Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 08:24:25 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,698
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 13
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 64
Total: 64

ชีวประวัติศาสดามูฮัมมัด (ศ) จากกุรอ่านและฮะดีษ

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 24, 2010, 09:17:26 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

2.3- นำความขัดแย้งออก(ไปจากหมู่มนุษย์)


อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า


كَانَ النَّاسُ أُمَّةً وَاحِدَةً فَبَعَثَ اللَّهُ النَّبِيِّينَ مُبَشِّرِينَ وَمُنْذِرِينَ وَأَنْزَلَ مَعَهُمُ الْكِتَابَ بِالْحَقِّ لِيَحْكُمَ بَيْنَ النَّاسِ فِيمَا اخْتَلَفُوا فِيهِ وَمَا اخْتَلَفَ فِيهِ إِلَّا الَّذِينَ أُوتُوهُ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَتْهُمُ الْبَيِّنَاتُ بَغْيًا بَيْنَهُمْ فَهَدَى اللَّهُ الَّذِينَ آَمَنُوا لِمَا اخْتَلَفُوا فِيهِ مِنَ الْحَقِّ بِإِذْنِهِ وَاللَّهُ يَهْدِي مَنْ يَشَاءُ إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ

เดิมมนุษย์นั้นเคยเป็นประชาชาติเดียวกัน ภายหลังอัลลอฮ์ได้ส่งบรรดานะบีมาในฐานะผู้แจ้งข่าวดีและผู้ตักเตือน และได้ทรงประทานคัมภีร์อันกอปรไปด้วยความจริงลงมากับพวกเขาด้วยเพื่อว่าคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างมนุษย์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน และไม่มีใครที่ขัดแย้งในคัมภีร์นั้น นอกจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นมา หลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดเแจ้งได้มายังพวกเขาเหล่านั้น ทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาในระหว่างพวกเขา  แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงแนะนำแก่บรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งความจริงที่พวกเขาขัดแย้งกันด้วยอนุมัติของพระองค์  และอัลลอฮ์นั้นทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง
ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์  : 213


وَاعْتَصِمُوا بِحَبْلِ اللَّهِ جَمِيعًا وَلَا تَفَرَّقُوا وَاذْكُرُوا نِعْمَةَ اللَّهِ عَلَيْكُمْ إِذْ كُنْتُمْ أَعْدَاءً فَأَلَّفَ بَيْنَ قُلُوبِكُمْ فَأَصْبَحْتُمْ بِنِعْمَتِهِ إِخْوَانًا وَكُنْتُمْ عَلَى شَفَا حُفْرَةٍ مِنَ النَّارِ فَأَنْقَذَكُمْ مِنْهَا كَذَلِكَ يُبَيِّنُ اللَّهُ لَكُمْ آَيَاتِهِ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ

และพวกเจ้าจงยึดมั่นต่อสายเชือกของอัลลอฮ์โดยพร้อมกันทั้งหมดและจงอย่าแตกแยกกัน และจำรำลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ที่มีแต่พวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงให้สนิทสนมกันระหว่างหัวใจของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกัน ด้วยความเมตตาของพระองค์ และพวกเจ้าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่งไฟนรก แล้วพระองค์ก็ทรงช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากปากหลุมแห่งนรกนั้น ในทำนองนั้นแหล่ะ อัลลอฮ์จะทรงแจกแจงแก่พวกเจ้าซึ่งบรรดาโองการของพระองค์ เพื่อว่าเพวกเจ้าจะได้รับแนวทางอันถูกต้อง
ซูเราะฮ์อาลิ อิมรอน  : 103


وَمَا أَنزَلْنَا عَلَيْكَ الْكِتَابَ إِلاَّ لِتُبَيِّنَ لَهُمُ الَّذِي اخْتَلَفُواْ فِيهِ وَهُدًى وَرَحْمَةً لِّقَوْمٍ يُؤْمِنُونَ

และเรามิได้ให้คัมภีร์ลงมาแก่เจ้า เพื่ออื่นใด  เว้นแต่เพื่อให้เจ้าชี้แจง  ให้แจ่มแจ้งแก่พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน  และเพื่อเป็นการชี้แนวทางและเป็นความเมตตาแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา
ซูเราะฮ์อันนะห์ลุ : 64


อัลหะดีษ

37. อิม่ามอาลี(อ)กล่าวว่า :


พวกเจ้าจงมองดูสถานที่ต่างๆแห่งนิอ์มัตของอัลลอฮ์ที่ประทานแก่พวกเขาเถิด  ขณะที่ทรงส่งรอซูลคนหนึ่งมายังพวกเขา แล้วรอซูลนั้นได้ผูกแนวทางของเขาด้วยการเชื่อฟังของพวกเขา  และได้รวบรวมบนการเรียกร้องของเขาให้พวกเขามีความสมานฉันท์กัน  แล้วความเมตตานั้นได้แพร่กระจายไปบนพวกเขาด้วยปีกแห่งความมีเกียรติของมันอย่างไร  และได้รินหลั่งแก่พวกเขาซึ่งลำธารแห่งความเมตตาของมัน  และแนวทางนั้นได้ม้วนกับพวกเขาไว้ในขนบธรรมเนียมแห่งความจำเริญของมัน แล้วพวกเขาก็จมอยู่ในความโปรดปรานต่างๆของมัน
  •  

L-umar

2.4- อิสระ

อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า


وَيَضَعُ عَنْهُمْ إِصْرَهُمْ وَالأَغْلاَلَ الَّتِي كَانَتْ عَلَيْهِمْ

และจะปลดเปลื้อยงออกจากพวกเขาซึ่งภาระหนักของพวกเขาและห่วงคอที่ปรากฏอยู่บนพวกเขา
ซูเราะฮ์อัลอะอฺรอฟ : 157

وَلَقَدْ بَعَثْنَا فِي كُلِّ أُمَّةٍ رَسُولًا أَنِ اعْبُدُوا اللَّهَ وَاجْتَنِبُوا الطَّاغُوتَ فَمِنْهُمْ مَنْ هَدَى اللَّهُ وَمِنْهُمْ مَنْ حَقَّتْ عَلَيْهِ الضَّلَالَةُ فَسِيرُوا فِي الْأَرْضِ فَانْظُرُوا كَيْفَ كَانَ عَاقِبَةُ الْمُكَذِّبِينَ

และโดยแน่นอน เราได้ส่งร่อซูลมาในทุกประชาชาติ (โดยบัญชาว่า) " พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮ์ และจงหลีกหนีให้ห่างจากพวกเจว็ด " ดังนั้น ในหมู่พวกเขามีผู้ที่อัลลอฮ์ทรงชี้แนะทางให้และในหมู่พวกเขามีการหลงผิดคู่ควรแก่เขา ฉะนั้นพวกเจ้าจงตระเวนไปในแผ่นดิน แล้วจงดูว่า บั้นปลายของผู้ปฏิเสธนั้นเป็นเช่นใด

ซูเราะฮ์อันนะหฺลุ  : 36

وَالَّذِينَ اجْتَنَبُوا الطَّاغُوتَ أَنْ يَعْبُدُوهَا وَأَنَابُوا إِلَى اللَّهِ لَهُمُ الْبُشْرَى فَبَشِّرْ عِبَادِ

และบรรดาผู้ที่หลีกหนีให้ห่างจากพวกเจว็ดเพื่อที่จะไม่สักการะบูชามัน และหันไปจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ สำหรับพวกเขานั้นมีข่าวดี  ดังนั้นเจ้าจงแจ้งข่าวดีแก่ปวงบ่าวของข้า

ซูเราะฮ์อัซซุมัร  : 17


อัลหะดีษ

38. ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)  :


จากสารของท่าน(ศ)ที่ส่งไปยังชาวเมืองนัจญ์รอน (มีใจความว่า) :

ด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของอับราฮัม,อิสฮากและจาคอบ(ยะอ์กูบ)

จากมุฮัมมัด ผู้เป็นศาสนฑูตแห่งอัลลอฮฺถึงท่านสังฆราชอุสกุฟแห่งเมืองนัจญ์รอนและชาวเมืองนัจญ์รอน  หากพวกท่านเข้ารับอิสลาม ข้าพเจ้าจะขอสรรเสริญขอบคุณอัลลอฮ์ยังพวกท่าน พระองค์คือพระเจ้าของอับราฮัม,อิสฮากและจาคอบ อัมมาบะอ์ดุ แท้จริงข้าพเจ้าขอเชิญชวนพวกท่านสู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ แทนการสักการะมนุษย์ และขอเชิญชวนพวกท่านเข้าสู่อำนาจการปกครองของอัลลอฮฺแทนอำนาจการปกครองของมนุษย์

39.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) กล่าวว่า :

แท้จริงอัลลอฮฺทรงส่งฉันมาต่อสู้กับกษัตริย์ทั้งหลายแห่งโลกดุนยา และนำอำนาจปกครองนั้นกลับคืนมาสู่พวกท่าน ดังนั้นขอให้พวกท่านจงตอบรับฉันยังสิ่งที่ฉันเชิญชวนพวกท่านไปสู่พระองค์  ด้วยอำนาจนั้นพวกท่านจะปกครองชาวอาหรับ และด้วยอำนาจนั้นพวกอาญั่ม(ไม่ใช่อาหรับ)จะถือศาสนาตามพวกท่าน แล้วพวกท่านจะเป็นราชาในสรวงสวรรค์

40. เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) ได้นำครอบครัวที่ใกล้ชิดของท่านมารวมกัน ในตอนแรกที่เริ่มเรียกร้องเชิญชวน(ผู้คนสู่อัลอิสลามที่เมืองมักกะฮ์) และท่านได้อธิบายสัญญาณการเป็นศาสดาแก่พวกเขา- : ว่า โอ้ลูกหลานของอับดุลมุตต่อลิบเอ๋ย !  แท้จริงอัลลอฮฺทรงส่งฉันมายังมนุษยชาติทั้งมวล และทรงส่งฉันมายังพวกท่านโดยเฉพาะ  
ดังนั้นอัลลอฮฺ อัซซะวะญัลทรงตรัสว่า

( وَأَنْذِرْ عَشِيْرَتَكَ الْأَقْرَبِيْنَ - และเจ้าจงตักเตือนเครือญาติสนิทของเจ้า)

ซูเราะฮ์อัชชุอะรอ : 214

ฉันขอเชิญชวนพวกท่านไปสู่สองถ้อยคำเบาๆบนลิ้น แต่หนักอึ้งบนตราชั่งมีซาน  ด้วยสองคำนี้พวกท่านจะปกครองชาวอาหรับและอาญั่ม  และด้วยสองคำนี้ประชาชาติทั้งหลายจะยอมศิโรราบต่อพวกท่าน  และพวกท่านจะได้เข้าสวรรค์เพราะสองคำนี้  และพวกท่านจะรอดพ้นจากไฟนรกเพราะสองคำนี้ นั่นคือคำปฏิญาณว่า  ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺ และแท้จริงฉันคือศาสนทูตของอัลลอฮฺ

41. หนังสืออัตต็อบกอตุลกุบรอ :

เมื่อชาวกุเรชได้เห็นการประกาศอิสลามปรากฏ ชาวมุสลิมนั่งอยู่รายลอบอัลกะอ์บะฮ์ ในมือของพวกเขาก็ตกลงแล้วพวกเขาได้เดินไปหาท่านอบูตอลิบ...  พวกเขากล่าวว่า ท่านจงส่งคนไปหาเขา(ศ) แล้วเราจะมอบให้เขาครึ่งหนึ่ง  ท่านอบูตอลิบจึงส่งคนไปหาเขา(ศ) แล้วท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้มาหา(ลุง) ท่านอบูตอลิบกล่าวว่า  โอ้บุตรของน้องชายฉัน  พวกเขาเหล่านี้คือลุงของเจ้าและบรรดาคนมีเกียรติแห่งหมู่ชนของเจ้า  และพวกเขาต้องให้ความเป็นธรรมต่อเจ้า  ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า พวกท่านจงว่ามา ฉันจะฟัง
พวกเขากล่าวว่า  ท่านจงเลิกยุ่งกับบรรดาพระเจ้าของพวกเรา และเราจะเลิกยุ่งกับพระเจ้าของท่าน...
ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า  พวกท่านจะเห็นเช่นไร หากฉันให้ท่านตามนี้  แล้วพวกท่านจะเป็นผู้มอบถ้อยคำหรือไม่  หากพวกท่านกล่าวถ้อยคำนั้น  พวกท่านจะได้ปกครองชาวอาหรับด้วยถ้อยคำนั้น  และพวกอาญั่มก็จะถือศาสนาตามพวกท่านเพราะถ้อยคำนั้น ?

อบูญะฮัลกล่าวว่า  แท้จริงถ้อยคำที่ว่านี้ ช่างเป็นถ้อยคำที่มีกำไรยิ่ง ใช่แล้ว ขอสาบานต่อบิดาเจ้า  พวกเราจะต้องกล่าวมันอย่างแน่นอน และเป็นสิบๆเท่าของมัน
ท่าน(ศ)กล่าวว่า : ขอให้พวกท่านจงกล่าวว่า  " ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์เท่านั้น " พวกเขาตัวสั่นและถอยห่างจากมัน พวกเขาโกรธและลุกเดินจากไป
42.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)พำนักอยู่ที่เมืองมักกะฮฺสามปีนับจากเริ่มประกาศการเป็นศาสดาของท่านอย่างเงียบๆ จากนั้นท่านได้ประกาศอย่างเปิดเผยในปีที่สี่  ท่านได้เรียกร้องเชิญชวนผู้คนเข้าสู่อิสลามสิบปี...  จนกระทั่งท่านได้ข้อร้องจากเผ่าและชุมชนเคหะต่างๆ ทีละเผ่าๆ และท่านกล่าวว่า  โอ้ท่านทั้งหลาย ! จงกล่าวว่า  ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮฺ แล้วพวกท่านจะประสบความสำเร็จ พวกท่านจะปกครองชาวอาหรับด้วยถ้อยคำนี้  และพวกอาญั่มจะนอบน้อมต่อพวกท่าน  และเมื่อพวกท่านได้ศรัทธาแล้ว พวกท่านจะเป็นราชาในสรวงสวรรค์  ขณะนั้นอบูละฮับอยู่ข้างหลังท่าน(ศ) เขากล่าวว่า :  พวกท่านอย่าไปเชื่อเขา เพราะเขาเป็นคนนอกศาสนา คนโกหก
43.อิม่ามอาลี(อ) : อัลลอฮฺทรงส่งมุฮัมมัด(ศ)มาพร้อมสัจธรรม เพื่อนำปวงบ่าวของพระองค์ออกจากการสักการะเจว็ดทั้งหลายไปสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์  และจากการเชื่อฟังซาตานไปสู่การเชื่อฟังพระองค์  ด้วยคัมภีร์อัลกุรอาน แน่นอนท่านได้อธิบายมันและให้ความกระจ่างแก่มัน เพื่อให้ปวงบ่าวรู้จักพระผู้อภิบาลของเขา ในขณะที่พวกเขาไม่เคยรู้จักพระองค์  และเพื่อให้พวกเขายอมรับพระองค์หลังจากที่เคยดื้อดึงต่อพระองค์ และเพื่อให้พวกเขายืนยันพระองค์หลังจากที่พวกเขาเคยปฏิเสธพระองค์  

44.อิม่ามอาลี(อ) กล่าวว่า :

อัลลอฮฺ ตะบาร่อกะ วะตะอาลาทรงส่งมุฮัมมัด(ศ)มาพร้อมสัจธรรม เพื่อนำปวงบ่าวของพระองค์ออกจากการสักการะปวงบ่าวของพระองค์ไปสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์ และจากสัญญาของปวงบ่าวของพระองค์ไปสู่สัญญาของพระองค์  และจากการเชื่อฟังปวงบ่าวของพระองค์ไปสู่การเชื่อฟังพระองค์
และจากการปกครองของปวงบ่าวของพระองค์ไปสู่อำนาจการปกครองของพระองค์  

45.อิม่ามบาเก็ร(อ) –
ในสารของท่านที่ส่งไปยังกษัตริย์แห่งราชวงศ์อุมัยยะฮ์บางคน - :

และจากสิ่งนั้น การทำญิฮ๊าด(การต่อสู้เสียสละในหนทางของอัลลอฮฺ) จึงถูกทำลายลง ซึ่งอัลลอฮ์ทรงยกย่องมันเหนือกว่าการงานทั้งหลาย... ทรงกำหนดบนพวกเขาไว้ในการญิฮ๊าดซึ่งการรักษาขอบเขตที่กำหนด   และสิ่งแรกนั้นคือ การเรียกร้องเชิญชวนไปสู่การเชื่อฟังอัลลอฮฺ อัซซะวะญัล แทนการเชื่อฟังปวงบ่าว  และไปสู่การเคารพภักดีอัลลอฮฺแทนการสักการะปวงบ่าว  และไปสู่อำนาจการปกครองของอัลลอฮฺ แทนการปกครองของปวงบ่าว
  •  

