Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

เมษายน 27, 2024, 11:10:18 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,625
  • หัวข้อทั้งหมด: 650
  • Online today: 103
  • Online ever: 153
  • (เมษายน 26, 2024, 05:40:09 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 50
Total: 50

ความคล้ายคลึงของพวกวาฮาบีกับพวกยิวในเรื่องยกตัวเอง

เริ่มโดย L-umar, มกราคม 06, 2010, 01:04:35 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


ความคล้ายคลึงของพวกวาฮาบีกับพวกยิวในเรื่องยกตัวเองเหนือผู้อื่น




เราเริ่มเรื่องของพวกยิวก่อน

พวกยิวกล่าวว่า   พระเจ้าทรงเลือกเฟ้นพวกเขามาเป็นพิเศษ จนยิวนั้นมีความเลอเลิศเหนือกว่ามนุษยชาติทั้งมวลบนโลกใบนี้

อนึ่งอันคนจะถูกต้องได้  ต้องเป็นยิวเท่านั้น ส่วนที่เหลือผิดหมด

พวกยิวเชื่อว่า  พระเจ้าทรงมอบความสุดยอดที่สุดให้กับกลุ่มชนยิวเท่านั้นในทุกๆเรื่อง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบทบัญญัติกฎหมายทางศาสนา ทั้งในโลกนี้และปรโลก

พวกยิวเชื่อว่า    พวกเขาจะไม่เข้าไปสัมผัสกับไฟนรกได้เลย

พวกยิวเชื่อว่า    พวกเขาจะได้เข้าสวรรค์ของพระเจ้า จะไม่มนุษย์คนใด หรือชนกลุ่มใดได้เข้าสวรรค์ ยกเว้น ชนชาติของพระเจ้าที่เลือกสรรเอาไว้ นั่นคือ ยิว

สวรรค์คือที่พำนักของยิว  

ส่วนนรกคือที่พำนักของพวกพุทธ  พวกคริสต์   และพวกมุสลิม  

นี่คือความเชื่อของ ยิว  ( ชาวอิสราเอล )




ทีนี้เราลองย้อนกลับมาพิจารณา พวกวาฮาบี


วาฮาบี  คือชนกลุ่มหนึ่งที่ชอบยกย่องตัวเองและอ้างว่า พวกตนนั้น ถูกต้องที่สุด  เหมือนที่พวกยิวชอบอ้าง

พวกวาฮาบี  ชอบอ้างว่า   พวกเขากลุ่มเดียวเท่านั้นที่ทำตามกุรอ่านและหะดีษอย่างถูกต้องที่สุด  ส่วนมุสลิมนิกายอื่นๆนั้น ไม่ทำตามกุรอ่านและหะดีษ  ทั้งๆที่ความจริงมุสลิมนิกาย(มัซฮับ)อื่นๆก็ทำตามกุรอ่านหะดีษเหมือนกัน เพียงแต่มีการตีความหมายในตัวบทที่ไม่เหมือนกับวาฮาบี

พวกวาฮาบี  ชอบอ้างว่า   พวกเขากลุ่มเดียวเท่านั้นที่เข้าใจกุรอ่านและหะดีษเท่านั้น ส่วนมุสลิมที่เหลือเข้าใจกุรอ่านหะดีษไม่ถูกต้อง

วาฮาบีอ้างว่าคำ  " อัลญะมาอะฮ์ "  ที่ศาสดามุฮัมมัด(ศ)กล่าวคือ  วาฮาบีเท่านั้น ไม่ใช่พวกอื่น เช่น

วจนะที่ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)กล่าวว่า  :

« افْتَرَقَتِ الْيَهُودُ عَلَى إِحْدَى وَسَبْعِينَ فِرْقَةً فَوَاحِدَةٌ فِى الْجَنَّةِ وَسَبْعُونَ فِى النَّارِ وَافْتَرَقَتِ النَّصَارَى عَلَى ثِنْتَيْنِ وَسَبْعِينَ فِرْقَةً فَإِحْدَى وَسَبْعُونَ فِى النَّارِ وَوَاحِدَةٌ فِى الْجَنَّةِ وَالَّذِى نَفْسُ مُحَمَّدٍ بِيَدِهِ لَتَفْتَرِقَنَّ أُمَّتِى عَلَى ثَلاَثٍ وَسَبْعِينَ فِرْقَةً فَوَاحِدَةٌ فِى الْجَنَّةِ وَثِنْتَانِ وَسَبْعُونَ فِى النَّارِ ». قِيلَ يَا رَسُولَ اللَّهِ مَنْ هُمْ قَالَ « الْجَمَاعَةُ ».

