Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 08:19:41 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,698
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 13
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 61
Total: 61

ชีวประวัติศาสดามูฮัมมัด (ศ) จากกุรอ่านและฮะดีษ

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 24, 2010, 09:17:26 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

วิจัยเรื่อง         อัลลอฮ์ตะอาลา ทรงเป็นพยานต่อการเป็นศาสดาของท่านนะบีมุฮัมมัด


เราสามารถอธิบายได้ว่า อัลลอฮ์ตะอาลาทรงเป็นพยานให้กับตำแหน่งนุบูวะฮ์ของนะบีมุฮัมมัด(ศ)ได้สองหนทางคือ

หนึ่ง-   พยานทางคำพูด

สอง-   พยานทางการกระทำ(ภาคปฏิบัติ)
  •  

L-umar

หนึ่ง - พยานทางคำพูดยังแบ่งออกเป็นสองวิธีคือ


1.1- วะฮีและอิลฮาม (วิวรณ์,การดลให้รับรู้ทางจิตใจ)

สำหรับอัลลอฮตะอาลาทรงสามารถประกาศให้มนุษย์รับรู้ถึงการเป็นนะบี(ศาสดา)ให้กับบุคคลหนึ่งได้  การเป็นพยานถึงการเป็นนะบีให้กับบุคคลนั้นโดยอาศัยสื่อกลางด้วยวิธีวะฮีและอิลฮาม(วิวรณ์,การดลให้รับรู้ทางจิตใจ)

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
ปัญหาที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เกิดจากด้านมุรซิล(คือตัวรอซูลผู้ถูกส่งมายังชาวโลก) แต่ปัญหาเกิดจากตัวผู้รับข้อมูล  

หากผู้รับข้อมูลข่าวสารในที่นี้คือมนุษย์ เป็นผู้ที่สามารถจะรับการถ่ายทอดกะลามุลเลาะฮฺ(พระดำรัสของอัลลอฮฺ)ได้  
อัลลอฮ์ ตะอาลา ก็ทรงสามารถส่งพระสุรเสียงของพระองค์ให้กับพวกเขาได้ในประเด็นการเป็นศาสดาของนะบีของพระองค์ ด้วยรูปแบบโดยตรง

สิ่งที่ได้รับจากคัมภีร์อัลกุรอานก็คือ อัลลอฮฺตะอาลาได้ทรงใช้วิธีการนี้ คือวีธีแจ้งข่าวการเป็นศาสดาของนะบีบางคนมาแล้ว
ตัวอย่างเช่น
การแจ้งข่าวการเป็นศาสดาของท่านนะบีอีซา(เยซู)แก่บรรดาสาวก(ฮะวารียูนของนะบีอีซา)   ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَإِذْ أَوْحَيْتُ إِلَى الْحَوَارِيِّينَ أَنْ آمِنُواْ بِي وَبِرَسُولِي قَالُوَاْ آمَنَّا وَاشْهَدْ بِأَنَّنَا مُسْلِمُونَ

และจงรำลึกถึง ขณะที่ข้าได้ดลใจแก่อัลฮะวารียีน(สิบสองสาวกของนะบีอีซา)ว่า

จงศรัทธาต่อข้าและต่อรอซูล(ศาสนฑูต)ของข้าเถิด  พวกเขากล่าวว่า พวกข้าพระองค์ศรัทธากันแล้ว และโปรดได้ทรงเป็นพยานด้วยว่า  แท้จริงพวกข้าพระองค์นั้น เป็นผู้สามิภักดิ์ (ต่อพระองค์)

ซูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺ : 111



1.2- วิธีมุอ์ญิซะฮ์(ปาฏิหารย์)ทางคำพูด  

วิธีแรกใช้เฉพาะกับกลุ่มบุคคลที่ห่างไกลจากม่านกำบัง(ฮิญาบมะอ์ริฟะฮฺอัลก็อลบียะฮ์)ทางจิตใจ และทำให้พวกเขาสามารถสื่อสารกับแหล่งกำเนิดได้จากจิตใจ อันเป็นการแสวงหาที่จะได้รับการรู้จักที่แท้จริงต่างๆได้(ฮะกีกัตมะอฺริฟัต)

ส่วนวิธีที่สองเป็นวิธีแบบอาม(ทั่วไป) หมายถึง คนธรรมดาสามารถสื่อสารด้วยสื่อกลางตามวิธีนี้ได้ โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีขีดขั้นความสามารถในระดับมะอ์ริฟัต อัลก็อลบียะฮ์(การรู้จักด้วยจิตด้านใน)

   วิธีนี้หมายถึง อัลลอฮ์ตะอาลาทรงเป็นพยานต่อการเป็นศาสดาของนะบีของพระองค์ด้วยสื่อกลางแบบคำพูด ที่มันเป็นมุอ์ญิซะฮ์(ปาฏิหาริย์)ด้วยตัวของมันเอง  
กล่าวคือ คนธรรมดาจะเข้าใจชัดเจนว่า ถ้อยคำเช่นนี้ ไม่ใช่คำพูดของคนธรรมดาๆ  เพราะมนุษย์ไม่ว่าจะมีการศึกษา วิชาการ และวรรณคดีอยู่ในระดับสูงแค่ไหนก็ตาม เขาก็ไม่สามารถจะนำมาเยี่ยงถ้อยคำเหล่านี้ได้
  •  

L-umar

สอง -  ส่วนกรณีพยานทางการกระทำ   สามารถแบ่งได้สองวิธีคือ


2.1- การแสดงมุอ์ญิซะฮ์ (ปาฏิหาริย์)  

(สิ่งที่ผิดธรรมชาติซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถทำได้)คือการกระทำหนึ่งอันแสดงถึงความผูกพันระหว่างผู้ประกาศตัวเองเป็นศาสดา กับ อัลลอฮ์ (ตะอาลา)

คัมภีร์อัลกุรอานได้เรียกการกระทำเช่นนี้ว่า

อัลอายะฮ์(สัญญาณ) และ อัลบัยยินะฮ์(หลักฐานอันชัดแจ้ง)

เช่น  

นะบีมูซา(โมเสส)ได้โยนไม้เท้าให้กลายเป็นงู  หรือ

นะบีอีซา(เยซู)ได้ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง

   บนพื้นฐานนี้ เมื่อผู้ประกาศตนเองเป็นศาสดาได้รับมุอ์ญิซะฮฺมา มันคือพยานหลักฐานทางการกระทำที่มาจากอัลลอฮฺตะอาลา ที่แสดงถึงความสัจจริงของตัวเขา ที่อ้างตนเองว่าเป็นศาสดาที่พระเจ้าส่งมาชี้นำชาวโลก


2.2- อัต-ตักรีร (การยืนยันหรือการรับรอง )


หากเราสมมุติว่า
มีชายคนหนึ่งเสนอตัวเองต่อผู้คน โดยแสดงให้เห็นว่า เขาได้ปฏิบัติตามบุคคลหนึ่ง  และเขาได้แสดงต่อหน้าประชาชนอย่างเปิดเผย ในขณะที่มีบุคคลที่ถูกอ้างถึงนั้นอยู่ในสถานที่นั้นด้วย  

ชายที่ถูกพาดพิงถึงนั้นกลับนิ่งเงียบไม่ออกมาแก้ไขชี้แจงสิ่งใด  ฉะนั้นการนิ่งเงียบของชายที่ถูกอ้างถึงเช่นนี้ คือการรับรองและเป็นพยานยืนยันการกระทำจากบุคคลที่แอบอ้างนั้น ที่พิสูจน์บนความสัจจริงของผู้อ้างว่าเขาคือตัวแทน และการป่าวประกาศของเขานั้นถูกต้อง

   ในประเด็นที่ผ่านมา  ถ้ามีชายคนหนึ่งได้เสนอตัวเองต่อสาธารณชนโดยประกาศว่า เขาคือศาสนทูตของพระเจ้า  และเขาได้นำเสนอวิธีการต่างๆต่อหน้า(อัลลอฮฺในฐานะพระเจ้า)ผู้ทรงสร้างโลก  และคนธรรมดาไม่ยอมรับการเป็นศาสดาของเขา แต่บรรดานักวิชาการเชื่อเขา  
และอัลลอฮ์ก็ไม่เคยทำให้ผู้อ้างตนเป็นศาสดา ต้องเป็นโมฆะต่อหน้าสาธารณชนอย่างชัดเจน  
ดังนั้นการนิ่งเงียบเช่นนี้คือ พยานทางการกระทำ และเป็นการรับรองและสนับสนุนต่อความถูกต้องต่อการอ้างตนเป็นศาสดาของเขาแล้ว
  •  

L-umar

อัลลอฮ์ ตะอาลาทรงใช้วิธีการอย่างไรสำหรับการเป็นพยานต่อตำแหน่งศาสดาของท่านนะบีมุฮัมมัด ?


หลังจากที่ได้รับความกระจ่างถึงความหมายของคำว่า

ชะฮาดะตุลลอฮฺ - อัลลอฮ์ทรงเป็นพยานให้กับศาสดาแล้ว  

เราจะมาพิจารณาว่า วิธีการอันใดจากวิธีต่างๆดังกล่าว ที่อัลลอฮ์ตะอาลาทรงนำมันมาใช้เพื่อพิสูจน์ความสัจจริงต่อตำแหน่งนุบูวะฮ์ของท่านศาสดาแห่งอัลอิสลาม

   จากการพิจารณาชีวประวัติของท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ) ได้แสดงความชัดเจนว่า อัลลอฮ์ตะอาลาทรงสนับสนุนค้ำจุนความถูกต้องต่อการเป็นศาสดาของท่านนะบี(ศ) ด้วยวิธีการทั้งสี่ที่ผ่านมา  และทรงเป็นพยานยืนยันโดยผ่านสื่อกลางด้วยวีธีเหล่านั้นถึงการเป็นศาสดาของท่าน
  •  

L-umar

1.2- บรรดาศาสดาของอัลลอฮฺเป็นพยาน (ต่อการเป็นศาสดาของนะบีมุฮัมมัด)

อัลกุรอาน


อัลลอฮ์ ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَإِنَّهُ لَفِيْ زُبُرِ الْأَوَّلِيْنَ

และแท้จริงเขา(มุฮัมมัด)มี(กล่าว)อยู่ในคัมภีร์ต่างๆในสมัยก่อน

ซูเราะฮ์อัช-ชุอะรออฺ  : 196

وَإِذْ قَالَ عِيسَى ابْنُ مَرْيَمَ يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ إِنِّي رَسُولُ اللَّهِ إِلَيْكُم مُّصَدِّقًا لِّمَا بَيْنَ يَدَيَّ مِنَ التَّوْرَاةِ وَمُبَشِّرًا بِرَسُولٍ يَأْتِي مِن بَعْدِي اسْمُهُ أَحْمَدُ فَلَمَّا جَاءهُم بِالْبَيِّنَاتِ قَالُوا هَذَا سِحْرٌ مُّبِينٌ

และจงรำลึก เมื่ออีซา บุตรมัรยัมได้กล่าวว่า โอ้วงศ์วานแห่งอิสรออีลเอ๋ย  แท้จริงฉันเป็นรอซูลของอัลลอฮฺ(ถูกส่ง)มายังพวกท่าน เป็นผู้ยืนยันสิ่งที่มีอยู่ในเตารอตก่อนหน้าฉัน และเป็นผู้แจ้งข่าวดีถึงรอซูลคนหนึ่ง ผู้ที่จะมาภายหลังฉัน  ชื่อของเขาคือ อะหมัด

ครั้นเมื่อเขา(อะหมัด)ได้มายังพวกเขาพร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้งแล้วพวกเขากล่าวว่า  นี่คือมายากลแท้ๆ

ซูเราะฮ์อัศ-ศ็อฟฟุ : 6

وَمَنْ أَظْلَمُ مِمَّنِ افْتَرَى عَلَى اللَّهِ الْكَذِبَ وَهُوَ يُدْعَى إِلَى الْإِسْلَامِ وَاللَّهُ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ

และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งกว่าผู้กล่าวเท็จต่ออัลลอฮฺ  ด้วยปากของพวกเขา ขณะที่เขาถูกเชิญชวนสู่อิสลาม และอัลลอฮฺนั้นจะไม่ชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่หมู่ชนผู้อธรรม

ซูเราะฮ์อัศ-ศ็อฟฟุ : 7

الَّذِينَ يَتَّبِعُونَ الرَّسُولَ النَّبِيَّ الأُمِّيَّ الَّذِي يَجِدُونَهُ مَكْتُوبًا عِندَهُمْ فِي التَّوْرَاةِ وَالإِنْجِيلِ يَأْمُرُهُم بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَاهُمْ عَنِ الْمُنكَرِ وَيُحِلُّ لَهُمُ الطَّيِّبَاتِ وَيُحَرِّمُ عَلَيْهِمُ الْخَبَآئِثَ وَيَضَعُ عَنْهُمْ إِصْرَهُمْ وَالأَغْلاَلَ الَّتِي كَانَتْ عَلَيْهِمْ فَالَّذِينَ آمَنُواْ بِهِ وَعَزَّرُوهُ وَنَصَرُوهُ وَاتَّبَعُواْ النُّورَ الَّذِيَ أُنزِلَ مَعَهُ أُوْلَئِكَ هُمُ الْمُفْلِحُونَ

