Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 01:15:53 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,699
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 54
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 31
Total: 31

15 ชะอ์บาน วันประสูติ อิม่าม มะฮ์ดี จริงหรือ ?

เริ่มโดย L-umar, กรกฎาคม 20, 2009, 02:02:40 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar



อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วจริงหรือ ?


ยุคสมัยที่ท่านอิม่ามมุฮัมมัดอัลมะฮ์ดี บินฮาซันอัสการียังไม่ปรากฏกายนั้น  นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบอีหม่านของมุสลิมทุกคน เพราะบางคนเกิดความสงสัยว่า ท่านเกิดแล้วหรือยัง  ?


ข้อสงสัยเกี่ยวกับอิม่ามคนที่ 12   ของชีอะฮ์นาม  มุฮัมมัดอัลมะฮ์ดี มี 2 ประเด็นคือ :


1, สงสัยว่า อัลมะฮ์ดีไม่มีตัวตนจริงในโลกเป็นเพียงความเชื่ออันเลื่อนลอย


2, เชื่อว่า อัลมะฮ์ดีมีจริง แต่สงสัยว่า เกิดแล้วหรือยัง ?



ประเด็นที่ 1  

ท่านตัดออกไปได้เลย เพราะนักวิชาการทั้งซุนนี่ / ชีอะฮ์และผู้นับถือศาสนาอื่นๆมีมติตรงกันว่า มีจริงแน่นอน    โดยมีหลักฐานจากคัมภีร์อัลกุรอานและหะดีษมากมาย


อัลกุรอานที่ระบุว่า   บุรุษชื่ออัลมะฮ์ดี   ต้องมีจริง


อายะฮ์ที่ 1 –


يُرِيدُونَ لِيُطْفِئُوا نُورَ اللهِ بأَفْواهِهِمْ وَاللهُ مُتِمُّ نُورِهِ وَلَوْ كَرِهَ الكَافِرُونَ

พวกเขาต้องการดับรัศมี(ศาสนา)ของอัลลอฮ์ด้วยปากของพวกเขา และอัลลอฮ์จะทรงทำให้รัศมีของพระองค์สมบูรณ์ และแม้นว่าบรรดาผู้ปฏิเสธจะรังเกียจก็ตาม    

อัศ-ศ็อฟ  : 8  


รัศมีของอัลเลาะฮ์ ( นูรุลเลาะฮ์ ) ในที่นี้หมายถึงศาสนาอิสลาม อัลลอฮ์ตรัสว่า พระองค์จะเป็นผู้ทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ นี่เป็นการแจ้งข่าวจากอัลลอฮ์ว่า อัลอิสลามจะต้องเจิดจรัสแสงไปทั่วโลกในอนาคต
 
สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรแห่งสหรัฐอเมริการายงานว่า ประชากรคนที่หกพันล้านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม 1999 เวลา 1.24 นาฬิกา

ดังนั้นอายะฮ์นี้จึงยังไม่เป็นจริง เพราะประชากรมุสลิมมีประมาณ 1,500 ล้านคน  จากหกพันล้าน แต่อัลลอฮ์นั้นทรงตรัสจริงเสมอ  จึงจำเป็นจะต้องมีบุรุษผู้หนึ่ง มาทำให้อายัตนี้สมบูรณ์ ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่นอนสักวันหนึ่งในอนาคต ความหมายของอายะฮ์นี้ชัดเจนดี ไม่จำเป็นต้องอาศัยหะดีษใดมาขยายความอีก



อายะฮ์ที่ 2-  

وَلَقَدْ كَتَبْنَا فِي الزَّبُورِ مِنْ بَعْدِ الذّكْرِ أنَّ الارْضَ يَرِثُهَا عِبَادِي الصَّالِحُون

และโดยแน่นอนเราได้บันทึกไว้ในคัมภีร์ซะบูร(เช่นศุฮุฟอิบรอฮีม,เตารอต,อินญีลและอัลกุรอาน) หลังจากที่เราได้บันทึกไว้ในเลาฮุลมะห์ฟูซว่า แท้จริงโลกนี้จะมีปวงบ่าวของเราที่ดีมีคุณธรรม(จากประชาชาติของมุฮัมมัด)เป็นผู้สืบมรดกมัน

อัลอันบิยาอ์ : 105


แผ่นดิน (اَلْاَرْضُ) ในที่นี้หมายถึง โลก จนบัดนี้ยังไม่ปรากฏว่า มีบ่าวของอัลเลาะฮ์คนใดออกมาสถาปนารัฐแห่งความยุติธรรมเลย ดังนั้นในอนาคตจะต้องมีบุรุษหนึ่งมาทำให้อายัตนี้เป็นจริง   สองอายัตนี้ถือว่าเพียงพอแล้วที่พิสูจน์ว่า บุรุษที่ชื่ออัลมะฮ์ดีต้องมีจริง และข้อสงสัยในบุรุษผู้นี้ต้องโมฆะไป


อัลกุรอานสองอายัตดังกล่าวแค่บ่งชี้ว่า อัลมะฮ์ดีต้องมี แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่า เขาเกิดแล้วหรือยัง  
  •  

L-umar



เราต้องไปศึกษาที่หะดีษว่า  มีรายงานไว้อย่างไร ?



หะดีษที่ระบุว่า บุรุษชื่ออัลมะฮ์ดีมีจริง


عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ  :  

لَا تَذْهَبُ الدُّنْيَا أَوْ قَالَ لَا تَنْقَضِي الدُّنْيَا حَتَّى يَمْلِكَ الْعَرَبَ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي وَيُوَاطِئُ اسْمُهُ اسْمِي  


ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า :  

โลกดุนยานี้จะยังไม่สูญสลาย จนกว่าจะมีชายอาหรับมาปกครอง เขาสืบเชื้อสายมาจากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อของฉัน



สถานะหะดีษ : ฮาซัน

ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่   3592   ตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏ
  •  

L-umar



عَنْ أَبِي سَعِيدٍ  أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ :

تُمْلَأُ الْأَرْضُ ظُلْمًا وَجَوْرًا ثُمَّ يَخْرُجُ رَجُلٌ مِنْ عِتْرَتِي يَمْلِكُ سَبْعًا أَوْ تِسْعًا فَيَمْلَأُ الْأَرْضَ قِسْطًا وَعَدْلًا


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

โลกนี้จะเต็มไปด้วยความอยุติธรรมและการกดขี่ แล้วเมื่อนั้นจะมีบุรุษหนึ่งจากอิตเราะฮ์ของฉันออกมา ปกครองเจ็ดปีหรือเก้าปี แล้วเขาจะเป็นผู้ที่จะทำให้โลกนี้เต็มเปี่ยมด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม


สถานะหะดีษ : ซอฮี๊ฮฺ

ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 11239  ตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏ


สรุปประเด็นที่ 1  

ความเชื่อเรื่องอัลมะฮ์ดีว่า มีจริงนั้นเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง เพราะมีอัลกุรอานและหะดีษซอฮี๊ฮฺรายงานไว้มากมาย จนไม่สามารถปฏิเสธได้
  •  

L-umar



ประเด็นที่    2      คือ สงสัยว่า อัลมะฮ์ดีเกิดแล้วหรือยัง    ?    


เรื่องนี้มุสลิมแบ่งออกเป็น   2  ความเชื่อคือ


1.   ซุนนี่เชื่อว่า      ยังไม่เกิด  แต่จะมาเกิดในอนาคต


2.   ชีอะฮ์เชื่อว่า  เกิดแล้ว ในปีฮ.ศ.255 และยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้



ประเด็นที่ 2  ข้อพิสูจน์ว่า อัลมะฮ์ดีเกิดแล้ว  

มีบทนำ 4 หัวข้อ  :



หัวข้อที่ 1 -  

ความจริงทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ ต้องได้รับการยืนยันด้วยกัน 2 วิธีคือ :

1.   พิสูจน์ด้วยหะดีษมุตะวาติร ของทั้งสองฝ่ายคือชีอะฮ์และซุนี่

2.   พิสูจน์ด้วยการคำนวณความเป็นไปได้ (حِسَابُ الْاِحْتِمَالِ)ว่า อัลมะฮ์ดีเกิดแล้วจริง



วิธีที่ 1 –

การเกิดของอัลมะฮ์ดีเป็นหะดีษมุตะวาติรอย่างที่ทราบกันดีว่า  มีแหล่งที่มามากมายจากบรรดานักรายงานหะดีษ ผู้เล่าแต่ละคนมาจากทั่วสาระทิศ การรายงานของพวกเขามีความสอดคล้อง หะดีษเรื่องนี้มีผู้เล่า(รอวีย์)ถึง 200 - 300 คนได้เล่าให้เราฟังว่า อัลมะฮ์ดีบุตรของท่านอิม่ามฮาซันอัสการีเกิดแล้ว  เป็นไปไม่ได้ที่ผู้เล่าเป็นร้อยๆคนจะจงใจโกหก     จึงทำให้แน่ใจว่า อิม่ามมะฮ์ดี(อ)เกิดแล้ว

