Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 04:19:52 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,699
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 102
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 29
Total: 29

อยากได้หลักฐานจากอัลกุรอ่านและตัวบทฮาดิษคับ

เริ่มโดย hasan, กรกฎาคม 22, 2011, 11:53:55 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

hasan

พวกซุนนี่เขามีหลักฐานชัดเจน ตอนที่มีมาลักษ์จำแลงมาเป็นมนุษย์และถามท่านนบีเรื่องหลักศรัทธา แต่ผมยังหาหลักฐานที่ว่า เตาฮีด อะดาละห์นี้ยังไม่เจอเลยคับ
ช่วยหาให้ด้วยคับ จะได้ไปตอบโต้
1. เตาฮีด (เอกภาพ) คือศรัทธาว่าอัลลอหฺทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ ศรัทธาว่าพระองค์มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงสร้าง และพระผู้ทรงกำหนด

2. อะดาละหฺ (ความยุติธรรม) คือศรัทธาว่าอัลลอหฺทรงยุติธรรมยิ่ง

3. นุบูวะหฺ (ศาสดาพยากรณ์) คือศรัทธาว่าอัลลอหฺได้ทรงส่งศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอหฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ หนึ่งในจำนวนนั้นคือนบีมุฮัมมัด ที่ได้รับคัมภีร์อัลกุรอาน ในนั้นมีคำสั่งสอนให้มนุษย์ศรัทธาต่ออัลลอหฺ ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะหฺ ทาสผู้รับใช้อัลลอหฺ มีบทบัญญัติ และพงศาวดารของประชาชาติในอดีต เพื่อเป็นข้อคิดและอุทธาหรณ์

4. อิมามะหฺ (การเป็นผู้นำ) ศรัทธาว่าผู้นำสูงสุดในศาสนาจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาสนทูตมุฮัมมัดเท่านั้น จะเลือกหรือแต่งตั้งกันเองไม่ได้ ผู้นำเหล่านั้น มี 12 คนคือ อะลีย์ บินอะบีฏอลิบและบุตรหลานของอะลีย์ และฟาฏิมะหฺอีก 11 คน

5. มะอาด (การกลับคืน) ศรัทธาในวันฟื้นคืนชีพ คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้

ทัศนะที่หลายฝ่ายมีต่อ#^ ผู้ยึดตามครอบครัวของท่านศาสดา(ศ.) กล่าวหาว่า #^นั้นเป็นคนละศาสนา โดยปราศจากเหตุผล ที่จะรับได้ แต่ในความเป็นจริง #^อิมาม 12 นั่นเอง คือ อิสลามที่แท้จริง(มาจากวิกิพีเดีย)
  •  

L-umar


อะกีดะฮ์ชีอะฮ์จากหะดีษ    

อิม่ามศอดิก(อ)กล่าวว่า
 
إِنَّ أَساَسَ الدِّيْنِ التَّوْحِيْدُ وَالْعَدْلِ

แท้จริงรากฐานของศาสนาคือ  อัตเตาฮีดและอัลอัดลุ(ความยุติธรรม)

ดู

มะอานิลอัคบาร โดยเชคศอดูก  หน้า  1 หะดีษ 2  
  •  

L-umar


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปัญหาสำคัญที่สุดสำหรับมุสลิมคือ เรื่องหลักศรัทธาและการตรวจสอบความถูกต้องของความเชื่อให้พ้นจากความสงสัย  แน่นอนเรื่องสำคัญเช่นนี้ ย่อมได้รับการบ่งบอกเอาไว้จากอัลลอฮ์  จากศาสดามุฮัมมัดและจากบรรดาอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์  
ด้วยเหตุนี้เราจะเห็นได้ว่า สานุศิษย์ของอิม่าม(อ)ในแต่ละยุค ได้เอาใจใส่เป็นอย่างมากต่อเรื่องนี้ เพราะพวกเขาเกรงว่าจะหลงทาง  สานุศิษย์ของอิม่าม(อ)ในแต่ละยุคได้มีการสอบถามและนำเสนอความเชื่อของพวกเขาให้อิม่ามในยุคของเขาได้พิจารณา เพื่อตรวจสอบความเชื่อของพวกเขาให้ถูกต้อง อาทิเช่น สัยยิดอับดุลอะซีมอัลฮาซานีได้นำเสนอหลักศรัทธาของตัวเขาเองให้อิม่ามอาลีอัลฮาดี(อ)ได้ตรวจสอบความถูกต้อง

