Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

เมษายน 27, 2024, 11:45:32 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,625
  • หัวข้อทั้งหมด: 650
  • Online today: 103
  • Online ever: 153
  • (เมษายน 26, 2024, 05:40:09 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 40
Total: 40

มุบาฮะละฮ์ ถูกซุนนี่ลืมและบิดเบือนจริงหรือ

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 16, 2009, 12:15:48 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar



มุบาฮะละฮ์ ถูกซุนนี่ลืมและบิดเบือนจริงหรือ


ซุลฮิจญะฮ์เป็นเดือนที่ 12 ในปฏิทินอาหรับ  มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือเรื่องมุบาฮะละฮ์   อัลเลาะฮ์ ตะอาลาทรงตรัสว่า

فَمَنْ حَآجَّكَ فِيهِ مِن بَعْدِ مَا جَاءكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ وَنِسَاءنَا وَنِسَاءكُمْ وَأَنفُسَنَا وأَنفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَل لَّعْنَةُ اللّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ  .
ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้าในเรื่องของเขา(อีซา)(*1*) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว(*2*) ก็จงกล่าวเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด(*3*) เราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของพวกเรา และตัวของพวกท่านและเราก็จะวิงวอนกัน (ต่ออัลลอฮ์) ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้ละอ์นัต(*4*) ของอัลลอฮ์พึงประสบ แก่บรรดาผู้ที่พูดโกหก(*5*)  
ซูเราะฮ์อาลิ อิมรอน  โองการที่ 61

///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
(1)  คือโต้เถียงว่า นะบี อีซาเป็นบุตรของอัลลอฮ์ เช่นพวกชาวคริสต์แห่งนัจญรอน หรือเถียงว่า นะบี อีซามีพ่อ ชื่อยูซุฟ อันนัจญาร์ เช่น พวกยิว และพวกก็อดยานี เป็นต้น
(2)  คือหลังจากที่อัลลอฮ์ได้ทรงแจ้งให้ทราบว่า นะบี อีซานั้น เกิดจากประกาศิตของพระองค์ มิใช่เกิดจากการมีพ่อเยี่ยงคนอื่น
(3)  คือเรียกพวกคริสต์ นัจญรอนที่ไม่ยอมเชื่อหรือใครอื่นที่มีสภาพอย่างเดียวกัน
(4)  คือการขับไล่ให้ห่างไกลจากเราะฮ์มัดของอัลลอฮ์
(5)  คือถ้าฝ่ายใดพูดโกหกก็ให้ละอ์นัต ของอัลลอฮ์ ประสบแก่พวกเขา แต่แล้วพวกคริสต์แห่งนัจญ์รอนไม่ยอมรับคำท้า


เรื่องพอสังเขป :
เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 เดือนซุลฮิจญะฮ์  ฮ.ศ.ที่ 9
มุบาฮะละฮ์นับเป็นเรื่องที่มีหลักฐาน มีหะดีษเศาะหิ๊หฺเป็นที่ยอมรับของมุสลิมทุกมัซฮับ       อันเป็นความภาคภูมิใจของมุสลิมทุกคน


1-เกร็ดประวัติศาสตร์
เรื่องเริ่มจาก ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ส่งสารไปยังกษัตริย์ผู้ปกครองในดินแดนต่างๆเชิญชวนสู่อิสลาม
สารฉบับหนึ่งส่งมาที่เมืองนัจญ์รอน เป็นที่อยู่อาศัยของชาวนะซอรอและยะฮูดีส่วนหนึ่ง
อบู ฮาริษะฮ์ (อุสกุฟ - أسقف -ดำรงตำแหน่งพระสังฆนายก)แห่งนัจญ์รอนได้รับสารจากท่านนบี(ศ)
อุสกุฟได้อ่านเนื้อหาอย่างละเอียด   จากนั้นสั่งประชุมทันที มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้นำศาสนา,นักการเมืองและผู้สูงศักดิ์ มติในที่ประชุมมีว่า ให้ส่งคณะทูตไปมะดีนะฮ์ เพื่อตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับการเป็นศาสดาของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)
ที่ประชุมได้คัดผู้ทรงคุณวุฒิได้ 60 คนเพื่อภารกิจสำคัญนี้ โดยมี 3 บุคคลต่อไปนี้เป็นหัวหน้าคณะ 1-สังฆราชอุสกุฟ  2-อัลอากิ๊บ(อับดุลมะซีห์)กุนซือเจ้าความคิด  และ3-อัลอัยฮัม ผู้อาวุโสทั้งอายุและสมณศักดิ์