คือบรรดาผู้ปฏิบัติตามรอซูล    ศาสดาแห่งผู้อ่านเขียนไม่เป็น  ที่พวกเขา(ยะฮูดีและนะซอรอ) พบเขาถูกจารึกไว้ ณ ที่พวกเขา ทั้งในเตารอตและในอินญีล โดยที่เขา(มุฮัมมัด) จะใช้พวกเขาให้กระทำดีและห้ามพวกเขามิให้กระทำชั่ว และจะอนุมัติให้แก่พวกเขา ซึ่งสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย และจะให้เป็นที่ต้องห้ามแก่พวกเขา ซึ่งสิ่งที่เลวทรามทั้งหลาย  และจะปลดเปลื้องออกจากพวกเขาซึ่งภาระหนักของพวกเขาและห่วงที่คอ  ที่ปรากฏอยู่บนเขา  ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเขาและให้ความสำคัญแก่เขา  และช่วยเหลือเขาและปฏิบัติตามแสงสว่าง(อัลกุรอาน)ที่ถูกประทานลงมาแก่เขาแล้วไซร้  พวกเขาเหล่านั้นคือบรรดาผู้ประสบความสำเร็จ

ซูเราะฮ์อัลอะอฺรอฟ : 157



อัลหะดีษ

3. อิม่ามมุฮัมมัด อัลบาเก็ร (อ)กล่าวว่า

 
ตอนที่คัมภีร์เตารอตได้ประทานลงมาแก่นะบีมูซา เขาได้แจ้งข่าวดีถึงการมาของศาสดามุฮัมมัด

จนกระทั่งอัลลอฮ์ได้ส่งนะบีอีซา(เยซู)มา แล้วเขาได้แจ้งข่าวดีถึงการมาของศาสดามุฮัมมัด

นั่นคือพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า
(  يَجِدُوْنًهُ- ที่พวกเขาพบมุฮัมมัด) หมายถึงชาวยะฮูดีและนะซอรอ

(مَكْتُوْبًا –ถูกบันทึกไว้) หมายถึง คุณลักษณะของมุฮัมมัด(ศ)

(عِنْدَهُمْ – ณ.ที่พวกเขา) หมายถึง ( ทั้งในคัมภีร์เตารอตและอินญีล โดยที่มุฮัมมัดจะใช้พวกเขาให้กระทำสิ่งดีและห้ามพวกเขามิให้กระทำสิ่งชั่ว )

และนั่นคือพระดำรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลา ทำหน้าที่แจ้งข่าวโดยนะบีอีซา (อ)ว่า ( และเป็นผู้แจ้งข่าวถึงรอซูลคนหนึ่ง ซึ่งจะมาภายหลังจากฉัน ชื่อของเขาคือ อะหฺมัด)


4.อิม่ามอาลี บินอะลีตอลิบ(อ)กล่าวว่า


แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรับสัญญาข้อนี้บนบรรดานบีก่อนท่านนบีของเรา(ศ) ให้พวกเขาบอกกับประชาชาติของพวกเขาถึงการมาของเขาและลักษณะของเขา และให้บรรดานบีแจ้งข่าวดีกับพวกเขาถึงการมาของเขา และให้บรรดาสั่งพวกเขาให้มีศรัทธาต่อเขา(มุฮัมมัด)


5.หนังสืออัตต็อบกอ ตุลกุบรอ รายงานจากมุฮัมมัด บิน กะอับว่า


อัลลอฮฺทรงมีวะฮี(วิวรณ์)ไปยังนะบียะอ์กูบ(จาค็อบ)ว่า  
ข้า(อัลลอฮฺ)จะส่งบุคคลที่มาจากลูกหลานของเจ้าเป็นบรรดากษัตริย์และบรรดาศาสดา  จนกระทั่งข้าจะส่งนะบีแห่งอัลฮะรอมของข้า ซึ่งประชาชาติของเขาจะตั้งอยู่บนฐานที่มั่นอันสูงตระหง่านแห่งบัยตุลมักดิส และเขาคือนบีคนสุดท้าย เขามีชื่อว่า อะหฺมัด


6.ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า


เมื่อท่านถูกถามเกี่ยวในปฐมกำเนิดกิจการของท่าน- :... คือการขอพรของท่าน นะบีอิบรอฮีม บิดาฉัน, ข่าวดีที่ท่านนะบีอีซาแจ้งไว้, และฉันเห็นมารดาฉัน มีรัศมีออกมาจากตัวท่าน ซึ่งบรรดาปราสาทแห่งเมืองช่ามได้รับแสงสว่างจากมัน


7.หนังสืออัตต็อบกอ ตุลกุบรอ รายงานจากอัช-ชะอฺบีว่า


ในหนังสือ(ซุฮุฟ)ของนะบีอิบรอฮีม - : แท้จริงเขา(มุฮัมมัด)จะถือกำเนิดมาจากบุตรของเจ้า ที่แตกกิ่งก้านออกไปเป็นเผ่าต่างๆ จนกระทั่งนบียุลอุมมี(ศาสดาผู้ไม่อ่านไม่เขียนหนังสือ)จะมา ซึ่งเขาจะเป็นนบีคนสุดท้าย


8.หนังสืออัตต็อบกอ ตุลกุบรอ รายงานจากอับดุลฮะมีด บิน ญะอ์ฟัรจากบิดาเขาเล่าว่า

ปรากฏว่าอัซซุเบร บินบาฏอ – เขาเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุดแห่งชาวยะฮูดี-กล่าวว่า : ฉันพบสะฟัร(หนังสือคัมภีร์) ที่บิดาฉันได้ประทับตรามันไว้แก่ฉัน ในนั้นกล่าวถึงชื่อ อะหฺมัด เป็นนบีจะออกมาที่แผ่นดินอัลกุรซุ ลักษณะของเป็นเช่นนั้นเช่นนี้  
อัซซุเบรได้เล่าถึงมันภายหลังจากบิดาเขาจากไป ส่วนท่านนบี(ศ)ยังไม่ได้ประกาศศาสนา มันมิใช่ใครอื่นเลยนอกจากว่า ซุเบรได้ยินเรื่องที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) ได้ปรากฏตัวที่เมืองมักกะฮฺแล้ว  จนเขาเจตนาไปที่สะฟัรเล่มนั้น แล้วเขาได้ลบมันทิ้งไป และเขาได้ปกปิดเรื่องราวของท่านนบี(ศ)ไว้ และเขากล่าวว่า ไม่ใช่เขาคนนี้


9.อิม่ามอาลี(อ)กล่าวว่า

ในตอนที่ท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ประกาศอิสลาม- :

อัลลอฮ์ ซุบฮานะฮู ทรงส่งมุฮัมมัดมาเป็นรอซูลุลลอฮฺ(ศ)... ตามที่ได้รับเอาสัญญาของพระองค์ไว้กับบรรดานบี  ชื่อของเขาเป็นที่ได้ยินกันแพร่หลาย  วันเกิดของเขาเป็นวันที่มีเกียรติ ชาวโลกในตอนนั้นแตกออกเป็นลัทธิต่างๆ  การตามอารมณ์ใฝ่ต่ำแพร่ไปทั่ว  แนวทางมีมากมาย ท่ามกลางการเปรียบอัลลอฮ์เหมือนกับมัคลูกของพระองค์
หรือมีผู้บิดเบือนพระนามของพระองค์  มีผู้ชี้ไปยังพระเจ้าอื่นจากพระองค์  แต่แล้งพระองค์ทรงนำทางพวกเขาด้วยเขา(ศ)ให้พ้นจากการหลงผิด  ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากความโง่เขลาด้วยสถานภาพของเขา(ศ)  แล้วต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงเลือกให้กับมุฮัมมัด(ศ)ได้กลับมาพบกับพระองค์  ทรงพอพระทัยที่จะให้เขาได้อบู่กับพระองค์ และทรงให้เกียรติแก่เขาแทนโลกดุนยา  ทรงส่งเสริมเขาให้ปรารถนาที่จะได้อยู่กับพระองค์มากกว่าสถานที่แห่งการทดสอบ แล้วพระองค์ก็จะทรงรับเอาดวงวิณญาณของเขาไปยังพระองค์อย่างมีเกียรติ(ศ)



10.หนังสืออัตเตาฮีด –

ในการอภิปรายตอบโต้ของท่านอิม่ามอาลีริฎอ(อ)กับบรรดาผู้นับถือศาสนาต่างๆและนักโต้วาทีทั้งหลาย - :

หัวหน้าชาวยิวถามว่า :
หลักฐานยืนยันการเป็นศาสดาของนะบีมุฮัมมัด(ศ)อยู่ที่ไหน ?

อิม่ามริฎอ(อ)กล่าวว่า :
ท่านนะบีมูซา บินอิมรอน, นะบีอีซาและนะบีดาวูด (อ) ได้ยืนยันตำแหน่งนุบูวะฮฺของท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ไว้แล้ว

เขากล่าวกับอิม่ามริฎอ(อ)ว่า : จงพิสูจน์คำพูดของนะบีมูซามาสิ

อิม่ามริฎอ(อ)กล่าว :  โอ้เจ้ายิวเอ๋ย เจ้ารู้ไหมว่า  ท่านนะบีมูซาได้สั่งเสียชาวบะนีอิสรออีลไว้ว่า : ในอนาคตจะมีศาสดาคนหนึ่งมายังพวกเจ้า เขามาจากพี่น้องของพวกเจ้า จงศรัทธาและเชื่อฟังคำพูดของเขา
แล้วเจ้าเคยรู้ไหมว่า ชาวบะนีอิสรออีลยังมีพี่น้องคนอื่นๆที่มาจากบุตรของท่านนะบีอิสมาอีลอีก   หากเจ้าเคยรู้จักเครือญาติของชาวอิสรออีลที่มาจากท่านนะบีอิสมาอีล  และเชื้อสายที่อยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสองที่สืบมาจากท่านนะบีอิบรอฮีม(อ) ?

หัวหน้าชาวยิวกล่าวว่า : นี่เป็นคำพูดของท่านนะบีมูซา เราไม่ปฏิเสธมัน

อิม่ามริฎอ(อ)กล่าวกับเขาว่า : แล้วมีนะบีอื่นจากนะบีมุฮัมมัด(ศ)ที่มาจากพี่น้องของบะนีอิสรออีล ยังพวกเจ้าแล้วหรือ ?

เขาตอบว่า : ยังเลย

อิม่ามริฎอ(อ)กล่าวว่า : หรือไม่ใช่ว่า นี่คือความถูกต้องในทัศนะของพวกเจ้า ?
เขากล่าวว่า : ใช่ แต่ฉันต้องการนำมันไปตรวจสอบกับคัมภีร์เตารอตของฉันก่อน

อิม่ามริฎอ(อ)กล่าวกับเขาว่า : เจ้าจะปฏิเสธหรือว่า คัมภีร์เตารอตบอกกับพวกเจ้าว่า : ได้มีนูรรัศมีมาจากทางภูเขาฏูร ซีนายและได้ให้ความสว่างแก่เราจากทางภูเขาซาอีรและมันได้เผยให้เราได้เห็น(รัศมีนั้น) จากทางภูเขาฟารอน  ?
 
หัวหน้าชาวยิวกล่าวว่า : ฉันรู้ถ้อยคำเหล่านี้ แต่ฉันไม่เข้าใจคำอธิบายของมัน

อิม่ามริฎอ(อ) : ฉันจะบอกความหมายนั้นแก่เจ้าเอง :

" ได้มีนูรรัศมีมาจากทางภูเขาฏูร ซีนาย " นั่นคือวะฮี(วิวรณ์)ของอัลลอฮ์ที่ประทานมันลงมาแก่นะบีมูซา(อ)ที่ภูเขาฏูรซีนาย(ปัจจุบันอยู่ที่ปาเลสไตน์)  

ส่วน " และได้ให้ความสว่างแก่เราจากทางภูเขาซาอีร " (ปัจจุบันอยู่ในอิสราเอล) คือผู้เขาที่อัลลอฮฺทรงมีวะฮี(วิวรณ์)ไปยังท่านนะบีอีซา(อ) ซึ่งตอนนั้นท่านอยู่ที่นั่น

ส่วน "และมันได้เผยให้เราได้เห็นจากทางภูเขาฟารอน " นั้นเป็นภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเมืองมักกะฮ์ (คือภูเขาฮิร๊อหฺ ปัจจุบันอยู่ที่ซาอุดิอารเบีย)   มันอยู่ห่างกันเป็นระยะเวลาหนึ่งวัน

   เขาเล่าว่า : ท่านชะอ์ยา นบี (อ)กล่าวว่า – ในสิ่งที่ท่านและพวกของท่านกล่าวในคัมภีร์เตารอตว่า - : ฉันได้เห็น ผู้ขี่สัตว์พาหนะสองคน แผ่นดินได้ให้ความสว่างแก่เขาทั้งสอง  คนหนึ่งขี่ลา ส่วนอีกคนหนึ่งขี่อูฐ แล้วใครที่ขี่ลา และใครที่ขี่อูฐล่ะ ?

หัวหน้าชาวยิวกล่าวว่า : ฉันไม่รู้จักพวกเขาทั้งสอง โปรดบอกฉันทีว่าทั้งสองคือใคร

อิม่ามริฎอ(อ)กล่าวว่า :  ผู้ขี่ลาคือ ท่านอีซา(อ) ส่วนผู้ขี่อูฐคือ ท่านมุฮัมมัด(ศ)  ท่านจะปฏิเสธสิ่งนี้หรือ มันมาจากคัมภีร์เตารอต ?