(رَوَي الشَّيْخُ الصَّدُوْقُ) حَدَّثَنَا عَلِيُّ بْنُ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عِمْرَانَ الدَّقاَّقُ رَحِمَهُ اللهُ وَعَلِيُّ بْنُ عَبْدِ اللهِ الْوَرَّاقُ، قاَلاَ : حَدَّثَناَ مُحَمَّدُ بْنُ هاَرُوْنَ الصُّوْفِيُّ، قاَلَ : حَدَّثَناَ أَبُوْ تُرَابٍ عُبَيْدُ اللهِ ابْنِ مُوْسَى الرُّوْياَنِيُّ، عَنْ عَبْدِالْعَظِيْمِ بْنِ عَبْدِاللهِ الْحَسَنِيّ قَالَ : دَخَلْتُ عَلَى سَيِّدِيْ عَلِيِّ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ مُوْسَى بْنِ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِيْ طَالِبٍ عَلَيْهُمُ السَّلاَمِ    فَلَمَّا بَصُرَبِيْ قَالَ لِيْ: مَرْحَبًا بِكَ يَاأَبَا الْقَاسِمِ أَنْتَ وَلِيُّنَا حَقًّا، قَالَ: فَقُلْتُ لَهُ: يَاابْنَ رَسُوْلَ اللهِ إِنِّيْ اُرِيْدُ أَن أَعْرِضَ عَلَيْكَ دِيْنِيْ، فَإِنْ كَانَ مَرْضِيًّا أَثْبُتُ عَلَيْهِ حَتَّى أَلْقَى اللهَ عَزَّوَجَلَّ :  فَقَالَ : هَاتِ يَا أَبَا الْقَاسِمِ، فَقُلْتُ :
إِنِّيْ أَقُوْلُ :  إنَّ اللهَ تَباَرَكَ وَتَعاَلَى واَحِدٌ، لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ ، خاَرِجٌ عَنِ الْحَدَّيْنِ حَدُّ الْاِبْطاَلِ وَ حَدُّ التَّشْبِيْهِ، وَإنَّهُ لَيْسَ بِجِسْمٍ وَلاَ صُوْرَةٍ وَلاَ عَرْضٍ وَلاَ جَوْهَرٍ، بَلْ هُوَ مُجَسِّمُ الْاَجْساَمِ، وَمُصَوِّرُ الصُّوَرِ، وَخاَلِقُ الْاَعْراَضِ وَالْجَواَهِرِ، وَرَبُّ كُلِّ شَيْءٍ وَماَلِكُهُ وَجاَعِلِهُ وَمُحْدِثُهُ، وَإِنَّ مُحَمَّداً عَبْدُهُ وَرَسُوْلُهُ خَاتَمُ النَّبِيِّيْنَ فَلاَ نَبِيَّ بَعْدَهُ إِلَى يَوْمِ الْقِياَمَةِ وَأَقُوْلُ: إِنَّ الْاِماَمَ وَالْخَلِيْفَةَ وَوَلِيَّ الْاَمْرِ مِنْ بَعْدِهِ أَمِيرُ الْمُؤْمِنِينَ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِبٍ ثُمَّ الْحَسَنُ، ثُمَّ الْحُسَيْنُ، ثُمَّ عَلِيُّ بْنُ الْحُسَيْنِ ، ثُمَّ مُحَمَّدُ بْنُ عَلِيٍّ ، ثُمَّ جَعْفَرُ بْنُ مُحَمَّدٍ ثُمَّ مُوسَى بْنُ جَعْفَرٍ ، ثُمَّ عَلِيُّ بْنُ مُوسَى ، ثُمَّ مُحَمَّدُ بْنُ عَلِيٍّ ثُمَّ أَنْتَ ياَمَوْلاَيَ،
فَقاَلَ عَلَيْهِ السَّلاَمُ : وَمَنْ بَعْدِي الْحَسَنُ ابْنِيْ، فَكَيْفَ لِلناَّسِ بِالْخَلَفِ مِنْ بَعْدِهِ، قاَلَ: فَقُلْتُ: وَكَيْفَ ذاَكَ ياَ مَوْلاَيَ ؟ قاَلَ : لِاَنَّهُ لاَيَرَى شَخْصَهُ وَلاَ يَحِلُّ ذِكْرَهُ بِاسْمِهِ حَتَّى يَخْرُجَ فَيَمْلَأُ الْاَرْضَ قِسْطاً وَعَدْلاً كَماَ مَلَئَتْ جَوْراً وَظُلْماً، قاَلَ : فَقُلْتُ : أَقْرَرْتُ ، وَأَقُوْلُ إِنَّ وَلِيَّهُمْ وَلِيُّ اللهِ، وَعَدُوَّهُمْ عَدُوُّ اللهِ، وَطاَعَتَهُمْ طاَعَةُ اللهِ ، وَمَعْصِيَّتَهُمْ مَعْصِيَةُ اللهِ ، وَأَقُوْلُ : إِنَّ الْمِعْراَجَ حَقٌّ ، وَالْمَسْأَلَةَ فِي الْقَبْرِ حَقٌّ ، وَإنَّ الْجَنَّةَ حَقٌّ ، وَإنَّ الناَّرَ حَقٌّ ، وَالصِّراَطَ حَقٌّ ، وَالْمِيْزاَنَ حَقٌّ ، وَإنَّ الساَّعَةَ آتِيَةٌ لاَرَيْبَ فِيْهاَ، وَإنَّ اللهَ يَبْعَثُ مَنْ فِي الْقُبُوْرِ، وَأَقُوْلُ : إِنَّ الْفَرَائِضَ الْوَاجِبَةَ بَعْدَ الْوِلاَيَةِ الصَّلاَةُ، وَالزَّكاَةُ، وَالصَّوْمُ، وَالْحَجُّ، وَالْجِهَادُ، وَالْأَمْرُ بِالْمَعْرُوْفِ وَالنَّهْيُ عَنِ الْمُنْكَرِ، فَقَالَ عَلِيُّ بْنُ مُحَمَّدٍ عَلَيْهِمَا السَّلاَمِ: يَا أَبَا الْقَاسِمِ هَذَا وَاللهِ دِيْنِ اللهِ الَّذِيْ ارْتَضَاهُ لِعِبَادِهِ، فَاثْبُتْ عَلَيْهِ، ثَبَّتَكَ اللهُ بِالْقَوْلِ الثَّابِتِ فِي الْحَيَاةِ الدُّنْيَا وَفِي الْآخِرَةِ.

สัยยิดอับดุลอะซีม อัลฮาซานีเล่าว่า :  

