htm

ในหนังสือกิฟายะตุลอะษัรเล่มนี้ มีบทหนึ่งซึ่งเป็นรายงานของท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์ รายงานไว้เหมือนหะดีษที่ท่านอาจารย์ฟารีดยกมากล่าว คือ

باب ما جاء عن جابر بن سمرة عن النبي ص  
في النصوص على الأئمة الاثني عشر ع
حدثنا محمد بن علي رضي الله عنه قال حدثنا محمد بن الحسن القطان قال حدثنا محمد بن عبد الله النيسابوري قال حدثنا أبو القاسم هارون بن إسحاق يعني الهمداني قال حدثني إبراهيم بن محمد عن زياد بن علاقة و عبد الملك بن عمير بن جابر بن سمرة قال كنت مع أبي عند النبي ص فسمعته يقول يكون بعدي اثنا عشر أميرا ثم أخفى علي
 كفاية الأثر ص : 50
فقلت لأبي ما الذي يخفي رسول الله ص قال قال كلهم من قريش
حدثنا علي بن محمد قال حدثنا أحمد بن الحسن القطان قال حدثنا أبو علي محمد بن علي بن إسماعيل الكربي المروزي قال حدثنا سهل بن عمار النيسابوري قال حدثنا عمر بن عبد الله بن رزين قال حدثنا سفيان عن سعيد بن عمر الشعبي عن جابر بن سمرة قال جئت مع أبي إلى المسجد و رسول الله ص يخطب فسمعته يقول يكون من بعدي اثنا عشر يعني أميرا ثم خفض صوته فلم أدر ما يقول فقلت لأبي ما قال قال كلهم من قريش
 كفاية الأثر ص : 51
 حدثنا محمد بن علي رضي الله عنه قال حدثنا أحمد بن الحسن قال حدثنا أبو علي محمد بن علي بن إسماعيل بالري قال حدثنا الفضل عبد الجبار المروزي قال حدثنا علي بن الحسن يعني ابن شقيق قال حدثنا الحسين بن وافد قال حدثنا سماك بن حرب عن جابر بن سمرة قال أتيت النبي ص فسمعته يقول إن هذا الأمر لا ينقضي حتى يملك اثنا عشر خليفة و قال كلمة حفيفة فقلت لأبي ما قال فقال كلهم من قريش
و عنه قال حدثنا أحمد بن محمد بن إسحاق القاضي قال حدثنا أبو يعلى قال حدثنا علي بن جعد قال حدثنا زهير عن زياد بن حنتمة عن الأسود الهمداني قال سمعت جابر بن سمرة
 كفاية الأثر ص : 52
يقول سمعت رسول الله ص يقول يكون بعدي اثنا عشر خليفة كلهم من قريش فلما رجع إلى منزله أتيته فيما بيني و بينه فقلت ثم يكون ما ذا قال ثم يكون الفرج
و هذا جابر بن سمرة روى عنه زياد بن علاقة و عبد الملك بن عمير و الشعبي و سماك بن حرب و الأسود بن سعيد الهمداني
 كفاية الأثر ص : 53

http://www.ahl-ul-bayt.org/Final_lib/aqaed/Kefayat_Ol_Asar/02.htm#_Toc17477595

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ตัวบทหะดีษระหว่างเศาะหิ๊หฺมุสลิมกับหนังสือกิฟายะตุลอะษัรนั้น เหมือนกันแทบทั้งหมด  เพียงแต่สะนัดก่อนที่จะมาบรรจบที่ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์นั้นแตกต่างกัน  



คำถามสำหรับซุนนี่



1.   ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า  เนื่องจากเหล่าชีอะห์มักจะหยิบยกฮะดีษในบทนี้ไปแอบอ้างแก่บรรดาผู้คนว่า ท่านนบีได้กล่าวถึงอิหม่ามจำนวนสิบสองคนของพวกเขาไว้แล้ว และมีบันทึกอยู่ในตำราของชาวซุนนะห์ด้วย   ขอถามว่า หากชีอะฮ์ยกหะดีษบทนี้จากหนังสือกิฟายะตุลอะษัรมาอ้าง  ท่านจะยอมรับไหม

2.   จากคำพูดของอาจารย์ฟารีด  ได้แสดงถึงความเขลาที่ว่า  ตัวท่านไม่เคยศึกษาหรือทราบมาก่อนเลยว่า  หะดีษบทที่ท่านยกมานั้น ในตำราหะดีษชีอะฮ์ก็ได้รายงานเอาไว้เช่นกัน  ในเมื่อตัวท่านขาดข้อมูลในเรื่องนี้ แต่ทำไมท่านจึงวิจารณ์เรื่องนี้อย่างไม่ละอาย
  •  

L-umar




อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178


( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  
แต่ก่อนที่จะได้สาธยายในรายละเอียดนั้น เราตั้งข้อสังเกตให้ท่านพิจารณาก่อนว่า เพราะเหตุใดลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสอง จึงได้นำเอาหลักฐานจากตำราของชาวซุนนะห์มาเสนอ ทำไม่พวกเขาไม่แสดงหลักฐานในเรื่องนี้จากตำราของพวกเขาแก่บรรดาผู้คน หรือว่าสิ่งที่พวกเขาอ้างกันนั้นไม่มีอยู่ในสาระบบหรือตำราของลัทธิชีอะห์ สิ่งที่พวกเขาได้ทำให้เห็นนี้เป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง นั่นคือพวกเขาได้ขโมย ตัวบทหลักฐานจากตำราของชาวซุนนะห์ แล้วนำไปแอบอ้างกับบรรดาผู้คน ด้วยวิธีการอันสกปรกคือ เอาตัวบทที่ถูกต้องมาแล้วเอาคำอธิบายของพวกเขามาสวมแทนเพื่อให้บรรลุถึงอุดมการณ์ของพวกเขา จนทำให้ผู้ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปได้หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับคำเชิญชวนนั้น





เวปคำถามสำหรับซุนนี่ ตอบ  :

ท่านคงได้อ่านชัดแล้วนะครับว่า  อาจารย์ฟารีด ไม่รู้เรื่องชีอะฮ์อย่างแท้จริง   ขอให้ท่านวรรคนี้อีกครั้ง
(( ทำไม่พวกเขาไม่แสดงหลักฐานในเรื่องนี้จากตำราของพวกเขาแก่บรรดาผู้คน หรือว่าสิ่งที่พวกเขาอ้างกันนั้นไม่มีอยู่ในสาระบบหรือตำราของลัทธิชีอะห์   ))

ทางเราได้แสดงหะดีษสิบสองผู้นำจากหนังสือหะดีษของชีอะฮ์มาลงให้ท่านอ่านแล้วนะครับว่า เหมือนกับที่บันทึกอยู่ในเศาะหิ๊หฺมุสลิม  ตามที่อยู่เวปนี้    

www.ahl-ul-bayt.org/Final_lib/aqaed/Kefa.../02.htm#_Toc17477595

เพราะฉะนั้นทุกคำพูดที่ท่านอาจารย์ฟารีดจาบจ้วงชีอะฮ์   เราก็ขอให้มันย้อนกลับไปหาตัวของท่านเองว่า ท่านนั้นมีวิธีการใส่ร้ายผู้อื่นที่สกปรกอย่างไร  
  •  

L-umar


อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178



( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  

ประการที่หนึ่ง

          การที่เหล่าชีอะห์อ้างฮะดีษสิบสองคอลีฟะห์เพื่อเป็นหลักฐานในเรื่องสิบสองอิหม่ามของพวกเขานั้น เป็นการนำตัวบทมาครอบผิดเรื่อง
เพราะในตัวบทฮะดีษ ท่านนบีได้กล่าวโดยใช้คำว่า (( คอลีฟะห์ )) ชัดเจน ซึ่งท่านมิได้กล่าวด้วยคำว่า(( อิหม่าม ))
เพราะเหตุที่คำทั้งสองนี้มีความหมายจำกัดและคลอบคลุมต่างกัน
และเราขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีฮะดีษในเรื่องนี้สักบทเดียวที่ท่านนบีได้กล่าวโดยใช้คำว่า อิหม่าม หรือกล่าวถึง อิหม่ามสิบสองของเหล่าชีอะห์ ไม่มีเลยจริงๆ  




เวปคำถามสำหรับซุนนี่  ตอบ

เราไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ฟารีดโง่เขลาหรือแกล้งโง่  หรือท่านอาจเล่นลิ้นเก่งยิ่งกว่าชีอะฮ์เสียอีก   เพราะ
คำ 1  คำ อาจแปลได้หลายความหมายเช่น อัยนุน - عَيْنٌ- แปลว่า ดวงตา,ตัวตน,ตาน้ำ,ชาวเมือง,ชาวบ้าน,รูเล็ก,ผู้บริสุทธิ์และสายลับ...

และคำหลายคำ  อาจให้ความหมายได้เพียง 1 ความหมายเช่น (( ผู้นำ  )) เพื่อป้องกันการเบี่ยงเบนประเด็นการสนทนาเรื่อง 12 ผู้นำ เราจำเป็นต้องชี้แจงให้ชัดเจนเสียก่อนว่า
 
" ผู้นำ " ในภาษาอาหรับมีหลายคำที่ใช้ร่วมกัน  مُشْتَـرَك لَفْـظِيّ  เช่น :  

1, อิหม่าม - ผู้นำมุสลิม,,ผู้ปกครอง
2, คอลีฟะฮ์ - ผู้ปกครอง
3, อะมีร - หัวหน้า,ผู้ปกครอง
4, วะลี – ผู้คุ้มครอง,ผู้ปกครอง
5, เมาลา – ผู้ปกครอง,ผู้ค้มครอง

พิจารณาความหมายทั้ง  5  จากกุรอ่านและหะดีษ  :
1,   إِنِّي جاعِلُكَ لِلنَّاسِ إِماماً
ฉันจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็น(อิม่าม)หัวหน้าสำหรับมนุษย์ (อัลบะก่อเราะฮ์:124)
وَجَعَلْنَا مِنْهُمْ أَئِمَّةً يَهْدُونَ بِأَمْرِنَا
และเราได้แต่งตั้งจากพวกเขาเป็นอิม่ามผู้นำ(ประชาชน)ตามบัญชาของเรา
(อัส-สัจญ์ดะฮ์:24)
2,   إِنِّي جاعِلٌ فِي الأَرْضِ خَلِيفَةً
แท้จริงเราจะแต่งตั้ง(อาดัม)ให้เป็นคอลีฟะฮ์(ผู้ปกครอง) บนโลก (อัลบะก่อเราะฮ์:30)
يا داوُدُ إِنَّا جَعَلْناكَ خَلِيفَةً فِي الأَرْضِ
โอ้ดาวูด แท้จริงเราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้ปกครอง(คอลีฟะฮ์)บนโลก(ศ็อด:26)
3,
مَنْ أَطَاعَنِى فَقَدْ أَطَاعَ اللَّهَ وَمَنْ عَصَانِى فَقَدْ عَصَى اللَّهَ وَمَنْ أَطَاعَ أَمِيرِى فَقَدْ أَطَاعَنِى وَمَنْ عَصَى أَمِيرِى فَقَدْ عَصَانِى
ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า : ผู้ใดเชื่อฟังข้าพเจ้าก็เท่ากับเขาเชื่อฟังอัลลอฮ์ ผู้ใด้ไม่เชื่อฟังข้าพเจ้าก็เท่ากับเขาไม่เชื่อฟังอัลลอฮ์  และผู้ใดเชื่อฟังอะมีร(ผู้นำ)ที่ข้าพเจ้าแต่งตั้งก็เท่ากับเขาเชื่อฟังข้าพเจ้า  ผู้ใดไม่เชื่อฟังผู้นำ(อะมีร)ที่ข้าพเจ้าแต่งตั้งก็เท่ากับเขาไม่เชื่อฟังข้าพเจ้า
( เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษที่ 4854 )
4,   أَنْتَ وَلِيُّنَا فَاغْفِرْ لَنَا وَارْحَمْنَا وَأَنْتَ خَيْرُ الْغَافِرِينَ
พระองค์ทรงเป็น(วะลี)ผู้ปกครองเรา ดังนั้นได้ทรงโปรดอภัยให้เรา และทรงโปรดเมตตาเรา และพระองค์ทรงเป็นเลิศแห่งผู้ให้อภัยทั้งหลาย ( อัลอะอ์รอฟ : 155 )
5,   ذَلِكَ بِأَنَّ اللَّهَ مَوْلَى الَّذِينَ آَمَنُوا وَأَنَّ الْكَافِرِينَ لَا مَوْلَى لَهُمْ
ทั้งนี้เนื่องจากว่าอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองบรรดาผู้ศรัทธา และแน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่มีผู้คุ้มครองสำหรับพวกเขา ( มุฮัมมัด : 11 )