L-umar

ความอิสระในสถาบันของบรรดาศาสดา

นับได้ว่า ความอิสระหลุดพ้นจากความทุกข์หรือความเดือดร้อนต่างๆ คือ สิ่งที่มนุษย์รู้สึกโหยหามัน ทั้งหมดเท่าที่เขายังอยู่ และนี่คือรากฐาน แม้ว่ามันเคยผูกติดในมิติหนึ่งจากมิติต่างๆของมันควบคู่อยู่กับรากฐานของความยุติธรรม แต่มันก็ถูกนับเป็นอีกมิติหนึ่ง นั่นคือกฎที่อยู่ภายใต้มิติแรกอย่างเป็นเอกเทศน์ ซึ่งไม่อาจจะทำให้เป็นจริงได้หากปราศจากมัน(ความอิสระ) แม้กระทั่งต่อความยุติธรรมในสังคม
และไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม... แท้จริงความต้องการนี้คือรากฐานของมนุษย์ ที่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลในลักษณะที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ในแนวทางของบรรดาศาสดา และมันถูกขานรับ

คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวด้วยนัยยะที่ว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้รับสารมาจากพระเจ้า ด้วยเป้าหมายที่ว่า  :

وَيَضَعُ عَنْهُمْ إِصْرَهُمْ وَالأَغْلاَلَ الَّتِي كَانَتْ عَلَيْهِمْ

และจะปลดเปลื้องออกจากพวกเขาซึ่งภาระหนักของพวกเขาและห่วงคอที่ปรากฏอยู่บนพวกเขา  

ซูเราะฮ์อัลอะอฺรอฟ : 157


โซ่ตรวนล่ามเชลย

   ต่อมามีบ่วงโซ่สองเส้นที่ล่ามความอิสระของมนุษย์ไว้  และเขาจึงถูกทำลายพื้นฐานรองรับของเขาที่มีอยู่และความสามารถที่ยิ่งใหญ่ที่ถูกใส่ไว้ในตัวเขา  บ่วงโซ่เหล่านี้ มันจะกั้นกลางระหว่างมนุษย์กับการเคลื่อนไหวของเขาไปสู่ความเจริญตามที่คิด ยิ่งกว่านั้นมันยังดึงมนุษย์ให้ตกต่ำ  เสื่อมโทรมและถูกดูหมิ่น

   บ่วงโซ่สองเส้นนี้ อันหนึ่งอยู่ด้านใน อีกอันหนึ่งอยู่ด้านนอก

บ่วงด้านใน → แสดงออกมาด้วยฮาวานัฟซ์ คืออารมณ์ใฝ่ต่ำและการเอนเอียงไปในทางเรื่องที่ดื้อดึงพยศ ซึ่งมันล่ามความต้องการของมนุษย์ไว้ภายในและปิดล้อมความเป็นตัวตนนี้ (ซึ่งเขาในรากเดิมคือวิหกที่มาจากสวนแห่งอาณาจักรมะละกูต) ตกเป็นเชลยของความต้องการแห่งสัตว์เดรัจฉาน จนทำให้เขาเป็นผู้พร้อมจะที่พอใจต่อบ่วงโซ่ภายนอก
 
มันไม่ใช่เรื่องน่าให้อภัยในสิ่งที่พวกฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่นที่ก่อมันไว้ เพื่อสร้างความเสียหายแก่ฝูงชนและล่ามพวกเขาไว้  เพราะพวกมันกำลังปฏิบัติภาระกิจแรกคือการล่ามโซ่ด้านในก่อน ดังนั้นพวกมันจะยึดครองมนุษย์ในขั้นแรกคือความเป็นตัวตนและอิสระของเขาทางด้านใน ด้วยวิธีการจัดตั้งสำนักงาน  เล่นตลก และสื่อล่อลวงส่งเสริมต่างๆ ชักนำไปสู่สิ่งนั้นบนขอบข่ายที่กว้างขวาง  เพราะฉะนั้นเมื่อจบสิ้นแล้วสำหรับพวกเขา นั่นก็จะสะดวกแก่พวกเขาที่จะล่ามความเป็นอิสระของมนุษย์ทางด้านนอกไว้อย่างง่ายดาย  ยิ่งกว่านั้น แท้จริงมนุษย์(ในสภาพที่เขาตกอยู่ในหลุมเชลยทั้งด้านในและด้านนอก) บางครั้งเขาก็รู้สึกบ้างว่า เขานั้นกำลังสนุกอยู่กับอิสระที่สมบูรณ์

   แต่ว่าแท้จริงสิ่งที่เกิดขึ้นในแนวทางของบรรดาศาสดาแห่งอัลลอฮฺ  สำหรับการสร้างสรรค์ปัจเจกบุคคลและสังคมอันอิสระและขานรับความต้องการสู่เสรีภาพ....

ดังที่ท่านอาลี(อ)กล่าวว่า

لاَ يَسْتَرِقَنَّكَ الطَّمْعُ وَقَدْ جَعَلَكَ حُرّاً

อย่าให้ความโลภล่อลวงขโมยท่านได้เด็ดขาด และแน่นอนพระองค์ทรงให้ท่านมีอิสระ

لَيْسَ مَنِ ابْتَاعَ نَفْسَهُ فَأعتَقَهَا كَمَنْ بَاعَ نَفْسَهُ فَأَوْبَقَهَا

ไม่ใช่ผู้ที่ซื้อตัวเองแล้วจะปล่อยมันเป็นอิสระได้ จะเหมือนผู้ที่ขายตัวเองแล้วทำลายตัวเอง

مَنْ تَرَكَ الشَّهَوَاتِ كَانَ حُرًّا

ผู้ใดละทิ้งตัญหาต่างๆได้ เขาผู้นั่นคือคนมีอิสระ
  •  

L-umar

อิสระทางความคิด

บรรดาศาสดาในนามตัวแทนของพระเจ้าที่ถูกส่งมาเผยหลักธรรมแก่มนุษย์

พวกเขาได้ทำลายโซ่ตรวนเหล่านั้น  พวกเขาปล่อยให้มนุษย์มีเสรีภาพทางความคิด  และพวกเขายังได้นำขุมคลังทางปัญญาในตัวมนุษย์ออกมา หลังจากที่มันเคยถูกฝังไว้ในก้นบึ้งแห่งกิเลสตัญหาราคะทั้งหลาย

ท่านอิม่ามอาลี(อ)ได้กล่าวถึงเป้าหมายของการส่งศาสดาทั้งหลายมายังชาวโลกว่า :

يُثِيْرُوْا لَهُمْ دَفَائِنَ الْعُقُوْلِ

พวกเขา(บรรดาศาสดา) จะกระตุ้นสุสานของปัญญา ให้กับมนุษย์(ฟื้นขึ้นมา)


ตราบใดที่สติปัญญามนุษย์ยังถูกล่ามด้วยกิเลสตัญหา  ความคิดของเขาก็ตกเป็นเชลยต่ออารมณ์ใฝ่ต่ำ

คบไฟแห่งความคิดที่ลุกโชนก็ถูกนำไปเก็บไว้ภายใต้ม่านแห่งบูชาอัตตา วัตถุและการนับถือตัวตน(ของตัวเอง)...

ฉะนั้นมันจะไม่ก่อเกิดสิ่งใดสำหรับความคิดและความรู้ นอกจากร่องรอยของคนอ่อนแอ คนไม่เข้มแข็งในการปลดปล่อยมนุษย์เป็นอิสระและการพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์

ท่านอิม่ามอาลี(อ)ได้กล่าวในประเด็นนี้ว่า :

حَرَامٌ عَلَي كُلِّ عَقْلٍ مَغْلُوْلٍ بِالشَّهْوَةِ أَن يَنْتَفِعَ بِالْحِكْمَةِ

เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับปัญญาทั้งหลายที่ถูกล่ามด้วยบ่วงกิเลส ที่จะได้รับคุณต่อวิทยปัญญา

สิ่งต้องห้ามที่ท่านอิม่ามอาลี(อ)กล่าวถึงมันนั้น คือสิ่งต้องห้ามทางธรรมชาติ เปรียบเสมือนร่างกายของคนป่วย ย่อมไม่รู้สึกเอร็ดอร่อยกับอาหารรสเด็ด  และสำหรับอาหารดีนั้นก็จะไม่ไปกระตุ้นอันใดต่อเขาอีกด้วย

ยกเว้นเขาจะได้รับการรักษาให้ร่างกายหายดีเสียก่อน..  เพราะแท้จริงวิญญาณมนุษย์จะมีอุปสรรคปัญหากับชะฮ์วัต(กิเลส) อันจะได้รับคุณประโยชน์ต่อฮิกมัต (วิทยญาณที่มันเป็นอาหารทางจิตวิญญาณ) ตราบใดที่ยังไม่ได้บำบัดโรคของมันให้หายดีเสียก่อน

เมื่อได้มีการนำไปบำบัดรักษาโรคทางจิตวิญญาณ และทำลายโซ่ตรวนทางความคิดและขจัดม่านที่ปกคลุมความคิดออกไปแล้ว   แสงสว่างแห่งปัญญาก็จะลุกโชนขึ้น แล้วจะมุ่งสู่เส้นทางแห่งความก้าวหน้าของมนุษย์ ไม่ใช่ความลุ่มหลงแบบบูชา

ในเรื่องนี้ท่านอิม่ามอาลี(อ)ได้กล่าวว่า :
 
مَنْ غَلَبَ شَهْوَتَهُ ظَهَرَ عَقْلُهُ

ผู้ใดเอาชนะชะฮ์วัต(กิเลส)ของเขาได้  สติปัญญาของเขาจะปรากฏออกมา


เกี่ยวกับเรื่องนี้ คัมภีร์อัลกุรอานได้วางศาสตร์แห่งระบอบการปกครองของศาสดาไว้ด้วยรูปแบบดังนี้

اللّهُ وَلِيُّ الَّذِينَ آمَنُواْ يُخْرِجُهُم مِّنَ الظُّلُمَاتِ إِلَى النُّوُرِ


อัลลอฮฺคือผู้คุ้มครองช่วยเหลือบรรดาผู้มีศรัทธา  โดยทรงนำพวกเขาออกจากบรรดาความมืดสู่แสงสว่าง

ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮฺ : 257



ส่วนในระบอบการปกครองของพวกตอฆูต(พวกทรราชย์ที่ชอบตั้งตนเป็นพระเจ้าให้ผู้คนกราบไว้เคารพบูชา)นั้นเรื่องนี้ปรากฏแบบตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง


เพราะโปรแกรมต่างๆนั้นได้ถูกจัดไว้ในระบอบต่างๆเหล่านี้ โดยชักนำไปสู่การครอบงำความต้องการทางอารมณ์ใฝ่ต่ำแบบสัตว์เดรัจฉานต่อมนุษย์  จนกระทั่งความต้องการต่างๆนี้เปลี่ยนสภาพไปสู่ม่านปกคลุมการรู้แจ้งและการใช้ความคิดของมนุษย์  

ดังนั้นสัจธรรมความจริงก็จะกลายเป็นสิ่งที่ถูกคลุมเอาไว้หลังม่าน(มองไม่เห็น)

นั่นเป็นเพราะระบอบการปกครองต่างๆเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นระบอบคอมมิวนิสต์,ลัทธิเสรีนิยม(liberalism)และสมบูรณาญาสิทธิราช  

อันที่จริงมัน....ด้วยความโง่เขลาของมนุษย์ และเมื่อที่ความทรงจำนี้แพร่กระจายออกไป การมีอยู่ของเขาก็จะค่อยๆเสื่อมโทรมลง  

คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า

وَالَّذِينَ كَفَرُواْ أَوْلِيَآؤُهُمُ الطَّاغُوتُ يُخْرِجُونَهُم مِّنَ النُّورِ إِلَى الظُّلُمَاتِ

และบรรดาผู้ไม่ศรัทธา บรรดาผู้คุ้มครองช่วยเหลือพวกเขาคือ อัต-ตอฆูต พวกมันจะนำพวกเขาออกจากแสงสว่างไปสู่ความมืด

ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮฺ : 257
  •  

L-umar

2.5- แสงสว่างและทางนำ


อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า


يَهْدِي بِهِ اللَّهُ مَنِ اتَّبَعَ رِضْوَانَهُ سُبُلَ السَّلَامِ وَيُخْرِجُهُمْ مِنَ الظُّلُمَاتِ إِلَى النُّورِ بِإِذْنِهِ وَيَهْدِيهِمْ إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ

ด้วยคัมภีร์นั้นแหล่ะ อัลลอฮ์จะทรงแนะนำผู้ที่ปฏิบัติตามความพึงพระทัยของพระองค์ซึ่งบรรดาทางแห่งความปลอดภัย   และจะทรงให้พวกเขาออกจากความมืดไปสู่แสงสว่างด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และจะทรงแนะนำพวกเขาสู่ทางอันเที่ยงตรง

อัลมาอิดะฮฺ :16

وَلَقَدْ أَرْسَلْنَا مُوسَى بِآَيَاتِنَا أَنْ أَخْرِجْ قَوْمَكَ مِنَ الظُّلُمَاتِ إِلَى النُّورِ وَذَكِّرْهُمْ بِأَيَّامِ اللَّهِ إِنَّ فِي ذَلِكَ لَآَيَاتٍ لِكُلِّ صَبَّارٍ شَكُورٍ
และโดยแน่นอน เราได้ส่งมูซาพร้อมด้วยสัญญาณต่าง ๆ ของเราว่า "จงนำกลุ่มชนของเจ้าออกจากความมืดมนทั้งหลายสู่ความสว่าง และจงเตือนพวกเขาให้รำลึกถึงวัน (แห่งความโปรดปราน) ของอัลลอฮฺ" แท้จริงในการนั้นย่อมเป็นสัญญาณแก่ผู้อดทนผู้ขอบคุณทุกคน

อิบรอฮีม :5

الر كِتَابٌ أَنْزَلْنَاهُ إِلَيْكَ لِتُخْرِجَ النَّاسَ مِنَ الظُّلُمَاتِ إِلَى النُّورِ بِإِذْنِ رَبِّهِمْ إِلَى صِرَاطِ الْعَزِيزِ الْحَمِيدِ

อะลิฟ ลาม รอ คัมภีร์ที่เราได้ประทานลงมาแก่เจ้า เพื่อให้เจ้านำมนุษย์ออกจากความมืดมนทั้งหลาย   สู่ความสว่าง   ด้วยอนุมัติของพระเจ้าของพวกเขา สู่ทางของพระผู้เดชานุภาพ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ

อิบรอฮีม :1


อัลหะดีษ


46. อิม่ามอาลี(อ) – อธิบายลักษณะของท่านนบี(ศ) - :

اختاره من شجرة الأنبياء ، ومشكاة الضياء ، وذؤابة العلياء ، وسرة البطحاء ، ومصابيح الظلمة ، وينابيع الحكمة

(อัลลอฮฺ)ทรงคัดเลือกเขามาจาก  ต้นไม้แห่งบรรดาศาสดา  คือตะเกียงไฟแสงจ้า สูงส่งกว่าบรรดาผู้สูงศักดิ์ทั้งหลาย ความปิตติแห่งชาวบัฏฮาอ์     โคมไฟส่องความมืด  ต้นกำเนิดแห่งฮิกมัต  
   
47.อิม่ามอาลี(อ) – อธิบายลักษณะของอิสลาม - :

فِيهِ مَرَابِيعُ اَلنِّعَمِ وَ مَصَابِيحُ اَلظُّلَمِ لاَ تُفْتَحُ اَلْخَيْرَاتُ إِلاَّ مَفَاتِيحِهِ وَ لاَ تُكْشَفُ اَلظُّلُمَاتُ إِلاَّ بِمَصَابِحِهِ

ในอิสลามคือ ปฐมแห่งนิอฺมัตต่างๆ  โคมไฟส่องความมืด  ความดีงามต่างๆจะเปิดออกไม่ได้ นอกจากด้วยกุญแจต่างๆของมัน ความมืดมนต่างๆจะไม่ถูกขจัดออก นอกจากด้วยโคมไฟต่างๆของมัน    
  •  

L-umar

2.6- การสอนคัมภีร์และวิทยปัญญา


อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า


هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الْأُمِّيِّينَ رَسُولًا مِنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آَيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَإِنْ كَانُوا مِنْ قَبْلُ لَفِي ضَلَالٍ مُبِينٍ