วิธีที่ 2 -  

สมมุติว่า หะดีษเรื่องอัลมะฮ์ดีเกิดแล้ว ไม่ถึงขั้นมุตะวาติร คือมีผู้เล่าถึงแค่ 4 - 5 คน แต่ถ้าเอามารวมกันจากแหล่งรายงานต่างๆ  ทำให้แน่ใจได้ด้วยการคำนวนความเป็นไปได้    เพื่อความเข้าใจวิธีที่ 2 ขอให้พิจารณาตัวอย่างดังนี้ :
นายเซดป่วยเป็นโรคไข้หวัดนก ซึ่งตอนนี้วงการแพทย์ยังไม่มียารักษาให้หายได้  ต่อมานายหนึ่งได้มาเล่าให้เราฟังว่า เซดหายป่วยแล้ว  เราอาจเชื่อคำพูดเขาได้แค่ 30% แต่ถ้าเราได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมว่า ตอนนี้โรคไข้หวัดนกมียารักษาให้หายขาดได้แล้ว เราก็ยิ่งเชื่อคำพูดนายหนึ่งเพิ่มมากขึ้นเป็น 40% - 50% หรือมากกว่านั้น   ยิ่งถ้าเรารู้ว่า ตอนนี้เซดไม่ได้ทานยาอีกแล้ว เพราะหายสนิทแล้ว เราก็ยิ่งแน่ใจว่า เขาเป็นปกติแล้ว  แต่ถ้าเราไปเห็นด้วยตาตัวเองว่า เซดนั่งสนทนากับเพื่อนๆหัวเราะร่าเริงปกติ นี่คือประจักษ์พยานอีกเช่นกัน ทำให้เราเชื่อข่าวของนายหนึ่งได้เต็ม 100 % ในที่สุด  ฉะนั้นข่าวในลักษณะแบบนี้ แม้ความจริงจะไม่ใช่ข่าวมุตะวาติร แต่เมื่อได้ข้อมูลหลายสิ่งหลายอย่างมาประติดประต่อกัน ย่อมทำให้เกิดความแน่ใจในข่าวนั้นๆได้   การให้ความเชื่อถือ ความแน่ใจแบบนี้เรียกว่า ข้อมูลที่เป็นไปได้ว่าจริง หมายความว่า จากข้อมูลประกอบต่างๆทำให้เรื่องที่เราได้รับฟังมา มีน้ำหนักมากพอที่จะเชื่อได้  ฉะนั้นการที่เราจะเชื่อเรื่องใดๆก็ตามทางประวัติศาสตร์ จะมีความสมบูรณ์ได้ด้วยสองวิธีการดังกล่าวมาคือ

1, เรื่องนั้นต้องเป็น หะดีษมุตะวาติร

2, เรื่องนั้นต้องเป็น เรื่องที่ได้คำนวณแล้วว่า มันมีความน่าเป็นไปได้จริง

หัวข้อที่ 2 -  

หะดีษมุตะวาติร ไม่จำเป็นว่า ผู้เล่าต้องษิเกาะฮ์(คือเชื่อถือได้) เพราะเงื่อนไขษิเกาะฮ์ถูกกำหนดไว้กับหะดีษชนิดอื่น เช่นมีคน 2 - 3 คนรายงานเรื่องหนึ่งให้เราฟัง กรณีนี้เพื่อทำให้เรื่องนั้นยึดถือเป็นหลักฐานได้ มีเงื่อนไขว่า ผู้เล่าต้องอาดิล(เป็นคนดี) แต่ถ้าหากเรื่องนั้นมีคนรายงานตั้งแต่100 ถึง 300 คน จำนวนผู้เล่าขนาดนี้หมายความว่า ได้ทำให้เรื่องนั้นเป็นมุตะวาติรไปโดยปริยาย จึงไม่จำเป็นต้องเข้าตรวจสอบความอาดิลของผู้เล่าเหล่านั้น  

ฉะนั้น 1,ความอาดิล และ2,ความษิเกาะฮ์ เป็นเงื่อนไขของหะดีษที่ไม่ถึงขั้นมุตะวาติร  จงระวังอย่าสับสนระหว่างหะดีษมุตะวาติรกับหะดีษที่ไม่มุตะวาติร เพราะมีบางคนคิดว่าจำเป็นต้องนำ 2 เงื่อนไขดังกล่าวมาใช้ตรวจสอบหะดีษมุตะวาติรด้วยเช่นกัน ซึ่งความคิดนี้ผิด
เงื่อนไขอาดิลกับษิเกาะฮ์นี้ เป็นมาตรการตรวจสอบหะดีษชนิดอื่นๆ ที่ไม่มุตะวาติร

ถาม ทำไมจึงไม่กำหนด 2 เงื่อนไขนี้มาใช้กับหะดีษมุตะวาติร ?  

ตอบ

1, หะดีษมุตะวาติรกำหนดให้เชื่อได้ 100% เพราะมีคนรายงานไว้มากมาย ดังนั้นหลังจากเราได้รับความแน่ใจ 100 %แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปตรวจสอบความอาดิลและษิเกาะฮ์ของผู้เล่าอีกต่อไป  บนพื้นฐานในลักษณะเช่นนี้จึงถือว่า ไม่ใช่สิทธิและไม่ถูกต้อง ที่เราจะหยิบยกหะดีษที่รายงานว่า อัลมะฮ์ดี(อ)เกิดแล้ว หรือหะดีษที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของอัลมะฮ์ดี(อ)ขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์กันอีกว่า :  สะนัดหะดีษเรื่องนี้   ดออีฟ (อ่อนแอ ) , สะนัดหะดีษเรื่องนี้   มัจญ์ฮูล ( ไม่เป็นที่รู้จักผู้รายงาน )  
หรือหะดีษเรื่องอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วบทนี้มัจญ์ฮูล บทนั้นก็มัจญ์ฮูล  หะดีษอิม่ามมะฮ์ดีบทที่ 1,ที่ 2 ที่ 3และที่ 4...ก็มัตรูก(คือต้องทิ้งไป) เพราะว่า มันเป็นหะดีษไม่ซอฮี๊ฮฺ ยึดเป็นหลักฐานไม่ได้
2, ท่านต้องเข้าใจว่า หะดีษที่รายงานว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วนั้น เป็นหะดีษมุตะวาติร  จึงไม่จำเป็นอะไรที่จะเข้าไปตรวจสอบหะดีษบทที่ 1 ว่า สะนัดหะดีษมันดออีฟ ,บทที่ 2 ก็สะนัดดออีฟ เพราะตัวผู้เล่ามัจญ์ฮูล หรือหะดีษที่ 3 เป็นเช่นนั้นเช่นนี้....   เพราะมาตรการตรวจสอบนี้ จะเอานำไปใช้กับหะดีษที่ไม่มุตะวาติรเท่านั้น  
 
หัวข้อที่ 3 -  

สมมุติว่าข้อมูลหะดีษเรื่องอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว ประเด็นหลักๆมีเนื้อหาตรงกัน  ส่วนในรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกัน ถือว่ามันก็ยังสร้างความมั่นใจได้ว่า อัลมะฮ์ดีเกิดแล้วจริง  เพื่อความเข้าใจขอให้ท่านพิจารณาตัวอย่างดังนี้ :
เราทราบว่า นายเซดป่วยเป็นไข้หวัดนก  
ต่อมานายหนึ่งมาบอกข่าวกับเราว่า เซดหายดีแล้วตอนบ่ายโมง,
เวลาต่อมานายสองมาบอกว่า เซดหายแล้วตอนสองโมงเย็น
แล้วต่อมานายสามมาแจ้งว่า เซดหายแล้วตอนสามโมงเย็น
ทั้งนายหนึ่ง,สองและสาม ล้วนแจ้งเวลาที่เซดหายป่วยไม่ตรงกันเลย  แต่สิ่งที่ทั้ง 3 คนเล่าตรงกันคือ  ที่แน่ๆเซดหายป่วยแล้ว
ทีนี้ถ้าหากมีนายสี่ นายห้า และนายหก มาบอกเราอีกว่า ที่เซดหายป่วยเพราะเซดกินยายี้ห้อนั้นยี้ห้อนี้เช่น
นายสี่บอกว่าเซดหายเพราะยาซีโดวูดีน
นายห้าบอกเซดหายเพราะใช้ยาอิมมูนิเตอร์  
นายหกบอกว่าเซดหายเพราะใช้สมุนไพรชนิดหนึ่ง
จะเห็นได้ว่าประเด็นหลักที่บอกตรงกันคือ  " นายเซดหายป่วยแล้ว "  แต่ที่แตกต่างกันคือคือเวลาที่หายป่วยและยี้ห้อยา
ถามว่า หากเราได้ยินเรื่องในลักษณะแบบนี้ มันพอจะพิสูจน์ได้ไหมว่า เซดหายป่วยแล้วจริงๆ ?  แน่นอนคำบอกเล่าลักษณะเช่นนี้สามารถทำให้ผู้ฟัง เกิดความเชื่อถือได้อย่างแน่นอน  
ผลลัพท์ที่ได้ก็คือ  ลักษณะการรายงานหะดีษเรื่องหนึ่ง ที่คนเล่ามีจำนวนมากมายหลายกระแสหลายทิศทาง เมื่อหะดีษนั้นมีประเด็นตรงกันในมุมหนึ่งหรือด้านหนึ่งโดยเฉพาะ อันเป็นประเด็นหลัก เราย่อมจะได้รับความแน่ใจในเรื่องนั้นได้ แม้จะมีรายละเอียดของเนื้อเรื่องหรือบางแง่มุมแตกต่างกันบ้าง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีสิทธิ ที่จะหยิบยกเอาหะดีษที่รายงานว่าอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว มาวิพากษ์วิจารณ์กันอีกต่อไป เพียงข้ออ้างที่ว่า รายละเอียดของหะดีษเหล่านั้นมันขัดแย้งกัน มันแตกต่างกันเช่น :