เราหวังว่าระดับปัญญาชนคงเข้าใจแล้วว่า เรื่องอิหม่ามกับเรื่องคอลีฟะฮ์คือเรื่องเดียวกัน


ขอให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาหะดีษต่อไปนี้      ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)กล่าวว่า
الْأَئِمَّةُ مِنْ قُرَيْشٍ

บรรดาอิหม่ามผู้นำนั้นต้องมาจากพวกกุเรช

มุสนัดอิหม่ามอะหมัด หะดีษที่ 11642, 12329 , 12923    ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบ
ซึ่งเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏีได้วิจารณ์หะดีษสามบทนี้ว่า มีสถานะ : เศาะหิ๊หฺ

ท่านอบูบักรเองได้เคยหยิบยกหะดีษ (( อิหม่ามผู้นำนั้นต้องมาจากชาวกุเรช )) นี้มาอ้างอิงกับชาวอันศ็อรขณะที่พวกเขากำลังเลือกคอลีฟะฮ์กันที่สะกีฟะฮ์  ดังที่ท่านอิบนุหะญัร กล่าวไว้ดังนี้

3394 - حَدِيث عَائِشَة فِي الْوَفَاة وَقِصَّة السَّقِيفَة ، وَسَيَأْتِي مَا يَتَعَلَّق بِالْوَفَاةِ فِي مَكَانهَا فِي أَوَاخِر الْمَغَازِي ، وَأَمَّا السَّقِيفَة فَتَتَضَمَّن بَيْعَة أَبِي بَكْر بِالْخِلَافَةِ...

فَلَمَّا سَمِعُوا حَدِيث \\\" الْأَئِمَّة مِنْ قُرَيْش \\\" رَجَعُوا عَنْ ذَلِكَ وَأَذْعَنُوا . قُلْت حَدِيث : \\\" الْأَئِمَّة مِنْ قُرَيْش \\\" سَيَأْتِي ذِكْر مَنْ أَخْرَجَهُ بِهَذَا اللَّفْظ فِي كِتَاب الْأَحْكَام ،
وَقَدْ جَمَعْت طُرُقه عَنْ نَحْو أَرْبَعِينَ صَحَابِيًّا .
فتح الباري لابن حجر - (ج 10 / ص 465  ح : 3394

หะดีษเลขที่ 3394  หะดีษของท่านหญิงอาอิชะฮ์ในตอนวะฟาต(นบี) และเรื่องสะกีฟะฮ์  และจะกล่าวสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการวะฟาต(นบี)ตรงสถานที่ของมันในตอนท้ายหัวข้อเรื่องมะฆอซี

ส่วนเรื่องสะกีฟะฮ์ ก็ประกอบไปด้วยการเรื่องรับบัยอะฮ์ของท่านอบูบักรต่อตำแหน่งคิลาฟะฮ์...
เมื่อพวกเขา(พวกอันศ็อร)ได้ยินหะดีษ (อิหม่ามนั้นต้องมาจากชาวกุเรช) พวกเขาได้ย้อนกลับจากสิ่งนั้นและยอมรับ(ว่าอิหม่ามผู้นำนั้นต้องเป็นชาวกุเรช)
อิบนุหะญัรกล่าวว่า  หะดีษ (อิหม่ามผู้นำนั้นต้องมาจากกุเรช) นี้จะได้กล่าวถึงผู้ที่รายงานมันด้วยคำพูดแบบนี้ในกิตาบุลอะห์กาม...  ซึ่งสายรายงานของมันถูกรวมได้ประมาณสี่สิบเศาะหาบะฮ์
อ้างอิงจากฟัตฮุลบารี โดยอิบนุหะญัร  เล่ม  10 : 465 หะดีษที่ 3394
อาจารย์ฟารีดกล่าวว่า ((เพราะเหตุที่คำทั้งสองนี้มีความหมายจำกัดและคลอบคลุมต่างกัน ))
หากสองคำนั้นมีความหมายแตกต่างกันจริงตามที่อาจารย์ฟารีดกล่าวไว้  ทำไมในวันนั้นที่สะกีฟะฮ์ เศาะหาบะฮ์ กำลังพูดเรื่อง" คอลีฟะฮ์  " แต่ท่านอบูบักรกับพูดเรื่อง" อิหม่าม "   แสดงว่า ชาวอันศ็อรกับชาวมุฮาญิรีน กำลังพูดกันคนละเรื่องหรือ  ปล่าวเลยบุคคลทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจตรงกันว่า อิหม่ามต้องมาจากชาวกุเรช และพวกเขาก็ยอมบัยอัตให้ท่านอบูบักรเป็นคอลีฟะฮ์
นั่นแสดงว่า  เศาะหาบะฮ์ที่นั่นก็เข้าใจว่า อิหม่ามหมายถึงคอลีฟะฮ์และคอลีฟะฮ์หมายถึงอิหม่าม  หากสองคำนี้มีความหมายต่างกัน ย่อมมีเศาะหาบะฮ์แย้งกับท่านอบูบักรว่า ท่านยกหะดีษมาอ้างอิงผิดเรื่องผิดประเด็น  แต่เป็นทราบดีว่า ไม่มีใครแย้งและพวกเขาเข้าใจดีคำสองคำนั้นดีว่าคือสิ่งเดียวกัน



เพราะฉะนั้นแสดงว่า ตรงนี้ อาจารย์ฟารีดก็ยังไม่เข้าใจวิชาการของฝ่ายตนเองดีพอ แถมท่านยังกล้าแสดงความคิดในเชิงภาษาอันขัดแย้งกับความเข้าใจของเศาะหาบะฮ์อีก
  •  

L-umar



อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178


( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  
แม้กระทั่งท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ซึ่งเหล่าชีอะห์ยกให้เป็นอิหม่ามลำดับที่หนึ่งของพวกเขา หรือท่านฮะซัน และฮุเซน ซึ่งเป็นอิหม่ามลำดับที่สองและสามของพวกเขา ก็ไม่เคยอ้างฮะดีษในบทนี้เพื่อยืนยันสถานภาพการเป็นอิหม่ามของตัวท่านและอิหม่ามหลังจากท่านจนครบสิบสองคนดั่งที่เหล่าชีอะห์ได้แอบอ้างกัน





เวปคำถามสำหรับซุนนี่  ขอชี้แจงว่า  :


คำพูดนี้ ดูเหมือนอาจารย์ฟารีด ต้องการ مغالطة  กล่าวคือ ตบตา สร้างความไขว้เขว ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด    ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนั้น    

เพราะเป้าหมายการแสดงหะดีษสิบสองผู้นำ  ให้ฝ่ายซุนนี่ดู  คือต้องการสื่อว่า  ความเชื่อของชีอะฮ์ในเรื่องสิบสองอิหม่ามนั้น  ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่หรืออุปโลกน์ขึ้นเอง  แต่มันคือเรื่องที่มีรายงานหะดีษบอกกล่าวเอาไว้ทั้งสองฝ่าย และถูกต้อง  ดังนั้นมันคืออะกีดะฮ์สำคัญประการหนึ่งที่มุสลิมต้องเชื่อ ต้องศรัทธา  มิใช่มีไว้อ่านเล่นเท่ห์ๆเท่านั้น

ฝ่ายชีอะฮ์มีหะดีษเรื่องสิบสองอิหม่ามที่ระบุรายชื่อบุคคลทั้งสิบสองมากมาย  
ท่านลองคิดดูสิว่า    หะดีษที่อาจารย์ฟารีดยกมา  แม้ฝ่ายชีอะฮ์มีรายงานไว้  แต่มันขาดความชัดเจนในเรื่องรายชื่อตัวบุคคล    ดังนั้นอาจารย์ฟารีดไม่น่าโง่พูดแบบนี้ออกมาเลยว่า

(( แม้กระทั่งท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ซึ่งเหล่าชีอะห์ยกให้เป็นอิหม่ามลำดับที่หนึ่งของพวกเขา หรือท่านฮะซัน และฮุเซน ซึ่งเป็นอิหม่ามลำดับที่สองและสามของพวกเขา ก็ไม่เคยอ้างฮะดีษในบทนี้เพื่อยืนยันสถานภาพการเป็นอิหม่ามของตัวท่านและอิหม่ามหลังจากท่านจนครบสิบสองคนดั่งที่เหล่าชีอะห์ได้แอบอ้างกัน ))

หะดีษที่อะฮ์ลุลุบัยต์กล่าวถึง  รายชื่อสิบสองอิหม่าม   เช่น


رَوَي أَبُوْ جَعْفَرٍ مُحَمَّدُ بْنُ عَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ بَابَوَيْهِ الْقُمِّيّ 305-381هـ. هو الشَّيْخُ الصَّدُوْق  :
حَدَّثَنَا ْ أَحْمَدُ بْنُ زِيَادِ بْنِ جَعْفَرٍ الْهَمَذَانِي‏ قَالَ : حَدَّثَنَا عَلِىُّ بْنُ اِبْرَاهِيْمَ بْنِ هَاشِمٍ عَنْ أَبِيْهِ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي عُمَيْر عَنْ غِيَاثِ بْنِ إِبْرَاهِيْمَ عَنِ الصَّادِقِ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ أَبِيْهِ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِىٍ عَنْ أَبِيْهِ عَلِىِّ بْنِ الْحُسَيْنِ عَنْ أَبِيْهِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِىٍّ عَلَيْهِ السَّلاَمِ قَالَ: سُئِلَ أَمِيْرُ الْمُؤْمِنِيْنَ عَلَيْهِ السَّلاَمِ عَنْ مَعْنَى قَوْلِ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ إِنِّىْ مُخَلِّفٌ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ مَنِ الْعِتْرَةُ ؟ فَقَالَ : أَنَا وَالْحَسَنُ وَالْحُسَيْنُ وَالْأَئِمَّةُ التِّسْعَةُ مِنْ وُلْدِ الْحُسَيْنِ تَاسِعُهُمْ مَهْدِيُّهُمْ وَقَائِمُهُمْ لاَ يُفَارِقُوْنَ كِتَابَ اللهِ وَلاَ يُفَارِقُهُمْ حَتَّى يَرِدوا عَلَى رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ حَوْضَـهُ.

เชคศอดูกรายงาน :  
อะหมัด บินซิยาด บินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานี(รฎ.)เล่าให้เราฟัง จากอะลี บินอิบรอฮีม บินฮาชิมจากบิดาเขา จากมุฮัมมัด บินอบีอุมัยรฺ จากฆิยาษ บินอิบรอฮีม(เล่าว่า ) :  จากอัศ-ศอดิก ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด จากบิดาเขาคือมุฮัมมัด บินอะลี จากบิดาเขาคืออะลี บินฮูเซน จากบิดาเขาคือฮูเซน บินอะลีเล่าว่า :  ท่านอมีรุลมุอ์มินีน (อิม่ามอะลี) ถูกถามถึงความหมายวจนะของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)ที่กล่าวว่า :  แท้จริงข้าพเจ้าได้มอบสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่าน  สิ่งแรกคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอิตเราะฮ์ของข้าพเจ้า, (ว่า) ใครคืออิตเราะฮ์ ? ท่านอิม่ามอะลีตอบว่า : คือฉัน,ฮาซัน,ฮูเซนและบรรดาอิม่ามผู้นำอีก 9 คนที่สืบเชื้อสายจากลูกหลานของฮูเซน คนที่ 9 คือมะฮ์ดีและคือกออิมของพวกเขา  พวกเขาจะไม่แยกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และคัมภีร์ของอัลลอฮฺจะไม่แยกจากพวกเขา จนทั้งสองจะกลับคืนมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ที่สระอัลเฮาฎ์ของท่าน.