พระองค์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งร่อซูลขึ้นคนหนึ่งในหมู่ผู้ไม่รู้จักหนังสือจากพวกเขาเองเพื่อสาธยายอายาตต่าง ๆ ของพระองค์แก่พวกเขา และทรงทำให้พวกเขาผุดผ่อง และทรงสอนคัมภีร์และความสุขุมคัมภีร์ภาพแก่พวกเขา และแม้ว่าแต่ก่อนนี้พวกเขาอยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้งก็ตาม

อัลญุมุอะฮฺ :  2

رَبَّنَا وَابْعَثْ فِيهِمْ رَسُولًا مِنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آَيَاتِكَ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَيُزَكِّيهِمْ إِنَّكَ أَنْتَ الْعَزِيزُ الْحَكِيمُ

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดส่งร่อซูลคนหนึ่งคนใดจากพวกเขาเองไปในหมู่พวกเขา ซึ่งเขาจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และจะได้สอนคัมภีร์ และความมุ่งหมายแห่งบัญญัติให้พวกเขาทราบ และซักฟอกพวกเขาให้สะอาด แท้จริงพระองค์ทรงไว้ซึ่งเดชานุภาพและปรีชาญาณ

อัลบะเกาะเราะฮฺ :129



อัลหะดีษ

48 .อิม่ามอาลี(อ) กล่าวว่า :

อัลลอฮฺทรงส่งบรรดารอซูลของพระองค์มายังญินและมนุษย์  เพื่อเปิดเผยสิ่งปกปิดของมันออกไปจากพวกเขา  เพื่อเตือนพวกเขาให้ระวังจากอันตรายของมัน เพื่อยกอุทาหรณ์ต่างๆแก่พวกเขา เพื่อทำให้พวกเขามองเห็นความบกพร่องของมัน และเพื่อจู่โจมพวกเขาด้วยถือว่ามาจากการใช้สุภาพดีและความโรคภัยของมัน  สิ่งฮะล้าลและสิ่งฮะร่ามของมัน  และสิ่งที่อัลลอฮฺทรงเตรียมไว้แก่บรรดาผู้เชื่อฟังจากพวกเขาและพวกไม่เชื่อฟัง  จากสวรรค์และไฟนรก  เกียรติและความอัปยศ  

49.อิม่ามกาซิม(อ) กล่าวว่า :

مَا بَعَثَ اللَّهُ أَنْبِيَاءَهُ وَ رُسُلَهُ إِلَى عِبَادِهِ إِلَّا لِيَعْقِلُوا عَنِ اللَّهِ فَأَحْسَنُهُمُ اسْتِجَابَةً أَحْسَنُهُمْ مَعْرِفَةً وَ أَعْلَمُهُمْ بِأَمْرِ اللَّهِ أَحْسَنُهُمْ عَقْلًا وَ أَكْمَلُهُمْ عَقْلًا أَرْفَعُهُمْ دَرَجَةً فِي الدُّنْيَا وَ الْآخِرَةِ

อัลลอฮฺไม่เคยส่งบรรดานบีและรอซูลของพระองค์ไปยังปวงบ่าวของพระองค์เพื่อกิจอื่นใด   นอกจากเพื่อให้พวกเขาใช้ปัญญาคิดใคร่ครวญถึงอัลลอฮฺ  ดังนั้นผู้ตอบรับดีที่สุดของพวกเขา คือผู้เข้าใจดีที่สุดของพวกเขา  ผู้รู้ถึงพระบัญชาของอัลลอฮฺมากที่สุด คือผู้ที่มีปัญญาดีที่สุดของพวกเขา  และผู้มีปัญญาสมบูรณ์ที่สุดของพวกเขา คือผู้มีฐานันดรสูงที่สุดของพวกเขาทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ
  •  

L-umar

2.7- ขัดเกลามารยาท


อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า


هُوَ الَّذِي بَعَثَ فِي الْأُمِّيِّينَ رَسُولًا مِّنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِهِ وَيُزَكِّيهِمْ

(อัลลอฮฺ)คือผู้ทรงส่งรอซูลผู้หนึ่งที่มาจากพวกเขา มาในหมู่ผู้ไม่รู้หนังสือ  เขาทำการสาธยายโองการต่างของพระองค์แก่พวกเขา และขัดเกลาพวกเขาให้บริสุทธิ์

อัลญุมุอะฮฺ :2
وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَيُزَكِّيهِمْ إِنَّكَ أَنتَ العَزِيزُ الحَكِيمُ
และ(รอซูล)สอนคัมภีร์และวิทยปัญญาแก่พวกเขา และขัดเกลาพวกเขาให้บริสุทธิ์ แท้จริงพระองค์ ผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้วิทยปัญญา
อัลบะเกาะเราะฮ์ :129


อัลหะดีษ

50. ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) กล่าวว่า :

بُعِثْتُ بِمَكَارِمِ الْأَخْلاَقِ وَمَحَاسِنِهَا

ฉันถูกส่งมาพร้อมกับมารยาทอันมีเกียรติและมารยาทที่ดีงาม

51.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า :

إنَّمَا بُعِثْتُ لِأُتَمِّمَ مَكَارِمَ الْأَخْلاَقِ

แท้จริงฉันถูกส่งมาเพื่อทำจริยธรรมอันสูงส่งสมบูรณ์

52.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า :

إِنَّمَا بُعِثْتُ لِأُتَمِّمَ حُسْنَ الْأَخْلاَقِ

แท้จริงฉันถูกส่งมาเพื่อทำให้จริยธรรมอันดีงามสมบูรณ์

53.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า :
بُعِثْتُ لِأُتَمِّمَ صَالِحَ الْأَخْلاَقِ

ฉันถูกส่งมาเพื่อทำให้จริยธรรมที่เหมาะสมสมบูรณ์

54.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า :

إنَّ اللهَ تَعَالَى بَعَثَنِيْ بِتَمَامِ مَكَارِمِ الْأَخْلاَقِ ، وَكَمَالِ مَحَاسِنِ الْأَعْمَالِ

แท้จริงอัลลอฮฺส่งฉันมาพร้อมกับความสมบูณ์ของจริยธรรมอันสูงส่ง และความบริบูรณ์ที่ดีงามแห่งการงานทั้งหลาย
  •  

L-umar

2.8- ทำให้มนุษย์ดำรงอยู่ด้วยความยุติธรรม

อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า


لَقَدْ أَرْسَلْنَا رُسُلَنَا بِالْبَيِّنَاتِ وَأَنزَلْنَا مَعَهُمُ الْكِتَابَ وَالْمِيزَانَ لِيَقُومَ النَّاسُ بِالْقِسْطِ

โดยแน่นอน เราได้ส่งบรรดารอซูลของเราพร้อมด้วยหลักฐานทั้งหลายอันชัดแจ้ง และเราได้ประทานคัมภีร์และความยุตธรรมลงมาพร้อมกับพวกเขา เพื่อมนุษย์จะได้ดำรงอยู่บนความเที่ยง

อัลหะดีด  :  25


وَأَنزَلْنَا الْحَدِيدَ فِيهِ بَأْسٌ شَدِيدٌ وَمَنَافِعُ لِلنَّاسِ وَلِيَعْلَمَ اللَّهُ مَن يَنصُرُهُ وَرُسُلَهُ بِالْغَيْبِ إِنَّ اللَّهَ قَوِيٌّ عَزِيزٌ

และเราได้ให้มีเหล็กขึ้นมา เพราะในนั้นมีความแข็งแกร่งมาก และมีประโยชน์มากมายสำหรับมนุษย์ และเพื่ออัลลอฮฺจะได้ทรงรู้ถึงผู้ที่ช่วยเหลือพระองค์ และบรรดารอซูลของพระองค์(มีความเชื่อมั่น)โดยทางลับ(ต่อพระองค์) แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงอำนาจ

ซูเราะฮ์ อัลหะดีด :  25



อัลหะดีษ

55.อิม่ามอาลี (อ)ในซิฟัตของอัลลอฮฺ :

الذي صدق في ميعاده ، وارتفع عن ظلم عباده ، وقام بالقسط في خلقه ، وعدل عليهم في حكمه

ผู้ทรงสัจจะในสัญญาของพระองค์  และทรงขจัดความอธรรมของปวงบ่าวของพระองค์ออกไป และดำรงไว้ด้วยความเที่ยงธรรมในมัคลูกของพระองค์  และทรงให้ความยุติธรรมต่อพวกเขาในฮุก่มของพระองค์

56.อิม่ามอาลี (อ) ในซิฟัตของผู้ที่รำลึก :

يأمرون بالقسط ويأتمرون به ، وينهون عن المنكر ويتناهون عنه

พวกเขากำชับให้ทำดีด้วยความยุติธรรมและปรึกษาตามนั้น  และพวกเขาสั่งห้ามมิให้ทำชั่ว และพวกเขาก็ยุติสิ่งนั้น
  •  

L-umar

2.9- ฟื้นฟูทุกสิ่งที่มีค่า


อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า


الَّذِينَ يَتَّبِعُونَ الرَّسُولَ النَّبِيَّ الأُمِّيَّ الَّذِي يَجِدُونَهُ مَكْتُوبًا عِندَهُمْ فِي التَّوْرَاةِ وَالإِنْجِيلِ يَأْمُرُهُم بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَاهُمْ عَنِ الْمُنكَرِ وَيُحِلُّ لَهُمُ الطَّيِّبَاتِ وَيُحَرِّمُ عَلَيْهِمُ الْخَبَآئِثَ وَيَضَعُ عَنْهُمْ إِصْرَهُمْ وَالأَغْلاَلَ الَّتِي كَانَتْ عَلَيْهِمْ فَالَّذِينَ آمَنُواْ بِهِ وَعَزَّرُوهُ وَنَصَرُوهُ وَاتَّبَعُواْ النُّورَ الَّذِيَ أُنزِلَ مَعَهُ أُوْلَئِكَ هُمُ الْمُفْلِحُونَ

คือบรรดาผู้ปฏิบัติตามศาสนทูต(มุฮัมมัด) ศาสดาแห่งผู้อ่านเขียนไม่เป็น ที่พวกเขาพบเขาถูกจารึกไว้ณ.ที่พวกเขา  ทั้งใน(คัมภีร์)เตารอตและอินญีล โดยที่เขาจะกำชับพวกเขาให้ทำความดี และห้ามปรามพวกเขามิให้ทำความชั่ว  และจะอนุมัติให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งดีๆทั้งหลาย และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขาซึ่งสิ่งที่เลวทั้งหลาย  และจะปลดเปลื้องซึ่งภาระหนักของพวกเขาออกจากพวกเขาและห่วงคอที่ปรากฏอยู่บนพวกเขา  ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเขา(มุฮัมมัด)และให้ความสำคัญแก่เขา และช่วยเหลือเขา และปฏิบัติตามแสงสว่าง(อัลกุรอาน)ที่ถูกประทานลงมาแก่เขา พวกเขาเหล่านั้นคือบรรดาผู้ประสบความสำเร็จ

อัลอะอฺรอฟ : 157


อัลหะดีษ

57.อิม่ามรอฏิ(อ)กล่าวว่า  ในคัมภีร์อินญีล(ไบเบิล)บันทึกว่า (พระเยซูกล่าวว่า)   :

إنَّ ابن  البرة ذاهب ، والفار قليطا جآء من بعده ، وهو الذي يخفف الآصار  ، ويفسر لكم كل شئ ، ويشهد لي كما شهدت له ،

แท้จริง อิบนุล บัรเราะฮฺ ซาฮิบและอัลฟาร่อ ก่อลีฏอ( ผู้ได้รับการสรรเสริญ) จะมาภายหลังจากเขา(เยซู)  และเขาคือผู้ปลดเปลี้ยงบาป  เขาจะอธิบายทุกสิ่งแก่พวกท่าน  และเขาจะเป็นพยานแก่ฉันเหมือนที่ฉันเป็นพยานให้แก่เขา  

أنا جئتكم بالامثال وهو يأتيكم بالتأويل

ฉันนำอุทาหรณ์ต่างๆมาให้พวกท่าน  ส่วนเขาจะนำมายังพวกท่านด้วยคำอธิบาย

คำอธิบาย
 
อัลลามะฮฺตะบาตะบาอี กล่าวในตัฟสีรของท่านว่า :

الَّذِينَ يَتَّبِعُونَ الرَّسُولَ النَّبِيَّ الأُمِّيَّ  

บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามศาสนฑูต(มุฮัมมัด)  ศาสดาแห่งผู้อ่านเขียนไม่เป็น )

ท่านรอฆิบกล่าวไว้ในหนังสืออัลมุฟร่อด๊าตว่า อัลอิศรุ่ -  اَلْإِصْرُ  หมายถึง ข้อตกลงหรือสัญญา และกักมันไว้ด้วยกำลังของเขา  เช่นกล่าวว่า : أصَرْتُهُ- คือ ฉันได้ตั้งข้อตกลงไว้กับเขาแล้ว  เขาจึงถูกผูกมัดไว้ : ผู้กักเรือ  

อัลลอฮฺทรงตรัสว่า : وَيَضَعُ عَنْهُمْ إِصْرَهُمْ

และจะปลดเปลื้องภาระหนักของพวกเขา ออกจากพวกเขา) หมายถึง มันคือภารกิจต่างๆที่กีดกั้นขัดขวางพวกเขาและล่ามพวกเขาไว้จากความดีงามต่างๆและไม่ให้ได้รับรางวัล

และด้วยเหตุนี้ (  وَلاَ تَحْمِلْ عْلَيْنَا إِصْرًا - โปรดอย่าได้บรรทุกภาระหนักใดๆแก่พวกเรา) อัลบะเกาะเราะฮฺ : 256 บ้างคนกล่าวว่าหมายถึง  ثِقْلٌ – หนัก  และมันคือความจริงตามที่กล่าวไว้ จบ.  ส่วนคำ  อัฆล้าล - أَغْلاَلٌ – เป็นพหูพจน์คำ  ฆิ้ล - غُلٌّ – ปลอกคอ  มันคือสิ่งเขาถูกล่ามไว้...

ตามนัยยะของโองการนี้ได้กล่าวถึงซิฟัตของท่านนบีไว้สามลักษณะคือ : อัลรอซูล, นะบีและอัลอุมมี โดยเฉพาะลักษณะที่สามคือข้อที่เห็นได้ชัด
โองการนี้ยังได้บ่งชี้ไว้เช่นกันอีกว่า  (يَأْمُرُهُم بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَاهُمْ عَنِ الْمُنكَرِ -โดยที่เขาจะกำชับพวกเขาให้ทำความดี และห้ามปรามพวกเขามิให้ทำความชั่ว  ) ไปจนถึงตอนท้ายคือเรื่องต่างๆทั้งห้าที่กล่าวถึงท่านนบี(ศ)ไว้ด้วยโองการนั้น จากสัญลักษณ์ต่างๆของท่านนบีตามที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์ทั้งสอง(เตารอตและอินญีล)

และสิ่งนั้นคือส่วนหนึ่งจากลักษณะพิเศษของท่านนบี(ศ) และแนวทางของท่านนั้นขาวบริสุทธิ์    แท้จริงประชาชาติต่างๆที่เป็นคนดีนั้น แม้ว่าพวกเขาเคยปฏิบัติต่อหน้าที่แนะนำให้ทำดีและห้ามปรามมิให้ทำชั่ว (ตามที่อัลลอฮฺตรัสถึงพวกอะฮฺลุลกิตาบ)ไว้ในโองการ

لَيْسُوا سَوَاءً مِنْ أَهْلِ الْكِتَابِ أُمَّةٌ قَائِمَةٌ يَتْلُونَ آَيَاتِ اللَّهِ آَنَاءَ اللَّيْلِ وَهُمْ يَسْجُدُونَ

يُؤْمِنُونَ بِاللَّهِ وَالْيَوْمِ الْآَخِرِ وَيَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنْكَرِ وَيُسَارِعُونَ فِي الْخَيْرَاتِ وَأُولَئِكَ مِنَ الصَّالِحِينَ

พวกเขาหาใช่เหมือนกันไม่ จากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นมีกลุ่มชนหนึ่งที่เที่ยงธรรม ซึ่งพวกเขาอ่านบรรดาโองการของอัลลอฮ์ในยามค่ำคืน และพร้อมกันนั้น พวกเขาก็สุยูดกัน

พวกเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และวันปรโลก และใช้ให้ปฏิบัติสิ่งที่ชอบ และห้ามมิให้ปฏิบัติสิ่งที่ไม่ชอบ และต่างรีบเร่งกันในบรรดาสิ่งดีงาม และชนเหล่านี้และอยู่ในหมู่ที่ประพฤติ
อาลิ อิมรอน : 113,114