รอวีคนที่ 1 เล่าว่ามารดาของอิม่ามมะฮ์ดีชื่อนัรญิส,

รอวีคนที่ 2 บอกชื่อซูซัน  

รอวีคนที่ 3 บอกว่าชื่อหะดีษะฮ์

หรือรอวีคนหนึ่งกล่าวว่า  อิม่ามมะฮ์ดีเกิดคืนวันศุกร์

รอวีอีกคนเล่าว่า เกิดคืนวันเสาร์  

หรือรอวีคนหนึ่งเล่าว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดฮ.ศ.ที่ 250

รอวีอีกคนบอกว่าเกิดฮ.ศ.ที่ 255  

รอวีคนที่สามบอกว่า  เกิดฮ.ศ.ที่ 260

พวกท่านก็เลยสรุปเองว่า หะดีษเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้หรือไม่เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากมันมีรายละเอียดแตกต่างกันทั้งวัน/เดือน/ปีเกิด  ชื่อมารดาก็ไม่เหมือนกัน...

แล้วทำไมพวกท่านจึงมองข้ามประเด็นหลักที่รายงานตรงกันเป็นมุตะวาติรว่า เขาเกิดแล้วในศตวรรษที่สามล่ะ



หัวข้อที่ 4 -

เราและท่านไม่มีสิทธิอิจญ์ติฮ๊าด(วิจัย)เรื่องศาสนาที่ขัดกับตัวบทหลักฐาน (اِجْتِهَادُ فِیْ مُقَابِلِ النَّصِّ) ในเมื่อเรามีตัวบทหลักฐาน (نَصٌّ) ที่บอกไว้ชัดเจนและมีสะนัดสมบูรณ์จากสองวิธีการดังกล่าว        เพื่อความเข้าใจขอให้ท่านพิจารณาตัวอย่างดังนี้  : อัลลอฮ์ตรัสว่า :

وَأقِيمُوا الصَّلاَةَ وَآتُوا الزَّكَاة  

พวกเจ้าจงทำนมาซและจงจ่ายซะกาต

อัลบะก่อเราะฮ์ : 43


อายัตนี้บอกชัดเจนว่า ต้องการให้มุสลิมทำนมาซและจ่ายซะกาต เรียกว่า طَلَبٌ  - ความต้องการหรือเรียกร้องให้กระทำ  สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ คำสั่งนี้เป็นวาญิบหรือมุสตะฮับ เราไม่ต้องไปวิจัยในประเด็นอื่น    ดังนั้นจึงถือว่าไม่ถูกต้องที่มุสลิมคนหนึ่งจะออกมาประกาศว่า ผมจะอิจญ์ติฮ๊าดอายัตนี้ว่า มันไม่ได้บ่งบอกว่า อัลลอฮ์ต้องการให้ทำนมาซและจ่ายซะกาต  ซึ่งถ้าใครจะมาวิจัยเช่นนี้  ถือว่าเป็นการวิจัยที่ขัดกับตัวบทหลักฐาน แต่ถ้าจะวิจัยว่าความต้องการในอายัตนี้ เป็นวาญิบหรือมุสตะฮับ  อันนี้อนุญาตให้วิจัยได้


กรณีหะดีษเรื่องอิมามมะฮ์ดี(อ)เกิดแล้วก็เช่นกัน  

มุสลิมไม่มีสิทธิมากล่าวว่า  ผมจะทำการวิจัยหะดีษที่บอกว่าอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว  เพราะมีรายงานว่าอัลมะฮ์ดีเกิดแล้วเป็นหะดีษมุตะวาติร  การวิจัยเรื่องที่เป็นมุตะวาติรจึงไม่มีผลตอบสนองใดๆ  
  •  

L-umar




มูลเหตุที่ทำให้แน่ใจว่า อิม่ามมะฮ์ดี(อ)เกิดแล้วคือ :


เหตุผลที่ 1 –


เป็นหะดีษที่ได้รับการยอมรับ(مُسَلَّمَاتٌ)ทั้งฝ่ายชีอะฮ์/ซุนี่ว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว ขอยกหลักฐานเพียง 3 หะดีษเท่านั้น


หะดีษที่ 1 -  


หะดีษษะเกาะลัยน์ เป็นหะดีษมุตะวาติรของชีอะฮ์/ซุนี่ ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)กล่าวไว้หลายวาระหลายสถานที่ด้วยกัน ที่ฮัจญะตุลวิดาอ์  ที่ฆ่อดีรคุม ที่บ้านท่านตอนที่ท่านใกล้จะสิ้นใจ
ตัวบทหะดีษแตกต่างกันไปเนื่องจากผู้เล่าแต่ละคนได้ฟังมาคนละสถานที่คนละเวลา


قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم-

« إِنِّى تَارِكٌ فِيكُمْ مَا إِنْ تَمَسَّكْتُمْ بِهِ لَنْ تَضِلُّوا بَعْدِى أَحَدُهُمَا أَعْظَمُ مِنَ الآخَرِ كِتَابُ اللَّهِ حَبْلٌ مَمْدُودٌ مِنَ السَّمَاءِ إِلَى الأَرْضِ وَعِتْرَتِى أَهْلُ بَيْتِى وَلَنْ يَتَفَرَّقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَىَّ الْحَوْضَ فَانْظُرُوا كَيْفَ تَخْلُفُونِى فِيهِمَا
صحيح الترمذي  ح : 2980  صحيح


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :


แท้จริงฉันได้ทิ้งไว้ให้แก่พวกท่านถึงสิ่งซึ่งหากพวกท่านยึดมั่นต่อมัน พวกท่านจะไม่หลงทางหลังจากฉันโดยเด็ดขาด  สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งนั่นคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์ คือเชือกทอดจากฟ้าลงมายังโลก และอิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน และทั้งสองสิ่งจะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมายังฉันที่อัลเฮาฎ์  ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร

สถานะหะดีษ : ซอฮี๊ฮฺ  

ดูซอฮีฮุต-ติรมีซี หะดีษที่ 2980  โดยเชคมุฮัมมัด นาศิรุดดีน อัลบานี  
และซอฮี๊ฮฺมุสลิม หะดีษที่ 4425    


อธิบาย :  

คำว่า " หากพวกท่านยึดมั่นต่อมันพวกท่านจะไม่หลงทาง"

คือหากทำตาม จะถือว่าอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง

คำว่า " ทั้งสองสิ่งจะไม่แยกจากกัน จนกว่าจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์ "

คืออัลกุรอานกับอะฮ์ลุลบัยต์นบี จะอยู่คู่กันนับจากวันที่ท่านบีมุฮัมมัดพูดไว้ตราบจนถึงวันกิยามะฮ์

หะดีษนี้แสดงว่า อะฮ์ลุลบัยต์ที่ท่านนบี(ศ)สั่งให้ปฏิบัติตาม จะต้องมีตัวตนจริงๆมีชีวิตอยู่คู่กับคัมภีร์อัลกุรอานเสมอ ซึ่งภาษาอาหรับเรียกว่า إِسْتِمْرَارٌ คือ ดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนถึงวันสิ้นโลก

เราไม่อาจตีความหะดีษนี้เป็นอื่นได้ นอกจากต้องยอมรับว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วและยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ท่านได้หายตัวไป เพราะถ้าเชื่อว่า ยังไม่เกิด  แต่จะมาเกิดในอนาคตก็เท่ากับอัลกุรอานกับอะฮ์ลุลบัยต์ไม่ได้อยู่คู่กัน  

ถ้าใครเชื่อว่ายังไม่เกิด ก็เท่ากับเขากล่าวหาว่า ท่านนบี(ศ)พูดเท็จเพราะท่านนบีกล่าวว่า :  สองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน...