เขาตอบว่า : ผมไม่ปฏิเสธมัน

จากนั้นอิม่ามริฎอ(อ)ถามว่า : ท่านรู้จักท่าน(ศาสดา)ฮัยกูก นะบี (อ)ไหม ?

เขาตอบว่า :  แน่นอน ฉันคือคนที่รู้จักเขาดี
อิม่ามริฎอ(อ)กล่าวว่า : เขากล่าวว่า  และคัมภีร์ของพวกท่านจะกล่าวถึงเขา  อัลลอฮฺทรงนำมาด้วยความชัดเจนจากภูเขาฟารอน และบรรดาชั้นฟ้าต่างแซ่ซ้องสรรเสริญอะหฺมัดและประชาชาติของเขา เขานำม้าของเขาลงไปในทะเล ดังที่เขาพามันเดินไปบนบก เขาจะนำมาให้เรา ด้วยคัมภีร์ฉบับใหม่ ภายหลังจากที่บัยตุลมักดิสพังทลายลง (คัมภีร์ที่นำมาใหม่ในที่นี้หมายถึงอัลกุรอาน) ท่านรู้จักชายคนนี้และจะศรัทธาต่อเขาไหม ?

หัวหน้าชาวยิวกล่าวว่า : แน่นอน ท่านศาสดาฮัยกูก(อ)ได้กล่าวสิ่งนั้นไว้ และเราไม่ปฏิเสธคำพูดของท่าน.

อิม่ามริฎอ(อ)กล่าวว่า : แน่นอนนะบีดาวูด(อ)ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ซะบูรของท่าน และท่านก็อ่านมัน  :
((โอ้อัลลอฮ์โปรดส่งผู้ดำรงซุนนะฮ์(หลักธรรม)หลังจากช่วงระยะเวลานี้ด้วยเถิด ))
ท่านรู้จักนะบี(ศาสดา)ที่ก่อตั้งหลักธรรมขึ้นหลังจากช่วงเวลานั้น อื่นจากมุฮัมมัด(ศ)บ้างไหม ?

หัวหน้าชาวยิวกล่าวว่า : นี่คือคำพูดของนะบีดาวูด(อ)เรารู้จักมันดีและเราไม่ปฏิเสธมัน แต่นั่นหมายถึงนะบีอีซา(อ) และช่วงระยะเวลาของเขาคือช่วงเวลาดังกล่าว

อิม่ามริฎอ(อ)กล่าวว่า : ท่านไม่รู้  แท้จริงนะบีอีซาไม่เคยมีความขัดแย้งกับหลักธรรมนั้น ท่านมีความเห็นสอดคล้องกับหลักธรรมของคัมภีร์เตารอต จนถึงวาระที่อัลลอฮฺทรงยกท่านไปยังพระองค์


ในคัมภีร์ไบเบิลบันทึกว่า (พระเยซูกล่าวว่า)  :
แท้จริง อิบนุล บัรเราะฮฺ ซาฮิบและอัลฟาร่อ ก่อลีฏอ( ภาษาเฮบรูแปลว่า ผู้ได้รับการสรรเสริญ) จะมาภายหลังจากท่าน  และเขาคือผู้ปลดเปลี้ยงบาป  เขาจะอธิบายทุกสิ่งแก่พวกท่าน  และเขาจะเป็นพยานแก่ฉันเหมือนที่ฉันเป็นพยานให้แก่เขา  ฉันนำอุทาหรณ์ต่างๆมาให้พวกท่าน  ส่วนเขาจะนำความหมายมายังพวกท่าน  ท่านจะศรัทธาต่อชายผู้นี้ ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อินญีล(ไบเบิล)ไหม ?

เขากล่าว : ใช่  ฉันไม่ปฏิเสธมัน



11.หนังสืออัตต็อบกอ ตุลกุบรอ รายงานจากกะอับว่า

แท้จริงคุณลักษณะของนะบีมุฮัมมัด(ศ)ในคัมภีร์เตารอต(โตร่าห์)คือ : ผู้ได้รับการสรรเสริญ  บ่าวของฉันผู้ที่ได้รับการคัดเลือก  นิสัยไม่ป่าเถื่อน พูดจาไม่หยาบคาย ไม่ตระโกนส่งเสียงในตลาด  ไม่ตอบแทนความชั่วด้วยความชั่ว แต่เขาจะให้อภัยและยกโทษ  ที่เกิดของเขาคือเมืองมักกะฮฺ  ที่อพยพของเขาคือเมื่องมะดีนะฮ์


12.หนังสืออัตต็อบกอ ตุลกุบรอ รายงานจากอบีนัมละฮฺว่า  


ปรากฏว่าพวกยะฮูดีเผ่ากุร็อยเซาะฮฺกำลังศึกษาเรื่องราวของศาสดามุฮัมมัด(ศ)ในคัมภีร์ของพวกเขา   พวกยะฮูดีได้สอนมันแก่ลูกหลานด้วยซิฟัต(ลักษณะ)และชื่อของเขา และเขาจะอพยพมายังพวกเรา  ต่อมาเมื่อศาสดามุฮัมมัด(ศ)ปรากฏ พวกยะฮูดีได้อิจฉาและอธรรม และพวกเขากล่าวว่า ไม่ใช่คนนี้


13.หนังสืออัตต็อบกอ ตุลกุบรอ

จากมุฮัมมัด บิน ญะอฺฟัร บิน อัซซุเบรและมุฮัมมัด บิน อิมาเราะฮฺ บิน เฆาะซียะฮ์รายงานว่า

คณะผู้แทนแห่งเมืองนัจญ์รอนได้เข้ามาพบ(ท่านนบีที่มะดีนะฮฺ) ในหมู่พวกเขามี อะบุลฮาริษ บินอัลก่อมะฮฺ บินร่อบีอะฮ์เป็นผู้ทรงความรู้ทางศาสนา เป็นหัวหน้า  เป็นพระสังฆราช  เป็นผู้นำและเป็นเจ้าของโรงเรียนต่างๆของพวกคริสต์  เขามีอำนาจ  บังเอิญล่อที่เขาขี่มาพลัดสะดุด เขาเลยตกลงมา  

น้องเขา(ชื่อกัรซฺ บินอัลก่อมะฮฺ)กล่าวว่า  :  ขอให้คนที่ห่างไกลที่สุดเจอโชคร้าย เขาหมายถึงนะบีมุฮัมมัด(ศ)

อะบุลฮาริษกล่าวว่า : แต่ขอให้เจ้านั่นแหล่ะเจอโชคร้าย  เจ้าจะด่าชายที่เป็นหนึ่งจากเหล่าศาสดากระนั้นหรือ ? แท้จริงเขาคือบุคคลที่พระเยซูแจ้งข่าวดีถึงเขาไว้  เขามีชื่อบันทึกอยู่ในคัมภีร์เตารอต  

น้องเขาจึงถามว่า : แล้วอะไรขวางท่านมิให้เข้าศาสนาของเขาล่ะ ?

อบุลฮาริษตอบว่า : หมู่ชน(คริสเตียน)เหล่านี้เทิดทูนเรา  ให้เกียรติเรา และจงรักภักดีต่อเรา  แต่พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมรับ  ยกเว้น(เราจะ)ยืนหยัดตรงข้ามกับเขา(ศาสดามุฮัมมัด)เท่านั้น
  •  

L-umar

เรื่อง การเข้ารับอิสลามของบาทหลวงคริสต์



เรื่องราวของบาทหลวงคาทอลิกชาวอาร์มีเนียคนหนึ่งได้เข้ารับอิสลาม เพราะการศึกษาค้นคว้าจนพบสัจธรรม  ซึ่งเขามีนามหลังจากเขารับอิสลามว่า


เชค มุฮัมมัด ศอดิก  ฟัครุลอิสลาม  มรณะปี ฮ.ศ. 1330

บาดหลวงผู้นี้คือเจ้าหนังสือชื่อ    أَنِيْسُ الْأَعْلاَمِ فِيْ نُصْرَةِ الْاِسْلاَمِ

อะนีซุลอะอ์ลาม ฟีนุศเราะติลอิสลาม



เขาได้บอกเล่าในบทแรกของหนังสือเล่มนี้ถึงเรื่องราวการเข้ารับอิสลามของเขา ภายใต้หัวข้อชื่อ   " บั้นปลายชีวิตที่สับสน " ดังนี้


              ผู้เขียนเป็นบาทหลวงระดับทรงคุณวุฒิคนหนึ่ง(เล่าว่า) เขาเกิดในย่านโบสถ์เมืองอาร์มีเนีย(อาเซอร์ไบจัน อยู่ทางตะวันตกของประเทศอิหร่าน) ได้รับการศึกษาจากคณะบาดหลวงผู้ทรงคุณวุฒิ  นักวิชาการและคณาจารย์คริสต์ในช่วงที่ยังไม่รู้อะไรเลย หนึ่งจากบุคคลเหล่านี้คือ ท่านนักบวชยอห์นบะเกียร์  ท่านบาดหลวงยอห์น จอน  ท่านนักบวชอ๊าจญ์และอาจารย์ท่านอื่นๆแห่งนิกายโปรแตสแตนท์

ยังมีคณาจารย์จากนิกายคาทอลิคอีกเช่น  ท่านนักบวชทาลู  ท่านบาทหลวงกูร์กัซ และอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย

(ผู้เขียนเล่าว่า) ตอนอายุสิบสองปี ผมได้ศึกษาพระคัมภีร์โตร่าฮ์และไบเบิลจบ ตลอดทั้งวิชาคริสตศาสนาทุกสาขา  จนผมบรรลุขั้นบาดหลวงตามวิชาความรู้
ช่วงเวลาสุดท้ายแห่งการศึกษาของผมหลังอายุสิบสองปี  ผมต้องการศึกษาหลักศรัทธานิกายและลัทธิต่างๆในคริสตศาสนา  หลังจากที่ผมได้วิจัยมาอย่างต่อเนื่อง ได้ทุ่มเทความพยายามและเดินทางไปยังบ้านเมืองต่างๆ

ผมได้เป็นตัวแทนเดินทางไปพบบาดหลวงผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง(ที่นครรัฐวาติกัน) ยิ่งกว่านั้นท่านยังดำรงตำแหน่งบิชอพแห่งคริตจักร  ท่านมีสมณศักดิ์มากมาย  ความโด่งดังของท่านเป็นที่รู้จักกันทั่วในหมู่ชาวคริสต์ เกี่ยวกับความรู้ ความถือสันโดษ ความสำรวมตนในหมู่ผู้นับถือนิกายของท่าน

คาทอลิคเป็นนิกายของศาสนาคริสต์ ที่มีอำนาจควบคุมทางศาสนจักร ต่อกษัตริย์  เจ้าเมือง ชาวบ้าน คนรวยและผู้อยู่ภายใต้การดูแล  
ผู้นับถือนิกายคอทอลิคจะส่งคำถามและปัญหาศาสนาต่างๆของพวกเขาไปถามนักบวชผู้นี้   พร้อมทั้งส่งค่าตอบแทนต่อคำถามของพวกเขาแก่นักบวชผู้นี้   ด้วยการถวายของขวัญมีค่ามากมายทั้งเงินสดและทองคำ  พวกเขาได้ทำเช่นนี้เป็นการแสดงความต้องการของพวกเขาที่มีต่อนักบวช และความปรารถนาของพวกเขาในการได้รับพรโดยนักบวช และพวกเขาถือเป็นเกียรติที่นักบวชยอมรับของกำนัลจากพวกเขา

ผู้เขียนเล่าว่า ผมได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องหลักศรัทธาและรายละเอียดต่างๆของคริสตศาสนา รวมทั้งนิกายต่างๆและบทบัญญัติปลีกย่อยอีกมากมายจากบาดหลวงผู้นี้

นอกเหนือจากผม บาดหลวงผู้นี้ยังมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย  ที่จะมายังห้องเรียนของท่านประจำวันโดยประมาณวันละสี่ถึงห้าร้อยคน
ในห้องเรียนของท่าน จึงเนืองแน่นไปด้วยพวกพระและแม่ชี ที่สละกิจทางโลก  บนบานว่าจะถือโสดไม่สมรส พวกเขาจะสวดมนต์อยู่ในโบสถ์เป็นกลุ่มใหญ่  นิยามในหมู่ชาวคริสต์ได้เรียกพวกเขาเหล่านี้ว่าพวก " ร็อบบานะตา"
   
แต่ท่านค่อนข้างให้ความสนิทสนมและความรักกับผมเป็นพิเศษมากกว่านักศึกษาทั้งหลาย  ท่านมอบกุญแจที่พัก โกดังเก็บอาหารและเครื่องดื่มของท่านไว้ให้ผมดูแล ยกเว้นกุญแจไขบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง อันเป็นสถานที่เก็บสมบัติโดยเฉพาะ ผมเดาว่ามันคงเป็นคลังเก็บทรัพย์สมบัติของท่านนักบวช
ด้วยเหตุนี้ผมจึงกล่าวกับตัวเองว่า " สละโลกเพื่อโลก " ท่านแสดงความสมถะเพื่อแสวงหาเครื่องประดับทรัพย์สินทางโลก  แต่ผมก็ติดสอยห้อยตามพระท่านนี้มาตลอด
ตามที่กล่าวมาโดยได้ศึกษาเล่าเรียนหลักศรัทธาของนิกายและลัทธิต่างๆจนผมอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปี

   และแล้ววันหนึ่ง ท่านก็เกิดล้มป่วยไปสอนหนังสือไม่ไหว ท่านจึงกล่าวกับผมว่า ลูกรัก จงไปบอกลูกศิษย์ทั้งหลายทีว่า อาการของพ่อไม่เอื้ออำนวยที่จะสอนได้ในวันนี้



ฟาร่อก่อลีฏอ ( فَارَقَلِيْطَا ) – ผู้ได้รับการสรรเสริญ

( Varkulaita )  และ ( Bear Klootoos )



   ผมได้เดินออกไปบอกพวกลูกศิษย์และเห็นพวกเขากำลังทบทวนปัญหาวิชาการ  การทบทวนของพวกเขานำไปสู่ความขัดแย้งในประเด็นความหมายของคำว่า

ฟาร่อก่อลีฏอ - فَارَقَلِيْطَا – ในภาษาเฮบรู

และคำ บีร ก่อลูฏูส - بيرقلوطوس  -ในภาษากรีก  


ที่ท่านนักบุญยอห์น

เจ้าของพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับที่ 4 ที่ได้กล่าวถึงการมาของบุคคลผู้นี้จากพระเยซู ดูยอห์น บท 14,15,16 :

14:16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป

15:26 แต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา

16:7 อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน



ตามที่พระเยซูตรัสว่า

قَالَ يَسُوْعُ : سَوْفَ يَجِيْءُ فَارَقَلِيْطَا بَعْدِيْ

ในอนาคตจะมี"ฟาร่อ ก่อลีฏอ"มาภายหลังจากข้าพเจ้า

   


การสนทนาของพวกเขา(บรรดาสานุศิษย์)เริ่มขยายวงกว้างขึ้นในประเด็นนี้ มีการถกเถียงกันนานและส่งเสียงดังลั่นและหยาบคาย  
แต่ละคนก็มีความเห็นเอกเทศน์เป็นของตัวเองในวรรคนี้ จนการถกเถียงของพวกเขาในปัญหานี้จบลงโดยปราศจากผลลัพท์ แล้วต่างคนได้แยกย้ายกันไป  
ส่วนผมเดินกลับมาหาบาทหลวง ท่านกล่าวกับผมว่า ลูกรักของพ่อ  พวกเขาได้ค้นคว้าและสนทนากันถึงเรื่องอะไรในวันนี้ตอนที่พ่อไม่อยู่ ?  

ผมได้เล่าให้ท่านฟังว่า พวกเขามีความเห็นไม่ตรงกันสักคนในความหมายคำว่า ฟาร่อก่อลีฏอ ผมยังเล่าให้ท่านฟังถึงทัศนะของนักศึกษาแต่ละคนในเรื่องนี้  
 
ท่านถามผมว่า : แล้วเจ้าเลือกทัศนะของใครล่ะในเรื่องนี้ ?

ผมตอบท่านว่า : ผมเลือกตามทัศนะของท่าน...(ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยชื่อไว้) ที่อธิบายไว้ครับ   บาดหลวงกล่าวว่า : ความหมายมันไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่นั้นหรอก  แต่ความจริงที่แท้จริงนั้น มันแตกต่างไปจากคำพูดของพวกเขาทั้งหมด  เพราะไม่มีใครรู้จริงถึงความหมายของชื่อนี้และการอธิบายถึงมันในเวลานี้ นอกจากผู้เชี่ยวชาญในวิชาการจริงๆแต่ก็มีน้อยเหลือเกิน  
ผมจึงหมอบตัวลงแทบเท้าทั้งสองของอาจารย์และกล่าวว่า : โอ้คุณพ่อทางจิตวิญญาณครับ ท่านมีความรู้ดีมากกว่าใครอื่น  นับแต่เริ่มอายุ(การเรียน)จนถึงบัดนี้ ผมเรียนจบหมดทุกเหมือนทุกคนที่จบ  ผมมีความคลั่งใคล้ในความเป็นคริสต์เหมือนคริสตศาสนิกชนคนอื่นๆ และผมเคร่งครัดศาสนาเหมือนผู้เคร่งครัดทั้งหลายอีกด้วย  
ผมไม่เคยหยุดอ่าน หยุดทบทวนบทเรียน นอกจากเวลาสวดมนต์และเทศนาเท่านั้น  อะไรจะทำร้ายท่าน หากท่านจะทำดีต่อผม โดยอธิบายให้ผมเข้าใจถึงความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้กระนั้นหรือ ?

ท่านอาจารย์ได้ร่ำไห้ออกมา พลางกล่าวว่า : โอ้ลูกรักทางจิตวิญญาณของพ่อ    พ่อขอสาบานต่อพระเจ้าว่า เจ้านั้นเป็นที่รักยิ่งของพ่อ  พ่อไม่เคยหวงแหนสิ่งใดต่อเจ้าเลย ทั้งๆที่การเผยสิ่งนั้นเป็นประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อการรู้จักความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้    แต่ว่าผู้นับถือคริสตศาสนาจะต้องฆ่าพ่อและเจ้าด้วย  เพียงแค่เผยแพร่ความหมายของชื่อนี้ออกไป  ยกเว้นเจ้าจะให้สัญญากับพ่อว่า  เจ้าจะไม่นำความหมายของชื่อนี้ไปประกาศ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พ่อมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม หมายความว่า เจ้าจะต้องไม่เอ่ยชื่อพ่อ(ว่าเป็นคนบอกความหมายของคำนั้น)  
เพราะมันจะเป็นเหตุทำให้พวกเขามุ่งมาทำร้ายพ่อแหลกเป็นชิ้นๆตอนพ่อยังมีชีวิต รวมทั้งเครือญาติและผู้ติดตามพ่อ(จะต้องเดือดร้อนไปตามกันด้วย)หลังจากที่พ่อเสียชีวิตแล้ว  และคงหนีไม่พ้นที่พวกเขาจะตรงมาขุดหลุมศพของพ่อแล้วเผาร่างพ่อ หากพวกเขารู้ถึงความหมายที่แท้จริงของชื่อนี้ว่ามันมาจากพ่อ(เป็นคนอธิบาย)

   ผมจึงสาบานต่อพระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงมีชัย ผู้ทรงทำลายล้าง ผู้ทรงหยั่งรู้ ผู้ทรงชำระโทษ
ต่อพระคัมภีร์ไบเบิล ต่อพระเยซู ต่อพระแม่มารี  ต่อบรรดาศาสดาและคนดีทั้งหลาย  
ต่อทุกพระคัมภีร์ที่พระเจ้าประทานมา และต่อพระและแม่ชีทั้งหลายว่า  ผมจะไม่เผยความลับของท่านตลอดกาล ทั้งในยามที่ท่านมีชีวิตหรือหลังจากที่จากไปแล้ว

   หลังจากที่ท่านเชื่อใจผมแล้ว  ท่านกล่าวว่า :
ลูกรักทางจิตวิญญาณของพ่อ แท้จริงชื่อนี้คือนามหนึ่งของศาสดาของพวกมุสลิม  
มันมีความหมายว่า  อะห์มัดและมุฮัมมัด  (แปลว่าผู้ที่สรรเสริญพระเจ้ามากที่สุดและผู้ที่มนุษย์สรรเสริญถึงเขามากที่สุดในหมู่มนุษย์ )

   จากนั้นบาทหลวงได้มอบกุญแจบ้านหลังเล็ก(ที่กล่าวไว้แต่ต้น)ให้ผม แล้วขอร้องให้ผมไปเปิดหีบของชายคนหนึ่ง และนำคัมภีร์ของชายคนนั้นมาให้ท่านที ผมได้ทำตามนั้น  ผมนำคัมภีร์มามอบให้ท่านสองเล่ม  ซึ่งคัมภีร์ทั้งสองเล่มบันทึกเป็นลายมือภาษากรีกและภาษาเฮบรูบนหนังสัตว์ (มีอายุบันทึกไว้)ก่อนที่ศาสดาคนสุดท้ายจะปรากฏ  
ผมเห็นคัมภีร์ทั้งสองเล่มมีคำว่า " ฟาร่อก่อลีฏอ " และทั้งสองเล่มแปลว่า อะหฺมัด และ มุฮัมมัด

จากนั้นท่านกล่าวว่า : เจ้าจงรู้เถิดว่า  นักวิชาการ  นักอธิบายและนักแปลชาวคริสต์ทั้งหลายไม่เคยมีความเห็นขัดแย้งกัน ก่อนที่ศาสดามุฮัมมัด(ศ)จะออกมาประกาศอิสลาม   ว่าคำนี้หมายถึง อะหฺมัดและมุฮัมมัด

แต่หลังจากที่มุฮัมมัดได้ประกาศอิสลาม  บาทหลวงและเจ้าเมืองที่ถือคริสต์ทั้งหลายได้บิดเบือนและทำลายหนังสืออธิบายพระคัมภีร์และตำราภาษารวมทั้งตำราให้ความหมายพระคัมภีร์ทุกเล่มทิ้ง
เพื่อคงไว้ซึ่งตำแหน่งผู้นำ  และการแสวงหาทรัพย์สินของพวกเขา และเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ทางโลก  พวกเขามีฐิฑิดื้อดึง ริษยาอคติ และความป่วยทางจิตใจที่ห้อมล้อมพวกเขาไว้(มิให้ยอมรับมุฮัมมัดในฐานะศาสดาคนสุดท้ายของชาวโลก)    
พวกเขาได้อุตริบัญญัติคำศัพท์หรือความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งพ่อต้องขอย้ำว่า ศัพท์หรือความหมายที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่นนั้นไม่ตรงต่อเป้าหมายของเจ้าของพระคัมภีร์ไบเบิลเลยสักนิด  ความหมายเดิมนี้มีความชัดเจน ง่ายกว่าทั้งหมดจากสำนวนต่างๆ และลำดับของโองการที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ตอนนี้คือ

ผู้ได้รับมอบหมาย ( วิกาละฮฺ )

ผู้ไถ่บาป ( ชะฟาอะฮฺ )
 
ผู้ปลอบประโลมใจ ( ตะอฺซียะฮ์และตัสลียะฮฺ )


ความหมายเหล่านี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของเจ้าของคัมภีร์ไบเบิล  เพราะว่า พระวิญญาณที่เสด็จลงมาที่บ้านวันนั้น  มันก็ไม่ตรงกับความหมายเดิมเช่นกัน  นั่นเป็นเพราะพระเยซูทรงจำกัดการมาของ " ฟาร่อก่อลีฏอ " ด้วยเงื่อนของท่านที่ว่า ท่านจะต้องจากไปเสียก่อน  

ดังที่พระเยซูตรัสว่า :

เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ "ผู้ปลอบประโลมใจ "(เดิมคือฟาร่อก่อลีฏอ) ก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน    

ดูบท  ยอห์น  16: 7

เพราะการรวมศาสดาสององค์ไว้ในเวลาเดียวกัน โดยศาสดาแต่องค์ก็เป็นเจ้าของหลักธรรมเป็นของตัวเองสำหรับมวลชนนั้นไม่เป็นที่อนุญาต
ซึ่งขัดกับพระวิญญาณที่เสด็จลงมาในวันบ้าน(แก่ชาวคริสต์) ซึ่งมันหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เคยเสด็จลงมาในยามที่พระเยซูและบรรดาสาวกยังอยู่

บาดหลวงได้กล่าวว่า ลูกดูซิ พวกเขาลืมไปแล้วว่า คัมภีร์ไบเบิล กล่าวเพียงว่า :

เมื่อพระเยซูได้ขึ้นเสด็จขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดน หลังจากที่ท่านยอห์น(นะบียะห์ยา)ได้ประกอบพิธีเจิมน้ำมนต์ให้พระเยซูแล้ว ทันใดนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาสถิตบนตัวท่านในร่างของนกเขา  

ดูบทมัทธิว 3:16

และพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงรับ(ศีล)บัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจาก(แม่)น้ำ(จอร์แดน) และดูเถิด ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น"พระวิญญาณของพระเจ้า"เสด็จลงมาดุจนกเขาและสถิตอยู่บนพระองค์

   พระวิญญาณดังกล่าวได้เสด็จลงมาในขณะที่พระเยซูอยู่กับสาวกสิบสองคนตามที่คัมภีร์ไบเบิล บทมัทธิว 10 : 1 กล่าวว่า :

ตอนที่พระเยซูส่งสาวกสิบสองคนไปยังบ้านเมืองของชาวอิสราเอลว่า :

เมื่อพระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาแล้ว พระองค์ก็ประทาน"อำนาจ – กูวะฮ์ " ให้เขาขับผีโสโครกออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้
   
ความหมายคำ "อำนาจ" ในที่นี้คือ พลังทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่พลังทางร่างกายภายนอก เพราะการกระทำเหล่านี้(คือไล่ผีและรักษาโรค) ไม่ได้ออกมาจากพลังทางร่างกาย  และพลังทางจิตวิญญาณในที่นี้คือการสนับสนุนของพระวิญญาณบริสุทธิ์    