สถานะหะดีษ  :  เศาะหิ๊หฺ
   
ดูหนังสืออุยูนุล อัคบาร อัลริฎอ    โดยเชคศอดูก เล่ม 1 : 57   หะดีษที่   25



วิเคราะห์ผู้รายงานฮะดีษสิบสองอิม่าม (تَخْرِيْجُ حَدِيْث)

1,มุฮัมมัด บินอะลี : คืออบูญะอ์ฟัร มุฮัมมัด บินอะลี บินฮุเซน บินบาบะวัยฮฺ อัลกุมมี รู้จักกันในนามเชคศอดูก อยู่ในยุคตัวแทนพิเศษ(นาอิบค็อศ)คนสุดท้ายของอิม่ามมะฮ์ดี การรายงานเชื่อถือได้    
เชคศอดูกรายงานฮะดีษจากบิดาเขาชื่ออะลี บินอัลฮุเซน บินบาบะวัยฮฺ อัลกุมมี บิดาเชคศอดูกเคยเข้าพบอิม่ามท่านที่ 11 และอยู่จนถึงยุคฆ็อยบะฮ์ของอิม่ามท่านที่12  การรายงานเชื่อถือได้
2,อะหมัด บินซิยาด บินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานี  : ซอฮาบะฮ์ของอิม่ามท่านที่ 10 อัลฮาดี การรายงานเชื่อถือได้
3,อะลี บินอิบรอฮีม บินฮาชิม รายงานจากบิดาเขา  : ซอฮาบะฮ์ของอิม่ามท่านที่ 9 อัลญะวาด   อะลีรายงานฮะดีษนี้จากบิดาเขาคืออิบรอฮีม อยู่ในยุคของอิม่ามท่านที่ 8 อัลริฎอ การรายงานของทั้งสองเชื่อถือได้
4,มุฮัมมัด อิบนิอบีอุมัยรฺ  : ซอฮาบะฮ์ของอิม่ามท่านที่ 7 อัลกาซิม  การรายงานเชื่อถือได้
5,ฆิยาษ บินอิบรอฮีม : ซอฮาบะฮ์ของอิม่ามท่านที่ 6 อัศศอดิก  การรายงานเชื่อถือได้
6,อัศ-ศอดิก ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด  อิม่ามท่านที่ 6  เป็นตาบิอุต - ตาบิอีน
7,มุฮัมมัด บินอะลี  อิม่ามท่านที่ 5  เป็นตาบิอีน
8,อะลี บินฮุเซน  อิม่ามท่านที่ 4   เป็นตาบิอีน
9,ฮุเซน บินอะลี  อิม่ามท่านที่ 3  น้องชายอิม่ามท่านที่ 2 ฮาซัน  ท่านฮุเซนรายงานฮะดีษจากบิดา  ทั้งสองเป็นซอฮาบะฮ์
10,อมีรุลมุอ์มินีน  อะลี บินอบีตอลิบ อิม่ามท่านที่ 1  เป็นซอฮาบะฮ์
สรุป: นักรายงานฮะดีษทุกคนษิเกาะฮ์ คือเชื่อถือได้ ฮะดีษนี้จึงเป็นฮะดีษซอฮี๊ฮฺ
อ้างอิงจากหนังสือ  มุอ์ญัม อัษ-ษิกอต โดยเชคอบูตอลิบ อัตตัจญ์ลีล อัต-ตับรีซี  
สนพ. มุอัสสะซะฮ์ อัน-นัชรุลอิสลามี  เมืองกุม อิหร่าน  ปีพิมพ์เดือนญุมาดิษ-ษานี ฮศ. 1404




عن الصادق جعفر بن محمد عن أبيه عن جدّه قال: قال رسول الله (صلى الله عليه وآله): الأئمة بعدي إثنا عشر أولهم علي بن ابي طالب وآخرهم القائم هم خلفائي وأوصيائي وأوليائي وحجج الله على أُمتي بعدي المقرّ بهم مؤمن والمنكر لهم كافر.


จากอัศ-ศอดิก ญะอ์ฟัร บิน มุฮัมมัด จากบิดาเขาจากปู่เขา(อ)เล่าว่า : ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ผู้นำภายหลังจากฉันมี 12 คน คนแรกคือ อาลี บิน อบีตอลิบ และคนสุดท้ายของพวกเขาคืออัลกออิม(นามแฝงของอัลมะฮ์ดี)  พวกเขาคือคอลีฟะฮ์ของฉัน คือวะซีของฉัน คือวะลีของฉัน   และเป็นฮุจญัต(หลักฐาน)ของอัลลอฮ์ ต่อประชาชาติของฉันหลังจากฉัน

หนังสือกะมาลุดดีน  โดยเชคศอดูก  เล่ม 1 หน้า 256   หะดีษที่  4  


رَوَى مُحَمَّدُ بْنُ أَبِي عَبْدِ اللَّهِ الْكُوفِيُّ عَنْ مُوسَى بْنِ عِمْرَانَ النَّخَعِيِّ عَنْ عَمِّهِ الْحُسَيْنِ بْنِ يَزِيدَ عَنِ الْحَسَنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي حَمْزَةَ عَنْ أَبِيهِ عَنْ يَحْيَى بْنِ أَبِي الْقَاسِمِ عَنِ الصَّادِقِ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ أَبِيهِ عَنْ جَدِّهِ ع قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ص الْأَئِمَّةُ بَعْدِي اثْنَا عَشَرَ أَوَّلُهُمْ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِبٍ وَ آخِرُهُمُ الْقَائِمُ فَهُمْ خُلَفَائِي وَ أَوْصِيَائِي وَ أَوْلِيَائِي وَ حُجَجُ اللَّهِ عَلَى أُمَّتِي بَعْدِي...
من‏لايحضره‏الفقيه للصدوق ابن بابويه ج : 4  ص :  180 ح : 5406


ท่านอิม่ามญะอ์ฟัรรายงานจากบิดาเขาจากปู่เขาเล่าว่า :  ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)กล่าวว่า  : อิม่ามภายหลังจากฉันนั้นมี 12 คน คนแรกของพวกเขาคืออะลีบินอบีตอลิบและคนสุดท้ายของพวกเขาคืออัลกออิม พวกเขาคือคอลีฟะฮ์ของฉัน คือวะซีของฉัน คือวะลีของฉันและคือหลักฐานของอัลลอฮ์บนอุมมะฮ์ของฉัน ภายหลังจากฉัน...

สถานะหะดีษ  :  มุตะวาติร  

ดูมันลา ยะหฺฎุรฮุล ฟะกีฮฺ โดยเชคศอดูก  หะดีษที่ 5460


34930- عَلِيُّ بْنُ مُحَمَّدٍ الْخَزَّازُ فِي الْكِفَايَةِ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ بَابَوَيْهِ عَنْ عَلِيِّ بْنِ أَحْمَدَ بْنِ عِمْرَانَ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي عَبْدِ اللَّهِ عَنْ مُوسَى بْنِ عِمْرَانَ عَنِ الْحُسَيْنِ بْنِ يَزِيدَ عَنِ الْحَسَنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي حَمْزَةَ عَنْ أَبِيهِ عَنْ يَحْيَى بْنِ الْقَاسِمِ عَنْ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ آبَائِهِ عَنِ النَّبِيِّ ص قَالَ الْأَئِمَّةُ بَعْدِي اثْنَا عَشَرَ أَوَّلُهُمْ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِبٍ وَ آخِرُهُمُ الْقَائِمُ
 وَ رَوَاهُ الصَّدُوقُ بِإِسْنَادِهِ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي عَبْدِ اللَّهِ الْكُوفِيِّ وَ رَوَاهُ فِي عُيُونِ الْأَخْبَارِ مِثْلَهُ
وسائل‏الشيعة ج : 28  ص :  347


ท่านอิม่ามญะอ์ฟัรจากบิดาและปู่ทวดของท่านเล่าว่า : ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ็อลฯ)กล่าวว่า : อิม่ามภายหลังจากฉันนั้นมี 12 คน คนแรกของพวกเขาคืออะลีบินอบีตอลิบและคนสุดท้ายของพวกเขาคืออัลกออิม(นามแฝงของอิม่ามมะฮ์ดี)

สถานะฮะดีษ : มุตะวาติร
 
ดูวะซาอิลุชชีอะฮ์  โดยอัลฮุรรุลอามิลี หะดีษที่ 34930



ถ้าท่านผู้อ่านว่างๆ ลองเข้าไปอ่านหะดีษรายชื่อสิงสองอิหม่ามที่หนังสือกิฟายะตุลอะษัร   ได้ที่เวป

http://www.ahl-ul-bayt.org/Final_lib/aqaed/Kefayat_Ol_Asar/index.htm


/jkpอะฮ์ลุสซุนนะฮ์เองยังได้รายงานหะดีษที่ระบุรายชื่อ 12 ผู้นำไว้เช่นกัน
 

عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ قَالَ : قَدَمَ يَهُودِيٌّ يُقَالُ لَهُ نَعْثَل فَقَالَ : يَا مُحَمَّدُ أَسْأَلُكَ عَنْ أَشْيَاءَ ... فَأَخْبِرْنِيْ عَنْ وَصِيِّكَ مَنْ هُوَ ؟ فَمَا مِنْ نَبِيٍّ اِلاَّوَلَهُ وَصِيٌّ ' فَإِنَّ نَبِيَّنَا مُوسَى بْنَ عِمْرَانَ أَوْصَى يُوشَعَ بْنِ نُونَ. فَقَالَ : إِنَّ وَصِيِّيْ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِبٍ ' وَبَعْدَهُ سِبْطَايَ الْحَسَنُ وَالْحُسَيْنُ ' تَتْلُوْهُ تِسْعَةُ أَئِمَّةٍ مِنْ صُلْبِ الْحُسَيْنِ .
قَالَ : يَا مُحَمَّدُ فَسَمِّهِمْ لِيْ. قَالَ : إِذَا مَضَى الْحُسَيْنُ فَإِبْنُهُ عَلِيٌّ 'فَإِذَا مَضَى عَلِيٌّ فَإِبْنُهُ مُحَمَّدٌ 'فَإِذَا مَضَى مُحَمَّدٌ فَإِبْنُهُ جَعْفَرٌ 'فَإِذَا مَضَى جَعْفَرٌ فَإِبْنُهُ مُوْسَى 'فَإِذَا مَضَى مُوْسَى فَإِبْنُهُ عَلِيٌّ 'فَإِذَا مَضَى عَلِيٌّ فَإِبْنُهُ عَلِيٌّ مُحَمَّدٌ 'فَإِذَا مَضَى مُحَمَّدٌ فَإِبْنُهُ عَلِيٌّ 'فَإِذَا مَضَى  عَلِيٌّ فَإِبْنُهُ الْحَسَنُ 'فَإِذَا مَضَى الْحَسَنُ فَإِبْنُهُ الْحُـجَّةُ مُحَمَّدٌ الْمَهْدِيُّ 'فَهَؤُلاَءِ اِثْنَا عَشَرَ

อิบนุอับบาสรายงานว่า :
 
มีชาวยิวคนหนึ่งชื่อนะษัลได้เข้ามาพบท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลฯ) เขากล่าวว่า : โอ้มุฮัมมัด ! ฉันขอถามคำถามต่าง.... (ฮะดีษยาวมากขอตัดมาตรงประเด็น12อิม่ามดังนี้ ) ดังนั้นโปรดบอกฉันซิว่า วะซี (ผู้สืบทอดต่อจากท่าน) เป็นใคร ? เพราะท่านนบีมูซา บิน อิมรอนของเรายังแต่งตั้งยูชะอ์ บินนูนเป็นผู้นำแทนท่านไว้เลย
ท่านนบีตอบว่า : แท้จริงวะซีของฉันคือ1,อะลี บินอบีตอลิบ และหลังจากเขาคือ2,ฮาซันและ3,ฮุเซนหลานชายทั้งสองของฉัน  ต่อจากนั้นก็เป็นอิม่ามอีก 9 คนที่สืบเชื้อสายมาจากฮุเซน
ชาวยิวกล่าวว่า : โอ้มุฮัมมัด จงแจ้งชื่อพวกเขาแก่ฉันด้วย
ท่านนบีกล่าวว่า : เมื่อฮุเซนผ่านไปก็คือ
4,อะลี (ซัยนุลอาบิดีน) บุตรชายของเขา, เมื่ออะลีผ่านไปก็คือ
5,มุฮัมมัด(อัลบาเก็ร)บุตรชายของเขา,เมื่อมุฮัมมัดผ่านไปก็คือ
6,ญะอ์ฟัร (อัศศอดิก) บุตรชายของเขา, เมื่อญะอ์ฟัรผ่านไปก็คือ
7,มูซา (อัลกาซิม) บุตรชายของเขา, เมื่อมูซาผ่านไปก็คือ
8,อะลี (อัลริฎอ) บุตรชายของเขา, เมื่ออะลีผ่านไปก็คือ
9,มุฮัมมัด (อัลญะวาด) บุตรชายของเขา,เมื่อมุฮัมมัดผ่านไปก็คือ
10,อะลี (อัลฮาดี) บุตรชายของเขา, เมื่ออะลีผ่านไปคือ
11,ฮาซัน (อัลอัสการี)บุตรชายของเขา,เมื่อฮาซันผ่านไปก็คือ
12,อัลฮุจญะฮ์ มุฮัมมัด อัลมะฮ์ดีบุตรชายของเขา พวกเขาเหล่านี้คือ 12 ผู้นำ