พวกยะฮูดี(ยิว)ได้แตกออกเป็น 71 ฟิรเกาะฮ์(กลุ่ม) มีหนึ่งพวกจะอยู่ในสวรรค์อีกเจ็ดสิบพวกจะอยู่ในไฟนรก

และพวกนะศอรอ(คริสต์)ได้แตกออกเป็น 72 ฟิรเกาะฮ์(กลุ่ม)  มีหนึ่งพวกจะอยู่ในสวรรค์อีกเจ็ดสิบเอ็ดพวกจะอยู่ในไฟนรก

และขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของมุหัมมัดอยู่ในอำนาจของพระองค์ว่า  แน่นอนอุมมะฮ์(ประชาชาติ)ของฉันจะแตกออกเป็น 73 ฟิรเกาะฮ์(กลุ่ม,พวก)   มีหนึ่งพวกจะอยู่ในสวรรค์   ส่วนอีกเจ็ดสิบสองพวก(กลุ่ม)จะอยู่ในไฟนรก

มีคนถามว่า   โอ้ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ พวกเขาคือใคร ?  ท่านกล่าวว่า คือ " อัลญะมาอะฮ์ "

อ้างอิงจากหนังสือ สุนันอิบนุมาญะฮ์  หะดีษที่ 4127


แล้ววาฮาบี  ก้รีบอ้างตัวเองว่า  พวกตนนี่แหล่ะคือ  อัลญะมาอะฮ์  


นั่นแสดงว่า  พวกยิว พวกคริสต์  

และพวกมุสลิมมัซฮับอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น  พวกอะชาอิเราะฮ์   พวกชีอะฮ์   พวกตอรีกัต  พวกดาวะอ์ตับลีฆ  ล้วนแล้วแต่เป็นชาวนรก ในสายตาของพวกวาฮาบี


ซึ่งความเชื่อแบบนี้ก็คือความเชื่อเดียวกันกับพวกยิวนั่นเอง ดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น
  •  

L-umar

พวกวาฮาบี เชื่อมั่นว่า  อะฮ์ลุสซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์คคือคนกลุ่มของตนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น


แม้กระทั่ง   พวกอะชาอิเราะฮ์  พวกวาฮาบีก็ไม่ยอมรับว่าเป็นพวกเดียวกับพวกเขา  กล่าวง่ายๆคือซุนนี่วาฮาบี  ไม่ยอมรับว่า อะชาอิเราะฮ์เป็นซุนนี่เหมือนกับพวกเขานั่นเอง   เราจะพบคำพูดนักวิชาการวาฮาบีมากมายที่กล่าวเช่นนั้น อาทิ


เชคอับดุลอะซีซ  บิน บาซ นักวิชาการวาฮาบี  มุฟตีแห่งประเทศซาอุดิอารเบีย กล่าวว่า :

ومن العقائد المضاده للعقيدة الصحيحة في باب الأسماء والصفات عقائد أهل البدع من الجهمية والمعتزلة ومن سلك سبيلهم في نفي صفات الله عز وجل وتعطيله سبحانه من صفات الكمال ووصفه عز وجل بصفة المعدومات والجمادات والمستحيلات ، تعالى الله عن قولهم علواً كبيراً
ويدخل في ذلك من نفي بعض الصفات وأثبت بعضها كالأشاعرة

และส่วนหนึ่งของการเชื่อมั่นที่ตรงกันข้ามกับหลักการเชื่อมั่นที่ถูกต้อง ในเรื่องบรรดาพระนามและคุณลักษณะของอัลเลาะฮ์นั้น ก็ได้แก่หลักการเชื่อมั่นของอะฮ์ลุลบิดอะฮ์ เช่น