และการอนุมัติในสิ่งดีงามต่างๆและห้ามปรามสิ่งเลวทรามต่างๆก็เช่นกัน นับว่าเป็นส่วนหนึ่งจากธรรมชาติที่บรรดาศาสนาของพระเจ้าที่มีมติตรงกัน  

และอัลลอฮฺทรงตรัสว่า

قُلْ مَنْ حَرَّمَ زِينَةَ اللّهِ الَّتِيَ أَخْرَجَ لِعِبَادِهِ وَالْطَّيِّبَاتِ مِنَ الرِّزْقِ

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ผู้ใดเล่าที่ต้องห้ามซึ่งเครื่องประดับของอัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงนำออกมาสำหรับปวงบ่าวของพระองค์ และบรรดาสิ่งดีๆจากปัจจัยยังชีพ

อัลอะอฺรอฟ : 32

การปลดเปลื้องภาระหนักและห่วงคอก็เช่นกันถึงแม้ว่ามันจะเป้นส่วนหนึ่งจากหลักธรรมของนบีอีซา(อ) ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ในอัลกุรอานว่า

وَمُصَدِّقًا لِّمَا بَيْنَ يَدَيَّ مِنَ التَّوْرَاةِ وَلِأُحِلَّ لَكُم بَعْضَ الَّذِي حُرِّمَ عَلَيْكُمْ

และฉันจะเป็นผู้มายืนยันสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของ อันได้แก่ (คัมภีร์)เตารอต และเพื่อที่ฉันจะได้อนุมัติแก่พวกท่าน ซึ่งบางสิ่งที่ถูกห้ามแก่พวกท่าน

อาลิ อิมรอน : 50

และมีโองการที่เป็นคำพูดของนบีอีซาที่สนทนากับพวกวงศ์วานอิสรออีลว่า

قَدْ جِئْتُكُم بِالْحِكْمَةِ وَلِأُبَيِّنَ لَكُم بَعْضَ الَّذِي تَخْتَلِفُونَ فِيهِ

แน่นอนฉันได้มายังพวกท่านพร้อมกับวิทยปัญญา และเพื่อฉันจะได้อธิบายแก่พวกเจ้า ในบางสิ่งที่พวกเจ้ากำลังขัดแย้งอยู่ในมัน

อัซ-ซุครุฟ : 63

   นอกเสียจากว่า ผู้สงสัยจะไม่มีความสงสัยใดๆอีกต่อไปว่าแท้จริงศาสนาที่มุฮัมมัด(ศ)ได้นำมาพร้อมกับคัมภีร์ณ.ที่อัลลอฮ์นั้น มันได้ยืนยันในสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเขาจากคัมภีร์แห่งฟากฟ้าทั้งหลาย(มันคือศาสนาอิสลาม) เป็นเพียงศาสนาเดียวที่เป่าทุกสิ่งอันสะดวกแก่เขาจากวิญญาณแห่งชีวิต ลงไปในร่างของคำสั่งให้ทำดีและห้ามมิให้ทำชั่ว  จนมันบรรลุขั้นที่ว่า จากขอบเขตของการเรียกร้องเชิญชวนเปล่าๆ  สู่ขั้นให้ทำญิฮ๊าดในหนทางของอัลลอฮฺด้วยทรัพย์สินและชีวิต  และอิสลามเป็นเพียงศาสนาเดียวที่รวบรวมทั้งหมดทุกสิ่งที่มันมีความเกี่ยวข้องอยู่กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวหรือกิจการงานต่างๆ  จากนั้นได้แบ่งเรื่องและงานต่างๆออกเป็นสิ่งดีต่างๆแล้วอนุมัติแก่มัน และเป็นสิ่งเลวทรามต่างๆแล้วสั่งห้ามมัน  ไม่มีหลักธรรมของศาสนาใดและกฎเกณฑืของสังคมใดจะมาเทียบกับมัน(อิสลาม)ได้ในการจำแนกกฏเกณฑ์อันเป็นบทบัญญัติไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน  มันจึงเป็นศาสนาที่มายกเลิกหลักธรรมทั้งหมดที่มีความยุ่งยากลำบากที่ถูกตั้งไว้แก่ชาวคัมภีร์และพวกยิวโดยเฉพาะ  และสิ่งที่บรรดาอุละมาอ์ของพวกเขาได้วางไว้ และสิ่งที่พวกบาดหลวงกับพวกปุโรหิตยิวของพวกเขาได้อุตริสร้างมันขึ้นมาเอง
  •  

L-umar

2.10-  การทำให้หลักฐานของพระเจ้าสมบูรณ์


อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า


لَكِنِ اللَّهُ يَشْهَدُ بِمَا أَنْزَلَ إِلَيْكَ أَنْزَلَهُ بِعِلْمِهِ وَالْمَلَائِكَةُ يَشْهَدُونَ وَكَفَى بِاللَّهِ شَهِيدًا

คือบรรดาร่อซูลในฐานะผู้แจ้งข่าวดี และในฐานะผู้ตักเตือน เพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีหลักฐานใด ๆ อ้างแก้ตัวแก่อัลลอฮฺได้ หลังจากบรรดาร่อซูลเหล่านั้น และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ

อันนิสาอฺ : 165


وَلَوْلَا أَنْ تُصِيبَهُمْ مُصِيبَةٌ بِمَا قَدَّمَتْ أَيْدِيهِمْ فَيَقُولُوا رَبَّنَا لَوْلَا أَرْسَلْتَ إِلَيْنَا رَسُولًا فَنَتَّبِعَ آَيَاتِكَ وَنَكُونَ مِنَ الْمُؤْمِنِينَ
และหากมิใช่เคราะห์กรรมหนึ่งประสบแก่พวกเขา เนื่องด้วยน้ำมือของพวกเขาที่ได้กระทำไว้ก่อน แล้วพวกเขาก็จะพูดขึ้นว่า"ข้าแต่พระเจ้าของเรา เหตุใดพระองค์จึงไม่ส่งร่อซูลคนหนึ่งมายังพวกเรา เพื่อจะได้ปฏิบัติตามโองการทั้งกลายของพระองค์ท่านและเราจะได้อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา"
อัลเกาะศ็อศ :47

وَكَذَلِكَ أَنْزَلْنَاهُ قُرْآَنًا عَرَبِيًّا وَصَرَّفْنَا فِيهِ مِنَ الْوَعِيدِ لَعَلَّهُمْ يَتَّقُونَ أَوْ يُحْدِثُ لَهُمْ ذِكْرًا

และเช่นนั้นแหละ เราได้ให้กุรอานเป็นภาษาอาหรับลงมาแก่เขา และเราได้กล่าวซ้ำในนั้นซึ่งข้อตักเตือน หวังว่าพวกเขาจะมีความยำเกรงหรือเกิดข้อเตือนใจแก่พวกเขา

ฏอฮา : 133


อัลหะดีษ

58. ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) กล่าวว่า :

พระองค์อัลลอฮ์ทรงส่งบรรดารอซูลไปยังพวกเขา เพื่อจะได้เป็นหลักฐานเด็ดขาดสำหรับพระองค์ต่อปวงบ่าวของพระองค์ และบรรดารอซูลของพระองค์ที่ไปยังพวกเขาก็จะเป็นพยานบนพวกเขา  และบรรดานบี ผู้แจ้งข่าวดีและผู้เตือนข่าวร้ายที่ส่งไปในพวกเขา  เพื่อจะทำลายผู้ที่หายนะจากหลักฐานอันชัดแจ้ง และให้ชีวิตแก่ผู้มีชีวิตจากหลักฐานอันชัดแจ้งนั้น และเพื่อปวงบ่าวนั้นจะได้ใช้ปัญญาคิดไตร่ตรองถึงพระผู้อภิบาลของพวกเขา ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักพระองค์มาก่อน แล้วพวกเขาจะได้รู้จักพระองค์ด้วยความเป็นพระผู้อภิบาลของพระองค์หลังจากที่พวกเขาเคยปฏิเสธ  และพวกเขาจะให้ความเป็นหนึ่งแก่พระองค์ต่อความเป็นพระเจ้าหลังจากที่พวกเขาเคยตั้งภาคี(ต่อพระองค์)

59.อิม่ามอาลี(อ)กล่าวว่า :

และฉันขอปฏิญาณตนว่า แท้จริงมุฮัมมัด(ศ)คือบ่าวของพระองค์และเป็นศาสนทูตของพระองค์  พระองค์ทรงส่งเขามาเพื่อปฏิบัติภารกิจของพระองค์ ทำให้อุปสรรคขอพระองค์หมดไปและนำเสนอการตักเตือนของพระองค์

60.อิม่ามอาลี(อ)กล่าวว่า :

อัลลอฮฺทรงส่งบรรดารอซูลของพระองค์ ด้วยสิ่งที่เจาะจงมันไว้กับพวกเขาจากวะฮีของพระองค์ และทรงแต่งตั้งพวกเขาไว้เป็นหลักฐานสำหรับพระองค์

ปวงบ่าวของพระองค์  เพื่อหลักฐานนั้นจะได้เป็นเหตุเอาความกับพวกเขา ต่อการละทิ้งข้อแก้ตัวที่ไปยังพวกเขา  ดังนั้นพระองค์ได้เชิญชวนพวกเขาด้วยลิ้นแห่งสัจจะสู่หนทางแห่งสัจธรรม

61.อิม่ามศอดิก(อ)กล่าวว่า :

เมื่อท่านถูกถามถึงปรัชญาการส่งศาสดามายังมนุษย์ - : เพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีหลักฐานใดๆอ้างแก้ตัวแก่อัลลอฮฺได้ หลังจากบรรดารอซูลเหล่านั้น และเพื่อพวกเขาจะได้ไม่กล่าวว่า : ไม่เคยมีผู้แจ้งข่าวดีและผู้เตือนข่าวร้ายมายังพวกเราเลย  และเพื่อจะเป็นหลักฐานของอัลลอฮฺบนพวกเขา  ท่านเคยได้ยินอัลลอฮฺ อัซซะวะญัลทรงเล่าถึงผู้คุมนรกที่ยกหลักฐานเอาความกับพวกชาวนรก ด้วยบรรดานบีและรอซูลว่า :

أَلَمْ يَأْتِكُمْ نَذِيرٌ  قَالُوا بَلَى قَدْ جَاءنَا نَذِيرٌ فَكَذَّبْنَا وَقُلْنَا مَا نَزَّلَ اللَّهُ مِن شَيْءٍ  

มิได้มีผู้ตักเตือนมายังพวกเจ้าดอกหรือ ? พวกเขากล่าวว่า มี ได้มีผู้ตักเตือนมายังพวกเรา แต่พวกเราได้ปฏิเสธ และเรายังกล่าวอีกว่า อัลลอฮฺมิได้ประทานสิ่งใดลงมา...
  •  

L-umar

บทที่ 3

การเป็นศาสดาคนสุดท้ายของโลก
  •  

L-umar


บทที่ 3

การเป็นศาสดาคนสุดท้ายของโลก



อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ وَلَكِن رَّسُولَ اللَّهِ وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ وَكَانَ اللَّهُ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمًا

มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า  แต่เขาเป็นรอซูลของอัลลอฮฺและคนสุดท้ายแห่งบรรดานบี  และอัลลอฮฺนั้นทรงรอบรู้ทุกสิ่ง

ซูเราะฮ์อัลอะหฺซาบ :40

อัลหะดีษ

62.  ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า :
ศาสดาคนแรกคือ อาดัม และคนสุดท้ายของพวกเขาคือมุฮัมมัด

63.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : อุปมาเช่นข้าพเจ้าในหมู่ศาสดานั้น เปรียบอุปมัยดั่งเช่น ชายคนหนึ่งได้สร้างบ้านไว้หลังหนึ่ง ดังนั้นเขาสร้างมันอย่างดี อย่างสวยงามและตบแต่งมันอย่างดีที่สุด และเขาทิ้งช่องอิฐหนึ่งของมันไว้  แล้วผู้คนมาเวียน(ชม)ต่ออาคารหลังนั้น และพวกเขาแปลกใจมัน แล้วกล่าวว่า  หากเขาทำให้ช่องหินตรงนั้นสมบูรณ์(ก็จะสวยที่สุด)  และฉันในหมู่บรรดาศาสดาคือช่องอิฐอันนั้น

64. ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : แท้จริงฉันถูกส่งมา เป็นผู้เปิด(กิจการ)และเป็นผู้ปิดคนสุดท้าย

65.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : ในอนาคตในประชาชาติของฉันจะมีคนโกหกสามสิบคนทั้งหมดจะอ้างว่า เขาคือศาสดา และฉันคือศาสดาคนสุดท้าย จะไม่มีศาสดาหลังจากฉันอีก

66.  โอ้มนุษย์ทั้งหลาย  แท้จริงจะไม่มีศาสดาหลังจากฉันอีกแล้ว  และจะไม่มีแนวทางอีกแล้วหลังจากแนวทางของฉัน  แล้วผู้ใดอ้างสิ่งนั้น ดังนั้นคำอ้างของเขาและบิดอะฮ์(อุตริกรรม)ของเขาจะอยู่ในไฟนรก

67. ฉันคือผู้ตามมาหลังสุด ซึ่งหลังจากมันแล้วจะไม่ศาสดาอีก

68. ฉันคือศาสดาคนสุดท้ายแห่งบรรดาศาสดา

69. อิม่ามอาลีได้กล่าวในเรื่องมับอัษของท่านนะบี(ศ)ว่า :

อัลลอฮฺ(ซบ.)ทรงส่งมุฮัมมัดมาเป็นรอซูลของอัลลอฮฺ(ศ) เพื่อทำให้สัญญาของพระองค์เสร็จสิ้นและเพื่อทำให้ตำแน่งนุบูวะฮฺของพระองค์สมบูรณ์แบบ
70.อิม่ามอาลี(อ) : ในเรื่องซิฟัตท่านนบี(ศ) : เขาคือ ผู้ซื่อสัตย์แห่งวาฮีของพระองค์  คนสุดท้ายแห่งรอซูลของพระองค์  ผู้แจ้งข่าวดีแห่งความเมตตาของพระองค์ ผู้เตือนข่าวร้ายแห่งการลงทัญฑ์ของพระองค์

71.อิม่ามศอดิก(อ)กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮฺ อัซซะ ซิกรุฮู  แท้จริงอัลลอฮฺทรงปิดผนึกบรรดาศาสดาด้วยนบีของพวกเจ้า ดังนั้นจะไม่มีนบีหลังจากเขาอีกตลอดกาล และทรงปิดผนึกคัมภีร์ต่างๆด้วยคัมภีร์(กุรอ่าน)ของพวกเจ้า ดังนั้นจะไม่มีคัมภีร์ใดหลังจากเขาอีกตลอดกาล

72.อิมามศอดิก(อ)กล่าวว่า : จนกระทั่งมุฮัมมัด(ศ)ได้มา  แล้วเขาได้มาพร้อมอัลกุรอาน ด้วยหลักธรรมของเขาและแนวทางของเขา  ดังนั้นการอนุมัติของเขา คือการสิ่งอนุมัติตราบถึงวันกิยามะฮฺ และการห้ามของเขา เป็นสิ่งต้องห้ามตราบถึงวันกิยามะฮฺ

73. ซอฮี๊ฮฺมุสลิม จากสะอีด บิน อัลมุสสัยยิบ จากอามิร บิน สะอัด บิน อบีวักก็อศ จากบิดาเขาเล่าว่า :

ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ)กล่าวกับท่านอาลี(อ)ว่า : เจ้ากับฉันมีสถานะดั่งมูซากับฮารูน นอกจากว่าจะไม่มีนบีหลังจากฉันอีกแล้ว



วิจัยเกี่ยวกับปรัชญา(ฮิกมะฮฺ)ในตำแหน่งนะบีคนสุดท้าย

   การสนทนาถึงฮิกมัตของตำแหน่งศาสดาคนสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องยาว แต่สามารถถึงมัน ณ ที่นี้ แบบสั้นๆว่า ปรัชญาการส่งบรรดาศาสดาของพระเจ้ามายังมนุษย์คือ นำเสนอโปรแกรมพัฒนาสังคมมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์  ซึ่งจำเป็นจะต้องสร้างความสมบูรณ์ในการประกาศโปรแกรมนี้แก่มนุษยชาติแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละขั้นตอน  เพราะอุปมาสังคมตลอดระยะเวลาที่ผ่านในอดีต อุปมัยดั่งเด็กน้อยที่ต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูอยู่ในอ้อมอกการอบรมสั่งสอนของบรรดาศาสดา  และด้วยเหตุนี้เอง แท้จริงโปรแกรมของบรรดาศาสดานั้นจะอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินชีวิตของเด็กน้อยผู้นี้ที่มีภาวะแตกต่างกันไป อันจำเป้นจะต้องดำเนินการให้เหมาะสมกับธรรมชาติของเขาและพื้นฐานการรับของเขา