ฉันได้เข้ามาพบนายของฉันคืออิม่ามอาลี บินมุฮัมมัด (อัลฮาดีผู้นำคนที่ 10 อ.)  เมื่อท่านมองเห็นฉัน ท่านได้กล่าวกับฉันว่า : โอ้อบุลกอซิม ยินดีต้อนรับท่านคือผู้ที่มีวิลายัต(ความรัก)ต่อเราอย่างแท้จริง  
ท่านอับดุลอะซีมเล่าว่า : ฉันได้กล่าวกับท่านอิม่ามว่า : โอ้บุตรของท่านรอซูลุลลอฮ์ แท้จริงฉันต้องการนำเสนอดีน(ความเชื่อ)ที่ฉันนับถือให้ท่าน(ได้พิจารณา)   หากว่ามันเป็นที่พอใจ(คือถูกยอมรับ) ฉันจะได้ยึดถือมันไว้อย่างมั่นคง จนกว่าฉันจะได้กลับไปพบกับอัลลอฮ์อัซซะวะญัล
ท่านอิม่ามกล่าวว่า : โอ้อบุลกอซิมจงนำเสนอมาซิ  ฉันจึงกล่าวว่า : ฉันเชื่อว่า แท้จริงอัลลอฮ์(พระเจ้า)ตะอาลาทรงมีเพียงหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์  ทรงอยู่นอกขอบเขตสองประการคือ  1,ฮัดดุลอิบฏ็อล และ2,ฮัดดุลต๊ะอ์ตีล แท้จริงอัลลอฮ์ไม่มีเรือนร่าง ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ใช่อะร็อฎและเญาฮัร(วัตถุมีมิติและเวลา)  แต่ทว่าพระองค์คือผู้ทรงสร้างเรือนร่างทั้งหลาย ผู้ทรงสร้างรูปลักษณ์ทั้งหลายและทรงเป็นผู้ทรงสร้างอะร็อฎและเญาฮัร(วัตถุ)ทั้งหลาย และอัลลอฮ์ทรงเป็นพระผู้อภิบาลทุกสรรพสิ่ง  ทรงเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ทุกสิ่ง  ทรงเป็นผู้บันดาลสร้างทุกสิ่งและทรงเป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง  และแท้จริงมุฮัมมัด(ศ) นั้นเป็นบ่าวของพระองค์ เป็นศาสนฑูตของพระองค์และเป็นศาสดาคนสุดท้าย ซึ่งจะไม่มีนะบีเกิดขึ้นหลังจากเขาอีกแล้วตราบจนถึงวันกิยามะฮ์  และแท้จริงชะรีอะฮ์(หลักธรรม)ของเขานั้นเป็นศาสนาสุดท้าย ซึ่งจะไม่มีศาสนา(ของอัลลอฮ์มาประกาศ)หลังจากศาสนาอิสลามอีกแล้วตราบจนถึงวันกิยามะฮ์  
และฉันขอกล่าวว่า : แท้จริงอิม่าม(ผู้นำ)และคอลีฟะฮ์(ผู้สืบตำแหน่ง)ต่อจากนะบีมุฮัมมัด(ศ) และเป็นวะลียุลอัมริ(ผู้ปกครอง)คือ 1,ท่านอะมีรุลมุอ์มินีน อาลี บินอะบีตอลิบ ถัดมาคือ 2,อัลฮาซัน 3,อัลฮูเซน 4,อาลี บินฮูเซน 5,มุฮัมมัด บินอาลี อัลบาเก็ร 6,ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด อัศศอดิก 7, มูซา บินญะอ์ฟัร 8,อาลี บินมูซา 9,มุฮัมมัด บินอาลี และคนที่ 10 และถัดมาคือท่าน(หมายถึงอิม่ามอาลีอัลฮาดี) โอ้เมาลาของฉัน
ท่านอิม่ามฮาดี(อ)จึงกล่าวว่า : และคนที่11 หลังจากฉันคือฮาซัน(อัลอัสการี)บุตรชายของฉัน  แล้วจะเป็นอย่างไรเล่าสำหรับประชาชนเกี่ยวกับผู้สืบทอด(ตำแหน่งผู้นำคนที่ 12 ) ต่อจากเขา ?
ท่านอับดุลอะซีมเล่าว่า : ฉันกล่าวว่า : โอ้เมาลาของฉันมันจะเป็นอย่างไรหรือ ?  ท่านอิม่ามฮาดี(อ) ตอบว่า : เพราะเนื่องจากเขา(อิม่ามคนที่ 12) จะไม่มีใครได้เห็นตัวเขา และก็ไม่อนุญาติให้เอ่ยถึงเขาด้วยชื่อจริงของเขา จนกว่าเขาจะปรากฏตัวออกมาทำให้โลกเต็มเปี่ยมด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม เหมือนดั่งที่มันเคยเต็มไปด้วยความอธรรมและการกดขี่
ท่านอับดุลอะซีมเล่าว่า : ฉันได้กล่าวว่า : ฉันขอยืนยัน(ต่อสิ่งที่กล่าวมา)    และฉันกล่าวว่า : แท้จริงวะลี(คนรัก)ของพวกเขาคือวะลีของอัลลอฮ์ และศัตรูของพวกเขาคือศัตรูของอัลลอฮ์การเชื่อฟังพวกเขาคือการเชื่อฟังอัลลอฮ์และการขัดคำสั่งพวกเขาคือการขัดคำสั่งของอัลลอฮ์
และฉันเชื่อว่า : แท้จริงการขึ้นมิ๊อ์อ์รอจญ์ของท่านนะบี(ศ)นั้นเป็นเรื่องจริง, การสอบถามในหลุมศพนั้นเป็นจริง, สวรรค์และนรกนั้นมีจริง, สะพานศิร็อฏมีจริง, มีซานตราชั่งความดีความชั่วนั้นมีจริง,  วันอวสานนั้นจะต้องเกิดขึ้นแน่อย่างไม่ต้องสงสัยและแท้จริงอัลลอฮ์จะให้ผู้ที่อยู่ในหลุมศพฟื้นขึ้นมา  
และฉันขอกล่าวว่า :  แท้จริงฟัรฎู(หน้าที่)ที่เป็นวาญิบ(ต้องปฏิบัติ)หลังจากเรื่อง 1,วิลายะฮ์ (ตรงข้ามคือ2,บะรออะฮ์ ) 3, การนมาซวาญิบ 4, การจ่ายทานซะกาต (และ5,จ่ายคุมส์ข้อปลีกย่อยของซะกาต 6,การถือศีลอด 7, การบำเพ็ญฮัจญ์  8,การทำญิฮ๊าด 9,การแนะนำให้ทำดีและ10,การห้ามปรามมิให้ทำชั่ว    
ท่านอิม่ามอาลี บินมุฮัมมัดอัลฮาดี(อ)กล่าวว่า : โอ้อบุลกอซิม ! ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮ์ว่า หลักศรัทธาและหลักปฏิบัติแบบนี้แหล่ะคือ ศาสนาของอัลลอฮ์ที่พระองค์ทรงพอพระทัยมอบมันให้กับปวงบ่าวของพระองค์ ดังนั้นขอให้เจ้าจงยึดถือมันไว้อย่างมั่นคง ขออัลลอฮ์ทรงทำให้เจ้ามีความมั่นคงต่อคำพูดอันมั่นคงนี้ทั้งชีวิตในโลกนี้และปรโลกด้วยเถิด