พวกญะฮ์มียะฮ์ พวกมุอ์ตะซิละฮ์ และผู้ที่ดำเนินตามแนวทางของพวกเขาเหล่านั้น ในการปฏิเสธคุณลักษณะของพระองค์และลบล้างคุณษณะที่สมบูรณืของพระองค์ และได้ให้คุณลักษณะแก่พระองค์ด้วยคุณลักษณะของสิ่งที่ไม่มี หรือสิ่งที่เป็นวัตถุ หรือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มหาบริสุทธิ์อัลลอฮฺและทรงสูงส่งเหนือคำกล่าวหาใดๆทั้งสิ้น รวมถึงบางคนที่ติดเข้าไปอยู่ในกลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งได้แก่ผู้ที่ปฏิเสธบางคุณลักษณะ และยืนยันในบางคุณลักษณะเช่น พวกอะชาอิเราะฮ์ เป็นต้น.



อ้างอิงจากหนังสือ
หลักการศรัทธาที่ถูกต้อง และที่ตรงกันข้าม หน้า 49 – 50
โดยเชคอับดุลอะซีซ อิบนุอับดุลลอฮฺ อิบนุ บาซ


ท่านสามารถโลดหนังสือเล่มนี้ ฉบับแปลไทยโดย อิมรอน มะกูดี ได้ที่เวป
www.islamhouse.com/p/47447


เพียงสาเหตุที่พวกอะชาอิเราะฮ์มีอะกีดะฮ์เรื่อง " ซิฟัตของอัลเลาะฮ์ " ที่แตกต่างไปจากพวกวาฮาบี

อุละมาอ์วาฮาบีก็อาศัยอำนาจที่รัฐบาลซาอุดิอารเบียให้การสนับสนุนมัซฮับของพวกเขา ประกาศว่า มัซฮับอะชาอิเราะฮ์เป็นมัซฮับของพวกบิดอะฮ์ ไม่ใช่พวกอะฮ์ลุสสุนนะฮ์

พวกอะชาอิเราะฮ์นั้นมีอะกีดะฮ์ตรงกันข้ามกับอะฮ์ลุสสุนนะฮ์

นั่นหมายความว่านับแต่นี้ต่อไป อะชาอิเราะฮ์ก็ไม่ใช่ อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ในสายตาวาฮาบีอีกต่อไป

แล้วนับประสาอะไรกับมุสลิมกลุ่ม(มัซฮับ)อื่น ๆ ในสายตาวาฮาบีจึงมองว่า  พวกเขาล้วนเป็นพวกกาเฟ็ร(นอกศาสนาอิสลาม)ไปหมด
พวกวาฮาบีเชื่อว่า กลุ่มตนเท่านั้นที่ ถูกต้อง ส่วนซุนนี่มัซฮับอื่นๆ นั้นหลงผิด  

เหมือนที่พวกยิวเชื่อว่า พวกยิวเท่านั้นคือชาวสวรรค์ ส่วนพวกอื่นๆล้วนเป็นชาวนรก

ฉะนั้นวาฮาบีกับยิวจึงมีความเชื่อคล้ายกัน
  •  

L-umar


พวกวาฮาบีคิดว่า พวกเขาคือ  

۞ ชาวอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์  ۞   ที่แท้จริงเท่านั้น

เหมือนที่พวกยิวคิดว่า  พวกเขาคือ ۞ มนุษย์ ۞   ที่แท้จริงเท่านั้น  ส่วนที่เหลือคือสัตว์โลก


พวกวาฮาบีคิดว่า

พวกเขาเหมาะสมที่สุดที่จะครอบครองชื่อชาวอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์นี้เอาไว้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
เหมือนที่พวกยิวคิดว่า  ทุกสิ่งในโลกมันเป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขาแต่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น

อนึ่งทั้งๆที่ชื่อ ۞ อะฮ์ลุสซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์  ۞  นี้วาฮาบีเองยังหาหะดีษจากท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)สักบทหนึ่งไม่เจอเลย  แต่พวกเขาก้ต้องการครองชื่อนี้ไว้แต่เพียงกลุ่มเดียว

ส่วนมุสลิมกลุ่มอื่นๆไม่มีสิทธิใช้ชื่อนี้ แม้จะเอาไปใช้วาฮาบีก็ว่า พวกนั้นแอบอ้างเอาไปใช้  
  •  