แต่ถ้ายอมรับว่าหะดีษนี้ถูกต้องท่านก็จำต้องยอมรับว่า ปัจจุบันนี้มีอะฮ์ลุลบัยต์นบี ที่มีชีวิตอยู่คู่กับอัลกุรอานมาโดยตลอดจนถึงวันกิยามัต

เราจึงต้องยอมรับว่า อิม่ามมะฮ์ดีได้เกิดมาบนโลกแล้ว มิเช่นนั้นหะดีษษะเกาะลัยน์ก็จะขัดกับความเป็นจริงในยุคปัจจุบันนี้  เพราะรายงานนี้เป็นหะดีษซอฮี๊ฮ์ของทั้งสองฝ่าย


หะดีษที่ 2 –


หะดีษ 12  ผู้นำ  

(حَدِيْثُ الْإِثْنَي عَشَرَ خَلِيْفَةً اَوْ أَمِيْرًا اَوْ إِمَامًا)  

เป็นหะดีษซอฮี๊ที่ท่านบุคอรี,มุสลิมและมุฮัดดิษคนอื่นๆบันทึกไว้ในตำราหะดีษ ส่วนฝ่ายชีอะฮ์มีท่านเชคศอดูก,เชคตูซี่และมุฮัดดิษคนอื่นๆได้บันทึกไว้เช่นกัน  ซึ่งมีรายงานมาจากบรรดาซอฮาบะฮ์เช่น

حدثنا عبدالله بن محمد قال: حدثنا أبوالحسين أحمد بن محمدبن يحيى القصراني قال: حدثنا أبوعلي الحسين بن الكميت بن بهلول الموصلى(4) قال: حدثنا غسان بن الربيع قا ل: حدثنا سليمان بن عبدالله مولى عامر الشعبي، عن عامر عن جابر أنه قال: قال رسول الله صلى الله عليه وآله: لايزال أمر امتي ظاهرا حتى يمضي اثنا عشر خليفة كلهم من قريش.
كمال الدين وتمام النعمة  شيخ الصدوق ح : 24


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

แท้จริงกิจการ(อิสลาม)นี้ ยังมีชัยจนกว่า 12 ค่อลีฟะฮ์จะดำเนินมาถึง   พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช

กะมาลุดดีน เชคศอดูก หะดีษที่ 24

عَنْ عَبْدِ الْمَلِكِ سَمِعْتُ جَابِرَ بْنَ سَمُرَةَ قَالَ سَمِعْتُ النَّبِىَّ - صلى الله عليه وسلم – يَقُولُ

 « يَكُونُ اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا - فَقَالَ كَلِمَةً لَمْ أَسْمَعْهَا فَقَالَ أَبِى إِنَّهُ قَالَ - كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ »


ท่านนบี (ศ) กล่าวว่า :


จะมี 12 ผู้นำเกิดขึ้น แล้วท่านกล่าวคำหนึ่งซึ่งฉันได้ยินไม่ถนัด  บิดาของฉันจึงบอกว่า : แท้จริงท่านกล่าวว่า : พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช

ซอฮีฮุลบุคอรี   หะดีษที่   7222,7223  


عَنْ حُصَيْنٍ عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ قَالَ دَخَلْتُ مَعَ أَبِى عَلَى النَّبِىِّ -صلى الله عليه وسلم- فَسَمِعْتُهُ يَقُولُ

« إِنَّ هَذَا الأَمْرَ لاَ يَنْقَضِى حَتَّى يَمْضِىَ فِيهِمُ اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً ».

قَالَ ثُمَّ تَكَلَّمَ بِكَلاَمٍ خَفِىَ عَلَىَّ - قَالَ - فَقُلْتُ لأَبِى مَا قَالَ قَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ ».


ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า :
 

แท้จริงกิจการ(อิสลาม)นี้ จะยังไม่สิ้นสุด จนกว่า 12 คอลีฟะฮ์(ผู้ปกครอง)จะดำเนินมาถึงพวกเขา      

ญาบิรเล่าว่า :

แล้วท่านนบีพูดด้วยถ้อยคำแผ่วเบาแก่ฉัน    

ญาบิรเล่าว่า :

ฉันได้ถามบิดาของฉันว่า : ท่านพูดอะไร ?

บิดาบอกว่า :

ท่านกล่าวว่า : พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช

ซอฮี๊ฮฺมุสลิม  หะดีษที่ 4809


อธิบาย :

หะดีษ 12 ผู้นำเป็นหะดีษมุสัลละม๊าต คือเป็นที่ยอมรับกันทั้งสองฝ่าย แต่คุณสมบัติของผู้นำมุสลิมตามหลักศาสนาอิสลามในหะดีษบทนี้ไม่ตรงกับผู้ใดเลย นอกจากบรรดาอิม่ามผู้นำทั้ง 12 ที่มาจากอะฮ์ลุลบัยต์ของนบีมุฮัมมัด(อ)

บุคลิก12 คอลีฟะฮ์ในหะดีษบทนี้เป็นเรื่องเร้นลับ – غَيْبِيَّةٌ ที่ท่านนบี(ศ)แจ้งข่าวถึงคอลีฟะฮ์ที่จะดำรงชีวิตอยู่ไปจนถึงวันกิยามัต  เขาผู้นั้นจึงเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก อิม่ามมะฮ์ดี (อ)
หะดีษ 12 คอลีฟะฮ์จึงแสดงว่า ท่านอิม่ามฮาซันอัสการีได้ให้กำเนิดอิม่ามมะฮ์ดีไว้แล้ว ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพ ถ้ามิเช่นนั้นอิม่ามมะฮ์ดีจะเกิดจากบิดาได้อย่างไรอีก ในเมื่อบิดาของท่านได้สิ้นชีพไปพันกว่าปีแล้ว


หะดีษที่ 3 –  


สะนัดหะดีษก็เป็นมุสัลละม๊าตของทั้งซุนี่ / ชีอะฮ์อีกเช่นกันคือ    


หะดีษฝ่ายซุนนี่

   
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

مَاتَ وَلَيْسَ فِى عُنُقِهِ بَيْعَةٌ مَاتَ مِيتَةً جَاهِلِيَّةً

บุคคลใดตายไปและเขาไม่ได้ให้สัตยาบันไว้กับผู้นำของเขา บุคคลนั้นได้ตายในสภาพ ญาฮิลียะฮ์

ซอฮี๊ฮฺมุสลิม  หะดีษเลขที่ 4899

 
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْ مَاتَ بِغَيْرِ إِمَامٍ مَاتَ مِيتَةً جَاهِلِيَّةً
تعليق شعيب الأرنؤوط : حديث صحيح لغيره وهذا إسناد حسن من أجل عاصم - وهو ابن بهدلة - وبقية رجاله ثقات رجال الشيخين غير أن أبا بكر - وهو ابن عياش - إنما روى له مسلم في المقدمة وهو صدوق حسن الحديث


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

บุคคลใดตายไปโดยที่เขาไม่มีอิม่าม  บุคคลนั้นได้ตายในสภาพญาฮิลียะฮ์

สถานะหะดีษ : ซอฮี๊ฮฺ  

ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษ 16922  ตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏ


อิบนุ หะญัรอัลอัสเกาะลานี อธิบายความหมาย " ตายในสภาพญาฮิลียะฮ์ "   ว่า


وَالْمُرَاد بِالْمِيتَةِ الْجَاهِلِيَّة حَالَة الْمَوْت كَمَوْتِ أَهْل الْجَاهِلِيَّة عَلَى ضَلَال
فتح الباري لابن حجر ج 20 ص 58  ح : 6530


คือตายเหมือนพวกงมงายบนความหลงทาง  

ดูหนังสือฟัตฮุลบารี  โดยอิบนุหะญัร    เล่ม 20 : 58   หะดีษที่  6530



หะดีษฝ่ายชีอะฮ์


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) กล่าวว่า :


مَنْ مَاتَ وَ لَيْسَ عَلَيْهِ إِمَامٌ فَمِيتَتُهُ مِيتَةُ جَاهِلِيَّةٍ


บุคคลใดตายไปโดยที่เขาไม่มีอิม่าม  การตายของเขาเป็นการตายในสภาพญาฮิลียะฮ์


สถานะหะดีษ  : ซอฮี๊ฮฺ  

ดูอัลกาฟี   โดยเชคกุลัยนี  เล่ม 1 หน้า 377 หะดีษที่  1


قَالَ رَسُولُ اللَّهِ ( صلى الله عليه وآله ) مَنْ مَاتَ لَا يَعْرِفُ إِمَامَهُ مَاتَ مِيتَةً جَاهِلِيَّةً  صحيح


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) กล่าวว่า :

บุคคลใดตายไปโดยที่เขาไม่ได้รู้จักอิม่ามในยุคของเขา  เขาได้ตายในสภาพญาฮิลียะฮ์

สถานะหะดีษ  : ซอฮี๊ฮฺ  

ดูอัลกาฟี  โดยเชคกุลัยนี   เล่ม 1 หน้า  377  หะดีษที่  3


อธิบาย :

ถ้ามุสลิมคนใดไม่ยอมรับว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วในตอนนี้ ย่อมหมายความว่า บุคคลนั้นยังไม่รู้จักอิม่ามผู้นำของเขาในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ว่าเป็นใคร ดังนั้นถ้าเสียชีวิต ก็จะตายในสภาพหลงทางและเป็นคนฝ่าฝืน

หากว่าตอนนี้อิม่ามมะฮ์ดียังไม่เกิด แล้วเราจะทำความรู้จักกับอิม่ามผู้นำในยุคของเราได้อย่างไร

หะดีษดังกล่าวแม้ว่า จะไม่บอกตรงๆถึงการมีอยู่ของอิม่ามมะฮ์ดี(อ) แต่ก็แสดงให้เห็นว่า อิม่ามมะฮ์ดีต้องเกิดมาแล้วอย่างแน่นอน
  •  

L-umar


เหตุผลที่ 2 –



มีหะดีษที่ท่านนบี(ศ)และบรรดาอิม่าม(อ)แจ้งไว้ล่วงหน้าว่า : ในอนาคตอิม่ามฮาซันอัสการีย์จะมีบุตรชาย ซึ่งบุตรคนนี้คือผู้ที่จะทำให้โลกเต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมและเขาจะหายตัวไปจากสังคม  มุสลิมทุกคนจำเป็นต้องเชื่อสิ่งนี้ หะดีษลักษณะเช่นนี้มีมากมาย  เช่น  เชคศอดูกได้บันทึกไว้ในหนังสือกะมาลุดดีน เขาได้ตั้งชื่อเรื่องนี้ไว้ในหลายบท(บาบ)ด้วยกันคือ :

باب ما روي عن النبي في الامام المهدي، ذكر فيه خمسة وأربعين حديثاً.
باب ما روي عن أمير المؤمنين (عليه السلام) في الامام المهدي.
باب عن الزهراء سلام الله عليها وما ورد عنها في الامام المهدي (عليه السلام)، ذكر فيه أربعة أحاديث.
ثم عن الامام الحسن (عليه السلام)، ذكر فيه حديثين.
ثم عن الامام الحسين (عليه السلام)، ذكر فيه خمسة أحاديث.
ثم عن الامام السجاد (عليه السلام)، ذكر فيه تسعة أحاديث.
ثم عن الامام الباقر (عليه السلام)، ذكر فيه سبعة عشر حديثاً.
ثم عن الامام الصادق (عليه السلام)، ذكر فيه سبعة وخمسين حديثاً.  