คณะทูตนะซอรอเดินทางมาถึงมะดีนะฮ์ ได้เข้าพบท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ที่มัสญิด(ซึ่งท่าน นบีพึ่งทำนมาซอัศริเสร็จ)  ทุกคนสวมใส่ชุดนักบุญ ทอจากไหมดีบาจญ์และหะรีร สวมแหวนทอง  แบกไม้กางเขนไว้ที่บ่า อย่างตระการตา พวกเขาให้สลามท่านนบี(ศ) ท่านรับสลามและแสดงการต้อนรับพวกเขาอย่างสมเกียรติ  พร้อมกับรับฮะดียะฮ์ที่พวกเขานำมาให้ พอดีเวลาอัศริเป็นเวลาสวดมนต์ของพวกนอซอรอ  พวกเขาจึงขออนุญาตท่านนบี(ศ)สวดมนต์ในมัสญิด   ผู้คนต้องการขัดขวาง    แต่ท่านนบี(ศ) อนุญาตให้พวกเขาสวดได้  ท่านบอกกับบรรดามุสลิมว่า ปล่อยให้พวกเขาทำเถิด  หลังจากสวดมนต์เสร์จพวกเขาได้หันมาสนทนากับท่านนบี(ศ)

ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวกับอุสกุฟและอากิ๊บว่า : (أسلما)จงเข้ารับอิสลามเถิด
ทั้งสองตอบว่า :  (قد أسلمنا قبلك) เรารับอิสลามก่อนท่านอีก
ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า  มีบางสิ่งที่ขัดขวางท่านทั้งสองมิให้เข้ารับอิสลาม  พวกท่านอ้างว่าอัลลอฮ์มีบุตร  พวกท่านกราบไหว้ไม้กางเขน  และทานเนื้อสุกร
ทั้งสองตอบว่า : หากพระเยซูไม่ใช่บุตรของพระเจ้า แล้วใครเป็นบิดาของเขาล่ะ ?

อีกหะดีษหนึ่งเล่าว่า ชาวนะซอรอทั้งสองได้ถามท่านนบี(ศ)ว่า :
ท่านจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับอีซา(พระเยซู) ?  ท่านนบี(ศ)เงียบไม่ตอบสิ่งใด จนอัลกุรอานได้ประทานลงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า :
 إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِنْدَ اللَّهِ كَمَثَلِ آدَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ (آل عمران:59
แท้จริงอุปมาอีซาณ.อัลลอฮ์ เปรียบดั่งอาดัม  ทรงสร้างเขามาจากดิน แล้วทรงตรัสกับเขาว่า  กุน ฟะยะกูน
เมื่ออัลลอฮ์ตะอาลา ทรงสร้างอาดัมมาจากดิน โดยไม่มีบิดามารดา  แล้วทรงสร้างอีซามาจากมารดาฝ่ายเดียวโดยไม่มีบิดา ย่อมถือว่ายังแปลกประหลาดน้อยกว่าเรื่องของอาดัมอีก  
การสนทนายังดำเนินต่อไปจนคณะทูตแห่งนัจญ์รอนกล่าวว่า :  เราไม่เห็นได้อะไรเพิ่มจากท่านเลยในเรื่องของผู้ที่เรานับถือ  นอกจากแค่ความแตกต่างของพระเยซูกับอาดัมด้านมีแม่กับไม่มีพ่อแม่เท่านั้น   เราจึงไม่ขอยอมรับข้อพิสูจน์ที่ท่านยกมา ดังนั้นอัลลอฮ์  ตะอาลาจึงทรงลงวะห์ยูอายัตที่ 61 ซูเราะฮ์อาลิอิมรอนมายังท่านนบี(ศ)