ในบทมัทธิว 10: 20 พระเยซูตรัสกับสาวกทั้งสิบสองว่า :

لأَنْ لَسْتُمْ أَنْتُمُ الْمُتَكَلِّمِينَ بَلْ رُوحُ أَبِيكُمُ الَّذِي يَتَكَلَّمُ فِيكُمْ

เพราะว่าผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็น"พระวิญญาณแห่งพระบิดาของพวกท่าน" ผู้ตรัสทางท่าน

ความหมายของคำ" رُوحُ أَبِيكُمْ - พระวิญญาณแห่งพระบิดา" คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามที่คัมภีร์ไบเบิล บทลูกา  9 : 1 กล่าวว่า :

พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาพร้อมกัน แล้วทรงประทานให้เขา " มีอำนาจและสิทธิอำนาจ " เหนือผีทั้งปวงและรักษาโรคต่างๆให้หาย

และเกี่ยวกับสาวกเจ็ดสิบคนที่พระเยซูส่งออกไปทีละสองคนซึ่งพวกเขาได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในบทลูกา 10 : 1 กล่าวว่า  :
 
ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ องค์พระเยซูทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน

ในบทลูกา 10 : 17 ยังกล่าวอีกว่า :
 
ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า \\\" พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์ \\\"

ตามที่กล่าวมานี้แท้จริงการเสด็จลงมาของพระวิญญาณ ไม่ได้ถูกกำหนดเงื่อนไขว่า พระเยซูต้องเสด็จจากไปก่อน  

ดังนั้นถ้าตีความหมายของคำว่า "ฟาร่อก่อลีฏอ" คือพระวิญญาณบริสุทธิ์  

คำพูดของพระเยซูก็จะกลายเป็นคำพูดที่ผิดและเหลวไหลไร้สาระ  และนั่นไม่ใช่วิสัยของผู้มีวิทยปัญญาที่จะกล่าวถ้อยคำที่ไร้สาระหรือไร้ความหมายออกมาจากปาก  

แล้วนับประสาอะไรกับสถานะภาพของผู้เป็นถึงศาสดา ผู้มีฐานะภาพอันสูงส่งอย่าง พระเยซูเล่า  

ด้วยเหตุนี้เป้าหมายของคำว่า " ฟาร่อก่อลีฏอ " ย่อมจะแปลเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะต้องหมายถึง

อะหฺมัดและมุฮัมมัด

และสองคำนี้มีความหมายเดียวกันกับคำ " ฟาร่อก่อลีฏอ " จะเป็นอื่นมิได้


ผู้เขียนกล่าวกับบาดหลวงว่า : แล้วพวกท่านจะกล่าวอย่างไรในคริสตศาสนา ?

บาดหลวงตอบว่า : ลูกรักทางจิตวิญญาณของพ่อ  แท้จริงศาสนาคริสต์ถูกยกเลิกด้วยสาเหตุปรากฏหลักธรรมใหม่คือศาสนาของมุฮัมมัด(ศ) ท่านกล่าวถ้อยคำนี้ซ้ำถึงสามครั้ง
 
ผมกล่าวว่า : หมายความว่าตอนนี้ หนทางรอดและหนทางที่เที่ยงตรงที่จะนำพาไปสู่พระเจ้าถูกจำกัดไว้ในผู้ตามมุฮัมมัด(ศ)เท่านั้นหรือครับ ?  และผู้ตามเขาคือบรรดาผู้รอดพ้นหรือครับ ?  

ท่านบาทหลวงตอบว่า : ใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้า  ใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้าใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้า



ทำไมท่านจึงไม่เข้ารับอัลอิสลาม ?


   ผมถามคุณพ่อว่า : หากเป็นจริงดังนั้น แล้วอะไรขัดขวางคุณพ่อมิให้เข้ารับอิสลามและดำเนินตามมุฮัมมัดล่ะครับ  ในขณะที่ท่านรู้ซึ้งว่าอิสลามเป็นศาสนาดีที่สุด  และถือว่าการตามศาสดาคนสุดท้ายนี้ คือทางรอดและทางที่เที่ยงตรงไปสู่พระเจ้า ?


ท่านตอบว่า :  ลูกรักของพ่อ  พ่อไม่เคยได้รับรู้ถึงความจริงของศาสนาอิสลามและรู้ว่ามันเป็นศาสนาดีที่สุด เว้นแต่หลังจากพ่อมีอายุชราภาพแล้ว  ในใจพ่อตอนนี้เป็นมุสลิม ส่วนภายนอกนั้นพ่อไม่อาจทิ้งตำแหน่งผู้นำและสมณศักดิ์สูงส่งนี้ได้
ลูกก็เห็นตำแหน่งของพ่อท่ามกลางหมู่ชาวคริสต์นี่  หากพวกเขารู้ว่าพ่อมีจิตใจเอนเอียงไปทางศาสนาอิสลาม พวกเขาจะต้องฆ่าพ่อให้ตายแน่  แม้กระทั่งพ่อจะหนีพ้นพวกเขาแล้วก็ตาม   ก็ไม่วายที่พวกเจ้าเมืองฝ่ายคริสต์ศาสนา จะต้องขอตัวพ่อคืนจากเจ้าเมืองฝ่ายมุสลิม โดยอ้างว่าทรัพย์สมบัติของโบสถ์คริสต์นั้นอยู่ในมือพ่อ และพ่อได้ทำผิดคือโกงสิทธิของพวกเขา  
หรือไม่พวกเขาก็ต้องอ้างว่า พ่อเอาสิ่งของไปจากพวกเขา พ่อได้กินมันและให้มัน  ด้วยเหตุนี้พ่อคิดว่า มันยากและหนักที่เจ้าเมืองฝ่ายมุสลิมทั้งหลายจะปกป้องพ่อเอาไว้ได้  
ถึงกระทั่งว่า พ่อจะมาขอพึ่งพวกมุสลิมด้วยการที่พ่อจะกล่าวกับพวกเขาว่า ผมเป็นมุสลิมแล้วนะ  
พวกเขาจะกล่าวว่า ยินดีกับท่านด้วย ที่ท่านได้พาตัวท่านรอดพ้นจากไฟนรก  แต่ขอร้องว่า อย่าได้ทวงบุญคุณกับพวกเรา  เพราะท่านช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าแล้ว โดยเข้าสู่ศาสนาแห่งสัจธรรมและแนวทางที่ถูกต้อง

ลูกรักของพ่อ  แล้วจะไม่มีขนมปังและน้ำดื่มสำหรับพ่อ ทั้งๆที่พ่อเป็นอาจารย์และแก่เฒ่าท่ามกลางชาวมุสลิม
ด้วยเหตุนี้พ่อก็จะต้องมีชีวิตอยู่ในความยากจน ขัดสน  สับสน น่าสมเพช อับยศ  มีแต่ความกังวลในสภาพที่พ่อเองก็ไม่เข้าใจภาษาของพวกเขา  แล้วพวกเขาก็จะไม่รู้จักสิทธิของพ่อ  ไม่ดูแลเอาใจใส่ศักดิ์ศรีของพ่อ   พ่อก็จะตายในสภาพหิวโหยท่ามกลางพวกเขา
และพ่อจะต้องอำลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสื่อมเสียและสิ่งปรักหักพังต่างๆ    
พ่อเคยเห็นด้วยตาพ่อเองมามากมายแล้ว มีผู้คนเข้ารับอิสลาม และพวกมุสลิมไม่เคยเอาใจใส่ดูแลพวกเขา  พวกเขาเหล่านั้นจึงหันหลังออกจากอิสลามไปสู่ศาสนาเดิมของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง  
ดังนั้นพวกเขาได้ขาดทุนทั้งโลกนี้และโลกหน้า    และพ่อก็เช่นกัน พ่อกลัวว่า พ่อไม่อาจทนรับสภาพความเดือนร้อนและทุกข์เข็ญต่างๆทางโลกได้  ในขณะที่จะไม่ได้รับสิ่งใดเป็นของพ่อเลยจากโลกนี้และโลกหน้า  
และพ่อขอขอบคุณต่อพระเจ้าที่พ่อเป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสตามศาสดามุฮัมมัด(ศ)ในใจ.

แล้วอาจารย์ผมได้ร้องไห้ออกมา ส่วนผมก็ร้องไห้เช่นกัน หลังจากเราร้องไห้อยู่ด้วยกันนานอยู่พักหนึ่ง

ผมได้กล่าวกับท่านว่า : คุณพ่อที่รักครับ ท่านจะสั่งผมให้เข้ารับอิสลามได้ไหม ?
ท่านกล่าวว่า :  หากลูกต้องการโลกหน้าและการรอดพ้น เจ้าก็ควรจะยอมรับศาสนาแห่งความจริง  เพราะเจ้ายังหนุ่มแน่น พ่อว่าลูกไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมปัจจัยต่างๆทางโลกไว้สำหรับเจ้า  ลูกคงไม่อดตายหรอก และพ่อจะขอพรให้เจ้าเสมอ และพ่อต้องการให้เจ้าช่วยเป็นพยานให้พ่อในวันสิ้นโลกด้วยว่า แท้จริงพ่อเป็นมุสลิมในใจและเป็นผู้ตามมนุษย์ที่ประเสริฐสุดคนหนึ่ง  และพ่ออยากบอกเจ้าว่า  มีนักบวชมากมายที่ในใจพวกเขา ใช้ชีวิตสภาพเดียวเช่นพ่อ พวกเขาเหมือนพ่อ พ่อคือคนบาปที่ไม่อาจสลัดตำแหน่งหน้าที่ผู้นำทางโลกได้

และนอกจากนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า  แท้จริงศาสนาของพระเจ้าบนโลกในวันนี้ คือศาสนาอัลอิสลาม

เมื่อผมได้เห็นพระคัมภีร์เก่าสองเล่มและได้ฟังคำอธิบายเช่นนี้จากอาจารย์แล้ว แสงสว่างแห่งทางนำของศาสดามุฮัมมัด ศาสดาคนสุดท้ายของโลกได้มีอำนาจเหนือตัวผม และความรักที่ผมมีต่อเขาถึงขั้นที่ว่า
โลกใบนี้และสิ่งที่มีอยู่ในมัน ในสายตาของผมมันกลายเป็นซากศพไร้ค่า  ตำแหน่งผู้นำทางโลกที่มีวันมลาย  เครือญาติและบ้านเกิดเมืองนอนมิอาจผูกมัดขัดขวางผมไว้ได้   ผมหันหลังให้กับสิ่งเหล่านั้นทุกอย่าง  ผมได้อำลาอาจารย์ในช่วงเวลานั้น  แล้วท่านได้ขอให้ผมรับเงินจำนวนหนึ่งจากท่านไปเพื่อใช้จ่ายในการเดินทางของผม  ผมรับมันมาจากอาจารย์ แล้วออกเดินทาง(จากนครรัฐวาติกัน) มุ่งหน้าสู่โลกหน้าทันที


การเข้ารับอิสลาม


                  ผมไม่ได้พกพาสิ่งใด(จากนครรัฐวาติกัน)มาเลย นอกจากหนังสือสองสามเล่มเท่านั้น  ผมทิ้งตำราทั้งหมดและทุกสิ่งที่ผมมีไว้  
หลังจากการเดินทางอันเหนื่อยยาก  ผมก็มาถึงเมืองอาร์มีเนียเวลาเที่ยงคืนพอดี และในคืนเดียวกันนั้นผมได้ไปเคาะประตูบ้านท่านมัรฮูมสัยยิดฮาซัน มุจญ์ตะฮิด

ซึ่งท่านได้ปลื้มปิติใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับผมหลังจากท่านรู้ข่าวมาว่า ผมจะมาหาท่านเพื่อเข้ารับอิสลาม    ผมขอให้ท่านสอนคำปฏิญานตนเพื่อเข้ารับอิสลาม(กะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนิ)และหลักการอิสลามที่สำคัญ
ท่านสัยยิดฮาซันมุจญ์ตะฮิดได้ถ่ายทอดทุกสิ่งและสอนความรู้ให้กับผม  ผมได้จดเป็นภาษาเฮบรูเพื่อจะได้ไม่ลืม เช่นกันผมขอให้ท่านอย่าได้เพร่งพรายแก่ใครเรื่องที่ผมมาเข้ารับอิสลาม เพราะผมเกรงว่า ถ้าญาติพี่น้องและชาวคริสต์ได้ยินเรื่องนี้เข้า พวกเขาจะต้องทำร้ายผมหรือรังควานผมแน่  
จากนั้นผมเดินไปที่ห้องน้ำในคืนนั้น แล้วผมได้อาบน้ำฆุซุ่ลเตาบัตตัวจากชีรีกและกุโฟ้ร(การตั้งภาคีต่อพระเจ้าที่เชื่อว่าพระองค์มีสามองค์)
หลังจากออกจากห้องน้ำ ผมกล่าวกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮฺอีกครั้งหนึ่ง และเข้าสู่ศาสนาแห่งสัจธรรมทั้งภายนอกและภายใน.