ดู

อัตเตาฮีด โดยเชคศอดูก หน้า 81 หะดีษที่ 37

วะซาอิลุชชีอะฮ์ เล่ม  1 : 2181 หะดีษที่ 20
  •  

L-umar

คำถาม

อะฮ์ลุลบัยต์กำหนดอะกีดะฮ์ไว้กี่ข้อ


 
คำตอบ  

อะฮ์ลุลบัยต์ไม่ได้กำหนดเอาไว้ตายตัว   บรรดาอิม่ามได้อธิบายเรื่องอุซูลุดดีนไว้ในหะดีษต่างๆอย่างหลากหลาย แต่ที่สำคัญคือต้องเป็นหะดีษที่มุอ์ตะบัร และจากหะดีษเหล่านั้นได้ถูกนำมาสรุปเป็นอุซูลุดดีนทั้งห้าข้อตามที่ถูกกล่าวไว้ ไม่มีเงื่อนใดมากำหนดว่า อะกีดะฮ์ทั้งห้าข้อนั้นจะต้องถูกรวมเอาไว้ในหะดีษเพียงบทเดียวเหมือนเรื่องหลักศรัทธามากมายที่มีกล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอ่าน ซึ่งก็ไม่ได้ถูกรวมไว้ในหนึ่งโองการ
  •  

L-umar

คำถาม  

ใครกำหนดอะกีดะฮ์ห้าข้อนี้  1.เตาฮีด 2.อดิล 3.นุบูวะฮ์ 4.อิมามะฮ์ 5.มะอาด

คำตอบ  

เชคมุฟีด  (336 – 413 ฮ.ศ. รวมอายุ 77 ปี
  •  

L-umar

หนังสืออันนุกัต อัลอิอ์ติกอดียะฮ์  

ผู้เรียบเรียงชื่อ เชคมุฟีด (336 – 413 ฮ.ศ. รวมอายุ 77 ปี)

 
ในหนังสือเล่มนี้เชคมุฟีดได้แบ่งการศึกษาอุซูลุดดีนออกเป็น 5 บทด้วยกันคือ

1.   มะอ์ริฟะตุลเลาะฮ์วะศิฟาติฮี (การรู้จักพระเจ้าและคุณลักษณะของพระองค์)
2.   อัลอัดลุ (ความยุติธรรมของอัลลอฮ์)
3.   อันนุบูวะฮ์ ( การศรัทธาต่อศาสดาของอัลลอฮ์)
4.   อัลอิมามะฮ์  ( การศรัทธาต่อผู้นำที่สืบต่อจากนะบีมุฮัมมัด)
5.   อัลมะอ๊าด (การศรัทธาต่อวันปรโลก)  

เชคมุฟีดได้แต่งตำราอุซูลุดดีนไว้อีกเล่มหนึ่งชื่อ อะวาอิลุลมะกอล๊าต ซึ่งหนังสือเล่มนี้เขาได้กล่าวเนื้อหาต่างๆอย่างละเอียดเอาไว้ถึง 156 หัวข้อ

หลังจากเชคมุฟีดเสียชีวิต นักปราชญ์ชีอะฮ์ยุคต่อมาได้เรียบเรียงตำราอุซูลุดดีนโดยแบ่งหลักศรัทธาออกเป็นห้าหัวข้อเหมือนที่เชคมุฟีดได้นำเสนอไว้ จนการแบ่งหลักศรัทธาออกเป็นห้าข้อนี้ได้กลายเป็นเรื่องมุตะวาติรในหมู่อุละมาอ์ชีอะฮ์และถ่ายทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ สรุปความได้ว่า บุคคลแรกที่แบ่งอะกีดะฮ์ชีอะฮ์ออกเป็น 5 ข้อคือ เชคมุฟีด  

วัลลอฮุอะอ์ลัม
  •  

L-umar

คำถาม :  

เราจะตอบอย่างไร เมื่อมีคนกล่าวว่า อะกีดะฮ์ 5 ข้อที่เชคมุฟีดแบ่งไว้เป็นบิดอะฮ์

คำตอบ :

เราไม่ทราบว่า  อะกีดะฮ์ชีอะฮ์ 5 ข้อที่กลุ่มวะฮาบีบอกว่าเป็นบิดอะฮ์นั้น ในแง่ไหน
 หากพวกเขาอ้างว่าอะกีดะฮ์ 5 ข้อบิดอะฮ์ตามหลักการนั้น  ถือว่าผู้กล่าวอ้างกลายเป็นผู้อุตริกรรมบิดอะฮ์เสียงเอง  เนื่องจากอะกีดะฮ์ 5 ข้อดังกล่าวมีหลักฐานจากอัลกุรอานที่มีข้อบ่งชี้และยืนยันถึงมันทั้งหมดอย่างแน่นอน ดังนั้นหากผู้กล่าวหาชีอะฮ์บอกว่า เขาปฏิเสธเรื่องเตาฮีด( อัลลอฮ์มีเพียงหนึ่งองค์)แน่นอนว่า เขาเป็นกาเฟร  หรือหากผู้กล่าวหาชีอะฮ์กล่าวว่า เขาปฏิเสธเรื่องความอาดิลของอัลลอฮ์ซึ่งเป็นซิฟัตหนึ่งของพระองค์ เขาย่อมเป็นกาเฟร  หรือเขาปฏิเสธเรื่องนุบูวะฮ์ คือการมีศรัทธาต่อศาสดาของอัลลอฮ์  ถือว่าเขาเป็นกาเฟร  หรือเขาปฏิเสธเรื่องวันกิยามะฮ์ ก็ถือว่าเขาเป็นกาเฟร หรือถ้าหากเขาไม่ยอมรับในเรื่องอิมามะฮ์ คืออิม่ามสิบสองที่สืบต่อจากท่านนะบี(ศ) ก็เท่ากับเขาคือผู้ปฏิเสธในนิอ์มัตของอัลลอฮ์