   บนพื้นฐานนี้เอง รูปแบบดำเนินการจะต้องเปลี่ยนไปเรื่อยๆสำหรับโปรแกรมของบรรดาศาสดาอยู่ในสี่ขั้นตอน จากสี่ระยะเวลาในอดีตก่อนที่อิสลามจะมาประกาศ และการประกาศเผยแผ่การเปลี่ยนแปลงต่างๆสู่สังคมนี้ได้เสร็จสมบูรณ์ลงด้วยสื่อกลางคือบุรุษสี่ท่านจากบรรดาศาสดาของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาเหล่านั้นคือผู้เป็นเจ้าของคัมภีร์และหลักธรรมคำสอน และเราเรียกชื่อพวกเขาว่า  ศาสดาแห่งหลักธรรม คือ ท่านศาสดานู๊หฺ(โนอาห์)  ศาสดาอิบรอฮีม(อับราฮัม)  ศาสดามูซา(โมเสส)และศาสดาอีซา(เยซู) อัลฮิมุสสลา
   ปรากฏว่าบรรดาศาสดาของพระเจ้าท่านอื่น ล้วนแต่เป็นผู้ประกาศเผยแผ่ตามหลักธรรมของบรรดาศาสดาเหล่านี้ผู้เป็นเจ้าของหลักธรรม  ซึ่งการชี้นำแห่งพระเจ้าได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจากระหว่างพวกเขา จนกระทั่งสังคมได้ย้อนกลับมามีพื้นฐานเพื่อรองรับการประกาศริซาละฮ์(สาร)สุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้า  และ ณ บัดนี้ ถือว่าได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบแล้วซึ่งการประกาศครั้งสุดท้ายของโปรแกรมพัฒนามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์และเป็นโปรแกรมที่สมบูรณ์ที่สุดสู่มวลมนุษยชาติ โดยอาศัยสื่อจากศาสดาคนสุดท้ายแห่งศาสดาทั้งหลาย อันเป็นแหล่งทุกสิ่งเรียกมันว่า พระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน เพื่อการดำเนินการอย่างต่อเนื่องของเหล่าศาสดาทั้งหลายจะได้สิ้นสุดลงด้วยการประกาศสารฉบับนี้

   ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้อธิบายไว้ในวจนะหนึ่งว่า

مثلي في النبيين كمثل رجل بنى داراً، فأحسنها وأكملها وأجملها وترك فيها موضع لبنة لم يضعها، فجعل الناس يطوفون بالبنيان، ويعجبون منه ويقولون: لو تم موضع هذه اللبنة، فأنا في النبيين موضع تلك اللبنة

رواه البخارى ومسلم والترمذى عن جابر، وابن حنبل ومسلم والبخارى عن أبى هريرة

อุปมาของฉันในหมู่ศาสดาทั้งหลาย เปรียบอุปมัยเช่น ชายคนหนึ่งได้สร้างบ้านหลังหนึ่ง แล้วเขาสร้างมันอย่างดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด  และตกแต่งมันสวยงามที่สุด และเขาได้เว้นส่วนหนึ่งของมันไว้สถานที่ก้อนอิฐหนึ่ง เขาไม่ได้ใส่มันลงไป  ดังนั้นผู้คนได้เข้ามาเวียนชมการสร้างบ้านหลังนั้น และพวกเขาแปลกใจมัน และพวกเขากล่าวว่า หากเขาเติมก้อนอิฐตรงที่นั้น (ก็จะสมบูรณ์แบบ) และฉันในหมู่บรรดาศาสดาคือสถานที่ของอิฐก้อนนั้นนั่นเอง

   ตามตัวอย่างดังกล่าวนี้ แท้จริงอัลลอฮฺ ตะอาลาทรงมีเจตนาในช่วงระหว่างที่ส่งบรรดาศาสดาทั้งหลายมา ที่จะสร้างอาคารแห่งมะอฺนาวี(ทางจิตวิญญาณ)ไว้ในโลกใบนี้ เพื่ออบรมสั่งสอนมนุษย์ให้เป็นผู้สมบูรณ์

لم يكن العالم يستطيع بدونه ان يربيّ سوي الحيوان

กล่าวคือ แท้จริงอัลลอฮ์ (ซบ.) คือวิศวกรของอาคารหลังนี้ เว้นแต่ว่า อาคารของพระองค์หลังนี้นั้นต้องใช้เวลาหลายศตวรรษ นั่นเป็นเพราะ พระองค์คือผู้ทรงกำหนดกะเกณฑ์ที่จะจัดเตรียมส่วนประกอบต่างๆของอาคารและพื้นที่อาคารของพระองค์เองตามระยะเวลาเป็นช่วงๆ  และตัวอย่างอิฐก้อนปฐมฤกษ์สำหรับอาคารแห่งจิตวิญญาณหลังนี้คือท่านศาสดาอาดัม อะลัยฮิสสลาม ส่วนก้อนสุดท้ายของมันคือ ท่านศาสดาคนสุดท้าย (ศ) พร้อมกันนั้นการส่งนบีคนสุดท้ายมา ถือว่าสถาบันอบรมสั่งสอนสังคมมนุษยชาติได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วทั้งหมดทุกด้าน  ซึ่งโปรแกรมของสถาบันนี้ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการพัฒนาลูกหลานมนุษย์ทั้งหมดสู่ความสมบูรณ์ จากทั้งสองด้านคือทางวัตถุและทางจิตวิญญาณ จนถึงวาระสุดท้ายของโลก และนั่นคือการสิ้นสุดตำแหน่งนุบูวะฮฺ

   แต่ตำแหน่งอิมามะฮฺ(อิม่าม)ผู้นำประชาชาติและผู้ชี้นำทางของพวกเขายังจะต้องดำเนินต่อไป ภายหลังการสิ้นสุดตำแหน่งนุบูวะฮฺโดยสื่อกลางจากท่านศาสดาคนสุดท้าย(ศ)ผ่านมาสู่อะฮ์ลุลบัยต์ (อ) ตามที่อัลกุรอานได้ประกาศไว้ว่า

إِنَّمَا أَنْتَ مُنْذِرٌ وَلِكُلِّ قَوْمٍ هَادٍ

แท้จริงเจ้า(มุฮัมมัด)เป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น และสำหรับทุกประชาชาติย่อมมีผู้นำ

อัลเราะอฺดุ : 7  


และมีหะดีษของทั้งสองฝ่าย(ซุนี่/ชีอะฮ์)กล่าวไว้ชัดเจนถึงความหมายของคำ

" อัลฮาดี – الهَادِيُّ " ในที่นี้หมายถึง ท่านอิม่ามอาลี (อ) ตามที่กล่าวไว้ในหนังสือตารีคดามัสกัส :  
เมื่อโองการ (( إِنَّمَا أَنْتَ مُنْذِرٌ وَلِكُلِّ قَوْمٍ هَادٍ   -แท้จริงเจ้า(มุฮัมมัด)เป็นเพียงผู้ตักเตือนเท่านั้น และสำหรับทุกประชาชาติย่อมมีผู้นำ)) ประทานลงมา ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า : ข้าพเจ้าเป็นผู้ตักเตือน และอาลีคือผู้นำ

   ต่อจากนั้นตำแหน่งอิมามะฮฺ(ผู้นำ)ภายหลังจากท่านอิม่ามอาลีได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในอะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน ตามที่มีรายงานจากท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) กล่าวว่า :

(( ข้าพเจ้าคือ ผู้ตักเตือน และอาลีเป็นผู้นำ และทุกอิม่าม ผู้ชี้นำสำหรับศตวรรษหนึ่งที่เขาอยู่ในสมัยนั้น ))

มีอีกรายงานหนึ่งจากท่านอิม่ามบาเก็ร(อ) กล่าวว่า :

(( ท่านรอซูลุลลอฮฺ คือ ผู้ตักเตือน และท่านอาลีคือ ผู้นำ และขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า มัน(ตำแหน่งผู้นำ)จะไม่สลายไปจากเรา และมันยังคงอยู่ในเราตราบถึงวันสิ้นโลก ))

   และยังมีรายงานย้ำถึงความจริงของเรื่องนี้ไว้ในฮะดีสษะเกาะลัยน์ อันเป็นรายงานที่มุตะวาติร และเชื่อมั่นได้แน่นอนอีกเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งอิมามะฮฺ ผู้นำของพระเจ้า สำหรับอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านศาสดา(ศ)จึงดำเนินต่อมา จนกระทั่งระยะเวลาเกือบสามศตวรรษ  แต่หลังจากท่านอิม่ามฮาซัน อัสการี่(อ) สิ้นชีพลง  ส่งผลให้พระเจ้าต้องใช้วิทยปัญญา  ที่จะต้องเก็บซ่อนตัวอิม่าม(คนที่12 ) ภายหลังจากเขา (เขาคือบิดาแห่งจิตวิญญาณของประชาชาติอิสลาม) มิให้ปรากฏต่อสายตาผู้คน  โดยท่านได้มอบหมายกิจการของสังคมมุสลิม ที่เป็นเสมือนเด็กกำพร้าไว้ในการดูแลของบรรดาฟุเกาะฮาอฺและอุละมาอ์  ตามที่มีรายงานจากท่านอิม่ามฮาซัน อัสการี่(อ)ว่า

حدثني أبي عن آبائه عليهم السلام عن رسول الله صلى الله عليه وآله أنه قال: أشد من يتم اليتيم الذي انقطع من أمه وأبيه ، يتم يتيمٍ انقطع عن إمامه ولا يقدر على الوصول إليه ، ولايدري كيف حكمه فيما يبتلى به من شرائع دينه، ألا فمن كان من شيعتنا عالماً بعلومنا فهذا الجاهل بشريعتنا المنقطع عن مشاهدتنا يتيم في حجره، ألا فمن هداه وأرشده وعلمه شريعتنا ، كان معنا في الرفيق الأعلى

บิดาฉันเล่าให้ฉันฟัง จากบรรดาบิดาของพวกท่าน (อ) จากท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) แท้จริงท่านกล่าวว่า : ความรุนแรงที่สุดจากความกำพร้าของเด็กกำพร้าที่ขาดทั้งมารดาและบิดาของเขา คือความกำพร้าของเด็กกำพร้าที่ขาดอิม่ามผู้นำของเขา และเขาไม่สามารถติดต่อถึงผู้นำของเขาได้ และไม่รู้ว่าฮุก่ม(หลักปฏิบัติตน)ของเขาเป็นอย่างไรในสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่กับมันจากในแง่ของหลักศาสนาของเขา   พึงรู้เถิดว่า ผู้ที่เป็นชีอะฮ์ของเรา ที่เป็นผู้รู้วิชาการต่างๆของเรา  และผู้ไม่รู้เรื่องหลักศาสนาของเขาคนนี้ เขาถูกตัดขาดจากการพบเห็นกับเรา เขาคือเด็กกำพร้าที่อยู่ในอ้อมอกของเขา(ผู้รู้)  จงรู้เถิดว่า ผู้ใดชี้นำเขา ให้คำแนะนำแก่เขาและสอนชะรีอัตของเราแก่เขา  ผู้นั้นจะได้อยู่กับเรา ณ. ที่อัลลอฮ์

   และจากฮิกมัตการฆ็อยบะฮ์ของท่านอิม่ามมะฮ์ดี(อ)นั้นถือว่า เป็นการฝึกฝนทดสอบมนุษย์ด้วยรูปแบบการปกครองต่างๆที่แอบอ้างว่ามีความยุติธรรม ให้อิสระเสรี และให้สิทธิมนุษยชน  โดยมนุษย์จะรับรู้จากช่วงเวลาแห่งการทดสอบนี้ว่า การปกครองชี้นำจากบรรดาผู้นำของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในโลกนี้ได้  และประชาชาติอิสลามก็จะได้รับรู้เช่นเดียวกันว่า แท้จริงการครอบครองโปรแกรมสมบูรณ์ที่สุดไว้เป็นกรรมสิทธิ์นั้นยังไม่เพียงพอที่จะนำสู่สังคมมุสลิมตามที่สัญญาและตามที่ต้องการได้ แต่ทว่าตำแหน่งอิมามะฮ์ของอะฮ์ลุลบัยติน-นุบูวะฮ์นั้นคือสิ่งจำเป็นที่จะต้องดำรงอยู่เคียงข้างกับมันด้วยเช่นกัน  แน่นอนได้มีการกล่าวอธิบายถึงปรัชญานี้ไว้ในรายงานจากท่านอิม่ามศอดิก(อ)ว่า :

กิจการนี้(วันสิ้นโลก)จะยังไม่เกิด จนกว่าจะไม่หลงเหลือบุคคลประเภทใดจากมนุษย์ นอกจากพวกเขาขึ้นมาปกครอง สวนหนึ่งจากผู้คน จนกระทั่งไม่มีคนจะกล่าวว่า แท้จริงเราหากเราได้ขึ้นมาปกครอง เราจะให้ความยุติธรรมอย่างแน่นอน ต่อจากนั้นอัลกออิม(อิม่ามมะฮ์ดี) ก็จะปรากฏตัวออกมาสถาปนาพร้อมกับสัจธรรมและความยุติธรรม


หลังจากที่จัดเตรียมสนามทางการเมืองการปกครองและสังคมสำหรับรัฐอิสลามแห่งโลกได้สมบูรณ์แล้ว  บุคคลที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเก็บไว้ผู้เดียวเท่านั้นก็จะปรากฏตัวออกมาเพื่อสถาปนาความยุติธรรม  และพร้อมกับการปรากฏสิ่งนั้น ในไม่ช้าพันธะสัญญาของพระเจ้าก็จะเป็นจริง  ผู้พิพากษาด้วยการเผยแพร่อิสลามไปทั่งทุกมุมโลก นี่คือสัญญาที่ในคัมภีร์อัลกุรอานได้กล่าวย้ำไว้สามครั้งคือ :

هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ

(อัลลอฮฺ) คือผู้ที่ได้ส่งรอซูลของพระองค์มาพร้อมกับคำแนะนำ และศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อที่จะทรงให้ศาสนาแห่งสัจธรรมนั้นประจักษ์เหนือศาสนาทุกศาสนา

อัต-เตาบะฮ์ : 33   ,อัลฟัตฮุ : 27 และอัศ-ศ็อฟฟุ : 9  
  •  

L-umar

บทที่ 4

โลกแห่งการเป็นศาสดาของมุฮัมมัด
  •  

L-umar

บทที่ 4

โลกแห่งการเป็นศาสดาของมุฮัมมัด




4.1-สารของศาสดามุฮัมมัดถึงมนุษยชาติทั้งมวล


อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

قُلْ أَيُّ شَيْءٍ أَكْبَرُ شَهَادةً قُلِ اللّهِ شَهِيدٌ بِيْنِي وَبَيْنَكُمْ وَأُوحِيَ إِلَيَّ هَذَا الْقُرْآنُ لأُنذِرَكُم بِهِ وَمَن بَلَغَ أَئِنَّكُمْ لَتَشْهَدُونَ أَنَّ مَعَ اللّهِ آلِهَةً أُخْرَى قُل لاَّ أَشْهَدُ قُلْ إِنَّمَا هُوَ إِلَهٌ وَاحِدٌ وَإِنَّنِي بَرِيءٌ مِّمَّا تُشْرِكُونَ

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ว่า สิ่งใดใหญ่ยิ่งกว่าในการเป็นพยาน  จงกล่าวเถิดว่า อัลลอฮ์นั้นคือผู้เป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน และอัล-กรุอานนี้ก็ได้ถูกประทานลงมาแก่ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ใช้อัลกรุอาน นี้ตักเตือนพวกท่าน และผู้ที่อัลกรุอานนี้ไปถึงพวกท่านจะยืนยันโดยแน่นอนกระนั้นหรือว่า มีบรรดาที่เคารพสักการะอื่นร่วมกับอัลลอฮ์ ?   จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ฉันจะไม่ยืนยัน จงกล่าวเถิด แท้จริงพระองค์นั้นคือผู้ที่ควรแก่การเคารพสักการะแต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น และแท้จริงฉันขอปลีกตัวอกจากสิ่งที่พวกท่านให้มีภาคี(แก่อัลลอฮ์


อัลอันอาม : 19

وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا كَافَّةً لِّلنَّاسِ بَشِيرًا وَنَذِيرًا وَلَكِنَّ أَكْثَرَ النَّاسِ لَا يَعْلَمُونَ

และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือนแก่มนุษย์ทั้งหลาย

สะบะอฺ : 28

قُلْ يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنِّي رَسُولُ اللّهِ إِلَيْكُمْ جَمِيعًا الَّذِي لَهُ مُلْكُ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ لا إِلَهَ إِلاَّ هُوَ يُحْيِي وَيُمِيتُ فَآمِنُواْ بِاللّهِ وَرَسُولِهِ النَّبِيِّ الأُمِّيِّ الَّذِي يُؤْمِنُ بِاللّهِ وَكَلِمَاتِهِ وَاتَّبِعُوهُ لَعَلَّكُمْ تَهْتَدُونَ

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย! แท้จริงฉันคือร่อซูลของอัลลอฮ์มายังพวกท่านทั้งมวล ซึ่งพระองค์นั้นอำนาจแห่งบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดินเป็นของพระองค์ ไม่มีผู้ใดควรได้รับการเคารพสักการะ นอกจากพระองค์เท่านั้น ผู้ทรงให้เป็นและทรงให้ตาย ดังนั้นพวกท่านจงศรัทธาต่ออัลลอฮ์และร่อซูลของพระองค์ ผู้เป็นนะบีที่เขียนอ่านไม่เป็น ซึ่งเขาศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และดำรัสทั้งหลายของพระองค์ และพวกเจ้าจงปฏิบัติตามเขาเถิด เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับคำแนะนำ

อัลอะอฺรอฟ : 158

وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا رَحْمَةً لِّلْعَالَمِينَ

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด  แท้จริงฉันได้รับวะฮีมา ให้ประกาศว่า แท้จริงพระเจ้าของพวกท่านนั้นคือพระเจ้าองค์เดียว ดังนั้นพวกท่านยังมิยอมนอนน้อมอีกหรือ ?