แปลไทย

หะดีษเรื่องอิม่ามมะฮ์ดี(อ)ที่รายงานจากท่านนบี(ศ)มี 45 หะดีษ,

จากท่านอิมามอาลี(อ) 1 หะดีษ,

จากท่านหญิงฟาติมะฮ์ 4 หะดีษ,

จากอิมามฮาซัน(อ) 2 หะดีษ,

จากอิมามฮุเซน(อ) 5 หะดีษ,

จากอิมามซัยนุลอาบิดีน 9 หะดีษ,

จากอิมามบาเก็ร 17 หะดีษ,

จากอิมามศอดิก(อ) 57 หะดีษ  

รวมได้ 100 กว่าหะดีษจากหนังสือกะมาลุดดีนของเชคศอดูกเพียงเล่มเดียวยังไม่รวมหะดีษที่บันทึกอยู่ในหนังสืออัลกาฟีของเชคกุลัยนี,หนังสืออัลฆ็อยบะฮ์ของเชคตูซีและหนังสือบิฮารุลอันวารของอัลลามะฮ์มัจญ์ลิซีและหนังสือของนักปราชญ์คนอื่นๆ ซึ่งหากนำหะดีษเรื่องอิม่ามมะฮ์ดีในหนังสือเหล่านี้มารวมกัน คาดว่าคงมีจำนวนมากกว่า 1000 หะดีษ จะยกมาเป็นบะร่อกัตเพียงหนึ่งบทที่รายงานจากนบีมุฮัมมัด(ศ)และสองหะดีษจากท่านอิม่ามศอดิก(อ) :

2 - حدثنا محمدبن موسى بن المتوكل رضي الله عنه قال: حدثنا محمد بن أبي عبدالله الكوفي قال: حدثنا موسى بن عمران النخعي، عن عمه الحسين بن يزيد، عن الحسن بن علي بن سالم، عن أبيه، عن أبي حمزة، عن سعيد بن جبير، عن عبدالله بن - عباس قال:

قال رسول الله صلى الله عليه وآله:

ألا وإن الله تبارك وتعالى جعلني وإياهم حججا على عباده، وجعل من صلب الحسين أئمة يقومون بأمري، ويحفظون وصيتي، التاسع منهم قائم أهل بيتي، ومهدي امتي، أشبه الناس بي في شمائله وأقواله وأفعاليه يظهر بعد غيبة طويلة

ท่านอิบนุ อับบาสเล่าว่า : ฉันได้ยินท่านนบี(ศ) กล่าวว่า :

พึงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ตะบาร่อกะ วะตะอาลา ทรงแต่งตั้งฉันและพวกเขาให้เป็นฮุจญัตต่อปวงบ่าวของพระองค์เท่านั้น, และทรงแต่งตั้งจากเชื้อสายของฮูเซนให้เป็นอิม่ามผู้นำทำหน้าที่ตามคำสั่งของฉัน และพวกเขาจะพิทักษ์วะซียัตของฉัน, คนที่ 9 จากพวกเขาคือ กออิม(อิม่ามมะฮ์ดี) เป็นอะฮ์ลุลบัยต์ของฉันและคือมะฮ์ดีแห่งประชาชาติของฉัน,เขาเหมือนฉันมากที่สุดในบุคลิก,คำพูดและกริยาท่าทางของเขา , เขาจะปรากฏตัวหลังจากที่เขาได้เร้นหายไปเป็นระยะเวลาอันยาวนาน...

กะมาลุดดีน เชคศอดูก หน้า  257-258  หะดีษที่ 2

عِدَّةٌ مِنْ أَصْحَابِنَا عَنْ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ عَلِيِّ بْنِ الْحَكَمِ عَنْ أَبِي أَيُّوبَ الْخَزَّازِ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ مُسْلِمٍ قَالَ سَمِعْتُ أَبَا عَبْدِ اللَّهِ ( عليه السلام ) يَقُولُ  :

إِنْ بَلَغَكُمْ عَنْ صَاحِبِكُمْ غَيْبَةٌ فَلَا تُنْكِرُوهَا .

ท่านอบู อับดิลละฮ์ (อิม่ามศอดิก)อะลัยฮิสสลามกล่าวว่า :  

หากมาถึงพวกเจ้า ถึงเรื่องที่ซอฮิบของพวกเจ้า(นามแฝงของอิม่ามมะฮ์ดี)ได้เร้นหายตัวไป จงอย่าได้ปฏิเสธสิ่งนั้น

อัลกาฟี เชคกุลัยนี เล่ม 1 หน้า 340 หะดีษที่ 15 เป็นหะดีษซอฮี๊ฮฺ

عَنْ زُرَارَةَ بْنِ أَعْيَنَ قَالَ قَالَ أَبُو عَبْدِ اللَّهِ ( عليه السلام ) لَا بُدَّ لِلْغُلَامِ مِنْ غَيْبَةٍ قُلْتُ وَ لِمَ قَالَ يَخَافُ وَ أَوْمَأَ بِيَدِهِ إِلَى بَطْنِهِ وَ هُوَ الْمُنْتَظَرُ وَ هُوَ الَّذِي يَشُكُّ النَّاسُ فِي وِلَادَتِهِ

ท่านซุรอเราะฮ์เล่าว่า : ท่านอบู อับดุลลอฮ์(อ)กล่าวว่า :

สำหรับอัลกออิม(อิม่ามมะฮ์ดี)จำเป็นจะต้องมีการเร้นหายตัว ฉัน(ซุรอเราะฮ์)ถามว่า เพราะอะไรครับ ?  

ท่านกล่าวว่า :

เพราะมีสิ่งที่น่าหวาดหวั่น และท่านชี้ไปที่ท้องท่าน(หมายถึงการถูกฆ่า) และเขาคือผู้ถูกรอคอย(อัลมุนตะซ็อร) และเขาเป็นบุคคลที่ประชาชนจะถูกสงสัยในการถือกำเนิดของเขา

อัลกาฟี เชคกุลัยนี เล่ม 1 หน้า 342 หะดีษที่ 299 เป็นหะดีษมุวัษษัก
 

ข้อสงสัยเรื่องการเกิดของอิมามมะฮ์ดี(อ) ครั้งแรกเกิดขึ้นจากใครเพราะอะไร ?

อิม่ามศอดิก(อ)ได้บอกไว้ล่วงหน้าว่า คนแรกที่จะสร้าง(ฟิตนะฮ์)สร้างความสงสัยเรื่องการเกิดของอิม่ามมะฮ์ดี(อ) คือญะอ์ฟัร อัลกัซซาบ(น้องชายของท่านอิม่ามฮาซันอัสการี) เป็นอาของอิม่ามมะฮ์ดีเอง  สาเหตุเพราะเขาไม่ได้รับข้อมูลเรื่องการเกิดของหลานชายคนนี้ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้นไม่เอื้ออำนวยให้เขาได้รับรู้ความจริง เพราะแม้เพียงอิม่ามฮาซันอัสการี(อ)จะเอ่ยชื่อบุตรชายออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่า อัลมะฮ์ดี ก็ทำไม่ได้ และท่านก็ไม่อนุญาตให้ใครเรียกชื่อนี้ด้วย
นี้คือที่มาของความสงสัย  อุละมาอ์ฝ่ายซุนี่จึงหยิบยกเอาฟิตนะฮ์นี้มายึดถือเป็นเกณฑ์อย่างเช่น อิบนุ ฮัซมิน กล่าวว่า :  ในปีฮ.ศ.ที่260 เป็นปีที่อิม่ามฮาซันอัสการีสิ้นชีพ ก็ยังไม่มีวี่แววข่าวการเกิดของอิม่ามมะฮ์ดี(อ)เลย  
ดูหนังสืออัลฟัศลุ ฟิลมิลัล วัลอะฮ์วาอ์ วันนิฮัล เล่ม 3 หน้า 114 ของเขาเป็นต้น
ท่านอิม่ามศอดิก(อ)ได้สอนดุอาอ์บทหนึ่งกับซุรอเราะฮ์(รฎ.)ว่า :

« يا زرارة إذا أدركت ذلك الزمان فادعوا بهذا الدعاء:

 «اللّهم عرّفني نفسك فانّك إن لم تعرفني نفسك لم أعرف نبيّك، اللّهم عرّفني رسولك فانّك إن لم تعرّفني رسولك لم أعرف جحتك، اللّهم عرّفني حجتك فانّك إن لم تعرّفني حجتك ضللت عن ديني»

كمال الدين: 342 ح 24.