อ้างอิงจากหนังสือ ยะนาบีอุลมะวัดดะฮ์  โดยเชคก็อนดูซี อัลฮานาฟี หน้า 499



คำถามสำหรับซุนนี่


ท่านมีหะดีษรายชื่อสิบสองคอลีฟะฮ์หรือสิบสองอะมีรของท่านอันมีสายรายงานที่สืบไปถึงท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) หรือไม่


หรือท่านอุปโลกน์ สิบสองผู้นำ  กันขึ้นมาเอง  ตามใจชอบ

หากท่านไม่หะดีษรายชื่อสิบสองผู้นำ   ท่านก็ไม่ควรไปตำหนิชีอะฮ์  เพราะพวกเขามีหะดีษที่มีสายสืบถูกต้องกำกับไว้เช่นนั้นจริงๆ
  •  

L-umar

อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178


( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  

ประการที่สอง

          ขณะที่เหล่าชีอะห์ไม่สามารถเปลี่ยนถ้อยคำในบันทึกจากคำว่า คอลีฟะห์ ให้เป็นคำว่า อิหม่ามได้ดั่งต้องการ พวกเขาจึงใช้วิธีการชักลากอธิบายความว่า คำว่า ค่อลีฟะห์ กับคำว่า อิหม่าม มีความหมายเหมือนกัน ซึ่งคำพูดเช่นนี้ถ้ากล่าวแก่ผู้ที่ไม่รู้ภาษาอาหรับก็คงได้ผล แต่สำหรับคนที่พอมีพื้นฐานภาษาอาหรับอยู่บ้างก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า คำทั้งสองนี้มีความหมายที่ครอบคลุมต่างกัน และเราไม่อยากจะเชื่อว่า ชีอะห์ผู้อ้างตนว่าเป็นลูกหลานนบี หรือผู้ถ่ายทอดความรู้จากลูกหลานนบีจะไม่เข้าใจภาษาอาหรับขั้นพื้นฐาน จนกระทั่งไม่สามารถแยกความหมายของคำทั้งสองนี้ได้ หรือว่าพวกเขาเข้าใจแต่สร้างความคลุมเครือเพื่อหลอกลวงผู้อื่นเท่านั้น ...จนจบบทความ.






เวปคำถามสำหรับซุนนี่  ตอบ

คำว่า  อิหม่าม กับ  คอลีฟะฮ์ จะเหมือนหรือต่าง เราไม่อยากเล่นลิ้น ขอให้ท่านอ่านหลักฐานจากนักวิชาการฝ่ายซุนนี่เองอีกสักครั้ง  ท่านก็จะเข้าใจทันทีว่า  อาจารย์ฟารีดเป็นนักวิชาการที่ไร้จรรยาบรรณอย่างไร

ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)กล่าวว่า

الْأَئِمَّةُ مِنْ قُرَيْشٍ

บรรดาอิหม่ามผู้นำนั้นต้องมาจากพวกกุเรช

มุสนัดอิหม่ามอะหมัด หะดีษที่ 11642, 12329 , 12923 ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบ
ซึ่งเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏีได้วิจารณ์หะดีษสามบทนี้ว่า มีสถานะ : เศาะหิ๊หฺ

ท่านอบูบักรเองได้เคยหยิบยกหะดีษ (( อิหม่ามผู้นำนั้นต้องมาจากชาวกุเรช )) นี้มาอ้างอิงกับชาวอันศ็อรขณะที่พวกเขากำลังเลือกคอลีฟะฮ์กันที่สะกีฟะฮ์ ดังที่ท่านอิบนุหะญัร กล่าวไว้ดังนี้


หะดีษเลขที่ 3394 หะดีษของท่านหญิงอาอิชะฮ์ในตอนวะฟาต(นบี) และเรื่องสะกีฟะฮ์ และจะกล่าวสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการวะฟาต(นบี)ตรงสถานที่ของมันในตอนท้ายหัวข้อเรื่องมะฆอซี

ส่วนเรื่องสะกีฟะฮ์ ก็ประกอบไปด้วยการเรื่องรับบัยอะฮ์ของท่านอบูบักรต่อตำแหน่งคิลาฟะฮ์...

เมื่อพวกเขา(พวกอันศ็อร)ได้ยินหะดีษ (อิหม่ามนั้นต้องมาจากชาวกุเรช) พวกเขาได้ย้อนกลับจากสิ่งนั้นและยอมรับ(ว่าอิหม่ามผู้นำนั้นต้องเป็นชาวกุเรช)
อิบนุหะญัรกล่าวว่า หะดีษ (อิหม่ามผู้นำนั้นต้องมาจากกุเรช) นี้จะได้กล่าวถึงผู้ที่รายงานมันด้วยคำพูดแบบนี้ในกิตาบุลอะห์กาม... ซึ่งสายรายงานของมันถูกรวมได้ประมาณสี่สิบเศาะหาบะฮ์
อ้างอิงจากฟัตฮุลบารี โดยอิบนุหะญัร เล่ม 10 : 465 หะดีษที่ 3394
อาจารย์ฟารีดกล่าวว่า ((เพราะเหตุที่คำทั้งสองนี้มีความหมายจำกัดและคลอบคลุมต่างกัน ))
หากสองคำนั้นมีความหมายแตกต่างกันจริงตามที่อาจารย์ฟารีดกล่าวไว้ ทำไมในวันนั้นที่สะกีฟะฮ์ เศาะหาบะฮ์ กำลังพูดเรื่อง" คอลีฟะฮ์ " แต่ท่านอบูบักรกับพูดเรื่อง" อิหม่าม " แสดงว่า ชาวอันศ็อรกับชาวมุฮาญิรีน กำลังพูดกันคนละเรื่องหรือ ปล่าวเลยบุคคลทั้งสองฝ่ายต่างเข้าใจตรงกันว่า อิหม่ามต้องมาจากชาวกุเรช และพวกเขาก็ยอมบัยอัตให้ท่านอบูบักรเป็นคอลีฟะฮ์
นั่นแสดงว่า เศาะหาบะฮ์ที่นั่นก็เข้าใจว่า อิหม่ามหมายถึงคอลีฟะฮ์และคอลีฟะฮ์หมายถึงอิหม่าม หากสองคำนี้มีความหมายต่างกัน ย่อมมีเศาะหาบะฮ์แย้งกับท่านอบูบักรว่า ท่านยกหะดีษมาอ้างอิงผิดเรื่องผิดประเด็น แต่เป็นทราบดีว่า ไม่มีใครแย้งและพวกเขาเข้าใจดีคำสองคำนั้นดีว่าคือสิ่งเดียวกัน


เราได้กล่าวบทความนี้ไว้แต่ต้นแล้วขอให้ท่านย้อนกลับไปดูตัวบทภ.อาหรับเอง.  [/color]
[/color][/b][/size]
  •  

L-umar


อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178


( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  


ประการที่สาม

          ท่านนบีได้แจ้งลักษณะของคอลีฟะห์สิบสองคนที่ท่านกล่าวถึงในคำรายงานของฮะดีษศอเฮียะห์อีกบทหนึ่งว่า จะต้องเป็นผู้นำแห่งประชาชาติอิสลามทั้งมวลดังนี้

« لاَ يَزَالُ هَذَا الدِّينُ قَائِمًا حَتَّى يَكُونَ عَلَيْكُمُ اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً كُلُّهُمْ تَجْتَمِعُ عَلَيْهِ الأُمَّةُ ».

"ศาสนานี้จะดำรงอยู่จนกว่าจะมีคอลีฟะห์สิบสองคนมายังพวกเจ้า โดยประชาชาติ (อิสลาม) ทั้งหมดจะอยู่ใต้การปกครองของพวกเขา" สุนันอบีดาวูด ฮะดีษเลขที่ 3731

          แม้เหล่าชีอะห์จะพยายามทำให้สิบสองอิหม่ามของพวกเขา เป็นสิบสองคอลีฟะห์ที่ท่าน นบีได้กล่าวไว้    แต่พวกเขาก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า บรรดาอิหม่ามทั้งสิบสองคนของพวกเขาได้ปกครองรัฐ หรืออาณาจักรอิสลามเต็มรูปแบบ และเป็นจุดศูนย์รวมของประชาชาติอิสลามทั้งมวลตามที่ระบุในฮะดีษบทนี้ ไม่ใช่อิหม่ามทั้งสิบสองคนที่เหล่าชีอะห์อุปโลกน์ขึ้นเลยแม้แต่น้อย





เวปคำถามสำหรับซุนนี่  ขอถามว่า


อัลเลาะฮ์ ตะอาลา ส่งบรรดาศาสดามาชี้นำและปกครองชาวโลก  เท่าที่ทราบมีสามหรือสี่ศาสดาที่มีอำนาจปกครองรัฐด้วยเช่น

1.   ท่านนบีดาวูด       อะลัยฮิสสลาม
2.   ท่านนบีสุลัยมาน    อะลัยฮิสสลาม
3.   ท่านนบียูสุฟ   อะลัยฮิสสลาม
4.   ท่านนบีมุฮัมมัด  (ศ)


ส่วนศาสดาที่เหลือนอกเหนือจากนี้   ไม่ได้มีอำนาจปกครองรัฐ    
ไม่น่าเชื่อว่าท่านอาจารย์ฟารีดกลืนน้ำลายตัวเอง  ในเมื่อท่านกล่าวเองว่า
((ส่วนคำว่า คอลีฟะห์ เป็นคำเอกพจน์ มีความหมายว่า ตัวแทน หรือ ผู้สืบทอด อยู่ในรูปของพหูพจน์ว่า คุละฟาอ์ หมายถึงบรรดาตัวแทนหรือบรรดาผู้สืบทอด))

เพราะเป้าหมายหลักของคอลีฟะฮ์นบีมุฮัมมัดคือ    สืบทอดหน้าที่ชี้นำประชาชนไปสู่เตาฮีดของอัลเลาะฮ์   ชักนำให้บรรดามุสลิมปฏิบัติตามคำสัง่ใช้คำสั่งห้ามของอัลเลาะฮ์ตะอาลา

แต่เท่าที่เห็น คอลีฟะฮ์ที่อาจารย์ฟารีดและอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ยกย่องนับถือ ล้วนชักนำประชาชนให้ดื่มสุรา  ทำซีนา  ละทิ้งนมาซ  มัวเมาอยู่ในวังกับนางสนมกำนัล  ร้องรำทำเพลงดีดสีตีเป่า เสียส่วนมาก  เพียงแต่ควบคุมอำนาจไว้ในมือเท่านั้น

เพราะฉะนั้น  อาจารย์ฟารีดคงอ้างมาผิดประเด็นเป้าหมายของอัลเลาะฮ์และรอซูลแล้วล่ะเรื่องคอลีฟะฮ์


แล้วถ้าอาจารย์ว่างๆ  ช่วยค้นหาความผิดของสิบสองอิหม่ามของชีอะฮ์ที่สืบเชื้อสายมาจากนบีมุฮัมมัด  มาประจานบ้างนะ  .    
  •  

L-umar



อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178


( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  


ประการที่สี่


ฮะดีษบทนี้ท่านนบีได้แจ้งไว้กว้างๆ โดยไม่ได้ระบุระยะเวลาตายตัว ซึ่งตามคำรายงานว่า
لاَ يَزَالُ الدِّينُ قَائِمًا حَتَّى تَقُومَ السَّاعَةُ أَوْ يَكُونَ عَلَيْكُمُ اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً
"ศาสนานี้จะยังคงธำรงอยู่จนกว่าจะถึงกาลอวสาน หรือจนกว่าจะมีสิบสองคอลีฟะห์มายังพวกเจ้า" รายงานโดยมุสลิม