L-umar


จากนั้นพวกวาฮาบีก็ค่อยๆทยอยเขียนตำราออกมาประณามโจมตีมุสลิมมัซฮับอื่นๆ นิกายและกลุ่มอื่นๆว่า

เป็น Ф พวกบิดอะฮ์  Ф พวกเดาะลาละฮ์

แปลว่า  พวกที่สร้างอุตริกรรมในศาสนา และพวกหลงทาง

ยกเว้นวาฮาบีเท่านั้นที่ไม่ใช่ Ф พวกบิดอะฮ์  Ф พวกเดาะลาละฮ์



ทำไมพวกวาฮาบีจึงพยายามยัดเยียดสองชื่อนี้ให้กับมุสลิมทั้งโลก ???


۩ คำตอบคือ

การที่พวกวาฮาบี เรียกมุสลิมกลุ่มอื่นๆว่า   พวกบิดอะฮ์ และเดาะลาละฮ์นั้น

ความจริงพวกเขาแฝงปรัชญาเอาไว้อย่างหนึ่งคือ  พวกเขาต้องการสื่อว่า

มุสลิมทั้งหมดคือ ≤ ชาวนรก ≥   ยกเว้นวาฮาบี  

เพราะมีหะดีษบทหนึ่งที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ)กล่าวว่า

كُلَّ بِدْعَةٍ ضَلاَلَةٌ ، وَكُلَّ ضَلاَلَةٍ فِي النَّارِ

ทุกๆ บิดอะฮ์ (อุตริกรรมขึ้นใหม่ในเรื่องศาสนา) คือความหลงผิด

และทุกๆ ความหลงผิด ย่อมอยู่ในไฟนรก

ดูสุนัน นะซาอี  หะดีษที่ 1589

เราสามารถกล่าวได้ว่า  รากฐานการปฏิบัติของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า วะฮาบี  คือพวกเขาได้นำหะดีษบทนี้มาใช้ฮุก่มตัดสินมุสลิมคนอื่นๆว่า เป็นชาวนรกนั่นเอง  เหมือนที่พวกยิวตัดสินชาวโลกทั้งหมดว่า ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าสวรรค์ของพระเจ้า นอกจากยิว เท่านั้น.
  •  

L-umar


เรารู้ว่าท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)กล่าว   แต่นักวิชาการมุสลิมส่วนมากในประชาชาติอิสลามเขาก็รู้ว่า ท่านนบี(ศ)กล่าวเช่นนั้นจริง    แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจหะดีษของท่านนบี  เหมือนกับที่คนกลุ่มน้อยอย่างวะฮาบีเข้าใจ

หะดีษดังกล่าวใช่ว่า  พวกวาฮาบีจะพบเจอเพียงกลุ่มเดียว  แม้แต่พวกชีอะฮ์ที่ปฏิบัติตามอะฮ์ลุลบัยต์นบี(อ)ก็มีกล่าวรายงานเอาไว้เช่นกันคือ    

ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ) กล่าวว่า

كُلُّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ وَ كُلُّ ضَلَالَةٍ فِي النَّار

ทุกๆ บิดอะฮ์ (อุตริกรรมขึ้นใหม่ในเรื่องศาสนา) คือความหลงผิด

และทุกๆ ความหลงผิด ย่อมอยู่ในไฟนรก


ดูหนังสืออัลกาฟี โดยเชคกุลัยนี  เล่ม 1 : 57  หะดีษ  12


ในทำนองเดียวกันใช่ว่า  พวกซุนนี่อะชาอิเราะฮ์  พวกมาตูริดี  พวกตอรีกัต พวกดาอ์วะฮ์วัตตับลีฆ ก็ได้อ่านได้ฟังหะดีษบทนี้กันทั้งสิ้นและเป็นซุนนี่เหมือนกัน  

แต่มุสลิมกลุ่มอื่นๆ  กลับไปไม่เคยก้าวร้าวถึงกับไปฮุก่มการที่พวกวาฮาบีจัดงานสัมมนารำลึกถึงวันเสียชีวิตของเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบว่าเป็น งานบิดอะฮ์ งานเดาะลาละฮ์ จนทำให้พวกวาฮาบีนิกายใจแคยต้องถูกฮุก่มว่า เป็นชาวนรกลงไป