โอ้ซุรอเราะฮ์  เมื่อเจ้าอยู่ทันยุคนั้น(ยุคฆ็อยบะฮ์) พวกเจ้าจงอ่านดุอาอ์บทนี้ :

โอ้อัลลอฮ์ โปรดทำให้ฉันรู้จักพระองค์  เพราะหากพระองค์ไม่ทำให้ฉันรู้จักพระองค์  ฉันจะไม่มีวันรู้จักนบีของพระองค์
โอ้อัลลอฮ์ โปรดทำให้ฉันรู้จักรอซู้ลของพระองค์  เพราะหากพระองค์ไม่ทำให้ฉันรู้จักรอ ซูลของพระองค์  ฉันจะไม่มีวันรู้จักฮุจญัตของพระองค์
โอ้อัลลอฮ์ โปรดทำให้ฉันรู้จักฮุจญัต ( ชื่อของอิม่ามมะฮ์ดี ) ของพระองค์  เพราะหากพระองค์ไม่ทำให้ฉันรู้จักฮุจญัตพระองค์  ฉันคงหลงออกจากศาสนาของฉันแน่

กะมาลุดดีน เชคศอดูก หน้า 342 ฮะดีษเลขที่ 24

ดุอาอ์บทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่โดยปฏิบัติตามอัลกุรอานและอะฮ์ลุลบัยต์

อิบาดัตที่เราไม่ควรมองข้ามอีกอย่างหนึ่งคือ การอ่านดุอาอ์ที่รายงานจากอะฮ์ลุลบัยต์เช่น

ดุอาฟะร่อญะฮ์ :

 «اللّهم كن لوليك الحجة ابن الحسن صلواتك عليه وعلى آبائه في هذه الساعة وفي كلّ ساعة ولياً وحافظاً وقائداً وناصراً ودليلاً وعيناً حتى تسكنه أرضك طوعاً وتمتعه فيها طويلاً»

อัลลอฮุมมะ กุน ลิวะลียิกะ อัลฮุจญะติบนิลฮาซัน ซ่อละวาตุกะ อะลัยฮิ วะอะลา อาบาอิฮ์ ฟี ฮาซิฮิสซาอะฮ์ วะฟี กุลลิ ซาอะฮ์ วะลีเยา วะฮาซิซอ วะ กออิดเดา วะนาซิรอ วะดะลีเลา วะอัยนา  ฮัตตา ตุสกินะฮู อัรด่อกะ เตาอา วะตุมัต ติอะฮู ฟีฮา ต่อวีลา

โอ้อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองวะลีของพระองค์คือ อัลฮุจญัต บุตรของฮาซัน (อัสการี) ขอการสรรเสริญจากพระองค์ จงมีแด่เขาและบรรพบุรุษของเขาทั้งในเวลานี้และทุกเวลา ขอพระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครอง ผู้ปกป้อง ผู้นำ  ผู้ช่วยเหลือ ผู้ชี้นำทางเขา และขอพระองค์ทรงสถิตอยู่ในสายตาของเขา  จนกระทั่งเขาได้บรรลุถึงอำนาจการปกครองบนหน้าแผ่นดินของพระองค์ และ(ผู้อยู่บนหน้าแผ่นดิน)ยอมจำนนสวามิภักดิ์ต่อเขาโดยดุษฎี และได้โปรดทำให้เขาได้รับประโยชน์จากทุกสรรพสิ่งในแผ่นดินนี้โดยทั่วถึงยาวนาน

มีรายงานว่า ในยุคที่ต้องปิดบังชื่อจริงของอิม่ามมะฮ์ดี(อ) ดุอาอ์บทนี้ บรรดาชีอะฮ์ถึงกับต้องอ่านดุอาอ์ฟะร่อญะฮฮ์กันแบบนี้คือ :

اللَّهُمَّ كُنْ لِوَلِيِّكَ فُلَانِ بْنِ فُلَانٍ فِي هَذِهِ السَّاعَةِ وَ فِي كُلِّ سَاعَةٍ وَلِيّاً وَ حَافِظاً وَ نَاصِراً وَ دَلِيلًا وَ قَاعِداً وَ عَوْناً وَ عَيْناً حَتَّى تُسْكِنَهُ أَرْضَكَ طَوْعاً وَ تُمَتِّعَهُ فِيهَا طَوِيلا

อัลกาฟี  เชคกุลัยนี  เล่ม 4  หน้า 162 หะดีษที่ 4  
  •  

L-umar


เหตุผลที่ 3 –


ผู้ปกครอง(มาลิกและกาหลิบ)ผู้ฉ้อฉลในยุคของบรรดาอิม่ามทั้งหลายต่างรู้ดีว่า อิม่ามคนที่ 12 เป็นลูกใคร ? สืบเชื้อสายมาจากใคร ?  ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่ความลับ เพราะนบีมุฮัมมัดและบรรดาอิม่ามได้บอกไว้แล้ว  และเรื่องนี้ได้ถูกบันทึกเป็นฮะดีษ  ฉะนั้นในสมัยราชวงศ์อับบาซียะฮ์ปกครองอาณาจักรอิสลาม กาหลิบมุอ์ตะมิดอับบาซีหวั่นเกรงว่า บุตรที่จะเกิดจากอิม่ามฮาซัน อัสการี จะมาโค่นบัลลังค์ของพระองค์ พระองค์จึงสั่งให้ทหารเฝ้าดูการใช้ชีวิตของอิม่ามฮาซัน อัสการีอย่างไม่ให้คาดสายตา  
เมื่อกาหลิบอัลมุอ์ตะมิด อับบาซีทรงทราบข่าวว่า อิม่ามฮาซันอัสการี (อ)คือผู้ให้กำเนิดอิม่ามคนที่ 12 พระองค์ได้ส่งทหารไปบ้านของอิม่ามฮาซัน อัสการี(อ) ควบคุมภรรยาและบรรดาสตรีของท่านอิม่ามไว้อย่างใกล้ชิด คอยสังเกตว่า ทารกผู้นั้นจะคลอดจากสตรีนางใด ? การกระทำของอัลมุอ์ตะมิดถือว่า เป็นหลักฐานชัดเจนว่า การเกิดของอิม่ามมะฮ์ดีเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นจริง มิเช่นนั้นกาหลิบมุอ์ตะมิดคงไม่มีเหตุผลอันใดต้องทำกับท่านอิม่ามฮาซันอัสการี(อ)เช่นนั้น  
นับได้ว่าการใช้ชีวิตของอิม่ามฮาซัน อัสการีและชีอะฮ์ในยุคนั้นต้องพบกับความลำบากและความเดือดร้อนเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นเรื่องการเกิดของอิม่ามมะฮ์ดีจึงต้องถูกปิดเป็นความลับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความปลอดภัยของอิม่ามคนที่ 12    เราลองมาฟังฮะดีษของท่านอิม่ามฮาดี อิม่ามที่ 10 (อ)บทนี้กัน :


يروي عنه الثقة الجليل أبو القاسم الجعفري داود بن القاسم الرجل العظيم الثقة الجليل ويقول: سمعت أبا الحسن ـ يعني الامام الهادي (عليه السلام) ـ يقول: «الخلف من بعدي الحسن ابني، فكيف لكم بالخلف من بعد الخلف؟» فقلت: ولم جعلني الله فداك؟ فقال: «إنّكم لا ترون شخصه ولا يحلّ لكم ذكره باسمه»، فقلت: فكيف نذكره؟ قال: «قولوا الحجة من آل محمّد»

13-  عَلِيُّ بْنُ مُحَمَّدٍ عَمَّنْ ذَكَرَهُ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَحْمَدَ الْعَلَوِيِّ
عَنْ دَاوُدَ بْنِ الْقَاسِمِ قَالَ سَمِعْتُ أَبَا الْحَسَنِ ( عليه السلام ) يَقُولُ الْخَلَفُ مِنْ بَعْدِيَ الْحَسَنُ فَكَيْفَ لَكُمْ بِالْخَلَفِ مِنْ بَعْدِ الْخَلَفِ فَقُلْتُ وَ لِمَ جَعَلَنِيَ اللَّهُ فِدَاكَ فَقَالَ إِنَّكُمْ لَا تَرَوْنَ شَخْصَهُ وَ لَا يَحِلُّ لَكُمْ ذِكْرُهُ بِاسْمِهِ فَقُلْتُ فَكَيْفَ نَذْكُرُهُ فَقَالَ قُولُوا الْحُجَّةُ مِنْ آلِ مُحَمَّدٍ عَلَيْهِمُ السَّلَامُ .

ท่านดาวูด บิน อัลกอซิมเล่าว่า :

ฉันได้ยิน  ท่านอิม่ามฮาดี ( อิม่ามที่ 10 ) กล่าวว่า : อัลคอลัฟ ( ผู้สืบทอดตำแหน่งอิม่าม ) ต่อจากฉันคือฮาซัน อัสการี บุตรชายของฉัน แล้วจะเป็นอย่างไรเล่าสำหรับพวกเจ้า กรณีเกี่ยวกับผู้สืบทอดต่อจากอัลค่อลัฟ   ( คือฮาซัน ) ผู้นี้ ?  
ฉัน(ผู้รายงาน)กล่าวว่า : ทำไมอัลลอฮ์ไม่ทรงให้ฉันได้มีโอกาสเสียสละเพื่อท่าน ?