แต่ขณะที่ฮะดีษศอเฮียะห์อีกบทหนึ่งได้ขีดกรอบเวลาไว้ชัดเจนว่า

خِلاَفَةُ النُّبُوَّةِ ثَلاَثُونَ سَنَةً ثُمَّ يُؤْتِى اللَّهُ الْمُلْكَ مَنْ يَشَاءُ - أَوْ مُلْكَهُ مَنْ يَشَاءُ
"การสืบแทนนบีจะมีระยะเวลาสามสิบปีหลังจากนั้นพระองค์อัลลอฮ์จะให้สิทธิของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์"  
สุนันอบีดาวู๊ด ฮะดีษเลขที่ 4028,4029
ในเมื่อฮะดีษทั้งสองบทนี้ศอเฮียะห์ทั้งคู่   แล้วเพราะเหตุใดเหล่าชีอะห์จึงทิ้งบทหนึ่งและนำมาอ้างอีกบทหนึ่งเท่านั้น

เพราะโดยเนื้อหาของฮะดีษทั้งสองบทข้างต้นนี้ไม่ขัดแย้งกันแต่อย่างใด เนื่องจากฮะดีษบทหนึ่งระบุเรื่องจำนวน และฮะดีษอีกบทหนึ่งระบุเรื่องเวลา, อีกทั้งฮะดีษบทหนึ่งพูดถึง " คอลีฟะห์โดยรวม "   مُطْلَقُ الْخِلَافَةِ
แต่ฮะดีษอีกบทหนึ่งพูดถึงเฉพาะ
 " คิลาฟะตุ้ลนุบูวะห์ (ผู้สืบแทนนบี)  " ภายในระยะเวลา 30 ปี  خِلَافَة النُّبُوَّةِ







เวปคำถามสำหรับซุนนี่ขอแย้งเป็นประเด็นๆ ดังนี้




คิลาฟะตุลนุบูวะฮ์    ที่ว่านี้     ไม่เคยมีอุละมาอ์อะฮ์ลุสสุนนะฮ์กล่าวอธิบายถึงความหมายของมันไว้อย่างชัดเจน      พวกเขามีทัศนะต่อความหมายนี้แตกต่างกันไป

หนึ่ง -    อัฏ-ตอยยิบีอธิบายว่า  คิลาฟะตุลนุบูวะฮ์  หมายถึง เขาไม่ได้เรียกร้องในตำแหน่งนั้นต่อการครองอำนาจ  และไม่มีใครสักคนที่ต่อต้านในอำนาจการปกครองของเขา  ดูเอานุลมะอ์บู๊ด  เล่ม 12 : 388

หากยึดทัศนะนี้เป็นเกณฑ์   แสดงว่าการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอะลีก็อยู่นอกกรอบคำว่า  คิลาฟะตุลนุบูวะฮ์นี้     เพราะตอนท่านอะลีเป็นคอลีฟะฮ์ ท่านถูกต่อต้านจากบุคคลสามกลุ่มที่ยกทัพมารบกับท่านในสงครามญะมัล , พวกนะฮ์รอวานและมุอาวียะฮ์กับชาวเมืองช่ามซึ่งคนพวกนี้ไม่ยอมรับการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่าน  
แต่อาจารย์ฟารีดกล่าวว่า    ท่านอะลีคือคิลาฟะตุลนุบูวะฮ์คนหนึ่ง  ซึ่งขัดกับทัศนะของอุละมาอ์พวกเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด     เสริมอีกนิด แม้แต่ช่วงปลายการปกครองของท่านอุษมานก็ยังมีเศาะหาบะฮ์ส่วนหนึ่งประท้วงถอดถอนท่านออกจากตำแหน่งคอลีฟะฮ์เช่นกัน ก็แสดงว่า ท่านอุษมานไม่ใช่คิลาฟะตุลนุบูวะฮ์

สอง –  อัลบะเฆาะวีกับอัลมะนาวีกล่าวว่า   คิลาฟะตุลนุบูวะฮ์   ที่จริงนั้นจะเป็นสำหรับบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามซุนนะฮ์  ฉะนั้นเมื่อพวกเขาไม่ตามซุนนะฮ์  หรือเปลี่ยนแปลงซีเราะฮ์นบี     ดังนั้นผู้ที่ขึ้นมาปกครองรัฐให้ถือว่าเป็น   กษัตริย์ แม้ว่าเขาจะได้รับอำนาจคอลีฟะฮ์มาครอบครองก็ตาม
ดูหนังสือชัรฮุซ-ซุนนะฮ์ ของอิม่ามอัลบะเฆาะวี เล่ม 14 : 75   และ ฟัยฎุลเกาะดีร ของอัลมะนาวี  เล่ม 3 : 509  

   
หากยึดทัศนะที่สองเป็นเกณฑ์  นั่นหมายความว่า  ตำแหน่งคิลาฟะตุลนุบุวะฮ์ก้ต้องมีระยะเวลาเกินสามสิบปีตามที่หะดีษกำหนดไว้   เพราะเนื่องจากอะฮ์ลุสสุนนะฮ์มีมติตรงกันว่า ยุคที่ท่านอุมัร บินอับดุลอะซีซปกครอง ท่านเองก็ปฏบัติและดำเนินตามซุนนะฮ์  แต่ยังจะต้องนับว่าท่านคือคุละฟาอุลรอชีดีนอีกหนึ่งคนด้วย  แต่อาจารย์ฟารีดก็ไม่ได้นับท่านอุมัรบินอับดุลอะซีซเป็นหนึ่งจากคิลาฟะตุลนุบูวะฮ์    

เราจะสรุปสั้นว่า  อาจารย์ฟารีดท่านค่อนข้างมั่วนิ่มในความเข้าใจระหว่าง คำว่า  คอลีฟะฮ์ที่รอซูลแต่งตั้ง  กับคอลีฟะฮ์ที่เศาะหาบะฮ์แต่งตั้งกันเอง  ดังนั้นบทความของท่านจึงสับสนและไปโยนให้ชีอะฮ์ว่ามั่ว ซึ่งความจริงตัวท่านเองนั่นแหล่ะมั่ว

จะเห็นได้ว่า  ท่านรอซูล(ศ)บอกชัดว่าใครคือคอลีฟะฮ์ของท่าน โปรดอ่านอย่างมีวิจารณญาณให้ดี

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : إِنِّي تَارِكٌ فِيكُمْ خَلِيفَتَيْنِ كِتَابُ اللَّهِ حَبْلٌ مَمْدُودٌ مَا بَيْنَ السَّمَاءِ وَالْأَرْضِ أَوْ مَا بَيْنَ السَّمَاءِ إِلَى الْأَرْضِ وَعِتْرَتِي أَهْلُ بَيْتِي وَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَّقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)กล่าวว่า : แท้จริงฉันได้มอบสองคอลีฟะฮ์ไว้ในหมู่พวกท่าน (คอลีฟะฮ์แรกคือ) คัมภีร์ของอัลเลาะฮ์คือเชือกทอดอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน และ(คอลีฟะฮ์ที่สอง) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน และแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่มีวันแยกจากกัน จนกว่าจะกลับมายังฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาซัร)

สถานะหะดีษ : เศาะหิ๊หฺ
ดูเศาะฮีฮุล ญามิอิซ-ซอฆีร    หะดีษที่ 2457   ตรวจทานโดยเชคมุฮัมมัด นาซิรุดดีน อัลบานี

ท่านอาจารย์ฟารีดไปยึดเอาคอลีฟะฮ์ที่เศาะหาบะฮ์แต่งตั้งกันเองเป็นเกณฑ์  ท่านไม่ได้เอาคำพูดของท่านรอซูลเป็นเกณฑ์  ดังท่านจึงหลงและพาพวกหลงตาม
  •  

L-umar

อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178



( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  

          แต่หากท่านจะถามว่า 30 ปีของการดำรงตำแหน่ง คิลาฟะห์นุบูวะห์ (ผู้สืบแทนนบี) นั้นมีท่านใดบ้าง เราให้ท่านได้เห็นคำรายงานต่อไปนี้
56 - حَدَّثَنَا مُوسَى بْنُ دَاوُدَ حَدَّثَنَا نَافِعٌ يَعْنِي ابْنَ عُمَرَ عَنْ ابْنِ أَبِي مُلَيْكَةَ قَالَ
قِيلَ لِأَبِي بَكْرٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ يَا خَلِيفَةَ اللَّهِ فَقَالَ أَنَا خَلِيفَةُ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَأَنَا رَاضٍ بِهِ وَأَنَا رَاضٍ بِهِ وَأَنَا رَاضٍ

อิบนุอบีมุลัยกะห์ รายงานว่า
"มีผู้เรียกท่านอบูบักร์ว่า โอ้คอลีฟะห์ของอัลลอฮ์เอ๋ย ท่านกล่าวว่า ฉันคือคอลีฟะห์ของท่านรอซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม" มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 56
          คำรายงานข้างต้นนี้เป็นการยืนยันว่า หลังจากท่านนบีจากไป ท่านอบูบักร์ก็ทำหน้าที่เป็นคอลีฟะห์สืบต่อจากท่านนบี





เวปคำถามสำหรับซุนนี่ขอวิเคราะห์ดังนี้

เราแทบไม่อยากเชื่อว่า  ระดับอาจารย์ฟารีด  กล้ายกหะดีษข้างต้นที่รายงานโดยอิบนุอบีมุลัยกะฮ์มาอ้างอิงเป็นหลักฐานในเชิงวิชาการต่อหน้าสาธารณชน  
เพราะหะดีษดังกล่าว  เป็นหะดีษที่มีสายรายงาน " ดออีฟ "  ดังที่เชคชุเอบอัลอัรนะฮูฏี วิจารณ์ไว้ดังนี้

59 - حدثنا عبد الله حدثني أبي ثنا موسى بن داود ثنا نافع يعني بن عمر عن بن أبي مليكة قال قيل لأبي بكر رضي الله عنه يا خليفة الله فقال : أنا خليفة رسول الله صلى الله عليه و سلم وأنا راض به وأنا راض به وأنا راض
تعليق شعيب الأرنؤوط : إسناده ضعيف لانقطاعه فإن ابن أبي مليكة لم يدرك أبا بكر

อิบนุอบีมุลัยกะห์ รายงานว่า มีผู้เรียกท่านอบูบักร์ว่า โอ้คอลีฟะห์ของอัลลอฮ์เอ๋ย ท่านกล่าวว่า ฉันคือคอลีฟะห์ของท่านรอซูล(ศ)
มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด  ฮะดีษเลขที่ 59  เชคชุเอบอัลอัรนะอูฏีกล่าวว่า  ดออีฟ  

และอีกบทหนึ่งคือ


64 - حدثنا عبد الله حدثني أبي ثنا محمد بن يزيد ثنا نافع بن عمر الجمحي عن عبد الله بن أبي مليكة قال : قيل لأبي بكر رضي الله عنه يا خليفة الله فقال بل خليفة محمد صلى الله عليه و سلم وأنا أرضى به
تعليق شعيب الأرنؤوط : إسناده ضعيف لانقطاعه

อิบนุอบีมุลัยกะห์ รายงานว่า มีผู้เรียกท่านอบูบักร์ว่า โอ้คอลีฟะห์ของอัลลอฮ์เอ๋ย ท่านกล่าวว่า ฉันคือคอลีฟะห์ของท่านรอซูล(ศ)
มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด  ฮะดีษเลขที่ 64  เชคชุเอบอัลอัรนะอูฏีกล่าวว่า  ดออีฟ  


ถึงบัดนี้ ท่านคงประจักษ์ในธาตุแท้ของอาจารย์ฟารีดว่า  ว่าแต่เขา  อิเหนาเป็นเอง  ยกหะดีษดออีฟมาเป็นหลักฐานอ้างอิงเฉยเลย   น่าไม่อาย  
  •  