ท่านนบี(ศ)จึงท้าฝ่ายนะซอรอให้มาทำมุบาฮะละฮ์กัน ซึ่งฝ่ายนะซอรอขอพลัดไปวันพรุ่งนี้ ตอนเวลาฟาญัรจนถึงเวลาอาทิตย์ขึ้น   นี่คือที่มาของ (( อายะตุล มุบาฮะละฮ์ )

มีบางรายงานเล่าว่า :
อุสกุฟถามท่านนบี(ศ)ว่า - ท่านจะว่าอย่างเกี่ยวกับอีซา  
ท่านนบี(ศ) - เป็นบ่าวคนหนึ่งของอัลลอฮ์ทรงเลือกเขามาเป็นนบี  
อุสกุฟ -  อีซามีบิดาหรือไม่ ?
ท่านนบี(ศ) -  มารดาเขาไม่เคยนิกะฮ์กับใครแล้วจะมีบิดาได้อย่างไร ?
อุสกุฟ -  แล้วท่านมาบอกว่า เขาเป็นบ่าวคนหนึ่งได้อย่างไร ? ท่านเคยเห็นมนุษย์คนไหนที่เกิดมาโดยไม่มีบิดาบ้าง ?
อัลลอฮ์ตะอาลาจึงทรงประทานอายัตที่ 61
(إنَ مَثَلَ عيسَى عِنْدَ اللهِ كَمَثَلِ ادَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ *الْحَقُّ مِنْ رَبّكَ فَلاتَكُنْ مِنَ المُمْتَرين * فَمَنْ حَاجَّكَ فيهِ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْا نَدعُ اَبْنَاءَنَا وَابنَاءَكُمْ وَنِسَاءَنَا وَنِسَاءَكُمْ وَانفُسَنَا وَانفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَلْ لَعْنَةَ اللهِ عَلَى الْكَاذِبينَ )
ท่านนบี(ศ)ได้อ่านอายัตนี้ให้พวกนะซอรอฟัง และได้ท้าพวกเขาให้มาทำมุบาฮะละฮ์กัน
ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า - แท้จริงอัลลอฮ์ ผู้ทรงเกริกเกียรติทรงแจ้งแก่ฉันว่า อะซาบโทษทัณฑ์จะลงมายังคนเท็จหลังการทำมุบาฮะละฮ์  เพื่อจะได้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกและฝ่ายใดผิด

พวกนะซอรอจึงขอเลื่อนให้มาทำมุบาฮะละฮ์กันในเช้าวันพรุ่งนี้  จากนั้นพวกเขาได้กลับไปปรึกษาหารือกัน   อุสกุฟกล่าวกับพวกเขาว่า –
พวกท่านจงดูพรุ่งนี้  หากมุฮัมมัดพาลูกและครอบครัวของเขามา  จงอย่ามุบาฮะละฮ์กับเขา  
ا
รุ่งเช้าท่านนบี(ศ)จูงมืออาลีมา  มีฮาซันและฮุเซนเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนฟาติมะฮ์บุตรสาวเดินอยู่ข้างหลัง

อุสกุฟสังฆราชเดินนำหน้าคณะมา พอเห็นท่านนบี(ศ)เดินตรงมาหา   เขาจึงถามว่า   -  ท่านพาใครมา ?
ท่าน(ศ)ตอบว่า -  นี่คืออาลี ลูกของลุงฉันและเป็นลูกเขยฉัน  เขาเป็นบิดาของหลานชายทั้งสองของฉัน เป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด  เด็กสองคนนี้เป็นบุตรของลูกสาวฉันเกิดจากอาลี ทั้งสองเป็นที่รักยิ่งของฉัน   ส่วนสตรีนางนี้ชื่อฟาติมะฮ์ นางเป็นสตรีที่มีเกียรติมากที่สุดและเป็นญาติที่สนิทที่สุดของฉัน