อัลอัมบิยาอฺ : 108

هُوَ الَّذِي أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ وَلَوْ كَرِهَ الْمُشْرِكُونَ

(อัลลอฮฺ) คือผู้ที่ได้ส่งรอซูลของพระองค์มาพร้อมกับคำแนะนำ และศาสนาแห่งสัจธรรม เพื่อที่จะทรงให้ศาสนาแห่งสัจธรรมนั้นประจักษ์เหนือศาสนาทุกศาสนา และแม้ว่าพวกมุชริกจะชิงชังก็ตาม
อัตเตาบะฮฺ :33

อัลฮะดีษ

74.ตารีคบัฆด๊าด : ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : ผู้ใดที่อัลกุรอานได้มาถึงเขา ก็เปรียบเสมือนว่าฉันได้สนทนากับเขาด้วยอัลกุรอานแล้ว แล้วท่านอ่านโองการ

وَأُوحِيَ إِلَيَّ هَذَا الْقُرْآنُ لأُنذِرَكُم بِهِ وَمَن بَلَغَ  

และอัลกุรอานนี้ได้ถูกประทานลงมาแก่ฉัน เพื่อฉันจะได้ใช้อัลกุรอานนี้ตักเตือนพวกท่าน และผู้ที่อัลกุรอานนี้ไปถึง
อัลอันอาม :19

75.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : ฉันคือรอซูลของผู้ที่ ฉันอยู่ทันตอนมีชีวิต และผู้ที่จะเกิดมาภายหลังจากฉันจากไป

76.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : ฉันถูกส่งไปยังมนุษยชาติทั้งมวล และการเป็นศาสดาคนสุดท้ายนั้นสิ้นสุดลงกับฉัน

77.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : แท้จริงอัลลอฮฺทรงส่งทุกศาสดามาก่อนหน้าฉันยังประชาชาติของเขาพร้อมด้วยภาษาของหมู่ชนนั้นๆ  และพระองค์ทรงส่งฉันมายังทุกคนที่ผิวดำและผิวแดงพร้อมด้วยภาษาอาหรับ

78.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า : ฉันได้รับห้าประการ ซึ่งไม่เคยมีนบีคนใดเคยได้รับมาก่อนหน้าฉัน  : ฉันถูกส่งมายังคนผิวขาว คนผิวดำ และคนผิวแดง...

79.อิม่ามศอดิก(อ)กล่าวว่า : แท้จริงอัลลอฮฺ ตะบาร่อกะ วะตะอาลา ทรงประทานแก่ท่านนบีมุฮัมมัด ซึ่งหลักธรรมต่างๆของนบีนู๊หฺ  นบีอิบรอฮีม นบีมูซาและนบีอีซา(อ)... และทรงส่งมุฮัมมัดมายังคนผิวขาว ผิวดำ ทั้งญินและมนุษย์


4.2-สาส์นเชิญชวนของศาสดามุฮัมมัดถึงกษัตริย์นะญาชีแห่งอบิสสิเนีย( เนกุส แห่งเอธิโอเปีย)

80. หนังสืออัตต็อบกอตุลกุบรอ : แท้จริงท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ) เมื่อท่านกลับมาจากฮุดัยบียะฮฺ เดือนซิลฮิจญะฮ์ ปีฮ.ศ.ที่หก  ท่านได้จัดส่งคณะทูตไปพบบรรดาเจ้าเมืองกษัตริย์ จักรพรรดิ์ต่างๆ เพื่อเชิญชวนพวกเขาเข้าสู่อัลอิสลาม  และท่านได้เขียนสาส์นหลายฉบับส่งไปยังพวกเขา มีคนหนึ่งกล่าวว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ แท้จริงบรรดากษัตริย์นั้นจะไม่อ่านสาส์นใดยกเว้นสาส์นนั้นจะต้องมีตราประทับ  ดังนั้นท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ในวันนั้นจึงได้ทำแหวนเงินขึ้นมาวงหนึ่ง ตรงหัวแหวนสลักไว้สามคำว่า " มุฮัมมัด รอซูลุลลอฮฺ " แล้วท่านได้ประทับตราสาส์นต่างๆด้วยแหวนวงนั้น

   มีหกคนในหมู่พวกเขาที่ออกไป(ส่งสาส์น)ในวันนั้น ตอนนั้นอยู่ในเดือนมุฮัรรอม ปีฮ.ศ.ที่เจ็ด    ทูตแต่ละคนจากในหมู่พวกเขาจะ(สามารถ)พูดภาษาของกลุ่มชนนั้นตามที่ท่านนบี(ศ)ได้ส่งเขาไปยังพวกเขา  ปรากฏว่าทูตคนแรกที่ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ส่งเขาออกไปคือ อัมรู บิน อุมัยยะฮ์ อัฎเฎาะมะรี ไปพบกษัตริย์เนกุส ( อัศหะมะฮ์ บิน อัลอับญัร )  ท่านนบี(ศ)เขียนสาส์นสองฉบับส่งไปหาพระองค์  ฉบับหนึ่งท่านได้เชิญชวนพระองค์เข้าสู่อิสลามและสาธยายอัลกุรอานให้พระองค์ฟัง    แล้วกษัตริย์เนกุสได้รับสารของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) พระองค์ทรงวางสาส์นนั้นที่ดวงตาทั้งสองของพระองค์  และเสด็จลงจากบัลลังค์ของพระองค์ ทรงประทับนั่งลงบนพื้นดินอย่างนอบน้อม จากนั้นทรงเข้ารับอิสลาม และได้ปฏิญาณตนต่อการปฏิญาณแห่งสัจจะ และทรงตรัสว่า หากข้าสามารถไปหาเขาได้ ข้าจะต้องไปหาเขาแน่  และทรงเขียนสารส่งไปหาท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) ถึงการตอบรับของท่าน ความเชื่อของท่านและการเข้ารับอิสลามของท่าน(ต่อหน้าท่านญะอ์ฟัร บิน อบีตอลิบ) มวลการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ

   สาส์นอีกฉบับหนึ่ง ท่านรอซูล(ศ)ได้ขอร้องพระองค์ให้สมรสกับนางอุมมุฮะบีบะฮ์ บุตรีของอบู สุฟยาน บิน หัรบ์ เดิมนางได้อพยพไปแผ่นดินเอธิโอเปียพร้อมสามีนางชื่ออุบัยดุลลอฮฺ บิน ญะห์ชฺ อัลอะซะดี ต่อมาเขาเปลี่ยนไปเป็นคริสต์แล้วเสียชีวิตที่นั่น และท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้กำชับในสาส์นนั้นว่าให้พระองค์ส่งกลับมายังท่านพร้อมกับผู้ที่อยู่กับพระองค์ก่อนหน้านี้จากบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่าน และให้นำพวกเขากลับมา กษัตริย์เนกุสได้ดำเนินการ  ทรงจัดสมรสกับอุมมุฮะบีบะฮ์ บินติ อบีสุฟยาน ทรงจ่ายสินสมรส(แก่นางเป็นจำนวน)สี่ร้อยดีนาร และทรงรับสั่งให้จัดเตรียมเสบียงแก่พวกมุสลิมและสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับพวกเขา ทรงให้พวกเขาโดยสารไปทางเรือสองลำพร้อมกับอัมรู บิน อุมัยยะฮ์ อัฎเฎาะมะรี  และทรงสั่งให้นำหีบใบหนึ่งมาทรงใส่สาส์นสองฉบับของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ไว้ในหีบนั้น และกล่าวว่า : ชาวเมืองเอธิโอเปียยังคงอยู่กับความดีตราบใดที่สาส์นสองฉบับนี้ยังอยู่ท่ามกลางพวกเขา
 

4.3-สาส์นของศาสดามุฮัมมัดถึงจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมัน(ผู้นับถือศาสนาคริสต์)

81. ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ) ได้เขียนสาส์นไปยังจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันว่า  
\\\"ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผุ้ทรงเมตตาเสมอ

จากมุฮัมมัด บ่าวของอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ถึงจักรพรรดิฮิรก็อล (เฮราคลิส-Heracies)แห่งจักรวรรดิโรมัน  ความสันติจงมีแด่ผู้ที่ดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้อง  ฉันขอเชิญชวนพระองค์ สู่อัลอิสลาม ขอพระองค์ทรงเข้ารับอิสลาม พระองค์จะทรงได้สันติ อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนพระองค์สองเท่า ถ้าหากพระองค์ผินหลังให้ แท้จริงพระองค์ก็จะทรงรับผิด ของชาวนิกาย อะริอุส(ARIANISM)อัลลอฮฺทรงตรัสว่า

(มุฮัมหมัด)เจ้าจงกล่าวเถิด โอ้ ชาวคัมภีร์ทั้งหลาย สูเจ้าทั้งหลายจงมายังถ้อยคำที่เท่าเทียมกัน ระหว่างเรากับท่านทั้งหลาย(คือ)การไม่เคารพภักดีผู้อื่นนอกจากอัลเลาะฮ์ และเราจะไม่ตั้งภาคีกับพระองค์  เราบางคนจะไม่ยึดเอาบางคนเป็นพระเจ้าหลายองค์ อื่นจากอัลเลาะฮ์ ดังนั้น ถ้าหากว่าผู้ใดผินหลังให้ ท่านทั้งหลายก็จงกล่าวเถิดว่า  ท่านทั้งหลาย จงเป็นพยานเถิดว่า เราเป็นผู้นอบน้อมแล้ว\\\"     อาลิอิมรอน : 64

82. หนังสืออัตต็อบกอตุลกุบรอ  : ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้ส่ง ท่านดะฮียะฮ์ บิน ค่อลีฟะฮ์ อัลกัลบี ทูตหนึ่งในหก  ไปยังก็อยศ็อร(ซีซ่าแห่งโรม) เชิญชวนพระองค์สู่อัลอิสลาม  ท่านได้เขียนสาส์นฉบับหนึ่งแนบไปกับเขา และสั่งให้เขามอบมันให้กับท่านบุศรอผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อนำมันไปมอบให้กับจักรพรรดิก็อยศ็อรอีกทีหนึ่ง  แล้วท่านบุศรอผู้ยิ่งใหญ่ได้มอบมันให้กับพระองค์ ในตอนนั้นพระองค์ประทับอยู่ที่เมืองหิมศ์ (ซีเรีย) ในวันนั้นจักรพรรดิก็อยศ็อรทรงเดินอยู่ในการบนบานที่ทรงบนเอาไว้ว่า หากโรมปรากฏ(มีชัย)เหนือเปอร์เซีย พระองค์จะทรงเดินเท้าเปล่าจากเมืองกุสฏ็อนเฏาะนียะฮ์(คอนสแตนติโนเปิล)ไปยังเมืองเอลียา
   พระองค์ทรงอ่านสาส์นและประกาศต่อหน้าบรรดาบุคคลสำคัญแห่งโรมในตำหนักของพระองค์ที่เมืองหิมศ์  ทรงตรัสว่า โอ้ชาวโรมทั้งหลาย  สำหรับพวกท่านต้องการที่จะอยู่ในความสำเร็จและหนทางที่ถูกต้องไหม และจะทำให้อำนาจของพวกเจ้ามั่นคง สำหรับพวกเจ้า และนั่นคือการที่พวกเจ้าจะต้องปฏิบัติตามสิ่งที่นบีอีซา(พระเยซู) บุตรของพระนางมัรยัมกล่าวไว้ ?   ชาวโรมคนหนึ่งกล่าวว่า  โอ้ท่านจักรพรรดิ มันคือสิ่งใดหรือ ?  ทรงตรัสว่า  คือพวกเจ้าจะต้องปฏิบัติตามศาสดาชาวอาหรับผู้นี้
ดะฮียะฮ์เล่าว่า : พวกเขาเดือดดาล ร้อนรุ่มเหมือนสัตว์ดุร้าย พวกเขาจับไปที่กระเดือกแล้วชูไม้กางเขนขึ้น เมื่อจักรพรรดิเฮราคลิสทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น จากพวกเขา ก็ทรงหมดหวังจากการเข้ารับอิสลามของพวกเขา  และทรงหวั่นกลัวพวกเขา(จะทำอันตราย)ต่อพระองค์และอำนาจของพระองค์  จากนั้นจึงทรงทำให้พวกเขาอยู่ในความสงบ  แล้วตรัสว่า  ที่จริงที่ข้ากล่าวกับพวกเจ้า ตามที่บอกไปนั้น ก็เพื่อทดลองใจพวกเจ้า เพื่อดูว่า พวกเจ้าจะมีความยึดมั่นในศาสนาของพวกเจ้าอย่างไร  แน่นอนข้าได้เห็นแล้วจากพวกเจ้าซึ่งสิ่งที่ข้าโปรดปราน  แล้วพวกเขาได้ก้มกราบพระองค์
   
83.ซอฮี๊ฮฺมุสลิม  จากอบูสุฟยาน( บิน ฮัรบ์  ตอนนั้นยังไม่ได้เข้ารับอิสลาม) เล่าว่า