L-umar





อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178



( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  

ประการที่ห้า
          หากจะกล่าวถึงคอลีฟะห์จำนวนสิบสองคนที่เหล่าชีอะห์นำมาสวมแทนตำแหน่งอิหม่ามของพวกเขา แล้วอ้างว่าเป็นเรื่องเดียวกันนั้น เราขอกล่าวอย่างเต็มปากว่า เหล่าชีอะห์โกหกและกำลังหลอกลวงชาวโลก เพราะสิบสองอิหม่ามที่พวกเขานับ กับสิบสองคอลีฟะห์ที่ท่านอาลีนับ เป็นคนละเรื่องกันเลย ซึ่งเราจะให้ท่านได้เห็นความบิดพลิ้วของพวกเขาที่มีต่อท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ อิหม่ามของพวกเขาเอง และจากตำราของพวกเขาเอง ซึ่งก่อนที่ท่านจะได้พบกับคำยืนยันของท่านอาลี เราแจ้งให้ท่านทราบถึงสิบสองอิหม่ามตามที่เหล่าชีอะห์ได้นับกันก่อน โดยไล่เรียงตามลำดับดังนี้
          1 – อาลี อิบนิอบีตอลิบ
          2 – ฮะซัน บินอาลี อิบนิอบีตอลิบ
          3 – ฮุเซน บินอาลี อิบนิอบีตอลิบ
          4 – อาลี บินฮุเซน (ซัยนุ้ลอาบีดีน)
          5 – มูฮัมหมัด บินอาลี (มูฮัมหมัด บากิร)
          6 – ญะอ์ฟัร อัศศอดิก
          7 – มูซา กาเซ็ม บุตรของญะอ์ฟัร อัศศอดิก
          8 – อาลี ริฏอ บุตรของมูซา กาเซ็ม
          9 – มูฮัมหมัดตะกีย์ บุตรของอาลี
          10 – อาลี นะกีย์ บุตรของมูฮัมหมัด
          11 – ฮะซันอัสอัสกะรีย์
          12 – อิหม่ามลำดับที่ 12 นี้เหล่าชีอะห์ยังขัดแย้งกันเอง และแยกเป็นสองก๊ก กลุ่มหนึ่งได้ยึดเอาน้องชายของฮะซันอัลอัสการีย์ มีชื่อว่า ญะฟัรเป็นอิหม่าม เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่า ท่านฮะซันอัลอัสกะรีย์ ไม่มีบุตร เพราะเมื่อท่านฮะซันเสียชีวิตนั้น น้องชายและแม่ของท่านเป็นผู้รับมรดก แต่ชีอะห์อีกกลุ่มหนึ่งได้อุปโลกน์เด็กชายผู้หนึ่งขึ้นมาแล้วให้ชื่อว่า มะฮ์ดีย์ โดยพวกเขาอ้างว่าเป็นบุตรของท่านฮะซันที่เกิดกับภรรยาลับ ซึ่งแม้แต่ชื่อและประวัติของแม่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ก็ยังเป็นปริศนา และในตำราของพวกเขาก็บรรยายกันไปคนละทาง
          แต่เราแจ้งให้ท่านได้ทราบว่า เหล่าชีอะห์ได้ทึกทักเอาท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ เป็นอิหม่ามลำดับที่หนึ่งของพวกเขา โดยท่านอาลีเองก็มิได้ยอมรับหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุปโลกน์ของพวกเขาแต่อย่างใด และที่เรากล่าวว่าท่านอาลีไม่ได้นับเอาตัวท่านเองเป็นลำดับที่หนึ่ง แต่ท่านกลับนับเอาท่านอบูบักร์และท่านอุมัร เป็นคอลีฟะห์ต่อจากท่านนบีนั้น ก็ไม่ใช่คำพูดที่เราปั้นแต่งขึ้น แต่เป็นคำพูดของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ และจากตำราของเหล่าชีอะห์เองดังนี้





เวปคำถามสำหรับซุนนี่ ตอบ


อาจารย์ฟารีดกล่าวว่าท่านอิหม่ามอะลีไม่เคยพูดถึงรายชื่อและจำนวนอิหม่ามสิบสองคน  ซึ่งแสดงถึงการโกหกอย่างชัดเจน  ขอให้ท่านอ่านหะดีษที่อิหม่ามอะลี รายงานดังนี้

عَنْ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِىٍّ عَلَيْهِ السَّلاَمِ قَالَ: سُئِلَ أَمِيْرُ الْمُؤْمِنِيْنَ عَلَيْهِ السَّلاَمِ عَنْ مَعْنَى قَوْلِ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ إِنِّىْ مُخَلِّفٌ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ مَنِ الْعِتْرَةُ ؟ فَقَالَ : أَنَا وَالْحَسَنُ وَالْحُسَيْنُ وَالْأَئِمَّةُ التِّسْعَةُ مِنْ وُلْدِ الْحُسَيْنِ تَاسِعُهُمْ مَهْدِيُّهُمْ وَقَائِمُهُمْ لاَ يُفَارِقُوْنَ كِتَابَ اللهِ وَلاَ يُفَارِقُهُمْ حَتَّى يَرِدوا عَلَى رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ حَوْضَـهُ.

ท่านฮูเซน บินอะลีเล่าว่า :  ท่านอมีรุลมุอ์มินีน (อิม่ามอะลี) ถูกถามถึงความหมายวจนะของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ที่กล่าวว่า :  แท้จริงข้าพเจ้าได้มอบสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่าน  สิ่งแรกคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอิตเราะฮ์ของข้าพเจ้า, (ว่า) ใครคืออิตเราะฮ์  ?

ท่านอิหม่ามอะลีตอบว่า : คือฉัน,ฮาซัน,ฮูเซนและบรรดาอิม่ามผู้นำอีก 9 คนที่สืบเชื้อสายจากลูกหลานของฮูเซน คนที่ 9 คือมะฮ์ดีและคือกออิมของพวกเขา  พวกเขาจะไม่แยกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และคัมภีร์ของอัลลอฮฺจะไม่แยกจากพวกเขา จนทั้งสองจะกลับคืนมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ที่สระอัลเฮาฎ์ของท่าน.

สถานะหะดีษ : เศาะหิ๊หฺ  
ดูหนังสืออุยูนุล อัคบาร อัลริฎอ โดยเชคศอดูก เล่ม 1 : 57   หะดีษที่  25


ขอให้อ่านวรรคนี้อีกครั้ง
(( ท่านอิหม่ามอะลีตอบว่า : คือฉัน,ฮาซัน,ฮูเซนและบรรดาอิม่ามผู้นำอีก 9 คนที่สืบเชื้อสายจากลูกหลานของฮูเซน คนที่ 9 คือมะฮ์ดี ))

แล้วลองนับจำนวนดังนี้

1, ท่านอะลี  2, ฮาซัน  3, ฮูเซน  + กับอิหม่ามอีก 9 คน ซึ่งคนสุดท้ายคืออิหม่ามมะฮ์ดี  =  12  คน

นี่เรายกมาแค่หนึ่งหะดีษนะ ความจริงมีเป็นร้อย

ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่า  อาจารย์ฟารีดเป็นคนโกหกขนาดไหน และลวงผู้อ่านขนาดไหน

ถ้าจะว่าตามหลักวิชาการ   อาจารย์ฟารีดคนนี้   คงไม่เป็นที่น่าเชื่อถืออีกต่อไป ยกเว้นพวกตะอัซซุบ

 
  •  

L-umar



อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178



( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  

ประการที่ห้า (วรรคถัดมา)

            จากหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะห์ ซึ่งเป็นตำราขนาดเอกของเหล่าชีอะห์ ที่รวมไว้ด้วยสุนทรโรวาทและจดหมายเหตุของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ และเป็นตำราที่ชาวชีอะฮ์ยกย่องเทิดทูน ได้บันทึกคำพูดของท่านอาลีไว้ดังนี้
          แท้จริง อัลลอฮ์ได้แต่งตั้งนบีมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ และทำให้ท่านเป็นกลไกในการชักนำประชาชนให้ผละออกจากหนทางแห่งความชั่วและความต่ำทราม เพื่อจะได้ปกป้องพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษในอาคิเราะห์ และพระองค์ยังได้ทำให้ท่านนบีเป็นกลไกในการสร้างสันติภาพและความปรองดองในหมู่ผู้ศรัทธา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าท่านมีความขัดแย้งและความบาดหมางกัน ต่อมาอัลลอฮ์ได้ทรงเรียกท่านกลับคืนไปสู่พระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาได้ทำให้อบูบักรเป็นคอลีฟะห์ของท่านนบี ในเวลาต่อมา อบูบักรได้แต่งตั้งให้อุมัรเป็นผู้สืบทอดของเขา ทั้งสองได้ฉายให้เห็นการกระทำที่น่ายกย่อง และยังผดุงรักษาความยุติธรรมและความเท่าเทียมเอาไว้ ดังนั้นเราจึงพบว่าเขา (อบูบักรและอุมัร) ได้ปกครองดูแลอุมมะฮ์ก่อนหน้าเรา ถึงแม้ว่าเราในในฐานะที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของท่านนบีจะมีสิทธิในการเป็นคอลีฟะห์มากกว่าก็ตาม แต่เราก็ได้อภัยให้พวกเขา (คำธิบายนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ หน้าที่ 447)
          คำพูดของท่านอาลีข้างต้นนี้เป็นที่ชัดเจนว่าท่านชื่นชมและให้การยอมรับในการเป็นคอลีฟะห์ของท่านอบูบักร์และท่านอุมัร และท่านก็เรียกอบูบักร์ว่าเป็นคอลีฟะห์อย่างเต็มปากเต็มคำ นอกจากนั้นท่านยังได้ยืนยันว่าผู้ที่คัดเลือกให้ท่านอบูบักร์ และท่านอุมัร ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์นั้นก็คือเหล่าบรรดาผู้ศรัทธา แล้วเหตุใดเล่าที่เหล่าชีอะห์อ้างว่า บรรดาศอฮาบะห์ตกมุรตัดทั้งหมดหลังจากนบีเสียชีวิต ในขณะที่ท่านอาลีกลับบอกว่า พวกเขาคือบรรดาผู้ศรัทธา นอกจากนี้ท่านอาลียังยืนยันอีกว่า
          "อันที่จริงแล้วหมู่ชนที่ได้ให้สัตยาบันต่อฉันก็คือกลุ่มชนที่เคยให้สัตยาบันต่อท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร, และท่านอุสมาน" (ส่วนหนึ่งจากข้อความของสาสน์ที่ท่านอาลีส่งถึงมุอาวิยะห์ ระบุใน นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ตำราขนานเอกของชีอะห์)
           เมื่อท่านอาลียืนยันว่าผู้ที่คัดเลือกท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,ท่านอุสมาน และท่านอาลี เป็นคนกลุ่มเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นชีอะห์กล้าที่จะกล่าวไหมว่า บรรดากาเฟรให้สัตยาบันต่อท่านอาลีในการดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ อย่างไรก็ตาม ข้อความทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นคำยืนยันของท่านอาลีเองทั้งสิ้น ซึ่งแตกต่างจากการอุปโลกน์บรรดาอิหม่ามทั้งสิบสองคนของชีอะห์อย่างสิ้นเชิง





เวปคำถามสำหรับซุนนี่ ตอบ


วิธีข้อสังเกตง่ายๆคือ   อาจารย์ฟารีด  ยกเนื้อหาจากหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์เป็นภาษาไทยมาอ้างในบทความของท่าน     แต่ท่านไม่กล้าเอาตัวบทภาษาอาหรับในนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์วรรคที่ท่านอ้างถึงนี้มาลง   สาเหตุเพราะท่านแปลมันไปตามนัฟซูของท่านเอง


มันจะกินกับปัญญาหรือ  ว่า ท่านอะลียอมรับว่า คอลีฟะฮ์ทั้งสามคือ คอลีฟะฮ์ที่ถูกต้อง  ถ้าท่านยอมรับจริง  

แล้วทำไม  ในหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์จึงมี   คำปราศรัยของท่านอะลีอันโด่งดังชื่อ   " คุฏบะฮ์   ชักชะกียะฮ์  "   ซึ่งคุฏบะฮ์ของท่านอะลีบทนี้ได้ร้องทุกข์ในเรื่องการดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ที่ท่านถูกแย่งชิงไป

อาจารย์ฟารีดคงไม่กล้านำคุฏบะฮ์ของท่านอะลีบทนี้มาแปลให้ชาวซุนนี่อ่านบ้างล่ะ
   
« الخطبة الشقشقية » :
من خطبة للامام علي ( ع ) و هي المعروفة بالشّقشقية ، و تشمل على الشكوى من أمر الخلافة و الخلفاء ،