Θ ท่านสามารถตรวจสอบความจริงของเรื่องนี้ได้ที่เวบไซต์มากมายดังนี้

http://www.albadri.info/adyan/index.php?id_file=mcjara/mcj12.htm


http://www.ebnmaryam.com/vb/t168953.html

http://www.ngoic.com/main.php?ObjShow=ShowPage&Tshow=Article&PS=default2&ida=267

http://anis-al-alaam.blogfa.com/
  •  

L-umar

1.3- ผู้ที่เขามีความรู้ในคัมภีร์เป็นพยาน



۞ คัมภีร์อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَيَقُولُ الَّذِينَ كَفَرُواْ لَسْتَ مُرْسَلاً قُلْ كَفَى بِاللّهِ شَهِيدًا بَيْنِي وَبَيْنَكُمْ وَمَنْ عِندَهُ عِلْمُ الْكِتَابِ

และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า ท่านมิใช่เป็นผู้ได้รับแต่งตั้ง จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) เพียงพอแล้วที่อัลลอฮฺทรงเป็นพยานระหว่างฉันกับพวกท่าน และผู้ที่เขามีความรู้ในคัมภีร์ (ก็เป็นพยานด้วย)


ซูเราะฮ์อัลเราะอฺดุ : 43

أَفَمَن كَانَ عَلَىٰ بَيِّنَةٍ مِّن رَّبِّهِ وَيَتْلُوهُ شَاهِدٌ مِّنْهُ وَمِن قَبْلِهِ كِتَابُ مُوسَىٰ إِمَاماً وَرَحْمَةً أُوْلَـٰئِكَ يُؤْمِنُونَ بِهِ وَمَن يَكْفُرْ بِهِ مِنَ ٱلأَحْزَابِ فَٱلنَّارُ مَوْعِدُهُ فَلاَ تَكُ فِي مِرْيَةٍ مِّنْهُ إِنَّهُ ٱلْحَقُّ مِن رَّبِّكَ وَلَـٰكِنَّ أَكْثَرَ ٱلنَّاسِ لاَ يُؤْمِنُونَ

ดังนั้น (มุฮัมมัดคือ) ผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้ง(คืออัลกุรอาน) จากพระผู้อภิบาลของเขา  และผู้เป็นพยานจากเขาจะสาธยายมัน(อัลกุรอาน)  และก่อนนั้นมีคัมภีร์ของมูซาเป็นแนวทางและเป็นความเมตตา  ชนเหล่านั้นศรัทธาต่อมันและผู้ใดจากพรรคต่างๆปฏิเสธศรัทธาต่อมัน ไฟนรกคือสัญญาของเขา ดังนั้นเจ้าอย่าได้อยู่ในการสงสัยมันเลย  แท้จริงมันคือสัจธรรมจากพระผู้อภิบาลของเจ้า  แต่ทว่ามนุษย์ส่วนมากจะไม่ศรัทธา
ซูเราะฮ์ ฮูด : 17



۞ อัลหะดีษ


14. ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กล่าวว่า  โองการที่อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า


(ดังนั้นผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา)
คือข้าพเจ้า  (และผู้เป็นพยานจากเขาจะสาธยายมัน) คืออาลี  

15.อิม่ามอาลี(อ)กล่าวว่า  

ในโองการ(ดังนั้นผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา  และผู้เป็นพยานจากเขาจะสาธยายมัน) ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) คือผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของท่าน ส่วนฉันคือผู้เป็นพยานให้ท่านและมาจากท่าน

16.อิม่ามริฎอ(อ)รายงานจากบรรดาบิดาของท่าน จากอิม่ามอาลี(อ)เล่าว่า
 
ปรากฏว่า เป็นวันศุกร์ท่าน(อิม่ามอาลี)คุฏบะฮฺอยู่บนมิมบัร ท่านกล่าวว่า ขอสาบานต่อผู้ให้เมล็ดงอกเงย และผู้สร้างมนุษย์ ไม่เคยมีชายคนใดจากชาวกุเรช ที่المَوَاسِيได้ผ่านมาบนเขา เว้นแต่ได้มีโองการหนึ่งจากคัมภีร์ของอัลลอฮฺ อัซซะวะญัลประทานลงมาแก่เขา  ฉันรู้จักโองการนั้นเหมือนที่ฉันรู้จักเขา  มีชายคนหนึ่งยืนขึ้นยังท่านแล้วกล่าวว่า  โอ้ท่านอมีรุลมุอฺมินีน  โองการของท่านคืออะไรที่ได้ประทานลงมาเกี่ยวกับท่าน ?  ท่านอิม่ามตอบว่า  เมื่อเจ้าถามจงทำความเข้าใจ เจ้าไม่ควรถามถึงโองการนั้นอื่นจากฉัน  เจ้าเคยอ่านซูเราะฮ์ฮู๊ดไหม ?  เขาตอบว่า เคยอ่านครับท่านอมีรุลมุอฺมินีน  

ท่านอิม่ามกล่าวว่า  เจ้าเคยได้ยินอัลลอฮ์ อัซซะวะญัลตรัสว่า(ดังนั้นผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา  และผู้เป็นพยานจากเขาจะสาธยายมัน) ไหม ? เขาตอบว่า เคยครับ  ท่านอิม่ามกล่าวว่า ผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขาคือ ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) และผู้ที่เป็นพยานจากเขาที่สาธยายมัน  และเขาคือชาเฮ็ด(พยาน) และบุคคลที่มาจากเขาคือ อาลี บิน อบีตอลิบ (อ), ฉันคือชาเฮ็ด และฉันมาจากท่านรอซูล(ศ)

17.หนังสืออัลอิหฺติญาจญ์ ต็อบร่อซี :

มีชายคนหนึ่งถามอิม่ามอาลี บินอบีตอลิบ(อ)  ท่านอิม่ามกล่าวกับเขาว่า ฉันได้ยิน - :
เขากล่าวว่า โปรดบอกฉันถึงความประเสริญของท่านที่สุดยอดที่สุด ท่านตอบว่า คือสิ่งที่อัลลอฮ์ทรงประทานไว้ในคัมภีร์ของพระองค์  
เขาถามว่า  อัลลอฮฺทรงประทานอะไรไว้เกี่ยวกับท่านหรือ ? ท่านตอบว่า โองการ (ดังนั้นผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา  และผู้เป็นพยานจากเขาจะสาธยายมัน ) ฉันคือผู้เป็นพยาน(ชาเฮ็ด) ที่มาจากท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)

18.หนังสือบะซออิรุด-ดะร่อญ๊าต  ท่านอัซบัฆ บินนุบะตะฮฺเล่าว่า :

ท่านอมีรุลมุอฺมินีน(อ)กล่าวว่า  หากปูเสื่อให้ฉัน แล้วฉันได้นั่งบนมัน แน่นอนฉันจะตัดสินคดีท่ามกลางผู้ตามคัมภีร์เตารอตด้วยคัมภีร์เตารอตของพวกเขา และผู้ตามคัมภีร์อินญีลด้วยคัมภีร์อินญีลของพวกเขา  และผู้ตามคัมภีร์ซะบูรด้วยคัมภีร์ซะบูรของพวกเขา และผู้ตามคัมภีร์ฟุรกอน(คืออัลกุรอ่าน)ด้วยคัมภีร์ฟุรกอนของพวกเขา ด้วยคำพิพากษาที่ขึ้นไปยังอัลลอฮฺอย่างชัดเจน(ไม่มีข้อบกพร่องใดๆ)
   ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ไม่มีโองการใดในคัมภีร์ของอัลลอฮฺประทานลงมา ในตอนกลางคืนหรือกลางวัน เว้นแต่ฉันรู้ว่า มันถูกประทานลงมาเกี่ยวกับใคร   และไม่มีจากบุคคลใดที่المَواسيผ่านมาบนหัวของเขาจากชาวกุเรช นอกจากมีโองการหนึ่งจากคัมภีร์ของอัลลอฮฺประทานลงมาเกี่ยวกับเขา  จะจูงเขาไปขึ้นสวรรค์หรือลงนรก
   ชายคนนั้นลุกขึ้นมาหาท่านอิม่าม แล้วกล่าวว่า โอ้ท่านอมีรุลมุอฺมินีน  โองการใดประทานลงมาเกี่ยวกับท่านครับ ?  ท่านอิม่ามกล่าวกับเขาว่า  เจ้าไม่เคยได้ยินอัลลอฮฺตรัส (ดังนั้นผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา  และผู้เป็นพยานจากเขาจะสาธยายมัน )   หรือ ?  
ท่านอิม่ามกล่าวว่า  ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)คือบุคคลที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา และฉันคือผู้เป็นพยานให้ท่านเกี่ยวกับสิ่งนั้น และฉันจะสาธยายมันพร้อมกับเขา

19.หนังสือกัชฟุลยะกีน  อุบบ๊าด บินอับดุลลอฮฺ อัลอะซะดีรายงานว่า ฉันได้ยินท่านอาลี(อ)กล่าว ขณะที่ท่านอยู่บนมิมบัรว่า ไม่ชายใดจากเผ่ากุเรช เว้นแต่มีอายะฮฺหนึ่งหรือสองอายะฮฺได้ประทานลงมาเกี่ยวกับเขา  มีชายคนหนึ่งอยู่ด้านล่างมิมบัร

ท่านถามว่า  อะไรได้ประทานลงมาเกี่ยวกับท่าน ?  ท่านอิม่ามโกรธ จากนั้นท่านกล่าวว่า   หากว่าเจ้าไม่ถามฉันต่อหน้าหัวหน้าของหมู่ชนเหล่านี้ ฉันจะไม่เล่าให้เจ้าฟัง อนิจจาเอ๋ย  เจ้าเคยอ่านซูเราะฮ์ฮู๊ดบ้างไหม  จากนั้นท่านอาลี(อ)ได้อ่านว่า (ดังนั้นผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา  และผู้เป็นพยานจากเขาจะสาธยายมัน )  ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)คือบุคคลที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้ง  และฉันคือผู้เป็นพยานที่มาจากท่าน(ศ)  

20.อิม่ามมุฮัมมัดอัลบาเก็ร(อ)กล่าวว่า

บุคคลที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขาคือท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)  และบุคคลที่ได้สาธยายมันภายหลังจากท่าน(ศ)จากไป คือผู้เป็นพยานจากท่าน(ศ) คือท่านอมีรุลมุอฺมินีน(อ) ต่อจากนั้นคือบรรดาวะซีของเขา ทีละคนๆ


21.หนังสือบิฮารุลอันวาร  อับดุลลอฮฺ บินอะฏ๊ออฺเล่าว่า  


ฉันนั่งอยู่กับท่านอบี ญะอฺฟัร(อ)ในมัสญิด นบี(ศ) ทันใดฉันแลเห็นบุตรชายของท่านอับดุลลอฮฺ บิน สะลามนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง  ฉันจึงกล่าวกับท่านอบีญะอฺฟัร(อ)ว่า  พวกเขากล่าวกันว่า บิดาของชายผู้นี้คือบุคคลที่เขามีความรู้ในคัมภีร์   ท่านอิม่ามกล่าวว่า ไม่ใช่  แท้จริงบุคคลคนนั้นคือ ท่านอมีรุลมุอฺมินีน อาลี บิน อบีตอลิบ (อ)  ได้มีโองการหนึ่งประทานลงมาเกี่ยวกับท่านว่า (ดังนั้นผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา  และผู้เป็นพยานจากเขาจะสาธยายมัน ) เพราะฉะนั้นท่านนบี(ศ)คือผู้ที่อยู่บนหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระผู้อภิบาลของเขา  และท่านอมีรุลมุอฺมินีน อาลี บิน อบีตอลิบ (อ)  คือผู้เป็นพยาน(ชาเฮ็ด)ที่มาจากท่าน(ศ)
  •  

L-umar

1.4- การล่วงรู้ข่าวของปวงปราชญ์แห่งวงศ์วานอิสราเอล และการมีศรัทธาส่วนหนึ่งจากพวกปุโรหิตแห่งชาวคัมภีร์(อะฮฺลุลกิตาบ)



۞  อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَإِنَّهُ لَفِي زُبُرِ الْأَوَّلِينَ

แท้จริงเขา(มุฮัมมัด)มี(กล่าว)อยู่ในคัมภีร์ต่างๆในสมัยก่อนๆ


ซูเราะฮ์อัชชุอะรอ : 196,197

وَلَمَّا جَاءهُمْ كِتَابٌ مِّنْ عِندِ اللّهِ مُصَدِّقٌ لِّمَا مَعَهُمْ وَكَانُواْ مِن قَبْلُ يَسْتَفْتِحُونَ عَلَى الَّذِينَ كَفَرُواْ فَلَمَّا جَاءهُم مَّا عَرَفُواْ كَفَرُواْ بِهِ فَلَعْنَةُ اللَّه عَلَى الْكَافِرِينَ

และเมื่อได้มีคัมภีร์ฉบับหนึ่งจากที่อัลลอฮ์มายังพวกเขา ซึ่งยืนยันในสิ่งที่มีอยู่กับพวกเขา ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยขอให้มีชัยชนะเหนือบรรดาผุ้ที่ปฏิเสธศรัทธามาก่อน ครั้นเมื่อสิ่งที่พวกเขารู้จักดี ได้มายังพวกเขาแล้ว พวกเขากลับปฏิเสธสิ่งนั้นเสีย ดังนั้นความห่างไกลจากเราะฮ์มัตของอัลลอฮ์จึงตกอยู่แก่บรรดาผู้ปฏิเสธเหล่านั้น

ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮฺ  : 89

وَإِذَا سَمِعُوا مَا أُنْزِلَ إِلَى الرَّسُولِ تَرَى أَعْيُنَهُمْ تَفِيضُ مِنَ الدَّمْعِ مِمَّا عَرَفُوا مِنَ الْحَقِّ يَقُولُونَ رَبَّنَا آَمَنَّا فَاكْتُبْنَا مَعَ الشَّاهِدِينَ

และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่ร่อซูลแล้ว เจ้าก็จะเห็นตาของพวกเขาหลั่งออกมาซึ่งน้ำตา เนื่องจากความจริงที่พวกเขารู้  โดยที่พวกเขาจะกล่าวว่า โอ้พระเจ้าของพวกข้าพระองค์โปรดได้ทรงจารึกพวกข้าพระองค์ไว้ร่วมกับบรรดาผู้กล่าวปฏิญาณยืนยันด้วยเถิด
ซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮฺ : 83

 وَمَا لَنَا لَا نُؤْمِنُ بِاللَّهِ وَمَا جَاءَنَا مِنَ الْحَقِّ وَنَطْمَعُ أَنْ يُدْخِلَنَا رَبُّنَا مَعَ الْقَوْمِ الصَّالِحِينَ

และไม่มีเหตุผลใด ๆ แก่เราที่เราจะไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และความจริงที่มายังเรา และเราปรารถนาอย่างแรงกล้าที่พระเจ้าของเราจะทรงให้เราเข้าร่วมอยู่กับพวกที่ดี ๆ ทั้งหลาย
ซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮฺ : 84

قُلْ أَرَأَيْتُمْ إِنْ كَانَ مِنْ عِنْدِ اللَّهِ وَكَفَرْتُمْ بِهِ وَشَهِدَ شَاهِدٌ مِنْ بَنِي إِسْرَائِيلَ عَلَى مِثْلِهِ فَآَمَنَ وَاسْتَكْبَرْتُمْ إِنَّ اللَّهَ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الظَّالِمِينَ

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด พวกท่านไม่เห็นดอกหรือว่า ถ้าหากอัลกุรอานมาจากอัลลอฮฺและพวกท่านปฏิเสธอัลกุรอานนั้น ทั้ง ๆ ที่มีพยานคนหนึ่งจากวงศ์วานของอิสรออีลเป็นพยานต่อลักษณะเช่นเดียวกัน (คือคัมภีร์อัตเตารอฮฺ)แล้วเขาก็ศรัทธาแต่พวกท่านยังดื้อรั้นหยิ่งยะโส แท้จริงอัลลอฮฺจะไม่ทรงชี้แนะทางแก่หมู่ชนผู้อธรรม (*1*)

ซูเราะฮ์อัลอะห์กอฟ : 10


۞ อัลหะดีษ

22.ตัฟสีรอัลกุมมี ตรงโองการที่อัลลอฮ์ ตะอาลาตรัสว่า


ٱلَّذِينَ آتَيْنَاهُمُ ٱلْكِتَابَ يَعْرِفُونَهُ كَمَا يَعْرِفُونَ أَبْنَاءَهُمْ

บรรดาผู้ที่เราได้ประทานคัมภีร์แก่พวกเขา พวกเขา(พวกยิว)รู้จักเขา(มุฮัมมัด)เหมือนที่พวกเขารู้จักลูกของพวกเขา

ซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์  :  146  

แท้จริงท่านอุมัร บินค็อตตอบกล่าวกับท่านอับดุลลอฮฺ บินสะลามว่า  

พวกท่านรู้จักมุฮัมมัด(ศ)ในคัมภีร์ของพวกท่านหรือไม่ ? เขาตอบว่า ใช่แล้ว ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่าเรารู้จักเขาตามที่อัลลอฮ์ทรงพรรณนาไว้กับเรา เมื่อเราเห็นเขาอยู่ในหมู่พวกท่าน เหมือนคนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเรารู้จักลูกของเขาดีเมื่อเขาเห็นลูกเขาอยู่กับเด็กๆ และฉันอิบนุ สะลามขอสาบานต่อพระองค์ว่า สำหรับฉันต่อมุฮัมมัดคนนี้ ฉันรู้จักเขาดียิ่งกว่าลูกชายของฉันอีก

23.หนังสืออัตต็อบกอตุลกุบรอ

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า  

ชาวกุเรชได้ส่งอัน-นัฎรฺ บินอัลฮาริษ บินอัลเกาะมะฮฺกับอุกบะฮ์ บินอบีมุอีฏและคนอื่นจากทั้งสองนี้ไปหาชาวยิวที่เมืองยัษริบ(มะดีนะฮฺ) ชาวกุเรชกล่าวกับตัวแทนว่า พวกท่านจงไปถามชาวยิวเกี่ยวกับมุฮัมมัด พวกเขาเดินทางมาถึงเมืองยัษริบ พวกเขากล่าวว่า เราหาพวกท่านด้วยธุระหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในหมู่พวกเรา  คือว่าในหมู่พวกเรามีเด็กกำพร้า ต่ำต้อยคนหนึ่ง พูดจาด้วยถ้อยคำใหญ่โตมาก เขาอ้างว่าเขาคือ ศาสนทูตแห่งพระเจ้าผู้ทรงเมตตา และเราไม่เคยรู้จักพระผู้ทรงเมตตา นอกจาก ผู้ทรงเมตตาแห่งยะมามะฮฺ(เมืองนัจญ์ดฺ ประเทศซาอุฯ)

   ชาวยิวกล่าวว่า  จงบอกลักษณะของเขาให้เราฟังซิ  ชาวกุเรชได้เล่าให้ชาวยิวฟัง   ชาวยิวถามว่า มีคนใดจากพวกท่านปฏิบัติตามเขาไหม ?  ชาวกุเรชตอบว่า มีพวกชนชั้นต่ำของเราตามเขา  แล้วปุโรหิตยิวคนหนึ่งได้หัวเราะออกมา พลางกล่าวว่า ชาวคนนี้คือศาสดาตามที่เราพบลักษณะของเขา และเราพบว่าหมู่ชนของเขา เป็นมนุษย์ที่ตั้งตนเป็นศัตรูต่อต้านเขาหนักที่สุด
  •  

L-umar

1.5 -  ความรู้และผู้รู้คือพยาน


۞ อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَيَرَى الَّذِينَ أُوتُوا الْعِلْمَ الَّذِي أُنْزِلَ إِلَيْكَ مِنْ رَبِّكَ هُوَ الْحَقَّ وَيَهْدِي إِلَى صِرَاطِ الْعَزِيزِ الْحَمِيدِ

และบรรดาผู้ที่ได้รับความรู้นั้นตระหนักดีว่า   สิ่งที่ได้ถูกประทานแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นสัจธรรม และจะชี้นำไปสู่แนวทางแห่งพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ

ซูเราะฮ์ สะบะอฺ : 6

وَلِيَعْلَمَ الَّذِينَ أُوتُوا الْعِلْمَ أَنَّهُ الْحَقُّ مِنْ رَبِّكَ فَيُؤْمِنُوا بِهِ فَتُخْبِتَ لَهُ قُلُوبُهُمْ وَإِنَّ اللَّهَ لَهَادِ الَّذِينَ آَمَنُوا إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ

และเพื่อบรรดาผู้รู้จะตระหนักว่า แท้จริงอัลกุรอาน นั้นคือสัจธรรมจากพระเจ้าของเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้ศรัทธาต่อมัน (อัลกุรอาน) แล้วจิตใจของพวกเขาจะได้นอบน้อมต่อมัน (อัลกุรอาน) และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงเเป็นผู้ชี้แนะบรรดาผู้ศรัทธาสู่แนวทางอันเที่ยงตรง

ซูเราะฮ์ อัลฮัจญ์ : 54

وَمَا كُنْتَ تَتْلُو مِنْ قَبْلِهِ مِنْ كِتَابٍ وَلَا تَخُطُّهُ بِيَمِينِكَ إِذًا لَارْتَابَ الْمُبْطِلُونَ

และก่อนหน้านั้นเจ้ามิได้อ่านคัมภีร์ใด ๆ และเจ้ามิได้เขียนมันด้วยมือขวาของเจ้า  มิฉะนั้นแล้วพวกกล่าวความเท็จจะสงสัยอย่างแน่นอน

ซูเราะฮ์ อัลอังกะบูต : 48

وَكَذَلِكَ أَوْحَيْنَا إِلَيْكَ رُوحًا مِنْ أَمْرِنَا مَا كُنْتَ تَدْرِي مَا الْكِتَابُ وَلَا الْإِيمَانُ وَلَكِنْ جَعَلْنَاهُ نُورًا نَهْدِي بِهِ مَنْ نَشَاءُ مِنْ عِبَادِنَا وَإِنَّكَ لَتَهْدِي إِلَى صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ

และเช่นนั้นแหละเราได้วะฮียฺอัลกุรอาน แก่เจ้าตามบัญชาของเรา เจ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอะไรคือคัมภีร์ และอะไรคือการศรัทธาแต่ว่าเราได้ทำให้อัลกุรอานเป็นแสงสว่างเพื่อชี้แนะทาง โดยนัยนั้นแก่ผู้ที่เราประสงค์จากปวงบ่าวของเรา และแท้จริงเจ้านั้น จะได้รับการชี้แนะสู่ทางอันเที่ยงธรรมอย่างแน่นอน

ซูเราะฮ์  อัชชูรอ : 52



۞  อัลหะดีษ



24. ท่านรอซูลุลลอฮฺ (ศ)กล่าวว่า
 
ความรู้นั้นคือชีวิตของอิสลาม และเป็นรากฐานของการศรัทธา


25. อิม่ามอาลี (อ)กล่าวว่า  

การศรัทธาและความรู้เป็นพี่น้องอยู่คู่กัน และเป็นสหายที่แยกกันไม่ได้

26.อิม่ามริฎอ(อ)

จากการสนทนาของท่านกับผู้นับถือศาสนาทั้งหลายในการยืนยันถึงตำแหน่งนุบูวะฮฺของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)  ท่านอิม่ามกล่าวว่า  ส่วนหนึ่งจากสัญญาณของเขา(ศ) แท้จริงท่านเป็นลูกกำพร้า  ยากจน  เป็นคนเลี้ยงแกะ เป็นคนรับจ้าง ไม่เคยเรียนหนังสือและไม่เคยไปมาหาครู  แล้วท่านได้นำคัมภีร์อัลกุรอานมา ซึ่งในนั้นมีชีวประวัติของบรรดาศาสดา(อ)และเรื่องราวของพวกเขาอย่างเป็นตอนๆ และยังมีเรื่องราวของผู้คนในอดีตที่ล่วงลับไปแล้ว และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ตราบจนถึงวันกิยามะฮฺ
  •  

L-umar

วิจัยเรื่อง  ความรู้คือพยานยืนยันต่อตำแหน่งนุบูวะฮฺของศาสดามุฮัมมัด




   คัมภีร์อัลกุรอานหลายโองการและหะดีษหลายบทที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ได้บ่งบอกว่า แท้จริงตำแหน่งศาสดาของท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)
คือปรากฏการณ์แห่งความรู้ที่สอดคล้องเข้ากับกฏอนุมานทางสติปัญญา ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างความรู้กับความศรัทธาคือ รากฐานสัมพันธภาพที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้

   เราควรต้องให้ความสนใจต่อข้อสังเกตต่างๆต่อไปนี้ ในสิ่งที่เกี่ยวข้องต่อความเข้าใจแก่นแท้แห่งการเชื่อมเข้าด้วยกันระหว่างความรู้ กับ ความศรัทธา :

1,ความรู้(อิลมู)จากทัศนะของกิตาบและซุนนะฮฺ
หมายถึง ความรู้แจ้ง ( บะซีเราะฮฺ และ مُسْتَبْصِرٌ -ผู้ค้นพบสัจธรรมความจริง) และความคิดเห็นทางวิชาการ(รุอฺยะฮ์อิลมียะฮฺ)

2,ความรู้แจ้งเห็นจริงทางวิชาการ
คือการรู้สึกสัมผัส  แสงสว่างและความนึกคิดที่ชักนำไปสู่ความรู้และการสัมผัสรับรู้เรื่องราวของมนุษย์ทั้งหมด  กล่าวคือ มันจะวางความรู้และความเข้าใจ(อิลมฺและมะริฟัต)ไปในทางการพัฒนาปัจเจกบุคคลและสังคมมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ความรู้แจ้ง(บะซีเราะฮฺ)นั้นมิใช่สิ่งใดนอกจากมันคือ แก่นแห่งความรู้และวิญญาณของมัน  

3,อิสลามให้เกียรติและยกย่องต่อศาสตร์ปลีกย่อยทั้งหมด
ด้วยเงื่อนไขอยู่กับความรู้แจ้งเห็นจริง(บะซีเราะฮฺ) และความรู้แจ้งนี้จะทำให้เป้าหมายนั้นบรรลุความจริงได้ มันจะสำแดงออกมาในรูปแบบของความเจริญและพัฒนามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ของตัวเขาเอง  