 .... ในขณะนั้นเรา(กำลังค้าขาย)อยู่ที่เมืองช่าม(ซีเรีย)   เมื่อสาส์นจากท่านรอซูลุลลอฮฺไปถึงจักรพรรดิเฮราคลิส...  ทรงตรัสว่า ที่นี่มีใครคนหนึ่งจากหมู่ชนของชายที่ประกาศตัวว่า เขาคือศาสดาบ้างไหม ?  พวกเขากล่าวว่า มีครับ  
อบูสุฟยานเล่าว่า : ฉันถูกเชิญตัวไปพบพร้อมกับชาวกุเรชส่วนหนึ่ง  เมื่อเราเข้ามาพบจักรพรรดิเฮราคลิส พระองค์ทรงให้เรานั่งตรงหน้าพระองค์ และฉันได้ให้บรรดาสหายนั่งข้างหลังฉัน...
   แล้วพระองค์ทรงตรัสแก่ล่ามของพระองค์ว่า  จงถามเขาถึงเชื้อสายของเขา(คือท่านนบีมุฮัมมัด)ในหมู่พวกท่านว่าเป็นอย่างไร ?    อบูสุฟยานเล่าว่า ฉันได้ตอบว่า : เขาเป็นผู้มีตระกูล
ทรงถามว่า  มีใครจากบรรพบุรุษของเขาเคยเป็นกษัตริย์ไหม
อบูสุฟยาน เล่าว่า : ฉันตอบว่า  ไม่มี
ทรงถามว่า  พวกเจ้าเคยกล่าวหาเขาว่าพูดโกหก ก่อนหน้าที่เขาจะกล่าวสิ่งนี้บ้างไหม
ฉันตอบว่า  ไม่
ทรงถามว่า  แล้วมีใครปฏิบัติตามเขา คนมีฐานะหรือคนจนอ่อนแอของพวกเขา ?
ฉันตอบว่า  แต่ทว่าเป็นพวกคนอ่อนแอของพวกเขา
ทรงถามว่า  (มีผู้ตามเขา) เพิ่มขึ้นหรือลดน้อยลง
ฉันตอบว่า   ไม่ แต่มันยิ่งเพิ่มขึ้น
ทรงถามว่า  แล้วมีใครในหมู่พวกเขาไหมที่กลับออกมาจากศาสนาของเขา หลังจากที่เขาเข้าไปในศาสนานั้น แล้วมีความโกรธต่อเขา ?
ฉันตอบว่า  ไม่มี
ทรงถามว่า  แล้วพวกเจ้าได้ต่อสู้กับเขาไหม ?
ฉันตอบว่า  ใช่แล้ว
ทรงถามว่า  การต่อสู้ของพวกเจ้ากับเขานั้นเป็นเช่นไรหรือ ?
ฉันตอบว่า  การสู้รบระหว่างพวกเรากับเขาคือขว้างปาใส่กัน เขาเจอจากพวกเรา และเราเจอจากเขา
ทรงถามว่า  เขาผิดสัญญาไหม
ฉันตอบว่า ไม่  พวกเรากับเขาเคยอยู่ร่วมกันระยะเวลาหนึ่ง เราไม่เคยรู้ว่าเขาเคยทำในสิ่งนั้น...
ทรงถามว่า  แล้วมีใครเคยกล่าวเช่นนี้ก่อนหน้าเขาไหม ?
ฉันตอบว่า  ไม่มี....
ทรงตรัสว่า   ถ้าสิ่งที่เจ้ากล่าวเป็นความจริง  เขาก็คือศาสดาที่ถูกส่งมาอย่างแน่นอน
แน่นอนข้าเคยล่วงรู้มาว่า เขาจะออกมา แต่ข้าไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะมาจากพวกเจ้า   และหากข้ารู้ ข้าจะร่วมมือกับเขา แน่นอนข้าอยากพบเขา และหากข้าอยู่กับเขา ข้าจะชำระล้างเท้าทั้งสองของเขา และอำนาจของเขาจะแผ่มาถึงสิ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าทั้งสองของข้าแน่.
   อบู สุฟยานเล่าว่า  จากนั้นทรงให้นำสาส์นของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)มา แล้วทูตได้อ่านให้พระองค์ฟัง  ซิ่งในสาส์นมีใจความว่า  
 
   ด้วยพระนามของอัลลอฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผุ้ทรงเมตตาเสมอ  
จากมุฮัมมัด  ผู้เป็นศาสนฑูตแห่งอัลลอฮฺ ยังจักรพรรดิฮิรก็อล (เฮราคลิส-Heracies)แห่งจักรวรรดิโรมัน  ความสันติจงมีแด่ผู้ที่ดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้อง  ฉันขอเชิญชวนพระองค์ สู่อัลอิสลาม ขอพระองค์ทรงเข้ารับอิสลาม พระองค์จะทรงได้สันติ อัลลอฮฺจะทรงตอบแทนพระองค์สองเท่า ถ้าหากพระองค์ผินหลังให้ แท้จริงพระองค์ก็จะทรงรับผิด ของชาวนิกาย อะริอุส(ARIANISM)อัลลอฮฺทรงตรัสว่า -(มุฮัมหมัด)เจ้าจงกล่าวเถิด โอ้ ชาวคัมภีร์ทั้งหลาย สูเจ้าทั้งหลายจงมายังถ้อยคำที่เท่าเทียมกัน ระหว่างเรากับท่านทั้งหลาย(คือ)การไม่เคารพภักดีผู้อื่นนอกจากอัลเลาะฮ์ และเราจะไม่ตั้งภาคีกับพระองค์... \\\"     อาลิอิมรอน : 64

   เมื่อเสร็จจากการอ่านสาส์น  ก็มีเสียงดังขึ้น ต่อหน้าพระองค์ และมีการเอ็ดตะโรโวยวายกันอย่างมากมาย  และพระองค์ทรงมีรับสั่งกับเรา แล้วเราได้ถูกนำออกไป  
อบูสุฟยานเล่าว่า  ฉันได้กล่าวกับเพื่อนๆขณะที่เราออกไปว่า  เรื่องบุตรของ อบี กับชะฮฺ(คือนบีมุฮัมมัด)นั้นต้องดังแน่

4.4-สารของศาสดามุฮัมมัดถึงกิสรอ(โคสโร)แห่งอาณาจักรเปอร์เซีย

84.หนังสืออัตต็อบกอตุลกุบรอ
ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้ส่งอับดุลลอฮฺ บิน ฮุซาฟะฮฺ อัส-สะฮฺมี (ทูตหนึ่งในหก) ไปยังกษัตริย์กิสรอ ให้เชิญชวนพระองค์เข้าสู่อัลอิสลาม และท่านได้เขียนสาส์นหนึ่งฉบับไปพร้อมกับเขา
อับดุลลอฮฺเล่าว่า  ฉันได้มอบมันยังพระองค์ สาส์นของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) แล้วมันได้ถูกอ่านให้พระองค์ฟัง จากนั้นพระองค์ทรงหยิบมาแล้วฉีกมันทิ้ง  เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ทราบสิ่งนั้น  ท่านกล่าวว่า โอ้อัลลอฮฺ โปรดฉีกอำนาจของเขาด้วยเถิด
   และกษัตริย์กิสรอทรงเขียนสารไปหาบาซาน(ชนเผ่ายัรบู๊อฺแห่งเยเมน)ข้าหลวงของพระองค์ที่ปกครองเมืองเยเมนว่า  เจ้าจงส่งคนของเจ้าเป็นชายสองคนที่กล้าหาญแข็งแกร่ง ไปหาชายผู้นี้เขาอยู่ที่แคว้นฮิญาซ แล้วจงให้เขาทั้งสองนำข่าวของเขามาบอกข้า
   แล้วบาซานได้ส่งนักรบผู้กล้าของเขากับชายอีกคนหนึ่งไป เขาได้เขียนสาส์นฉบับหนึ่งไปกับคนทั้งสอง  ทั้งสองเข้ามาที่เมืองมะดีนะฮ์ แล้วมอบสาส์นของบาซานยังท่านนบี(ศ)   ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ยิ้มให้และเชิญทั้งสองให้เข้ารับอิสลาม จนทั้งสองหวาดกลัวจนตัวสั่น  
ท่านนบีกล่าวว่า วันนี้ให้เจ้าทั้งสองจงกลับออกไปจากฉันก่อน จนถึงวันพรุ่งนี้ท่านทั้งสองค่อยมาพบฉัน  แล้วฉันจะบอกท่านทั้งสองด้วยสิ่งที่ฉันอยากบอก  แล้วทั้งสองได้มาหาท่านในวันรุ่งขึ้น  ท่านกล่าวกับทั้งสองว่า  จงนำข่าวกลับไปยังนายของเจ้าทั้งสองว่า แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงสังหารกษัตริย์กิสรอพระเจ้าของเขาตายเสียแล้วในคืนนี้ เมื่อประมาณเจ็ดชั่วโมงที่แล้ว  มันเป็นคืนวันอังคาร ที่ผ่านมาแล้วสิบคืนของเดือนญุมาดิลอูลา ปีที่เจ็ด  และแท้จริงอัลลอฮฺ ตะบาร่อกะ วะตะอาลา ทรงให้ชีร่อวัยฮฺบุตรชายเขาขึ้นมามีอำนาจเหนือเขา และบุตรชายได้สังหารบิดาเสียแล้ว  ดังนั้นทั้งสองจึงเดินทางกลับไปหาบาซานพร้อมด้วยข่าวนั้น (เมื่อบาซานได้ฟัง) บาซานจึงเข้ารับอิสลามพร้อมบรรดาบุตรที่อยู่ที่เมืองเยเมน

85.หนังสือตารีคอัตต็อบรี  จากเซด บิน ฮะบีบ    (ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ.) ได้ส่งอับดุลลอฮฺ บิน ฮุซาฟะฮ์ บิน ก็อยสฺ บิน อะดี บิน สะอ์ดฺ บิน สะฮ์มินไปยังกิสรอ บุตร ฮุรมุซ กษัตริย์แห่งเปอร์เซีย และได้เขียนสาส์นไปกับเขาว่า
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้เมตตาเสมอ  จากมุฮัมมัด  ศาสนฑูตแห่งอัลลอฮฺถึงกิสรอผุ้ยิ่งใหญ่แห่งเปอร์เซีย  ความสันติจงมีแด่ผู้ที่ดำเนินตามทางนำและศรัทธาต่ออัลลอฮฺและศาสนทูตของพระองค์... และฉันขอเชิญชวนพระองค์ สู่การเรียกร้องของอัลลอฮฺ อัซซะวะญัล เพราะแท้จริงฉันคือศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺที่มายังมนุษยชาติทั้งมวล เพื่อฉันจะตักเตือนผู้ที่มีชีวิต และพระประกาศิตได้เป็นสมจริงแล้วแก่บรรดาผู้ปฏิเสธ ดังนั้นขอให้พระองค์โปรดรับอิสลาม พระองค์จะทรงได้สันติ  แต่หากพระองค์ปฏิเสธ แท้จริงพระองค์ก็จะทรงรับผิดของชาวมะญูซี(พวกบูชาไฟ)

86.หนังสืออัลมะนากิบ ของอิบนุ ชะรอชูบ จากอิบนุ มะฮฺดี อัลมามิฏีรีในหนังสือมะญาลิสของเขา เล่าว่า  : แท้จริงท่านนบี(ศ) ได้เขียนสาส์นไปถึงกษัตริย์กิสรอ   จากมุฮัมมัด ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺถึงกษัตริย์กิสรอ บุตร ฮุรมุซ อัมมาบะอฺดุ  
ขอพระองค์ทรงเข้ารับอิสลาม พระองค์จะทรงได้สันติ หรือมิเช่นนั้นการรบจะเป็นที่อนุมัติจากอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ ขอความสันติจงมีแก่ผู้ปฏิบัติตามทางนำ
   เมื่อสาส์นนั้นมาถึงพระองค์ ก็ทรงฉีกมันทิ้งและดูหมิ่นมัน  และทรงตรัสว่า เขาเป็นใครกันที่กล้าชักชวนข้าเข้านับถือศาสนาของเขา และยังเริ่มด้วยชื่อของเขาก่อนชื่อของข้า ?  พระองค์ได้ส่งดินมาให้ท่านนบี  ท่าน(ศ)กล่าวว่า ขออัลลอฮฺทรงฉีกอำนาจของเขาเหมือนที่เขาได้ฉีกสาส์นของฉันด้วยเถิด   หลังจากนั้นในไม่ช้าแท้จริงพวกท่านจะฉีกอำนาจของพระองค์  และเขาได้ส่งดินมายังฉัน  ส่วนพวกท่านในไม่ช้าจะได้ครองแผ่นดินของพระองค์  
87.หนังสืออัลค่อรออิจญ์ วัลญะรออิ๊หฺ : แท้จริงกษัตริย์กิสรอทรงเขียนสาส์นไปยังฟัยรูซ อัด-ดัยละมี  (เขาคือสหายคนหนึ่งที่ยังหลงเหลืออยู่จากสัยฟฺ อิบนิ ซี ยะซัน) ว่า เจ้าจงไปนำตัวเจ้าบ่าวคนนี้มาให้ข้า ผู้ที่เริ่มด้วยชื่อของเขาก่อนชื่อของข้า  แล้วยังบังอาจหาญต่อข้า ชักชวนข้าให้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นของข้า  
ฟัยรูซมาพบท่าน(ศ) และกล่าวกับท่านว่า  พระเจ้าของฉัน บัญชาให้ฉันมานำตัวท่านไปหาพระองค์   ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงแจ้งข่าวว่า แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นถูกสังหารแล้วเมื่อวานนี้  แล้วมีข่าวมาว่า พระโอรสของพระองค์ชื่อ ชีร่อวัยฮฺ  เขาได้ลงมือสังหารพระองค์เสียแล้วในคืนนี้  แล้วฟัยรูซกับผู้ที่มาพร้อมกับเขสจึงเขารับอิสลาม

4.5-สารของศาสดามุฮัมมัดถึงมุเกากิส ผู้ยิ่งใหญ่แห่งก็อบฏี(อียิปต์)

88.หนังสืออัตต็อบกอตุลกุบรอ :
ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้ส่งฮาติบ บิน อบี บัลตะอะฮ์ อัลลัคมี (ฑูตหนึ่งในหก)ไปยัง มุเกากิส เจ้าผู้ครองเมืองอเล็กซานเดรีย ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอียิปต์ ให้เชิญชวนเขาเข้าสู่อิสลาม และเขียนสาส์นไปกับพระองค์  แล้วสาส์นของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ถูกนำมาถึงพระองค์ เขาได้อ่านให้พระองค์ฟัง  มุเกากิสกล่าวกับทูตด้วยดี  พระองค์รับสาส์นนั้นไว้แล้วนำมันไปใส่ในหีบ และปิดผนึกมันแล้วส่งมันไปยังสาวใช้ของพระองค์  และพระองค์ได้เขียนสาส์นตอบไปยังท่านนบี(ศ)ว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านคือศาสดาที่แท้จริง ซึ่งคงอยู่  ข้าพเจ้าเคยคาดคิดว่า ศาสดาจะปรากฏตัว ณ .ดินแดนช่าม(ซีเรีย) ข้าพเจ้าให้เกียรติ์ต่อทูตของท่าน และข้าได้ส่งสตรีสองคนไปให้ท่าน นางทั้งสองมีสกุลใหญ่ในอียิปต์ และข้ายังได้มอบผ้าทอหนึ่งผืนกับล่อหนึ่งตัว มามอบให้แก่ท่านเพื่อเป็นพาหนะ  พระองค์ไม่ได้เพิ่มมากไปกว่านี้ และมิได้รับอิสลาม  แล้วท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้รับของกำนัลของพระองค์ไว้  ท่านได้รับหญิงสาวสองคนไว้ นางหนึ่งคือท่านหญิงมารียะฮ์ มารดาของอิบรอฮีม บุตรชายท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) และน้องสาวนางชื่อซีรีน  และล่อสีขาวซึ่งตอนนั้นในแผ่นดินอาหรับยังไม่เคยมีสักตัวนอกจากตัวนี้  มันชื่อว่า ดุ่ลดุ่ล  และท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า คนไม่บริสุทธิ์ได้ยึดติดอยู่กับอำนาจของเขา และสำหรับอำนาจของเขาจะไม่คงอยู่
หาฏิบเล่าว่า  พระองค์ทรงให้เกียรติฉันในฐานะแขก และพำนักน้อยกับต้นห้องของพระองค์ ฉันมิได้พำนักกับพระองค์ นอกจากเพียงห้าวันเท่านั้น