ท่านอิหม่ามอะลีกล่าวร้องทุกข์ว่า

أَمَا وَ اَللَّهِ لَقَدْ تَقَمَّصَهَا ؟ اِبْنُ أَبِي قُحَافَةَ ؟ وَ إِنَّهُ لَيَعْلَمُ أَنَّ مَحَلِّي مِنْهَا مَحَلُّ اَلْقُطْبِ مِنَ اَلرَّحَى يَنْحَدِرُ عَنِّي اَلسَّيْلُ وَ لاَ يَرْقَى إِلَيَّ اَلطَّيْرُ فَسَدَلْتُ دُونَهَا ثَوْباً وَ طَوَيْتُ عَنْهَا كَشْحاً وَ طَفِقْتُ أَرْتَئِي بَيْنَ أَنْ أَصُولَ بِيَدٍ جَذَّاءَ أَوْ أَصْبِرَ عَلَى طَخْيَةٍ عَمْيَاءَ يَهْرَمُ فِيهَا اَلْكَبِيرُ وَ يَشِيبُ فِيهَا اَلصَّغِيرُ وَ يَكْدَحُ فِيهَا مُؤْمِنٌ حَتَّى يَلْقَى رَبَّهُ فَرَأَيْتُ أَنَّ اَلصَّبْرَ عَلَى هَاتَا أَحْجَى فَصَبَرْتُ وَ فِي اَلْعَيْنِ قَذًى وَ فِي اَلْحَلْقِ شَجًا أَرَى تُرَاثِي نَهْباً

ขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์  แน่นอนอิบนุ อบีกุฮาฟะฮ์ได้สวมใส่มัน (คือขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์แล้ว)
ซึ่งเขา(อบูบักร)ก็รู้ดีว่า แท้จริงฐานะของฉันจากตำแหน่งคอลีฟะฮ์นั้น (เปรียบเหมือนฉันคือ)แกนของโม่หิน   น้ำบ่า(ที่อยู่บนเขา)ได้ไหลออกไปจากฉัน   นกก็บินมาไม่ถึงฉัน
อ้างอิงจากคุฏบะฮ์   อัช-ชักชะกียะฮ์  

ท่านอะลีได้อุปมาว่า ท่านอบูบักรรู้ตัวดีว่า ฉันนั้นมีสิทธิอันชอบธรรมมากกว่าเขา เพราะโม่ต้องหมุนโดยมีเสาแกนของโม่เป็นศูนย์กลางในการประคับประคองการหมุน เปรียบดังท่านคือศูนย์กลางของอุมมัตอิสลามสืบต่อจากท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)
ท่านอะลียังกล่าวอีกว่า ท่านต้องซอบัรอดทนต่อสิ่งนี้ เหมือนหนามที่ทิ่มอยู่ในตาท่าน ท่านต้องทนมองดูมรดกของท่านถูกปล้นสะดมไปจากท่าน


อีกประหนึ่งคือ  อาจารย์ฟารีดชอบตำหนิว่า  พวกชีอะฮ์ชอบยกหะดีษซุนนี่ มาแบบขาดๆเกิน
มาวันนี้  อาจารย์ฟารีดกลับนำมันมาใช้เสีย   ซึ่งนั่นก็เผยให้เห็น สันดานที่แท้จริงของท่าน  แต่ท่านกลับมองไม่เห็นนิสัยต่ำทรามของตัวเอง    


 
  •  

L-umar


อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178



( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  

ประการที่หก
แต่เราก็ไม่พบหลักฐานที่ท่านอาลีได้กล่าวถึงคอลีฟะห์ลำดับต่อจากท่านจนกระทั่งครบทั้งสิบสองคน ถ้าเช่นนั้นแล้วคอลีฟะห์ที่เหลืออีกจำนวน 8 คนคือใคร






เวปคำถามสำหรับซุนนี่ ตอบ

อาจารย์ฟารีดว่า  ท่านอิหม่ามอะลี ไม่เคยถึงคอลีฟะฮ์ลำดับต่อจากท่านไว้จึงหรือ  แล้วหะดีษนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ  ลองอ่านสิ
عَنْالْحُسَيْنِ بْنِ عَلِىٍّ عَلَيْهِ السَّلاَمِ قَالَ:
سُئِلَ أَمِيْرُ الْمُؤْمِنِيْنَ عَلَيْهِ السَّلاَمِ عَنْ مَعْنَى قَوْلِ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ إِنِّىْ مُخَلِّفٌ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ مَنِ الْعِتْرَةُ ؟

فَقَالَ (عَلِىٍّ عَلَيْهِ السَّلاَمِ) : أَنَا وَالْحَسَنُ وَالْحُسَيْنُ وَالْأَئِمَّةُ التِّسْعَةُ مِنْ وُلْدِ الْحُسَيْنِ تَاسِعُهُمْ مَهْدِيُّهُمْ وَقَائِمُهُمْ لاَ يُفَارِقُوْنَ كِتَابَ اللهِ وَلاَ يُفَارِقُهُمْ حَتَّى يَرِدوا عَلَى رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ حَوْضَـهُ.
ท่านเซน บินอะลีเล่าว่า :  
ท่านอมีรุลมุอ์มินีน (อิม่ามอะลี) ถูกถามถึงความหมายวจนะของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)ที่กล่าวว่า :  แท้จริงข้าพเจ้าได้มอบสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่าน  สิ่งแรกคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอิตเราะฮ์ของข้าพเจ้า, (ว่า) ใครคืออิตเราะฮ์ ?
ท่านอิม่ามอะลีตอบว่า : คือฉัน,ฮาซัน,ฮูเซนและบรรดาอิม่ามผู้นำอีก 9 คนที่สืบเชื้อสายจากลูกหลานของฮูเซน คนที่ 9 คือมะฮ์ดีและคือกออิมของพวกเขา  พวกเขาจะไม่แยกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และคัมภีร์ของอัลลอฮฺจะไม่แยกจากพวกเขา จนทั้งสองจะกลับคืนมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ที่สระอัลเฮาฎ์ของท่าน.

สถานะหะดีษ  :  เศาะหิ๊หฺ  
ดูหนังสืออุยูนุล อัคบาร อัลริฎอ โดยเชคศอดูก เล่ม 1 : 57  หะดีษที่ 25

เราอยากสอนอาจารย์ฟารีดให้เข้าใจอีกอย่างหนึ่งนะ   หะดีษที่ท่านอะลีระบุรายชื่ออิหม่ามสิบสองนะ มีเพียบ   แต่อย่างว่า  ท่านไม่อ่านมันเอง  เอาลองเข้าไปดูเองที่เวปนี้ ชื่อหนังสือกิฟายะตุลอะษัร

www.ahl-ul-bayt.org/Final_lib/aqaed/Kefayat_Ol_Asar/index.htm




( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  
นักวิชาการซุนนะห์ยังให้การยอมรับว่า อุมัร อิบนุอับดิลอะซีซ ก็เป็นคอลีฟะห์อีกท่านหนึ่งด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยความทรงธรรมและด้วยบทบาทของท่านเด่นชัดในการปกครองรัฐอิสลามด้วยอิสลามจริงๆ





วิจารณ์

คำพูดนี้ยิ่งขัดกันใหญ่   เพราะถ้าอาจารย์ฟารีดนับว่า  ท่านอุมัรบินอับดุลอะซีซก็คือคอลีฟะฮ์อีกหนึ่งคน  

ท่านก็ต้องไปแก้เกี้ยวอธิบายหะดีษคอลีฟะฮ์ของท่านนบี จะอยู่ในระยะเวลาแค่สามสิบปีอีกครั้งหลังวะฟาต ใหม่อีกครั้ง

เพราะท่านอุมัรบินอับดุลอะซีซ อยู่นอกเหนือระยะเวลาสามสิบปีดังที่หะดีษกล่าวไว้นานมาก  
นี่เป็นความขัดแย้งที่หลุดออกมาจากปากท่านเองนะ  
  •  

L-umar

อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178



( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  

ประการที่เจ็ด

ความจริงฮะดีษในเรื่องนี้นั้น ท่านนบีได้แจ้งถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่นเดียวกับที่ท่านได้แจ้งถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าในเรื่องอื่นๆ ซึ่งบางเรื่องได้ปรากฏให้คนยุคสุดท้ายอย่างพวกเราได้รู้ได้เห็นแล้ว และบางเรื่องก็ยังไม่ปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์ ตัวอย่างเช่นการที่ท่านนบีได้พูดถึงเรื่อง ดัจญาล ว่า
لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى يَخْرُجَ ثَلاَثُونَ دَجَّالُونَ كُلُّهُمْ يَزْعُمُ أَنَّهُ رَسُولُ اللَّهِ
 "กาลอวสานจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่า ดัจญาลสามสิบตนจะปรากฏ พวกเขาทั้งหมดจะอ้างว่าเป็นรอซูลของอัลลอฮ์" สุนันอบีดาวู๊ด ฮะดีษเลขที่ 3772
          อย่างนี้คือเหตุการณ์ที่ท่านบีแจ้งไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกัน ซึ่งเราเองก็ยังไม่ได้ประจักษ์ถึงตัวตนของดัจญาลทั้งสามสิบตนตามที่ท่านนบีกล่าวไว้ และเราก็ไม่สามารถที่จะคาดเดาถึงอนาคตในสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นได้เลย แต่เราก็ศรัทธาตามที่ท่านนบีได้บอก
และการที่ท่านนบีกล่าวว่า
"ศาสนานี้จะยังคงธำรงอยู่จนกว่าจะถึงกาลอวสาน หรือจนกว่าจะมีสิบสองคอลีฟะห์มายังพวกเจ้า"
ก็เป็นแจ้งล่วงหน้าเช่นเดียวกัน ซึ่งบางส่วนก็ปรากฏและเป็นที่ประจักษ์แล้วและบางส่วนก็ยังมิได้ปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์
ซึ่งจุดยืนของชาวซุนนะห์ในเรื่องนี้คือ การที่จะไม่พูดอะไรโดยปราศจากหลักฐานหรือข้อเท็จจริง ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ก็ทรงเตือนบรรดาผู้ศรัทธาในการจะพูดถึงเรื่องใดจากการคาดเดาว่า
وَمَا لَهُمْ بِذَلِكَ مِنْ عِلْمٍ إِنْ هُمْ إِلَّا يَظُنُّونَ
 "และสำหรัพวกเขามิได้มีความรู้ในเรื่องนั้นหรอกนอกจากคาดเดา"
ซูเราะห์อัลญาซียะห์ อายะห์ที่ 24
وَلَا تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ إِنَّ السَّمْعَ وَالْبَصَرَ وَالْفُؤَادَ كُلُّ أُولَئِكَ كَانَ عَنْهُ مَسْئُولًا
 "และเจ้าอย่าได้เชื่อตามในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงการได้ยิน (หู) การเห็น (ตา) และหัวใจนั้น ทั้งหมดย่อมถูกสอบสวน"  ซูเราะห์อัลอิสรออ์ อายะห์ที่ 36
          ท่านอิบนุฮะญัร อัลอัสกอลานีย์ นักวิชาการระบือนาม เจ้าของหนังสือ ฟัตฮุลบารีย์ เป็นหนังสืออธิยายฮะดีษศอเฮียะห์บุคคอรี ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
"ไม่มีหลักฐานใดๆที่จะมาเจาะจงความฮะดีษบทนี้" ฟัตฮุ้ลบารย์ 16 หน้าที่ 338
          ด้วยเหตุนี้ชาวซุนนะห์จึงมีจุดยืนที่มั่นคงในการที่จะไม่วิจารณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า ในสิ่งที่ไม่มีตัวบทหลักฐานมายืนยันในประเด็นที่เกี่ยวกับสิบสองคอลีฟะห์ ว่าจะปรากฏครบถ้วนในยุคใดหรือปีใด ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในผู้รอคอย และชาวซุนนะห์ก็เชื่อตามที่ท่านนบีบอก และเชื่อในสิ่งที่ได้ปรากฏแล้วบางส่วนตามคำยืนยันของท่านอาลี แต่เหล่าชีอะห์กลับมีความเชื่อที่สวนทางกับท่านอาลีเสียเอง อย่างนี้พิสดารไหม