นั่นเป็นเพราะ มุสลิมกลุ่มอื่นๆมีจิตใจที่กว้างขวางไม่คับแคบเหมือนวาฮาบี และคิดว่า สวรรค์ที่อัลเลาะฮื ตะอาลาสร้างมานั้น  พระองค์เท่านั้นที่ทรงสิทธิสูงสุดที่จะอนุญาติให้บ่าวที่พระองค์ทรงประสงค์เท่านั้นเข้าไปพำนัก พระองค์จะทรงตัดสินเราทุกคนอย่างยุติธรรมที่สุด
แต่วาฮาบีเชื่อว่า  พวกเขาเท่านั้นที่กว้านซื้อตั๋วสวรรค์ของอัลลอฮ์ไปหมดแล้ว  เหมือนที่ยิวเชื่อว่า พระเจ้าจะให้ชาวยิวเท่านั้นอยู่ในสวรรค์


เพราะฉะนั้นชาวชีอะฮ์จึงไม่เหมือนพวกยิว แต่วาฮาบีเชื่อเหมือนยิว
  •  

L-umar



สิ่งสำคัญที่ต้องขอย้ำคือ


พวกยิวอ้างว่า  ไม่มีใครได้เข้าสวรรค์ ยกเว้น ยิว นอกเหนือจากยิว ทุกคนต้องเข้านรกหมด    

พวกวาฮาบีก็อ้างว่า  ไม่มีใครถูฏต้อง ยกเว้น วาฮาบี  นอกเหนือจากวาฮาบี ทุกคนเชื่อและปฏิบัติไม่ตรงกับของพวกเขา  ดังนั้น คนอื่นๆจึงต้องเข้าสู่ไฟนรกหมด

   

โอ้พี่น้องมุสลิม ด้วยเหตุนี้เราจึงเปรียบเทียบระหว่าง  ☼  วาฮาบีกับยิว  ☼ ว่า ทั้งสองกลุ่มนี้มีความเชื่อเหมือนกัน

หรือเราแน่ใจว่า มันเป็นความเชื่ออันมีที่มาจากรากเหง้าเดียวกัน

และแท้จริงศาสนาอิสลามนั้น ไม่เกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นกับความเชื่อ(อะกีดะฮ์)เหล่านี้ตามที่พวกวาฮาบีเชื่อถือต่อมัน  ในทุกเวลาและทุกสถานที่
  •  

L-umar


เมื่อวาฮาบีอ้างว่า

ตนกลุ่มเดียวเท่านั้น คือ Ф อะฮ์ลุสซุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์ Ф ที่แท้จริง  ดังนั้นวาฮาบีจึงต้องพยายามผลิตตำราออกมามากมายในนาม

►  อะกีดะฮ์ของอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ วัลญะมาอ์ ◄


กล่าวคือมันเป็นตำราที่ว่าด้วย  ความเชื่อของซุนนี่สายพันธ์วาฮาบี โดยเฉพาะ  
โดยเบื้องหลังแผนการของการผลิตตำราเหล่านี้ออกมาสู่ชาวโลกคือ    นี่คือความเชื่อเดียวเท่านั้นที่ถูกต้อง  มุสลิมคนใดที่ไม่เชื่อตามตำราวาฮาบีนี้  มุสลิมคนนั้นจะถูกตัดสินว่าเป็น   พวกบิดอะฮ์  พวกเดาะลาละฮ์  หรือกล่าวง่ายๆคือ  เป็นชาวนรกนั่นเอง.
  •  

L-umar


สิ่งใดที่พวกวาฮาบีเชื่อและศรัทธา  หากมุสลิมกลุ่มอื่นเชื่อหรือเข้าใจไม่เหมือนวาฮาบี  ก็จะถูกฮุก่ม(ตัดสินว่า)  เป็นพวกบิดอะฮ์ พวกเดาะลาะฮ์

ต่อไปนี้คือตัวอย่างเช่น

วาฮาบีอ้างว่าอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ต้องยึดถือกิตาบุลเลาะฮ์และซุนนะฮ์(หะดีษนบี) ตาม " ความหมายซอเฮ็ร "  คือต้องให้ความหมายไปตามเปลือกนอกของภาษาอาหรับเท่านั้น  พวกวาฮาบีจะไม่ยอมรับการตีความ(ตะอ์วีล)ใดๆทั้งสิ้น
มุสลิมคนใดทำการตะอ์วีลต่อกิตาบและซุนนะฮ์  เขาผู้นั้นคือ  Ω พวกบิดอะฮ์ Ω