อุสกุฟหันมามองอากิบกับอับดุลมะซีห์ พลางกล่าวกับพวกเขาเองว่า :
พวกท่านจงดูเถิด มุฮัมมัดได้พาบุตรกับครอบครัวของเขามามุบาฮะละฮ์กับเราเพื่อปกป้องสัจธรรมของเขา  
ดังนั้นชาวนะซอรอจึงเกรงว่าจะเกิดเพทภัยกับพวกเขา และไม่กล้ามุบาฮะละฮ์ด้วย แต่ขอประนีประนอมยอมจ่ายญิซยะฮ์แทน  
ا
ท่านนบี(ศ)ยอมรับข้อเสนอของชาวนะซอรอ คือยอมรับญิซยะฮ์แทน  
จากนั้นชาวนะซอรอได้ลากลับไป


2-ทำมุบาฮะละฮ์ที่ไหน
ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะไปมุบาฮะละฮ์กันนอกเมืองมะดีนะฮ์ในทะเลทราย ท่านร่อซูล(ศ)ได้คัดเลือกบุคคลที่จะไปมุบาฮะละฮ์เพียงสี่คนเท่านั้น  โดยไม่มีผู้ใดมีส่วนร่วมในการไปมุบาฮะละฮ์ครั้งนี้  
عن سَعْدِ بْنِ أَبِى وَقَّاصٍ :
وَلَمَّا نَزَلَتْ هَذِهِ الآيَةُ ( فَقُلْ تَعَالَوْا نَدْعُ أَبْنَاءَنَا وَأَبْنَاءَكُمْ) دَعَا رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- عَلِيًّا وَفَاطِمَةَ وَحَسَنًا وَحُسَيْنًا فَقَالَ « اللَّهُمَّ هَؤُلاَءِ أَهْلِى ».
สะอัด บินอบีวักกอศรายงาน
เมื่อโองการนี้
จงกล่าวเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิดเราก็จะเรียกลูก ๆ ของเรา (และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของพวกเรา และตัวของพวกท่านและเราก็จะวิงวอนกัน (ต่ออัลลอฮ์) ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้ละอ์นัต(*4*) ของอัลลอฮ์พึงประสบ แก่บรรดาผู้ที่พูดโกหก  ซูเราะฮ์อาลิ อิมรอน  โองการที่ 61) ได้ประทานลงมา ท่านรอซูลุลลฮ์(ศ)ได้เรียกท่านอะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนมาหาและกล่าวว่า โอ้อัลเลาะฮ์ พวกเขาเหล่านี้คือครอบครัวของข้าพเจ้า
เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษที่ 6373

สรุปเรื่องลงเอยลงด้วยการที่ชาวนะซอรอย่อมจ่ายญิซยะฮ์แทนการมุบาฮะละฮ์อันเป็นมติบันทึกของนักตารีค  มุฟัสสิร มุฮัดดิษ

สรุป
3- เราได้อะไรจากเรื่องมุบาฮะละฮ์ :

1-พิสูจน์ว่ามุฮัมมัดเป็นนบีจริง  เพราะทั้งฝ่ายมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมต่างรายงานว่าชาวคริสต์ไม่ยอมทำมุบาฮะละฮ์ด้วย  แต่ขอจ่ายญิซยะฮ์แทน

2-ฮาซันและฮูเซนเป็นบุตรชายรอซูลลุลลอฮ์ในทางนะสับ(เชื้อสาย) แม้ว่าตามจริงทั้งสองท่านจะเป็นบุตรของนางฟาติมะฮ์ก็ตาม โดยมีหะดีษมาสนับสนุนจากท่านนบีที่กล่าวว่า (ابناي هذان إمامان إن قاما و إن قعدا) ลูกชายของฉันสองคนนี้คืออิหม่ามหากเขาทั้งสองยืนหรือนั่งก็ตาม
3-อายัตนี้นับเป็นความสูงส่งและความดีงามอีกประการหนึ่งของอะฮ์ลุลบัยต์นบี ที่ไม่มีใครสามารถมองข้ามหรือปฏิเสธได้เลย  เพราะท่านรอซูล(ศ)ได้พาทั้งสี่คนนี้เท่านั้นออกไปทำมุบาฮะละฮ์  