วิจารณ์


หนึ่ง  -  
ผมว่า คนที่พิสดารคืออาจารย์ฟารีดเองนั่นแหล่ะ  และยังพูดขัดแย้งกับบรรดาอุละมาอ์ฝ่ายซุนนี่ท่านอื่นๆที่อยู่ในระดับที่เหนือกว่าอีกด้วย
ต่อไปนี้คือหลักฐานที่อุละมาอ์ซุนนี่ได้ระบุถึงรายชื่อ 12  คอลีฟะฮ์ของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์

1.   อบูบักร
2.   อุมัร
3.   อุษมาน
4.   อะลี
5.   มุอาวียะฮ์ บิน อบีสุฟยาน
6.   ยะซีด บิน มุอาวียะฮ์
7.   อับดุลมะลิก บิน มัรวาน
8.   วะลีด บิน อับดุลมะลิก
9.   สุลัยมาน บิน อับดุลมะลิก
10.   อุมัร บิน อับดุล อะซีซ
11.   ยะซีด บิน อับดุลมะลิก
12.   ฮิชาม บิน อับดุลมะลิก

หนังสือฟัตฮุลบารีย์ เล่ม 16 หน้า 341  โดยอิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานี

และ
3731 - قَالَ صَاحِبُ عَوْنِ الْمَعْبُودِ : ( لَا يَزَال هَذَا الدِّين قَائِمًا )
خِلَافَة النُّبُوَّة ثَلَاثُونَ سَنَة .
وَأَمَّا \\\" الْخُلَفَاء : اِثْنَا عَشَر \\\" فَقَدْ قَالَ جَمَاعَة - مِنْهُمْ : أَبُو حَاتِم بْن حِبَّانَ وَغَيْره - إِنَّ آخِرهمْ عُمَر بْن عَبْد الْعَزِيز ، فَذَكَرُوا الْخُلَفَاء الْأَرْبَعَة ، ثُمَّ مُعَاوِيَة ثُمَّ يَزِيد اِبْنه ثُمَّ مُعَاوِيَة بْن يَزِيد ثُمَّ مَرْوَان بْن الْحَكَم ثُمَّ عَبْد الْمَلِك اِبْنه ثُمَّ الْوَلِيد بْن عَبْد الْمَلِك ، ثُمَّ سُلَيْمَان بْن عَبْد الْمَلِك ، ثُمَّ عُمَر بْن عَبْد الْعَزِيز . وَكَانَتْ وَفَاته عَلَى رَأَسَ الْمِائَة
الكتاب : عون المعبود شرح سنن أبي داود    ج 9  ص  316  ح : 3731
المؤلف : محمد شمس الحق العظيم آبادي أبو الطيب

คุละฟาอ์ทั้งสิงสอง มีอุละมาอ์กลุ่มหนึ่งกล่าวไว้ ส่วนหนึ่งจากพวกเขาเช่น อบูหาติม อิบนุหิบบานและคนอื่นๆ   ซึ่งคนสุดท้ายคือ ท่านอุมัรบินอับดุลอะซีซ   พวกเขากล่าวว่า  ( 12 คอลีฟะฮ์นั้นเริ่มนับจาก)  คอลีฟะฮ์สี่ท่านแรก ( 1,อบูบักร 2,อุมัร 3, อุษมาน  4,อะลี )  ถัดมาคือ 5,มุอาวียะฮ์  6,ยะซีด บินมุอาวียะฮ์  7, มุอาวียะฮ์ บินยะซีด  8,มัรวาน บินอัลหะกัม  9,อับดุลมะลิก  10,อัลวะลีด บินอับดุลมะลิก 11, สุลัยมาน บินอับดุลมะลิก  12,อุมัร บินอับดุลอะซีซ

หนังสือเอานุลมะอ์บู๊ด ชัรฮุ สุนันอบีดาวูด  เล่ม  9 : 316 หะดีษที่ 3731

แม้แต่นักวิชาการในประเทศไทยก็เอามาลงไว้แล้วในหนังสือสายสัมพันธ์ ปีที่ 29 อันดับที่ 309-310 พฤศจิกายน-ธันวาคม 2537 หน้า 42  
สอง -  
ผมว่าสองอายัตที่อาจารย์ยกมานั้น  ท่านเอาไว้อ่านเตือนตัวเองเถิด  
وَمَا لَهُمْ بِذَلِكَ مِنْ عِلْمٍ إِنْ هُمْ إِلَّا يَظُنُّونَ
และสำหรัพวกเขามิได้มีความรู้ในเรื่องนั้นหรอกนอกจากคาดเดา
وَلَا تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ إِنَّ السَّمْعَ وَالْبَصَرَ وَالْفُؤَادَ كُلُّ أُولَئِكَ كَانَ عَنْهُ مَسْئُولًا
และเจ้าอย่าได้เชื่อตามในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงการได้ยิน (หู) การเห็น (ตา) และหัวใจนั้น ทั้งหมดย่อมถูกสอบสวน

เพราะท่านไม่รู้เรื่องชีอะฮ์และเรื่องของท่านเองเท่าไหร่หรอก  วันๆท่านใช้เวลาหมดไปกับการสูบบุหรี่จนตัวโก่ง   แถมยังพูดมากเกินตำราอุละมาอ์ซุนนี่อีก  


สาม –

ในเมื่ออาจารย์ฟารีดยอมรับว่า(ความจริงฮะดีษสิบสองคอลีฟะฮ์นั้น ท่านนบีได้แจ้งถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า)  ถ้าเช่นนั้น ทำไมอุละมาอ์ซุนนี่  ส่วนหนึ่งที่เรามาลงให้อ่านหรือท่านอื่นๆจึงกำหนดจำนวนสิบสองคอลีฟะฮ์ตายตัวลงไปแล้วล่ะครับ  อย่างนี้ไม่เรียกว่า  ล้ำหน้าซุนนะฮ์หรอกหรือ
 
  •  

L-umar


อ้างอิงจากอาจารย์ฟารีด เฟ็นดี้
http://fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178



( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  

ประการที่ 8

ซึ่งพวกชีอะฮ์พยายามที่จะโพทนาว่า สิบสองคอลีฟะห์ หรือสิบสองอิหม่ามตามการบิดเบือนของพวกเขานั้น ทั้งหมดมาจากตระกูลบะนีฮาเซ็ม ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับบรรดาอิหม่ามทั้งสิบสองคนของพวกเขาโดยตรง ทั้งๆ ที่ในตัวบทฮะดีษระบุไว้ชัดเจนว่า ทั้งหมดมาจากกุรอยช์ ไม่ใช่เฉพาะตระกูลบะนีฮาเซ็มที่เหล่าที่ชีอะห์ได้แอบอ้าง
 





 
วิจารณ์

ไม่ใช่เฉพาะชีอะฮ์เท่านั้นหรอก  ที่บอกว่า ตระกูลฮาชิม คือตระกูลแห่งอิหม่ามผู้นำ  
และจะเป็นผู้นำทุกยุคทุกสมัยตราบจนถึงวันกิยามะฮ์อีกด้วย  
 ท่านลองอ่านบทความนี้สิ เพื่อตาสว่าง

http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=225


ชัยคุลอิสลาม อิบนุ ตัยมียะฮ์ กล่าวว่า :

เพราะ ตระกูล บนี ฮาชิม คือเผ่ากุเรช ที่ประเสริฐที่สุด
และเผ่ากุเรช คือชาวอาหรับ ที่ประเสริฐที่สุด
และชาวอาหรับคือ ลูกหลานศาสดาอาดัม ที่ประเสริฐที่สุด
ดังที่มีหะดีษเศาะหิ๊หฺรายงานสิ่งนั้นจากท่านนบี(ศ) เช่นหะดีษที่ถูกต้อง ที่ท่านกล่าวว่า
แท้จริง (เพื่อการเป็นนบี) อัลลอฮ์ทรงเลือกจากลูกหลานของอิบรอฮีม คือลูกหลานของอิสมาอีล และทรงเลือกกินานะฮ์มาจากลูกหลานของอิสมาอีล และทรงเลือกเผ่ากุเรชมาจากกินานะฮ์ และทรงเลือกตระกูลฮาชิมมาจากเผ่ากุเรช และทรงเลือกข้าพเจ้า(เป็นนบี)ที่มาจากบนีฮาชิม

อ้างอิงจากหนังสือ
มัจญ์มู๊อฺ ฟะตาวา อิบนิ ตัยมียะฮ์ เล่ม 6 : 298



ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

แท้จริง (เพื่อการเป็นนบี) อัลลอฮ์ทรงเลือกเผ่ากินานะฮ์มาจากลูกหลานของอิสมาอีล และทรงเลือกเผ่ากุเรชมาจากลูกหลานของกินานะฮ์ และทรงเลือกตระกูลฮาชิมมาจากเผ่ากุเรช และทรงเลือกข้าพเจ้า(เป็นนบี)ที่มาจากบนีฮาชิม

อ้างอิงจากหนังสือ
เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษที่ 6077

ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)กล่าวว่า :

الْأَئِمَّةُ مِنْ قُرَيْشٍ

((   บรรดาอิหม่ามผู้นำนั้นต้องมาจากพวกกุเรช  ))

อ้างอิงจาก
มุสนัดอิหม่ามอะหมัด หะดีษที่ 11642, 12329 , 12923
เชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏีได้วิจารณ์หะดีษสามบทนี้ว่า    มีสถานะ  :  เศาะหิ๊หฺ


ท่านอบูบักรเองก็ทราบดีว่า     อิหม่ามผู้นำนั้นต้องมาจากชาวกุเรช  มิฉะนั้นท่านคงไม่ยกหะดีษที่ว่า   (( ผู้นำนั้นต้องมาจากกุเรช  ))   มาสยบชาวอันศ็อรทีสะกีฟะฮ์ได้อยู่หมัดหรอกหรือ
   
ดูหนังสือฟัตฮุลบารี โดยอิบนุหะญัร เล่ม 10 : 465 หะดีษที่ 3394

แต่ท่านอบูบักรไม่ยอมยกมาให้หมดเปลือก   เพราะกุเรชที่อัลเลาะฮ์เลือกให้เป็นผู้นำนั้นคือคนตระกูลฮาชิม  ดังหะดีษ (( และอัลเลาะฮ์ทรงเลือกตระกูลฮาชิมมาจากเผ่ากุเรช ))
ดูเศาะหิ๊หิมุสลิม หะดีษที่  6077

หากวันนั้นท่านอบูบักรบอกกับชาวอันศ็อรว่า   ผู้นำต้องมาจากกุเรช และกุเรชต้องมาจากบนีฮาชิม      คนที่สะกีฟะฮ์คงต้องออกจากกระท่อมแล้วมุ่งหน้าไปหาท่านอะลีแน่     เพราะท่านอะลี คือบนูฮาชิมโดยแท้จริง


แม้แต่ตัวท่านอาจารย์ฟารีดเอง ก็เคยถูกสัยยิดสุลัยมาน อัลฮูซัยนี คนของตระกูลนบีฮาชิมในยุคปัจจุบันสยบมาแล้วที่มัสญิดทรายกองดิน เมื่อหลายปีก่อน

เราอยากท่านอาจารย์ฟารีดได้ตระหนักว่า  ไม่ว่าพวกท่านจะต่อต้านชีอะฮ์อะลีอย่างสกปรกปานใดก็ตาม
เลือดของคนตระกูลนี้และแนวทางชีอะฮ์อะลีนี้ก็จะดำรงอยู่ตราบถึงวันที่อิหม่ามมะฮ์ดี เชื้อสายแห่งตระกูลบนีฮาชิม จะปรากฏออกมา






( ท่านอาจารย์ฟารีดกล่าวว่า )  
         
พฤติกรรมของเหล่าชีอะห์เยี่ยงนี้ ทำให้นึกถึงคำพูดของท่านนบีที่ว่า
 "ถ้าไม่มียางอายก็ทำเถิดในสิ่งที่อยากทำ"      ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 3225
 






วิจารณ์

เราขอบอกว่า หะดีษที่ท่านยกมานั้นเหมาะเหม็งกับท่านเลยกล่าวคือ

 ถ้าอาจารย์ฟารีดไม่มียางอาย  ก็ทำเถิดในสิ่งที่ท่านอาจารย์ฟารีดอยากทำ


บทความของท่าน คงได้ผลกับคนที่ตะอัซซุบเท่านั้น   ส่วนคนที่มีความเที่ยงธรรม และมีปัญญา เขาคงไม่หลงคารมณ์ปากที่เหม็นควันบุหรี่ของท่านหรอกครับ.
  •  

62 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้