ยกตัวอย่างเช่น  

อัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสว่า

كُلُّ شَيْءٍ هَالِكٌ إِلَّا وَجْهَهُ

ทุกสิ่ง ย่อมพินาศ  นอกจาก  Ω พระพักตร์ Ω  ของพระองค์

ซูเราะฮ์อัลเกาะศ็อศ  : 88
http://alquran-thai.com/ShowSurah.asp

และ

كُلُّ مَنْ عَلَيْهَا فَانٍ    وَيَبْقَى وَجْهُ رَبِّكَ ذُو الْجَلَالِ وَالْإِكْرَامِ

ทุก ๆ สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินย่อมแตกดับ  และพระพักตร์ของพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงโปรดปรานเท่านั้นที่จะยังคงเหลืออยู่

ซูเราะฮ์อัลเราะห์มาน  : 26 - 27
http://alquran-thai.com/ShowSurah.asp


พวกวาฮาบีกล่าวว่า  

จำเป็นต้องอิษบาตุลวัจญ์ฮิ  (إثبات الوجه ) กล่าวคือเชื่อและยืนยันว่า  อัลเลาะฮ์มีใบหน้าจริงๆ  

หากวาฮาบีนำเสนอความเชื่อนี้ว่า  เป็นความเชื่อของกลุ่มตนเท่านั้น คงไม่เกิดปัญหาใด  แต่สิ่งที่ร้ายแรงยิ่งคือ  
วาฮาบีอ้างว่า  บรรดาซอฮาบะฮ์  /  ตาบิอีน /  ตาบิอุต-ตาบิอีน และอุละมาอ์อะฮ์ลุสซุนนะฮ์สะลัฟซอและห์ก็มีความเชื่อเช่นนั้น

ดังนั้นใครไม่เชื่อเหมือนวาฮาบี คนนั้นก็จะถูกตัดสินว่า เขาคือพวกบิดอะฮ์ พวกเดาะลาละฮ์ หรือพวกนอกรีตอิสลาม  ซึ่งความเชื่อของวาฮาบีเช่นนี้ตรงกับความเชื่อของยิว



แน่นอนเราไม่ได้ปรักปรำวาฮาบีโดยไร้หลักฐาน


หากเราสร้างคำถามขึ้นมาว่า

บรรดาซอฮาบะฮ์  /  ตาบิอีน /  ตาบิอุต-ตาบิอีน และอุละมาอ์อะฮ์ลุสซุนนะฮ์สะลัฟซอและห์ทั้งหมด เชื่อเหมือนวาฮาบีจริงหรือ ???


คำตอบคือ  ไม่จริง
  •  

L-umar


เราพบว่า    ฝ่ายอะชาอิเราะฮ์ ซึ่งพวกเขาได้พยายามดิ้นรนตอบโต้ต่อการโจมตีของพวกวาฮาบีในทุกๆเรื่อง เช่นกัน อาทิเช่น



เวบ

http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?topic=22.0




อิมามบุคอรีย์ได้ทำการตีความไว้ในบทว่าด้วยเรื่อง ตัฟซีรซูเราะฮฺ อัลเกาะซ๊อซว่า

كُلُّ شَيْءٍ هَالِكٌ إِلَّا وَجْهَهُ إِلَّا مُلْكَهُ

ความว่า\\\"ทุกๆ สิ่งนั้นพินาจสิ้น นอกจาก وَجْهَهُ พระพักตร์ของพระองค์(อิมามบุคคอรีย์ตีความว่า)นอกจากอำนาจการปกครองของพระองค์\\\"

แต่อัลาบานีย์บอกว่า  การตีความ(ของท่านอัลบุคอรีย์)อย่างนี้  ผู้ไม่ใช่มุสลิมได้กล่าวกัน??  