หากวาฮาบีกล่าวว่า

อะกีดะฮ์ชีอะฮ์ 5 ข้อเป็นบิดอะฮ์ในเรื่องการแบ่ง  หมายถึงเป็นการแบ่งที่ไม่เคยมีในสมัยท่านนะบี(ศ)และอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ)  
เราก็ขอกล่าวว่า  การแบ่งเตาฮีด 3 ประเภทของวาฮาบี(อุลูฮียะฮ์, รุบูบียะฮ์,อัลอัสมาอุวัซซิฟาต)ก็บิดอะฮ์เช่นกัน  เพราะท่านนะบี(ศ)ไม่ได้แบ่งไว้และซอฮาบะฮ์ก็ไม่ได้แบ่งไว้ตามนั้น ซึ่งการแบ่งนี้ไม่มีระบุไว้ในอัลกุรอาน หะดีษนะบีและบรรดาซอฮาบะฮ์  ตาบิอีน  และตาบิอิตตาบิอีนก็ไม่ได้กล่าวไว้เลย การแบ่งเตาฮีดออกเป็น 3 ข้อเช่นนี้ไม่เคยมีในยุคศตวรรษที่ 3  จนถึงศตวรรษที่ 6  เมื่อถึงศตวรรษที่ 7 การแบ่งเตาฮีดเป็นอุลูฮียะฮฺและรุบูบียะฮ์พึ่งเกิดขึ้น
  •  

L-umar

หากอะชาอิเราะฮ์กล่าวว่า

อะกีดะฮ์ชีอะฮ์ 5 ข้อเป็นบิดอะฮ์ในเรื่องการแบ่ง  หมายถึงเป็นการแบ่งที่ไม่เคยมีในสมัยท่านนะบีและบรรดาอิม่าม(อ)  

เราก็ขอกล่าวว่า  

การแบ่งซิฟัตวายิบ 20 ของอะชาอิเราะฮ์ก็บิดอะฮ์เช่นกัน  เพราะท่านนะบี(ศ) ไม่ได้แบ่งไว้และซอฮาบะฮ์ก็ไม่ได้แบ่งไว้แบบนั้น
 อนึ่งผู้แบ่งซิฟัตออกเป็น 20 นั้นคือนักปราชญ์และการแบ่งซิฟัต 20 นี้ก็ไม่มีระบุไว้ในอัลกุรอาน หะดีษนะบีและบรรดาซอฮาบะฮ์เช่นกัน  
ต้องขอกล่าวเสริมอีกว่า การแบ่งหะดีษออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆคือ ซอฮิฮ์ , ฮาซัน ,และดออีฟ  ก็ถือว่าเป็นบิดอะฮ์  เพราะท่านนะบี(ศ) ไม่เคยแบ่งไว้และซอฮาบะฮ์ก็ไม่เคยแบ่งไว้เช่นกัน  และเราขอกล่าวอีกว่า  การแบ่งรุกุ่นละหมาดออกเป็น 13 ประการ  หรือแบ่งรุกุ่นการอาบน้ำละหมาดออกเป็น 6 ประการนั้น  ก็เป็นบิดอะฮ์เช่นกัน เพราะว่าท่านนะบี(ศ)ไม่ได้แบ่งเอาไว้  

การแบ่งประเภทของหลักศรัทธาหรือหลักการต่าง ๆนั้น  มาจากการอิจญ์ฮาด(วินิจฉัย)
ของบรรดานักปราชญ์ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการอิจญ์ฮาดอันมีที่มาจากอัลกุรอานและหะดีษ    ฉะนั้นการที่ชีอะฮ์แบ่งอะกีดะฮ์ออกเป็น 5 ข้อจึงมิใช่เป็นบิดอะฮ์แต่อย่างใดเนื่องจากมีหลักฐานจากอัลกุรอานมากำกับรับรองมันไว้ชัดเจน
หากถามว่า : การแบ่งเตาฮีดออกเป็น 3 ที่วาฮาบีเชื่อและการแบ่งซิฟัตวายิบ 20 ที่อะชาอิเราะฮ์เชื่อนี้เป็น " บิดอะฮ์ " ใช่ไหม

แน่นอนพวกเขาทั้งสองกลุ่มจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า อัลเลาะฮ์และรอซูลไม่ได้กำหนดไว้เช่นนั้น แต่อุละมาอ์ได้เอามาจากกุรอ่านและหะดีษ  นั่นแสดงว่าพวกเขาได้ให้คำตอบเหมือนชีอะฮ์คือ อะฮ์ลุลบัยต์(อ)ไม่ได้กำหนดอุซูลุดดีนออกเป็น 5 แต่นักปราชญ์ชีอะฮ์ได้ประมวลมาจากกุรอ่านและหะดีษ  
  •  

hasan

อะกีดะฮ์ชีอะฮ์จากหะดีษ

อิม่ามศอดิก(อ)กล่าวว่า

إِنَّ أَساَسَ الدِّيْنِ التَّوْحِيْدُ وَالْعَدْلِ

แท้จริงรากฐานของศาสนาคือ อัตเตาฮีดและอัลอัดลุ(ความยุติธรรม)

อะกีดะฮ์ชีอะฮ์จากหะดีษ

อิม่ามศอดิก(อ)กล่าวว่า\\\"\\\"\\\"
อิม่ามท่านไม่ใช่นบีใช่ไหมคับ เพราะฉนั้นจะเรียกว่าฮาดิษก็คงไม่ได้ซิคับ