การเจาะจงตัวบุคคลที่พาไปมุบาฮะละฮ์ด้วย ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ท่านนบี(ศ)จะเลือกพาใครไปก็ได้   แต่เป็นการเลือกของอัลลอฮ์อย่างมีพระประสงค์และมีเหตุผลอย่างลึกซึ้ง  เพราะหากอัลลอฮ์ ตะอาลารู้ว่าในโลกนี้ยังมีบ่าวที่มีเกียรติมากกว่าอะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซน พระองค์ก็จะทรงสั่งให้ท่านนบีพาพวกเขาไปมุบาฮะละฮ์ด้วยอย่างแน่นอน

4- หลังจากท่านนบีวะฟาต ท่านอะลีคือบุคคลที่ประเสริญที่สุด อันเป็นที่ยอมรับของนักตัฟสีร อย่างเช่นฟัครุลรอซี เจ้าของตัฟสีรอัลกะบีร

5- อายัตนี้บอกให้รู้ว่า  การเผยแผ่ศาสนา การดูแลการเมืองและการปกครอง ตกเป็นภาระกิจหน้าที่ของอะฮ์ลุลบัยต์ที่สืบต่อจากท่านนบี(ศ)ไม่ใช่ในฐานะเป็นญาติท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) แต่ในฐานะที่อัลลอฮ์ได้เลือกสรรพวกเขาให้มาทำหน้าที่อันสำคัญนี้ มีหะดีษมัชฮูรบทหนึ่งที่ท่านนบี(ศ)กล่าวกับท่านอะลีว่า
 « أَمَا تَرْضَى أَنْ تَكُونَ مِنِّى بِمَنْزِلَةِ هَارُونَ مِنْ مُوسَى إِلاَّ أَنَّهُ لاَ نُبُوَّةَ بَعْدِى ».
ท่านไม่พอใจหรือ ที่ท่านกับฉันมีฐานะเหมือนฮารูนจากมูซา  ยกเว้นจะไม่มีนบีหลังจากฉันอีกแล้วเศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษที่ 6373


6- หากเราสร้างความเข้าใจเนื้อหาของคำว่า ตัวของเรา (أنفسنا) ในอายัตนี้ จะตระหนักได้ทันทีว่า อายัตนี้พิสูจน์ถึงการเป็นผู้นำของท่านอะลี เพราะศัพท์คำนี้นับว่าท่านอะลีคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพสมบูรณ์แบบเหมือนท่านนบี(ศ)ทุกอย่าง  ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือ ตำแหน่งนุบูวะฮ์ที่เป็นของท่านนบี(ศ)โดยเฉพาะเท่านั้น

ในวันที่คณะชูรอได้ประชุมหาคอลีฟะฮ์คนที่ 3 ท่านอะลีได้ถามในที่ประชุมว่า : ขอให้พวกท่านสาบานต่ออัลลอฮ์ได้ไหมว่า ในหมู่พวกท่านมีใครสักคน ที่อัลลอฮ์ทรงทำให้เขาเป็นนัฟซุนนบี คือเปรียบเหมือนตัวของนบี นอกจากฉันยังมีอีกไหม ?  พวกเขาตอบว่า โอ้อัลลอฮ์ ไม่มี
7- ถ้าสังเกตคำว่า  สตรีของเรา(نساءنا)ให้ดี เราจะพบว่าท่านนบี(ศ) ไม่ได้พาภรรยาคนใดไปกับท่าน หรือแม้กระทั่งซอฮาบียะฮ์นางใดในมะดีนะฮ์ท่านก็ไม่ได้พาไปทั้งสิ้น  ยกเว้นฟาติมะฮ์บุตรีของท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น นับได้ว่านี่คือคุซูซียัตพิเศษหนึ่งของท่านหญิงฟาติมะฮ์ ตามที่ท่านหญิงอาอิชะฮ์ได้รายงานหะดีษกีซาเอาไว้  
قَالَتْ عَائِشَةُ خَرَجَ النَّبِىُّ -صلى الله عليه وسلم- غَدَاةً وَعَلَيْهِ مِرْطٌ مُرَحَّلٌ مِنْ شَعْرٍ أَسْوَدَ فَجَاءَ الْحَسَنُ بْنُ عَلِىٍّ فَأَدْخَلَهُ ثُمَّ جَاءَ الْحُسَيْنُ فَدَخَلَ مَعَهُ ثُمَّ جَاءَتْ فَاطِمَةُ فَأَدْخَلَهَا ثُمَّ جَاءَ عَلِىٌّ فَأَدْخَلَهُ ثُمَّ قَالَ (إِنَّمَا يُرِيدُ اللَّهُ لِيُذْهِبَ عَنْكُمُ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَيْتِ وَيُطَهِّرَكُمْ تَطْهِيرًا)
เศาหิ๊หฺมุสลิม หะดีษที่ 6414