ท่านอิม่ามฮาดี(อ)กล่าวว่า :  

แท้จริงพวกเจ้าจะไม่ได้พบเห็นตัวจริงของเขา(อัลมะฮ์ดี) และไม่อนุญาติให้พวกเจ้าเรียกเขาด้วยชื่อจริง  ดังนั้นฉันจึงถามว่า : แล้วเวลาที่เราจะเอ่ยถึงเขาจะให้เราเรียกเขาอย่างไร ?  ท่าน(อ)ตอบว่า : จงกล่าวว่า อัลฮุจญะฮ์ มิน อาลิ มุฮัมมัด

อัลกาฟี เชคกุลัยนี เล่ม 1 หน้า 328  หะดีษที่ 13

มุฮัดดิษชีอะฮ์ที่น่าเชื่อถือคนหนึ่งได้เล่าถึงบุคคลที่เคยเห็นท่านอิม่ามมะฮ์ดี บินฮาซันอัสการี(อ)
รายงานจากอับดุลลอฮ์ บิน ญะอ์ฟัร อัลฮะมีรีย์ (เขาได้ถามอุษมาน บิน สะอีด อบู อัมรฺ ตัวแทนคนที่ 1 ของอิม่ามมะฮ์ดี ) ว่า :

أنت رأيت الخلف من بعد أبي محمد؟ ـ يعني من بعد العسكري ـ فقال: إي والله.... فقلت له: فبقيت واحدة، فقال لي: هات، قلت: الاسم؟ قال: محرّم عليكم أن تسألوا عن ذلك، ولا أقول هذا من عندي، وليس لي أن أحلّل ولا أحرم، ولكن عنه (عليه السلام)، فإنّ الامر عند السلطان أنّ أبا محمد مضى ولم يخلّف ولداً وقسّم ميراثه... فاتقوا الله وامسكوا عن ذلك»

ท่านเคยเห็นอัลคอลัฟ ( คืออิม่ามมะฮ์ดี ) หลังจากอบู มุฮัมมัด( คืออิม่ามฮาซันอัสการีย์) สิ้นชีพแล้วหรือไม่ ?

อบู อัมรฺตอบว่า : ใช่ฉันเคยเห็น ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮ์... ฉันกล่าวกับเขาว่า : เหลือเพียงคนเดียว

เขากล่าวกับฉันว่า : จงเอามา   ฉันถามว่า : เขาชื่ออะไร ?  
เขาตอบว่า : ฮะร่ามสำหรับพวกท่านที่จะถามถึงสิ่งนั้น และฉันเองก็จะไม่พูดเรื่องนี้ด้วย   ฉันไม่มีสิทธิฟัตวาว่านี่ฮะล้าลและนั่นฮะร่าม แต่ว่า(ฟัตวานั้น)ต้องมาจากเขา ( คือมาจากคำสั่งของอิม่ามมะฮ์ดี )
เพราะท่านกาหลิบมุอ์ตะมิด สั่งไว้ว่า  ท่านอิม่ามฮาซันอัสการีย์ ได้จากไปโดยไม่มีทายาทสืบสกุล และทรัพย์สินมรดกของท่านได้ถูกแบ่งปัน ( แก่เครือญาติหมดแล้ว )  ดังนั้นขอให้พวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮ์ และจงอย่าได้พูดเรื่องนั้น ( คือเรื่องที่ว่าอิม่ามฮาซันอัสการีย์มีบุตรชายสืบทอด )

อัลกาฟี เชคกุลัยนี เล่ม 1 หน้า 329 ฮะดีษเลขที่ 1

และอัลฆ็อยบะฮ์ เชคตูซี หน้า 243 ฮะดีษเลขที่ 209


ยังมีฮะดีษมัชฮูรเกี่ยวกับเรื่องการเกิดที่รายงานจากท่านหญิงฮะกีมะฮ์บุตรสาวของท่านอิม่ามญะวาด(อ)  ในคืนที่นางได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่อิม่ามมะฮ์ดี(อ)ประสูติในปีฮ.ศ.ที่ 255 วันที่ 15 เดือนชะอ์บาน  ซึ่งบันทึกอยู่ในหนังสืออัลฆ็อยบะฮ์ ของเชคตูซี  หน้า 234 ฮะดีษที่ 319

ونقل الشيخ الطوسي أيضاً في الغيبة حديثاً ظريفاً فقال:  جاء أربعون رجلاً من وجهاء الشيعة اجتمعوا في دار الامام العسكري ليسألوه عن الحجة من بعده، وقام عثمان بن سعيد العمري
فقال: يابن رسول الله أريد أن أسالك عن أمر أنت أعلم به منّي، فقال له: إجلس يا عثمان، فقام مغضباً ليخرج، فقال: لا يخرجنّ أحد، فلم يخرج منّا أحد، إلى أن كان بعد ساعة فصاح (عليه السلام) بعثمان فقام على قدميه فقال: أخبركم بما جئتم؟ قالوا: نعم يا بن رسول الله، قال: جئتم تسألوني عن الحجة من بعدي؟ قالوا: نعم، فاذا غلام كأنّه قطعة قمر أشبه الناس بأبي محمد، فقال: هذا إمامكم من بعدي، وخليفتي عليكم، أطيعوه ولا تتفرقوا من بعدي فتهلكوا في أديانكم، ألا وانّكم لا ترونه من بعد يومكم هذا حتى يتمّ له عمر، فاقبلوا من عثمان ما يقوله، وانتهوا الى أمره، واقبلوا قوله، فهو خليفة إمامكم والامر إليه»    الغيبة للطوسي: 357 ح 319.

เชคตูซีย์ได้รายงานว่า :

มีระดับแกนนำชีอะฮ์เป็นชายจำนวน 40 คนเข้ามารวมตัวกันในบ้านของท่านอิม่ามฮาซัน อัสการีย์(อ) เพื่อไตร่ถามถึงอัลฮุจญะฮ์ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากท่าน
อุษมาน บิน สะอีด อัลอุมรีย์ยืนขึ้นถามว่า : โอ้บุตรของท่านรอซูลุลลอฮ์ !  ผมอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง  ซึ่งท่านรู้เรื่องนี้ดีกว่าผม,  ท่านอิม่ามบอกเขาว่า : โอ้อุษมาน จงนั่งลงเถิด    แล้วท่านลุกออกมาด้วยความโกรธ ท่านกล่าวว่า : อย่าให้ผู้ใดออกไปข้างนอก,  ไม่มีพวกเราสักคนออกไปข้างนอก จนเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ท่านพูดเสียงดังกับอุษมาน  แล้วลุกยืนด้วยเท้าทั้งสองของท่าน พลางกล่าวว่า : ฉันจะบอกกับพวกท่านเอาไหมว่าพวกท่านมาหาฉันด้วยเหตุอันใด

พวกเขา( แกนนำ 40 คน) กล่าวว่า : เอาครับ โอ้บุตรของท่านรอซูลุลลอฮ์
ท่านกล่าวว่า :  พวกท่านจะมาถามฉันถึงอัลฮุจญะฮ์( ผู้นำ)ที่จะสืบต่อจากฉันใช่ไหม ?
พวกเขาตอบว่า : ใช่แล้วครับ ทันใดนั้นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัว เขาผ่องใสดุจดวงจันทร์ เขาเหมือนกับท่านอบู มุฮัมมัด(อิม่ามที่11) มาก  
ท่าน(อิม่ามฮาซัน อัสการีย์) กล่าวว่า :  เด็กคนนี้คืออิม่ามผู้นำของพวกท่านภายหลังจากฉัน  และเป็นค่อลีฟะฮ์ของฉัน ที่มีอำนาจปกครองพวกท่าน   ขอให้พวกท่านจงตออัต(เชื่อฟัง)เขา  และจงอย่าแตกแยกกันภายหลังจากฉัน  เพราะจะทำให้พวกท่านพบกับความหายนะในศาสนาของพวกท่าน    จงรู้ไว้เถิดว่า พวกท่านจะไม่ได้เห็นเขาอีกหลังจากวันนี้ของพวกท่าน จนกว่าอายุจะครบสมบูรณ์สำหรับเขา  พวกท่านจงยอมรับอุษมานในสิ่งที่เขากล่าวว่า มันคือคำพูดของเขา(คือของอัลมะฮ์ดี)  พวกท่านจงยุติเรื่องที่คำสั่งของเขา  จงยอมรับคำพูดของเขา  เพราะอุษมานคือตัวแทน(นาอิบ)ของอิม่ามของพวกท่าน  ดังนั้นภารกิจจะสิ้นสุดที่เขา      

อัลฆ็อยบะฮ์  เชคตูซี  หน้า 357 หะดีษที่ 319

   
หะดีษลักษณะเช่นนี้มีมากมาย ถ้าเอามารวมกันก็จะกลายเป็นหะดีษมุตะวาติร เพียงแต่หยิบยกแบบรวบลัดมาเพื่อให้แน่ใจว่าท่านอิม่ามมะฮ์ดี(อ)ได้เกิดแล้ว และมีคนเคยพบเห็นท่าน
  •  