4.6-สารของศาสดามุฮัมมัดถึงฮาริษบินอบีชิมรฺ อัลฆินาอี

89.หนังสืออัตต็อบกอตุลกุบรอ
ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) ได้ส่งชุญ๊าอ์ บิน วะฮับ อัลอะซะดี (หนึ่งในหกฑูต) ไปยังอัลฮาริษ บิน อบี ชิมร์ อัลฆ็อสซานี เชิญชวนเขาสู่อัลอิสลาม  ท่านเขียนสาส์นไปกับเขาหนึ่งฉบับ
ชุญ๊าอ์เล่าว่า  พบเดินทางมาหาเขา ซึ่งเขาอยู่ที่ เฆาเตาะฮ์ เมืองดามัสกัส ตอนนั้นเขากำลังยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมการต้อนรับสำหรับกษัตริย์ก็อยศ็อร ซึ่งพระองค์ได้เสด็จจากเมืองฮิมศ์(ซีเรีย)มายังเอลียา  (ชุญ๊าอ์เล่าว่า) ผมพักอยู่กับคนเฝ้าประตูของเขาสองสามวัน  ผมกล่าวกับคนเฝ้าของเขาว่า  ข้าพเจ้าเป็นทูตตัวแทนของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)มายังเขา   คนเฝ้าของเขากล่าวว่า  ท่านจะไม่ได้เขาถึงเขา จนกว่าเขาจะออกมาหาในวันนั้นวันนี้    แล้วคนเฝ้าประตู (ชาวโรมันชื่อ มุรอ) ได้เริ่มถามผมถึงท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) ผมได้เล่าให้เขาฟังถึงลักษณะของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) และสิ่งที่ท่านได้เรียกร้องสู่อิสลาม แล้วเขาก็เศร้าสลดใจ การร้องไห้ได้ครอบงำเขา พลางกล่าวว่า  แน่นอนฉันเคยอ่านคัมภีร์ไบเบิล ฉันเคยพบลักษณะของศาสดาท่านนี้(ศ) เป็นคนเดียวกันกับเขา  ฉันมีศรัทธาต่อเขาและเชื่อเขา แต่ฉันกลัวว่าท่านฮาริษจะสังหารฉัน เพราะท่านได้ให้เกียรติฉันและต้อนรับฉันอย่างดี
   แล้ววันหนึ่งอัลฮาริษได้ออกมา เขานั่งและสวมมงกุฎบนศรีษะเขา และได้อนุญาตให้ผมได้เข้ามาพบเขา ผมส่งสาส์นของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)  ให้เขา  เมื่อเขาได้อ่านมัน จากนั้นเขาก็โยนมันทิ้ง และกล่าวว่า เขาเป็นใครกันที่จะมาแย่งชิงอำนาจของข้าไปจากข้า   ข้าจะเป็นผู้ไปหาเขา ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ถึงเมืองเยเมน ข้าก็จะไปหาเขา ทุกท่านจงเตรียมเพื่อข้า
   เขายังคงสั่งการจนลุกยืน และสั่งให้เตรียมม้า สวมเกือกม้า จากนั้นเขากล่าวว่า เจ้าจงไปบอกเล่าให้นายของเจ้าตามที่เจ้าเห็น   แล้วเขาได้ส่งสาส์นไปยังกษัตริย์ก็อยศ็อร เล่าให้พระองค์ทราบถึงเรื่องราวของผม  และสิ่งที่เขาตั้งใจว่าจะทำมัน  กษัตริย์ก็อยศ็อรได้มีสาส์นมายังเขาว่า เจ้าจะต้องไม่เดินทางไปหาท่านนบี(ศ) จงยกเลิกเรื่องนั้นเสีย แล้วมาพบข้าที่เมืองเอลียา   เมื่อคำตอบของก็อยศ็อรมาถึงอัลฮาริษ  เขาจึงเรียกผมมาพบ แล้วกล่าวว่า เจ้าจะออกไปหานายของเจ้าเมื่อไหร่ ?  ผมตอบว่า พรุ่งนี้ครับ   เขาได้สั่งให้นำทองคำหนึ่งร้อยมิษก็อลมาให้ผม แล้วมุรอได้ติดต่อมาหาผม  เขาสั่งนำค่าใช้จ่ายและเสื้อผ้าอาภรณ์มามอบให้ผม และมุรอกล่าวว่า จงนำสลามจากฉันไปยังท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)  ด้วย
   ผมเดินทางกลับมาหาท่านนบี(ศ)และเล่าเรื่องให้ท่านฟัง  ท่านกล่าวว่า ขอให้อำนาจของอัลฮาริษพินาศ แล้วผมเล่าว่ามุรอ(คนรับใช้ของอัลฮาริษ)ได้ฝากสลามมายังท่าน และผมเล่าให้ท่านฟังต่อสิ่งที่เขากล่าว   ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)  ได้กล่าวว่า เขา(มุรอ)คือผู้ศรัทธา   อัลฮาริษ บิน อบี ชิมร์สิ้นชีพในปีพิชิตมักกะฮฺ
       
4.7-สารของศาสดามุฮัมมัดถึงเฮาซะฮฺ บิน อาลี อัลฮานาฟี

90.หนังสืออัตต็อบกอตุลกุบรอ
ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)  ได้ส่งสะลีฏ บิน อัมรฺ อัลอามิรี (หนึ่งในหกฑูต)ไปยังเฮาซะฮฺ บิน อาลี อัลฮานาฟี เชิญชวนเขาสู่อัลอิสลาม ท่านเขียนสาส์นไปกับเขาหนึ่งฉบับ สะลีฏเข้ามาพบเขา เขาให้ที่พักแก่สะลีฏและมอบของกำนัลให้  สะลีฏได้อ่านสาส์นของท่านนบี(ศ)   เฮาซะฮ์มีสาส์นตอบกลับ เขาได้ส่งสาส์นมายังท่านนบี(ศ)ว่า มันเป็นสิ่งดี สิ่งที่ท่านกำลังเชิญชวนไปสู่มัน และท่านได้ดำเนินการมันอย่างสวยงาม  อันตัวฉันนั้นเป็นนักกวีแห่งหมู่ชนของฉัน และเป็นนักปราศรัยของพวกเขา  ชาวอาหรับยำเกรงต่อฐานะของฉัน ดังนั้นขอให้ท่านจงมอบภารกิจบางอย่างห็แนได้ปฏิบัติตามท่านด้วย
   เฮาซะฮฺได้มอบรางวัลแก่สะลีฏและมอบเสื้อผ้าที่ทอแล้วให้เขามากมาย จากนั้นสะลีฏได้อำลาเขาออกเดินทาง  สะลีฏนำสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมามอบให้ท่านนบี(ศ) และเล่าถึงเรื่องราวของเฮาซะฮืให้ท่านฟังตามที่เขากล่าวมา  ท่านได้อ่านสาส์นของเขา และกล่าวว่า หากเฮาซะฮฺขอฉันให้มอบสวนอินทผลัมอันเขียวชอุ่ม ฉันก็จะไม่ทำให้  เขาจะพินาศและเขาจะพินาศในสิ่งที่อยู่ในมือเขา   ต่อมาเมื่อท่าน(ศ)เดินทางกลับจากอามุลฟัตหฺ(ปีที่เปิดเมืองมักกะฮฺ)  ท่านญิบรออีลได้มาพบท่าน และแจ้งว่า ท่านนบี(ศ)ว่า เฮาซะฮ์สิ้นชีพแล้ว

4.8-สารของศาสดามุฮัมมัดถึงชุมชนที่อาศัยอยู่ที่หุบเขาติฮามะฮฺ

91.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)  - ได้ส่งสาส์นของท่านไปยังชุมชนที่อาศัยอยู่ที่หุบเขาติฮามะฮ์ ชนกลุ่มนี้พวกเขาได้คอยฉกชิงผู้ที่เดินทางผ่านไปมาจากพวกกินานะฮ์  มุซัยนะฮฺ  อัลฮะกัมและอัลกอเราะฮ์  และพวกทาสที่ติตตามพวกเขามา
   ต่อมาเมื่อท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)  ปรากฏ ส่วนหนึ่งของพวกเขาได้ส่งตัวแทนมาพบท่านนบี(ศ)  แล้วท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)  ได้ส่งสาส์นไปยังพวกเขาว่า
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ นี่คือสาส์นจากมุฮัมมัด ผู้เป็นศาสดา เป็นศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺต่อปวงบ่าวของอัลลอฮฺ ผู้มีอิสระทั้งหลาย  แท้จริงพวกเขาหากมีศรัทธา(ต่ออัลลอฮฺ)  ดำรงนมาซและจ่ายซะกาต ดังนั้นบ่าวของพวกเขา คือผู้มีอิสระ และผู้คุ้มครองพวกเขาคือมุฮัมมัด และผู้ใดก็ตามจากในหมู่พวกเขา จากเผ่าใดก็ตาม มิได้ปฏิเสธต่อมัน  และสิ่งใดในหมู่พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นเลือดเนื้อที่พวกเขาประสบมัน หรือทรัพย์สินที่พวกเขาเอามันมา ดังนั้นมันก็คือของสำหรับพวกเขา และสิ่งใดสำหรับพวกเขาเกี่ยวกับศาสนาที่ยึดถือในหมู่มนุษย์ จะถูกคืนไปยังพวกเขา และจะไม่มีการอธรรมต่อพวกเขาหรือการเป็นศัตรู และแท้จริงสำหรับพวกเขาต่อสิ่งนั้นจะอยู่ในการดูแลของอัลลอฮฺและการคุ้มครองของมุฮัมมัด   ขอสันติจงมีแด่พวกท่าน  
  •  

L-umar

บทที่ 5

บุคลิกภาพของศาสดามุฮัมมัด





5.1- ลักษณะพิเศษของท่านนะบี(ศ)ทางด้านครอบครัว



ก.   มนุษย์ผู้ประเสริฐสุดแห่งครอบครัว



อัลกุรอาน

إِنَّمَا يُرِيدُ اللَّهُ لِيُذْهِبَ عَنكُمُ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَيْتِ وَيُطَهِّرَكُمْ تَطْهِيرًا

อันที่จริง อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดความโสมมออกจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์ของนบี  และ(ทรงประสงค์ที่จะ)ชำระพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์  

ซูเราะฮ์อัลอะหฺซาบ :33



อัลฮะดีษ


92. ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า    

ข้าพเจ้าคือมุฮัมมัด บุตร อับดุลลอฮฺ บุตร อับดุลมุฏเฏาะลิบ  แท้จริงอัลลอฮฺทรงสร้างมัคลู๊กมา แล้วทรงดลบันดาลให้ฉันอยู่ในจำพวก(ฟิรเกาะฮ์)ที่ประเสริญสุดของพวกเขา  จากนั้นทรงบันดาลให้พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม แล้วทรงดลบันดาลให้ฉันอยู่ในกลุ่มที่ประเสริญสุดของพวกเขา

จากนั้นทรงบันดาลให้พวกเขาเป็นเผ่า(ก่อบีละฮ์)ต่างๆ แล้วทรงดลบันดาลให้ฉันอยู่ในเผ่าที่ประเสริญสุดของพวกเขา  จากนั้นทรงบันดาลให้พวกเขาเป็นบ้าน(ครอบครัว)ต่างๆ แล้วทรงดลบันดาลให้ฉันอยู่ในบ้าน(ครอบครัว)ที่ประเสริญสุดของพวกเขา ทั้งบ้านและชีวิต

93. ท่านอิม่ามอาลี (อ) กล่าวถึงซิฟัตของอัมบิยาอ์(บรรดานะบี) ว่า :

فَاسْتَوْدَعَهُمْ فِي أَفْضَلِ مُسْتَوْدَع، وَأَقَرَّهُمْ فِي خَيْرِ مُسْتَقَرّ، ...حَتَّى

(อัลลอฮฺ)ทรงวางพวกเขา(บรรดานะบี)ไว้ในครรถ์ที่ดีที่สุด  และทรงให้พวกเขาอยู่ในที่พำนัก ที่ดีที่สุด... จนกระทั่ง

أَفْضَتْ كَرَامَةُ اللهِ سُبْحَانَهُ إِلَى مُحَمَّد(ص)، فَأَخْرَجَهُ مِنْ أَفْضَلِ الْمَعَادِنِ مَنْبِتاً(2)، وَأَعَزِّ الاَْرُومَاتِ(3) مَغْرِساً(4)، مِنَ الشَّجَرَةِ الَّتِي صَدَعَ(5) مِنْهَا أَنْبِيَاءَهُ، وَانْتَجَبَ(6) مِنْهَا أُمَنَاءَهُ.  عِتْرَتُهُ خَيْرُ الْعِتَرِ(7)، وَأُسْرَتُهُ خَيْرُ الاُْسَرِ، وَشَجَرَتُهُ خَيْرُ الشَّجَرِ; نَبَتَتْ فِي حَرَم، وَبَسَقَتْ(1) فِي كَرَم، لَهَا فُرُوعٌ طِوَالٌ، وَثَمَرٌ لاَيُنَالُ.

2. مَنْبت ـ كمجلس ـ: موضع النبات ينبت فيه.
3. الارُومات ـ جمع أرُومَة ـ: الاصل.
4. المَغْرِس: موضع الغَرْس.
5. صَدَعَ فلاناً: قصده لكرمه.
6. انتجب: اختار واصطفى.
7. عتْرَته: أهل بيته، وعترة الرجل: نَسْله ورَهْطُهُ الادْنَوْنَ.
1. بَسَقَتْ: ارتفعت.

94.ท่านอิม่ามอาลี (อ) กล่าวว่า :  ครอบครัวของนะบีเป็นครอบครัวที่ประเสริฐสุด

أُسْرَتُهُ خَيْرُ أُسْرَة، وَشَجَرَتُهُ خَيْرُ شَجَرَة، أَغصَانُهَا مُعْتَدِلَةٌ، وَثِمَارُهَا مُتَهَدِّلَةٌ(2).
مَوْلِدُهُ بِمَكَّةَ، وَهِجْرَتُهُ بِطَيْبَةَ(3)، عَلا بِهَا ذِكْرُهُ، وَامْتَدَّ مِنْهَا صَوْتُهُ.
2. متهدّلة: متدلّية، دانية للاقتطاف.
3. طَيْبة: المدينة المنورة
95.ท่านอิม่ามอาลี (อ) กล่าวว่า :

وَأَشْهَدُ أَنَّ مُحَمَّداً عَبْدُهُ وَرَسُولُهُ، وَسَيِّدُ عِبَادِهِ، كُلَّمَا نَسَخَ اللهُ الْخَلْقَ(5) فِرْقَتَيْنِ جَعَلَهُ فِي خَيْرِهِمَا،

5. نَسَخَ الخلق: نَقَلَهم بالتناسل عن أصولهم، فجعلهم بعد الوحدة في الاصول فِرَقاً.

ฉันขอปฏิญานว่า  แท้จริงมุฮัมมัดคือบ่าวของพระองค์ คือรอซูลของพระองค์  และเป็นหัวหน้าแห่งปวงบ่าวของพระองค์...


ข. ความเป็นเด็กกำพร้า

อัลกุรอาน

أَلَمْ يَجِدْكَ يَتِيمًا فَآوَى {الضحى/6}

พระองค์มิได้ทรงพบเจ้าเป็นเด็กกำพร้าแล้วทรงให้ที่พึ่งดอกหรือ  

อัฎฎุฮา : 6


อัลฮะดีษ

96.อิม่ามบาเก็รและอิม่ามศอดิก(อ) – อธิบายโองการ

(พระองค์มิได้ทรงพบเจ้าเป็นเด็กกำพร้าแล้วทรงให้ที่พึ่งดอกหรือ) ว่า :

ท่านนะบี(ศ)เป็นเด็กยะตีมที่ไม่มีใครเหมือนท่าน ด้วยเหตุนี้จึงเรียก ไข่มุก(ดุรเราะฮ์) ว่า ยะตีมะฮ์ (ไข่มุกที่หายาก) เพราะไม่มีสิ่งใดเหมือนมัน

97. อิม่ามบาเก็รและอิม่ามศอดิก(อ) อธิบายโองการ(พระองค์มิได้ทรงพบเจ้าเป็นเด็กกำพร้าแล้วทรงให้ที่พึ่งดอกหรือ)  หมายถึง ทำให้มนุษย์มาพึ่งพิงยังเจ้า

98.อิม่ามริฎอ(อ) อธิบายโองการที่อัลลอฮ์ อัซซะวะญัล ทรงตรัสกับท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ว่า

( พระองค์มิได้ทรงพบเจ้าเป็นเด็กกำพร้าแล้วทรงให้ที่พึ่งดอกหรือ) คือ : พระองค์มิได้พบเจ้าอยู่เพียงลำพังคนเดียวดอกหรือ แล้งทรงทำให้มนุษย์มาพึ่งพิงยังเจ้า


99.ตัฟสีรมัจญ์มะอุลบะยาน :

บิดาของท่านนบี(ศ)สิ้นชีพตอนท่านยังอยู่ในครรถ์มารดา  บางคนกล่าวว่า บิดาท่านเสียหลังจากท่านเกิดแล้ว ไม่นานนัก  และมารดาท่านเสียตอนท่านอายุสองขวบ  และปู่ท่านเสียตอนท่านอายุได้หกปี

100.หนังสืออิลัล อัช-ชะรออิ๊อฺ จากอิบนิอับบาส :
 
เมื่อเขาถูกถามถึงพระดำรัสของอัลลอฮฺ (พระองค์มิได้ทรงพบเจ้าเป็นยะตีมแล้วทรงให้ที่พึ่งดอกหรือ) : อิบนุอับบาสกล่าวว่า : แท้จริงที่ท่านถูกเรียกว่ายะตีม เพราะไม่เคยมีใครเหมือนอย่างท่านเลย บนหน้าแผ่นดินทั้งคนรุ่นก่อนและรุ่นหลัง ดังนั้นอัลลอฮฺ อัซซะวะญัลจึงตรัสอันเป็นการแสดงถึงความโปรดปรานของพระองค์ที่มีต่อเขาว่า (พระองค์มิได้ทรงพบเจ้าเป็นยะตีม) หมายถึง อยู่เพียงคนเดียว ไม่มีใครเหมือนเจ้าเลย (แล้วทรงให้ที่พึ่ง) คือให้มนุษย์พึ่งเจ้า และทรงแนะนำพวกเขาให้รู้จักความประเสริญของเจ้า จนพวกเขารู้จักเจ้า
  •  

64 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้