แล้วอัลบานีย์ก็พยายาม  เลี่ยงว่า ท่านอัลบุคอรีย์ได้กล่าวมัน เนื่องจากท่านมีอากิดะฮ์สะลัฟ ??  ผมไม่จึงไม่รู้ว่า  อิมามบุคคอรีย์มีอากิดะฮ์สะลัฟแบบอัลบานีย์หรือครับ? เห็นพยายามอ้างว่าท่านอัลบุคคอรีย์มีอากิดะฮ์เหมือนกับตน  ทั้งที่อิมามบุคคอรีย์ก็ทำการตีความ\\\"ตะวีล\\\"  

  عن البخاري أنه قال :  معنى الضحك الرحمة

ท่าน อัล-บัยฮะกีย์  ได้ทำการถ่ายทอด ไว้ในหนังสือ อัลอัสมาอฺ วะ อัสศิฟาต  จากท่านอิมาม อัล-บุคอรีย์ ว่า แท้จริง ท่านอัล-บุคอรีย์กล่าวว่า \\\"ความหมายคำว่า\\\" الضحك \\\"(หัวเราะของอัลเลาะฮ์) นั้น  ตีความเป็น  \\\"  الرحمة \\\" (ความเมตตา)  (ดู หน้าที่ 470 และท่านอิบนุหะญัร ก็ได้ยืนยันไว้เช่นกันใน ฟัตหุลบารีย์  เล่ม 6 หน้า 40)

แต่วะฮาบีย์อ้างว่า การตีความนั้น เป็นการบิดเบือนอัลกุรอาน ซุบหานัลลอฮ์  แบบนี้สะลัฟท่านอื่น ๆ ก็โดนฮุกุมตามหลักการของวะฮาบีย์กันเป็นแถว นะอูซูบิลลาห์!!


ประโยคที่ว่า \\\" كل شيء هالك إلا وجهه إلا ملكه \\\" ได้ปรากฏในหนังสือดังต่อไปนี้อีกคือ
๑.) ตัฟสีร อัลก็อยยิม ของท่านอิบนุ ก็อยยิม, เล่ม ๑ หน้า ๒๔๑ ว่า


\\\".... قال البخاري في صحيحه يقال كل شيء هالك إلا وجهه إلا ملكه ...\\\"

๒.) หนังสือ อัลญามิอ อัศเศาะฮี๊หฺ ของท่านอิมามอัลบุคอรีย์, เล่ม ๔, หน้า ๑๗๘๗ ว่า


\\\"{ كل شيء هالك إلا وجهه } / 88 / إلا ملكه ويقال إلا ما أريد به وجه الله . وقال مجاهد { الأنباء } / 66 / الحجج\\\"

๓.) หนังสือ อุมดะฮ์ อัลกอรีย์, ชัรห์ เศาะฮี๊หฺ อัลบุคอรีย์, เล่ม ๒๘, หน้า ๙๖ ว่า


\\\"28 -( سورة القصص )
أي هذا في تفسير بعض سورة القصص قال أبو العباس هي مكية إلا آية نزلت بالجحفة وهي قوله إن الذي فرض عليك القرآن لرادك إلى معاد ( القصص 85 ) أي إلى مكة وعن ابن عباس إلى الموت وعنه إلى يوم القيامة وعنه إلى بيت المقدس وعن أبي سعيد الخدري رضي الله عنه إلى الجنة وهي ثمان وثمانون آية وألف وأربعمائة وإحدى وأربعون كلمة وخمسة آلاف وثمانمائة حرف
لم يثبت لفظ سورة والبسملة إلا لأبي ذر والنسفي
يقال كل شيء هالك إلا وجهه إلا ملكه ويقال إلا ما أريد به وجه الله
أشار به إلى قوله تعالى في آخر سورة القصص ولا تدع مع الله إلها آخر لا إله إلا هو كل شيء هالك إلا وجهه له الحكم وإليه ترجعون ( القصص88 ) وفسر الوجه بالملك وكذا نقل الطبري عن بعض أهل العربية وكذا ذكره الفراء وعن أبي عبيد إلا وجهه إلا جلالة قوله ويقال إلى آخره قال سفيان معناه إلا ما أريد به رضاء الله والتقرب لا الرياء ووجه الناس\\\"

๔.) และอื่นๆ - วัลลอฮุอะอฺลัม, วัสสลามุอลัยกุม
  •  

50 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้