L-umar


เหตุผลที่ 4 –


ถ้าได้อ่านประวัติศาสตร์อิสลามและฮะดีษชีอะฮ์ จะเข้าใจว่า ชีอะฮ์สามัญชนตั้งแต่ยุคแรกล้วนถ่ายทอดความเชื่อนี้มาโดยตลอด ความเชื่อเช่นนี้จึงมีความชัดเจนดีในหมู่ชีอะฮ์


จะเห็นได้ว่ามี

ชีอะฮ์นาวูซียะฮ์ได้อ้างว่า อิม่ามที่หายตัวไปคืออิม่ามศอดิก(อ)เมื่อท่านอิม่ามศอดิก สิ้นชีพลงความเชื่อของพวกเขาก็เป็นโมฆะไปด้วย    


ส่วนชีอะฮ์วากีฟียะฮ์ก็อ้างว่า    อิม่ามมะฮ์ดีของพวกเขาคืออิม่ามมูซา กาซิม (อ)


ถ้าพิจารณาให้ดีๆ เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นเหตุทำให้ความเชื่อในเรื่องการมีอยู่ของอิม่ามมะฮ์ดีอ่อนแอลงไปเลย ในทางตรงกันข้ามมันกลับทำให้ความเชื่อนี้มีน้ำหนักและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะได้แสดงให้รู้ว่า ความเชื่อเช่นนี้เป็นความเชื่อที่แพร่หลายชัดเจนดีในหมู่ชีอะฮ์ จนมีมุสลิมหลายกลุ่มฉกฉวยโอกาสแอบอ้างชื่ออิม่ามบางคน ที่พวกเขาตะอัศศุบ(คลั่งใคล้)ว่า เป็นอิม่ามมะฮ์ดี  แล้วอ้างว่าตนคือตัวแทน(สะฟีร,นาอิบหรือวะกีล)ของอิม่ามคนนั้น

 
หากเรื่องการเกิดและการหายตัว(ฆ็อยบะฮ์)ของอิม่ามมะฮ์ดีเป็นเรื่องนิยาย  คงไม่มีพวกนักหลอกลวง(กัซซาบ)ทั้งหลายโกหกกับประชาชนมาทุกยุคทุกสมัยหรอกว่า เขาคืออิม่ามมะฮ์ดีบ้าง เขาเป็นตัวแทนของอิม่ามมะฮ์ดีบ้าง      ฉะนั้นจึงทำให้เราแน่ใจว่าท่านอิม่ามมะฮ์ดีประสูติแล้วจริง
  •  

L-umar



เหตุผลที่ 5 –


ตัวแทนของอิม่ามมะฮ์ดี 4 คนที่ได้รับการแต่งตั้งจากท่านอิม่ามมะฮ์ดี(อ)เป็นเรื่องชัดเจนในประวัติศาสตร์ชีอะฮ์ ไม่มีชีอะฮ์คนใดสงสัยคลางแคลงนับจากยุคเชคกุลัยนีย์ซึ่งเป็นยุคที่ท่านใช้ชีวิตในสมัยเดียวกันกับตัวแทนของอิม่ามมะฮ์ดี(อ)ในช่วงฆ็อยบะฮ์ ศุฆรอ และท่านอะลี บิน ฮุเซนบิดาของเชคศอดูกอีกคนหนึ่ง จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้  ไม่เคยมีชีอะฮ์คนใดสงสัยในเรื่องตัวแทนทั้งสี่
คนนี้เลย ซึ่งพวกเขาคือ :

 
1, อุษมาน บิน สะอีด อบู อัมรฺ  

2, มุฮัมมัด บิน อุษมานบิน สะอีด

3, อัลฮุเซน บิน รูห์  

4, อาลี บิน มุฮัมมัด อัสสะมะรีย์



นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แน่ใจว่า ท่านอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว และท่านได้แต่งตั้งตัวแทนของท่านสี่คนนี้ไว้ก่อนที่ท่านจะหายตัวไปจากสังคมในยุคนั้น
  •  

L-umar


เหตุผลที่ 6 –


จากปากคำของนักประวัติศาสตร์อิสลามและนัซซาบ(ผู้เชี่ยวชาญด้านสืบสายสกุล)ฝ่ายซุนนี่ ได้สร้างความชัดเจนในเรื่องการเกิดของอิม่ามมะฮ์ดี เช่น :

อิบนุ ค็อลกานกล่าวว่า :

อบุล กอซิม มุฮัมมัด บิน ฮาซัน อัสการีย์ คืออิม่ามคนที่ 12 ตามความเชื่อของชีอะฮ์ ซึ่งรู้จักกันในนาม อัลฮุจญะฮ์  เขาเกิดวันศุกร์ที่ 15 เดือนชะอ์บาน ฮ.ศ.ที่ 255  ( หนังสือ วัฟยาตุล อะอ์ยาน  เล่ม 4 หน้า 176 เล่มที่ 562 )

อัซ-ซะฮะบีกล่าวว่า :

ส่วนบุตรชายของอิมามที่ 11 ที่ชื่อมุฮัมมัด บิน อัลฮาซันที่พวกชีอะฮ์เรียกกันว่า อัลกออิมุล ค่อละฟุล ฮุจญะฮ์  เขาเกิดในปีฮ.ศ.ที่ 258 บางคนว่าปีฮ.ศ.ที่ 256         ( หนังสือตารีคุลอิสลาม เล่ม 11 หน้า 113 เลขที่ 159)

อิบนุ ฮะญัรอัลฮัยซะมีย์กล่าวว่า :

อิม่ามฮาซัน อัสการีย์ไม่มีบุตรสืบทอดเลยสักคน ยกเว้นบุตรชายของเขาที่ชื่อ อบุล กอซิม มุฮัมมัด อัลฮุจญะฮ์เท่านั้น ตอนที่บิดาเขาเสียชีวิตเขามีอายุได้ 5 ปี (หนังสืออัศ-ศ่อวาอิก อัลมุห์ริเกาะฮ์ หน้า 255 และหน้า 314 )

ค็อยรุดดีน อัซ-ซัรกุลีย์กล่าวว่า :

อัลมะฮ์ดีเกิดที่เมืองซามาร่า(ซะมัรรอ) ประเทศอิรัก เมื่อบิดาเขาเสียชีวิต ตอนนั้นเขามีอายุ 5 ปี (อัศ-ศ่อวาอิกอัลมุห์ริเกาะฮ์ หน้า 255 และ 314 )
ยังมีคำพูดของนักตารีคอีกหลายคนที่กล่าวถึงเรื่องการเกิดของอิมามมะฮ์ดี(อ)ไว้ คำพูดเหล่านี้เป็นอีกพยานหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อว่า อิม่ามมะฮ์ดี(อ)เกิดแล้วจริง
  •  

L-umar


เหตุผลที่ 7 –


บรรดานักวิชาการที่เป็นนักรายงานฮะดีษฝ่ายชีอะฮ์มีความเชื่อเหมือนกันมาโดยตลอดนับตั้งแต่


สมัยเชคกุลัยนี

( เกิดฮ.ศ.ที่ 260 มรณะฮ.ศ. 329 )  รอวีย์ผู้โด่งดังเจ้าของหนังสืออัลกาฟีซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยตัวแทนพิเศษของอิม่ามมะฮ์ดี(อ)ตอนช่วงฆ็อยบะตุซ-ซุฆรอ และเขาได้พบปะกับบรรดาตัวแทนอิม่ามมะฮ์ดีตอนอยู่ที่กรุงแบกแดด  เชคกุลัยนีก็ได้อาศัยอยู่ที่นั่น เชคกุลัยนีสิ้นชีพในปีที่ตัวแทนคนสุดท้ายของอิมามมะฮ์ดีชื่อ อาลี บิน มุฮัมมัด อัสสะมะรีย์สิ้นชีพพอดี   ,


สมัยของอะลี บิน ฮุเซน บิน บาบะวัยฮฺ อัลกุมมี (บิดาของเชคศอดูก),

สมัยเชคศอดูก ( มรณะฮศ.381 ) เจ้าของหนังสือมันลายะห์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์
และ


สมัยเชคตูซี่

( มรณะฮศ.460 ) เจ้าของหนังสือตะห์ซีบุลอะห์กาม,อัลอิสติบศ็อร,อัต-ติบยาน,อัลฆ็อยบะฮ์ตูซี,อะมาลีตูซี,อัลฟะฮ์ร็อสและริญานตูซี

จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ว่า อุละมาอ์ชีอะฮ์และชีอะฮ์สามัญชนต่างรู้ว่า อิม่ามมะฮ์ดี(อ)ประสูติแล้วแต่ท่านหายตัวไปและยังไปปรากฏตัว   ชีอะฮ์ทุกชนชั้นทุกระดับไม่เคยสงสัยในเรื่องนี้ ซึ่งนี่คือรากฐานความเชื่อ(อะกีดะฮ์)ของชีอะฮ์และมัซฮับชีอะฮ์

เมื่อได้พิจารณาเหตุผลดังที่กล่าวมา

จึงสร้างความแน่ใจให้เชื่อได้ว่า ชายที่ชื่อ  อัลมะฮ์ดี บุตรชายของฮาซัน อัลอัสการี

ได้เกิดแล้วจริงและยังมีชีวิตอยู่
  •  

31 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้