ส่วนเรื่องซีฟัต 20 เท่าที่รู้อุลามัตอัชชาอีเราะห์ก็ออกมายอมรับแล้วว่า ไม่ถูกต้อง เพราะคุณสมบัติของอัลลอฮฺนั้นมากมาย และมากกว่า 20 แน่นอนและนบีก็ไม่ได้กล่าวถึง แต่หลักฮากีดะห์ของชาวซุนนี่ เขาอ้างหลักฐานมาจากฮาดิษที่สามารถสื่บสายรายงานได้ชัดเจนจนถึงปากท่านนบีเลยซึ่งสอดคล้องกับอัลกุรอ่านอีกด้วย อันนี้เราจะอธิบายเขายังไงคับ จะบอกว่าอัลกุรอ่านผิดหรือป่าวคับ แต่ว่าไปอัลลอฮฺก็บอกแล้วนี่คับว่า อัลกุรอ่านจะถูกรักษาด้วยพระองค์เองจนวันกียามัต แสดงว่าไม่น่าจะมีผิดพลาด เพราะสัญญาของอัลลอฮฺไม่เคยโกหก แล้วอีกอย่าง หลักศรัทธาน่ะคับ เชคมุฟีด ท่านก็เป็นแค่อุลามัต หรือมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่นบี ถ้าเทียบกับหลักฐานจากนบี อย่างนี้เราอ้างไม่ได้เลย ส่วนการถูกยอมรับ จำได้ว่าอบูบัก คือคนที่นบีให้เป็นอีหม่ามแทนท่านตอนที่่ท่านป่วยหนักใช่ไหมคับ ก็น่าจะเป็นข้อยืนยันว่าอบูบักจะได้รับตำแหน่งสืบทอดคอลีฟะห์ งง แหะ แล้วที่ทราบมา ท่านอิหม่ามอาลี คือเด็กที่สุด ที่เข้ารับอิสลามรุ่นแรก อายุ 9 ขวบ ส่วนนบีอายุ 40 ถ้าตอนนบีเสีย ท่านก็น่าจะอายุ 22 ปี ใช่ไหมคับ
  •  

L-umar

คำพูดของอิมามศอดิก คือหะดีษ  เพราะเขาได้รับฟังหะดีษมาจากบิดาของเขาที่สืบไปถึงท่านศาสดามุฮัมมัด( ศ)  ด้วยสายรายงานดังนี้

อิม่ามศอดิก ผู้นำที่ 6 กล่าวว่า  :
 
حَدِيثِي حَدِيثُ أَبِي وَ حَدِيثُ أَبِي حَدِيثُ جَدِّي وَ حَدِيثُ جَدِّي حَدِيثُ الْحُسَيْنِ وَ حَدِيثُ الْحُسَيْنِ حَدِيثُ الْحَسَنِ وَ حَدِيثُ الْحَسَنِ حَدِيثُ أَمِيرِ الْمُؤْمِنِينَ ( عليه السلام ) وَ حَدِيثُ أَمِيرِ الْمُؤْمِنِينَ حَدِيثُ رَسُولِ اللَّهِ ( صلى الله عليه وآله )
หะดีษของฉันคือ หะดีษของบิดาฉัน(อิม่ามบาเก็ร), หะดีษของบิดาฉันคือหะดีษของปู่ฉัน(อิม่ามอาลีบินฮูเซน),หะดีษของปู่ฉันคือหะดีษของอิม่ามฮูเซน, หะดีษของอิม่ามฮูเซนคือหะดีษของอิม่ามฮาซัน, หะดีษของอิม่ามฮาซันคือหะดีษของอิม่ามอาลี, หะดีษของอิม่ามอาลีคือ คำพูดของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)

ดูอัลกาฟี  โดยเชคกุลัยนี  เล่ม 1 : 53 หะดีษที่  14  สายรายงานหะดีษเชื่อได้
  •  

L-umar

ขอให้คุณลองฟังคำวิจารณ์สายรายงานนี้จาก นักวิชาการฝ่ายซุนนะฮ์เองดังนี้


1-อาลี บินอบีตอลิบ เกิดในกะอ์บะฮ์ นครมักกะฮ์  (ก่อนฮ.ศ.23  มรณะฮ.ศ. 41)
อิบนุหะญัรกล่าวว่า   :
عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِب بن عَبْدِ الْمُطَّلِبِ بْنِ هَاشِمٍ الهاشمي ابنُ عَمِّ رسول الله (ص) وَزَوْجُ اِبْنَتِهِ مِنَ الساَّبِقِيْنَ الْأَوَّلِيْنَ وَرَجَّحَ جَمْعٌ أَنَّهُ أَوَّلُ مَنْ أَسْلَمَ
อาลี บินอะบีตอลิบ บุตรของลุงของท่านรอซูล(ศ) สามีบุตรีของท่านรอซูลฯ  หนึ่งจากบรรดาซาบิกีนอัลเอาวะลีน   ปราชญ์กลุ่มหนึ่งให้น้ำหนักว่า  เขาคือชายคนแรกที่เข้ารับอิสลาม  ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับ 4753

2-ฮูเซน บินอาลี เกิดที่นครมะดีนะฮ์ ฮ.ศ.4 – 61
อิบนุหะญัรกล่าวว่า   :
الْحُسَيْنُ بْنُ عَلِىِّ بْنِ أَبِى طَالِبٍ الهاشمي أبو عبدالله المدني سِبْطُ رَسُوْلِ الله (ص)    
ฮูเซน บินอาลีบินอะบีตอลิบ หลานชายท่านรอซูล(ศ)  ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับ 1334      ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า  
الحَسَـنُ ‏ ‏وَالْحُسَـيْنُ ‏ ‏سَـيِّدَا شَـبَابِ أهْلِ الْجَـنَّة
ฮาซันและฮูเซนคือหัวหน้าชายหนุ่มแห่งชาวสวรรค์  ดูซอฮิ๊ฮ์ติรมิซี  หะดีษที่  2965