ซึ่งอายัตมุบาฮะละฮ์คือบทพิสูจน์อีกเรื่องหนึ่งให้มุสลิมรู้ว่า พวกเขาทั้งสี่คือ อะฮ์ลุลบัยต์พิเศษของท่านนบี



คำถามสำหรับซุนนี่

ทำไมรัฐบาลซาอุดิอารเบียจึงต้องปิดบังเรื่องมุบาฮะละฮ์



แม้ว่าอัลลอฮ์จะทรงยกย่องอะฮ์ลุลบัยต์ไว้ในอัลกุรอาน แต่พวกเขาก็ถูกซอเล่มมาโดยตลอด
มะดีนะฮ์นับได้ว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะเรื่องของท่านนบี(ศ)และอะฮ์ลุลบัยต์ ในเมืองนี้มีปูชนียสถานเป็นประจักษ์พยานทางประประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึงสถานภาพอันสูงส่งของวงศ์วานศาสดามุฮัมมัด

เมื่อพวกวาฮะบีได้เข้ามายึดครองดินแดนฮิญาซแห่งนี้ พวกเขาได้ทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไปมากมาย จนทำให้ความรู้เหล่านี้สูญหายไป
เมื่อมุสลิมเดินทางมาประกอบพิธีฮัจญ์ที่บัยตุลเลาะฮ์ และไปซิยารัตที่มัสญิดมะดีนะฮ์อันเป็นสุสานของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) หากเราไปเปิดดูแผนผังเมืองมะดีนะฮ์ฉบับเก่าๆ จะพบว่าในแผนที่ได้บอกตำแหน่งหรือเขียนว่า มัสญิดมุบาฮะละฮ์  ตั้งอยู่ตรงไหน

แต่แผนที่ฉบับปัจจุบันหรือฉบับใหม่กลับเปลี่ยนชื่อมัสญิดมุบาฮะละฮ์แห่งนี้เป็น มัสญิดอิญาบะฮ์  หรือมัสญิด บนี มุอาวียะฮ์  
มัสญิดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของบาเกี๊ยะอ์ ที่ถนนมาลิกฟัยซ็อล(شارع الملك فيصل) สถานที่ตรงนี้คือสถานที่ๆท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้พาท่านอะลี  ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซออกไปทำมุบาฮะละฮ์กับพวกนะซอรอแห่งนัจญ์รอน

สิ่งที่น่าแปลกคือ ทางเจ้าหน้ารัฐได้ห้ามผู้คนเข้าไปในบริเวณมัสญิดแห่งนี้  ยกเว้นเวลานมาซเท่านั้น เจ้าหน้ารัฐได้ให้เหตุผลว่า  ที่ห้ามไว้ยกเว้นเวลานมาซ เพราะเกรงว่าจะมีมุสลิมมาทำชีรีกต่างๆนานาในที่แห่งนี้
   
พฤติกรรมของรัฐวาฮะบีในซาอุฯที่ปิดบังสถานที่ๆอัลลอฮ์ทรงให้ท่านนบีกับอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านสำแดงสัจธรรมอิสลาม และทำให้พวกนะซอรอเป็นฝ่ายโมฆะ  

มันคงไม่มีเหตุผลอื่นใดมากไปกว่าความตะอัซซุบ ที่ไม่ต้องการเปิดเผยฐานะภาพอันสูงส่งของอะฮ์ลุลบัยต์นบีให้โลกมุสลิมได้รับรู้นั่นเอง
  •  

40 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้