3-อาลี บินฮูเซน เกิดที่นครมะดีนะฮ์ (ฮ.ศ.38 – 114)
อัลอิจญ์ลีกล่าวว่า  :
عَلِيُّ بْنُ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ مَدَنِيٌّ تاَبِعِيٌّ ثِقَةٌ وَكاَنَ رَجُلاً صاَلِحاً
อาลี บินฮูเซน เป็นตาบิอี  เชื่อถือได้ และเป็นคนซอและห์
ดูอัษษิกอต โดยอิจญ์ลี  อันดับ 1293  
อิบนุหะญัรกล่าวว่า :  
عَلِىُّ بْنُ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِىِّ بْنِ أَبِى طَالِبٍ الْهاَشِمِيُّ زَيْنُ الْعاَبِدِيْنَ ثِقَةٌ ثَبَتٌ عاَبِدٌ فَقِيْهٌ فاَضِلٌ مَشْهُوْرٌ
อาลี บินฮูเซน  ซัยนุลอาบิดีน  เชื่อถือได้  มีความมั่นคง  อาบิ๊ด  ฟะกีฮ์  ฟาดิ้ล มัชฮู้ร  ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับ 4715
อัซซะฮะบีกล่าวว่า  :
عَلِىُّ بْنُ الْحُسَيْنِ (ع) اِبْنُ الْاِماَمِ عَلِىِّ بْنِ أَبِى طَالِبِ : السَّيِّدُ الْاِماَمُ، زَيْنُ الْعاَبِدِيْنَ، الْهاَشِمِيُّ الْعَلَوِيُّ، الْمَدَنِيُّ    
อาลี บินฮูเซน  คือสัยยิด  เป็นอิม่ามผู้นำ    ดูสิยัร อะอ์ลามุนนุบะลาอ์  อันดับ 157

4-มุฮัมมัด บินอาลี เกิดที่มะดีนะฮ์  ( ฮ.ศ.57 – 95 )
อิบนุอะบีฮาติมกล่าวว่า :  
مُحَمَّدُ بْنُ عَلِيٍّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ أَبُوْ جَعْفَرٍ رَوَى جَابِرِ بْنِ عَبْدِ اللَّهِ وَأَبِيْهِ عَلِىُّ بْنُ الْحُسَيْنِ رَوَى عَنْهُ ابْنُهُ جَعْفَرُ بْنُ مُحَمَّدٍ
มุฮัมมัด บินอาลี  อะบูญะอ์ฟัร  รายงานจากญาบิร บินอับดุลลอฮ์และบิดาของเขาคืออาลี บินฮูเซน  ผู้ที่รายงานจากเขาคือบุตรของเขาชื่อ ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด  ดูอัลญัรฮุ วัตตะอ์ดีล  อันดับ 117  
อัลอิจญ์ลีกล่าวว่า :
مُحَمَّدُ بْنُ عَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ تاَبِعِيٌّ  ثِقَةٌ
มุฮัมมัด บินอาลี  เป็นตาบิอี  เชื่อถือได้     ดูอัษษิกอต โดยอัลอิจญ์ลี  อันดับ 1630
อิบนุหะญัรกล่าวว่า :
مُحَمَّدُ بْنُ عَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ أَبُو جَعْفَرٍ الْباَقِرُ  ثِقَةٌ
อิบนุหะญัรกล่าวว่า   : มุฮัมมัด บินอาลี  อะบูญะอ์ฟัร อัลบาเก็ร   เชื่อถือได้  ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับ 6151  
อัซซะฮะบีกล่าวว่า :    
أَبُو جَعْفَرٍ مُحَمَّدُ بْنُ عَلِيٍّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ ، الْعَلَوِيُّ الْفاَطِمِيُّ، الْمَدَنِيُّ، وَلَدُ زَيْنِ الْعاَبِدِيْن،  وَ اتَّفَقَ الْحُفَّاظُ عَلَى الِاحْتِجَاج بِأَبِيْ جَعْفَرٍ    
อะบูญะอ์ฟัร  มุฮัมมัด บินอาลี  บุตรซัยนุลอาบิดีน  นักท่องจำหะดีษมีมติว่าให้ยึดหะดีษของอะบูญะอ์ฟัรเป็นหลักฐานได้  ดูสิยัรอะอ์ลามุนนุบะลาอ์ อันดับ 158

5-ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด อัศ-ศอดิก เกิดที่นครมะดีนะฮ์ (ฮ.ศ.83 – 148 )
อิบนุฮิบบานกล่าวว่า  :  
جَعْفَرُ بْنُ مُحَمَّد بْنِ عَلِيٍّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ رضي الله عنهم كنيته أبو عبد الله يروى عن أبيه وَكاَنَ مِنْ ساَدَاتِ أَهْلِ الْبَيْتِ فِقْهاً وَعِلْماً وَفَضْلاً    
ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด  ฉายาอะบูอับดุลลอฮ์  รายงานหะดีษจากบิดาของเขา  เป็นผู้มีความรอบรู้และทรงคุณวุฒิคนหนึ่งจากบรรดาสัยยิดแห่งอะฮ์ลุลบัยต์      ดูอัษษิกอต โดยอิบนิฮิบบาน  อันดับ 226
อิบนุหะญัรกล่าวว่า  :  
جَعْفَرُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِيٍّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ الهاشمي أبو عبد الله الْمَعْرُوْفُ بِالصاَّدِقِ صَدُوْقٌ فَقِيْهٌ إِماَمٌ مِنَ الساَّدِسَة    
ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด  รู้จักกันในนามอัศศอดิก(ผู้มีวาจาสัตย์)  เชื่อถือได้  เป็นผู้รู้  เป็นอิม่าม  ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับ 950  
อิสฮ๊าก บินรอฮะวัยฮฺกล่าวว่า   :    
قُلْتُ لِلشاَّفِعِىِّ كَيْفَ جَعْفَرُبْنُ مُحَمَّدٍ عِنْدَكَ قاَلَ ثِقَةٌ
يَحْيَى بْنُ مَعِينٍ قاَلَ جَعْفَرُ بْنُ مُحَمَّدٍ ثِقَةً
عَبْدُ الرَّحْمن قاَلَ سَمِعْتُ أَبِىْ يَقُوْلُ جَعْفَرُ بْنُ مُحَمَّدٍ ثِقَةً لاَ يُسْأَلُ عَنْ مِثْلِهِ
ฉันกล่าวกับอิม่ามชาฟิอีว่า ท่านญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัดเป็นอย่างไรในทัศนะของท่าน  เขาตอบว่า  เชื่อถือได้  
ยะห์ยา บินมะอีนกล่าวว่า  ท่านญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด  เชื่อถือได้
อับดุลเราะห์มานกล่าวว่า  ฉันได้ยินบิดาของฉันกล่าวว่า  ท่านญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด เชื่อถือได้ไม่ต้องถามถึงว่าจะมีผู้เหมือนเยี่ยงเขา    
ดูอัลญัรฮุ วัตตะอ์ดีล โดยอิบนิอะบีฮาติม  อันดับ 1987
  •  

L-umar

สายรายงานหะดีษของอิมามศอดิก ยังมีมาจากทางซอฮาบะฮ์บางคนเช่นตำราฝ่ายซุนนะฮ์บันทึกไว้ดังนี้


ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด รายงานจากบิดาเขา จากท่านญาบิร บินอับดุลลอฮ์เล่าว่า  :

ฉันได้เห็นรอซูลุลลอฮ์(ศ)ในการบำเพ็ญฮัจญ์ของเขาในวันอะเราะฟะฮ์ ซึ่งเขาอยู่บนหลังอูฐกำลังปราศรัย แล้วฉันได้ยินท่านกล่าวว่า  โอ้ประชาชนทั้งหลาย
إِنِّى قَدْ تَرَكْتُ فِيكُمْ مَا إِنْ أَخَذْتُمْ بِهِ لَنْ تَضِلُّوا كِتَابَ اللَّهِ وَعِتْرَتِى أَهْلَ بَيْتِى
แท้จริงฉัน ทิ้งไว้ให้แก่พวกท่านถึงสิ่งซึ่งหากพวกท่านยึดมั่นต่อสิ่งนั้น พวกท่านจะไม่หลงทางโดยเด็ดขาด สิ่งนั้นคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอิตเราะตีคืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน

สถานะหะดีษ  : ซอฮิ๊ฮ์  ดูซอฮิ๊ฮ์ติรมีซี ( 209- 279  ฮ.ศ.) หะดีษ 2978    
ตรวจทานโดยเชคอัลบานี ( 1333 - 1420 ฮ.ศ.)
  •  

L-umar

ตัวของอิมามศอดิก ยังระบุว่า  เขาคืออะฮ์ลุลบัยต์ของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)คนหนึ่งด้วย

เช่นหะดีษบทนี้ได้รายงานว่า


อิม่ามศอดิก(อ)เล่าจากบิดาและปู่ทวดของเขาว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

إِنِّي قَدْ تَرَكْتُ فِيكُمْ الثَّقَلَيْنِ كِتَابَ اللَّهِ وَ أَهْلَ بَيْتِي فَنَحْنُ أَهْلُ بَيْتِهِ

แท้จริงฉันได้ทิ้งไว้ในหมู่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่งคือ คัมภีร์ของอัลลอฮ์และอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน ดังนั้นพวกเราคืออะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน

ดูบะซออิรุดดะเราะญ๊าต โดยอัศศ็อฟฟ้าร  หน้า 424  สายรายงานหะดีษซอฮิ๊ฮ์
  •  

L-umar

เพราะฉะนั้น  สิ่งที่อิมามศอดิก บอกกล่าว  จึงมิได้มาจากตัวของเขาเอง  แต่สิ่งนั้นล้วนได้รับการถ่ายทอดจากบิดาเขา จากปู่ของเขา จากปู่ทวดของเขา สืบไปจนถึงท่านนบี(ศ)ซึ่งทุกคนล้วนเป้นอะฮ์ลุบัยต์ของท่านนบี(ศ)ที่สั่งเสียให้เราเชื่อและปฏิบัติตาม


อีกประการหนึ่งคือ  

อิมามศอดิก เกิดที่นครมะดีนะฮ์ ในปี ฮ.ศ.83 และเขาเสีชีวิต ฮ.ศ. 148  

ฉะนั้นถ้าจะว่าไป  เขาคือ คนที่อยู่ในยุค  150 ปีแรกหลังจากท่านนบี(ศ)วะฟาต ซึ่งเป็นยุคของ\\\" ตาบิอีน และ ตาบิ๊อ์ ตาบิอีน \\\"
หากคุณจะกล่าวปฏิเสธคำพูดของเขาในทางศาสนา ทั้งนด้านความเชื่อและการปฏิบัติ  


เราขอถามว่า  ทำไม  ตำราตัฟซีรฝ่ายซุนนะฮ์ มากมายหลายเล่ม  ได้นำคำพูดของบรรดาคนรุ่นตาบิอีน  และตาบิ๊อ์ ตาบิอีน  มาใช้อ้างอิงในการ อธิบายความหมายของคัมภีร์อัลกุรอาน
ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว คำพูดของอิมามศอดิก นั้นยังมีน้ำหนักมากกว่าคำพูดของบุคคลเหล่านั้นเสียอีก

เพราะอิมามศอดิก คือ อะฮ์ลุลบัยต์ นะบี(ศ) คนหนึ่ง ที่ท่านนะบี(ศ)สั่งให้คุณและเราต้องปฏิบัติตามดังหะดีษษะกอลัยน์ที่กล่าวผ่านมาแล้ว    
  •  

L-umar

หรือคุณ  กล้า ปฏิเสธคำพูดของ ญะอ์ฟัร ศอดิก  ลูกหลานคนหนึ่งของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)  ???
  •  

29 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้