4,ลำพัง " วิชาความรู้ – อิลมู " เพียงอย่างเดียว
โดยปราศจาก " การรู้แจ้ง – บะซีเราะฮฺ "ย่อมนำพาไปสู่ความเสื่อมโทรมและความตกต่ำของมนุษย์ ไม่ว่าความรู้นั้นจะเป็นวิชาเตาฮีดและวิชามะอฺริฟะตุลเลาะฮฺหรือวิชาอื่นๆ ยิ่งกว่านั้นอาจกล่าวได้ว่า แท้จริงความรู้ที่ปราศจากการรู้แจ้งทางวิชาการนั้นไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริง นั่นเป็นเพราะว่า ความเข้าใจในความรู้ที่จะไปสำแดงออกในรูปแบบของความเจริญและพัฒนามนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์จะค่อยๆอันตรธานหายไปในที่สุด

5,เมื่อนำความรู้(อิลมู)มาประกบกับการรู้แจ้ง(บะซีเราะฮฺ)
โดยรูปแบบทั่วไป  มันจะทำให้วิชาเตาฮีดและวิชามะอฺริฟะตุลเลาะฮฺเป็นศาสตร์ที่รู้แจ้งเห็นจริง  
ด้วยเหตุนี้เองคัมภีร์อัลกุรอานจึงมีความเห็นว่า ความรู้(อิลมู)นั้นโดยทั่วไปมันจะต้องมีผลติดตามมาด้วยความกลัวเกรงต่ออัลลอฮฺ ตะอาลาด้วย

ดังที่อัลลอฮืตะอาลาทรงตรัสว่า

إِنَّمَا يَخْشَى اللَّهَ مِنْ عِبَادِهِ الْعُلَمَاءُ

แท้จริงผู้ที่มีความเกรงกลัวอัลลอฮฺ จากปวงบ่าวของพระองค์ คือบรรดาผู้ที่มีความรู้เท่านั้น  

ซูเราะฮ์ฟาฏิร : 28

โองการนี้ได้เสนอความเข้าใจสองประการแก่เราคือ

หนึ่ง-
เป้าหมายจากอิลมูและบะซีเราะฮฺ(ความรู้และการรู้แจ้งในความรู้) ด้วยตัวของความหมายตามที่เราได้อธิบายมันไปแล้วนั้น เพราะทุกความรู้ แม้กระทั่งความรู้วิชาเตาฮีดก็ตาม ถ้าหากไม่ได้ประกอบเข้าด้วยวิญญาณของความรู้และแก่นแท้ของมัน มันก็มิได้นำพาไปสู่ความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ แต่อย่างใด
สอง-
ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ กับความศรัทธา เป็นความผูกพันที่แนบแน่น หมายความว่า มนุษย์นั้นเขาไม่อาจที่จะเห็นผู้มีความรู้ โดยปราศจากร่องรอยของกุดร่อตุลลอฮฺ(อานุภาพของอัลลอฮฺ)และการบันดาลสร้างของพระองค์ได้
   จากตรงนี้เอง คัมภีร์อัลกุรอานจึงได้วางผู้มีความรู้ไว้ให้อยู่ในแถวเดียวกันกับมวลมลาอิกะฮฺ เพราะถือว่า ผู้มีความรู้ทั้งหลายนั้นคือผู้เป็นพยานต่อความเป็นเอกะของพระผู้บันดาลสร้างโลก

6,แท้จริงอิลมู(ความรู้)ตามความเข้าใจที่ผ่านมา
ไม่ช่อยู่ควบคู่กับอีหม่านความศรัทธาต่อความเป็นเอกะของอัลลอฮฺ(ซบ.)เท่านั้น แต่ยังต้องอยู่คู่กับความศรัทธาต่อตำแหน่งการเป็นศาสดา(นุบูวะฮฺ)ด้วย  มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะเห็นผู้มีความรู้ โดยที่การกระทำหรือการงานของเขานี้มิได้สิ้นสุดต่อความศรัทธาที่มีต่ออัลลอฮฺ อัซซะวะญัล เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เช่นกันที่คนเราจะเห็นผู้มีความรู้และการประดิษฐ์ของเขาโดยที่เขาไม่รู้จักสถานะของเขาในการมีอยู่ และความมีศรัทธาต่อริซาละฮฺ(สาร)ของพระเจ้าที่นำพามนุษย์ไปสู่ปรัชญาแห่งการสร้างสรรค์ :
แน่นอนเราได้อธิบายผ่านมาแล้วในบทความเรื่องตำแหน่งนุบูวะฮ์แบบอามมะฮ์(สากล,ทั่วไป)ว่า การปฏิเสธสภาวะการเป็นศาสดาของพระเจ้าเท่ากับเขาได้ปฏิเสธเรื่องเตาฮีด(ความเป็นหนึ่งของอัลลอฮฺ)ด้วย.

7,แท้จริงอิลมู(ความรู้) ตามความเข้าใจที่ผ่านมา
ไม่ใช่แค่ควบคู่อยู่กับการมีศรัทธาต่อเรื่องเตาฮีดและตำแหน่งนุบูวะฮ์เท่านั้น แต่ต้องผนวกเรื่องตำแหน่งนุบูวะฮ์แบบค็อศเศาะฮ์(เฉพาะหน่วย)เข้าไปด้วย  หมายความว่า มนุษย์เมื่อเขาได้รับบะซีเราะฮ์(ความรู้แจ้งเห็นจริงในความรู้)แล้ว และเขาจะประจักษ์ต่ออัลลอฮฺในลักษณะรัศมีของความรู้(นูรุลมะอฺริฟัต) และจากทางการสังเกตุร่องรอยของการอุบัติ  เขาก็ย่อมสามารถทำความรู้จักผู้ที่เป็นศาสดาทั้งหลายของอัลลอฮ์ที่แท้จริงได้ไม่ยาก บนพื้นฐานของตัวบะซีเราะฮ์นั้น และในประเด็นของตัวมะริฟัตอันนั้น(ที่เขาได้รับมา) ในช่วงของการสังเกตพิจารณาร่องรอยของตำแหน่งนุบูวะฮฺ   จุดหมายในเรื่องนี้นั้นคือ แท้จริงการเห็น(รุอ์ยะฮ์)แบบนี้ บางครั้งเขาจะบรรลุได้ถึงในระดับหนึ่ง(ดะร่อญัต)จากพลังอันนั้น โดยที่มนุษย์จะสามารถมองเห็นด้วยการมองของเขาทางใจ(ก็อลบี) รัศมีแห่งการเป็นศาสดา(นูรุลนุบูวะฮฺ)ในบุคลิกภาพของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ) เหมือนที่ท่านอิม่ามอาลี(อ)ได้มองเห็นสิ่งนั้นมาแล้วในตัวของท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)

   เราเรียกการรู้จัก(มะอ์ริฟัต)นี้ว่า มะอ์ริฟะตุล ก็อลบียะฮ์ คือการรู้ทางใจ, การกัชฟ์(เปิดเผย)และการชุฮู๊ด(ประจักษ์)ทางด้านใน(บาตินี).

บนการเห็นเช่นนี้ บางครั้งก็ไปไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า มัรตะบะฮ์นี้ ดังนั้นมนุษย์บางทีก็จะสังเกตพิจารณาด้วยการมองทางปัญญา(รุอ์ยะฮ์ อักลียะฮ์) ร่องรอยของตำแหน่งนุบูวะฮ์และสัญญาณต่างๆของมันในตัวผู้เป็นรอซูลของพระเจ้า และเราเรียกมะอฺริฟัตแบบนี้ว่า มะอ์ริฟะตุล อักลียะฮ์(คือการรู้จักทางสติปัญญา)
และทั้งสองชนิดจากการมะอ์ริฟะฮ์นี้นั้น ในทัศนะจากอัลกุรอาน มันคือการรู้จักทางความรู้(มะอ์ริฟัต อิลมียะฮ์) และมะอ์ริฟัตทั้งสองแบบจะมีสื่อสัมพันธ์ไปยังความรู้แบบบะซีเราะฮ์ อิลมียะฮ์ (การรู้แจ้งเห็นจริง)
  •  

L-umar

การรู้จักทางใจ(มะอ์ริฟะตุลก็อลบียะฮ์)ต่อตำแหน่งนุบูวะฮฺตามทัศนะของท่านฆ่อซาลี


ท่านฆ่อซาลีได้แสดงทัศนะในหนังสืออัลมุนกิซ มินัดเฏาะล้าล ว่า :

หนทางที่ดีที่สุดและน่าเชื่อมากที่สุดในการทำความรู้จักบรรดาศาสดาของพระเจ้าคือ การกัชฟ์,ชุฮู๊ดทางด้านใน

และนี่คือความจริง นั่นเพราะบุคคลที่เขาสามารถมองเห็นด้วยการู้แจ้งทางใจของเขา และเขาจะสังเกตพิจารณาถึงตำแหน่งนุบูวะฮฺของศาสดามุฮัมมัด(ศ)ด้วยหนทางแห่งฟากฟ้า(ต่อรีเกาะฮ์ สะมาวียะฮ์)

 แล้วเขาจะค่อยๆขึ้นสูงไปยังระดับดะร่อญัตแห่งมะอ์ริฟัตและบะซีเราะฮ์ที่สูงที่สุด ขอเสริมตรงนี้ว่า เขาจะไม่ต้องอาศัยหลักฐานหรือเหตุผลใดๆสำหรับการพิสูจน์เรื่องตำแหน่งนุบูวะฮ์ของศาสดามุฮัมมัด(ศ)อีกต่อไป
  •  

L-umar

1.6 –  เรื่องการสาบาน  อัลมุบาฮะละฮฺ


۞ อัลกุรอาน



อัลลอฮ์ ตะอาลาทรงตรัสว่า

فَمَنْ حَآجَّكَ فِيهِ مِن بَعْدِ مَا جَاءكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ وَنِسَاءنَا وَنِسَاءكُمْ وَأَنفُسَنَا وأَنفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَل لَّعْنَةُ اللّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ


ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า(มุฮัมมัด)ในเรื่องของเขา(อีซาว่าเป็นบุตรของอัลลอฮฺ) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว  (มุฮัมมัด)จงกล่าวเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด  เราจะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของเรา และตัวของพวกท่าน แล้วเราจะทำมุบาฮะละฮ์กัน(คือวิงวอนต่ออัลลอฮ์) ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้การละอ์นัตของอัลลอฮ์พึงประสบ แก่บรรดาผู้โกหก


อาลิ อิมรอน  : 61





۞อัลหะดีษ




27.ตัฟสีรอัลกุมมี บันทึกว่า  


หลังจากกล่าวถึงโองการอัลมุบาฮะละฮ์แล้ว  ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าว(กับชาวคริสต์แห่งนัจญ์รอน)ว่า พวกท่านจงมาทำมุบาฮะละฮ์กับฉัน  หากฉันเป็นผู้สัตย์จริง ฉันขอให้การละอ์นัตลงมาบนพวกท่าน และหากฉันเป็นคนมุสาขอให้มันลงมาบนฉัน
   พวกคริสต์กล่าวว่า ท่านยุติธรรมดี  แล้วพวกเขาจึงนัดหมายทำมุบะฮะละฮ์ไว้  เมื่อพวกเขากลับไปยังที่พัก  หัวหน้าของพวกเขาชื่อสัยยิด,อากิ๊บและอะฮ์ตัมกล่าวว่า  หากมุฮัมมัดเอาพวกพ้องของเขามามุบาฮะละฮ์กับเรา  เราจะทำมุบาฮะละฮ์กับเขา  แต่ถ้ามุฮัมมัดพาอะฮ์ลุลบัยต์โดยเฉพาะของเขามามุบาฮะละฮ์กับเราละก็ เราจะไม่ทำมุบาฮะละฮ์กับเขา  เพราะคงไม่มีใครเสนอ(ความเดือนร้อน)แก่อะฮ์ลุลบัยต์ของเขาแน่ ยกเว้นว่าเขาคือผู้สัตย์จริง  พอรุ่งเช้าวันใหม่พวกเขามาหาท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)โดยมีท่านอมีรุลมุอ์มินีน ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซน(อ)อยู่พร้อมกับท่าน
   ชาวคริสต์กล่าวว่า พวกเขาเป็นใคร ? มีคนกล่าวกับพวกเขาว่า ชายคนนี้คือบุตรของลุงเขา เป็นวะซีและบุตรเขยเขาชื่อ อาลี บิน อบีตอลิบ  สตรีท่านนี้คือบุตรีเขาชื่อฟาติมะฮ์ ส่วนเด็กสองคนนั้นคือหลานชายเขาชื่อฮาซันและฮูเซน  (อ)  เมื่อพวกเขาได้รู้จัก พวกเขาจึงกล่าวกับท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ว่า เราขอมอบความพอใจแก่ท่าน  โปรดยกเลิกการทำมุบาฮะละฮ์แก่เราด้วย  แล้วท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ประนีประนอมกับพวกเขาบนการรับญิซยะฮ์แทน แล้วพวกเขาได้กลับไป
 
28.หนังสืออัลอมาลี ของเชคตูซี่เล่าจาก

อับดุลเราะห์มาน บิน กะษีรจากท่านญะอ์ฟัร บิน มุฮัมมัดจากบิดาท่านจากปู่ท่านจากท่านอิม่ามฮาซัน บิน อาลี (อ) : ในการอธิบายพระดำรัสของพระองค์ (نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ... - เราจะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่าน...) ว่า : ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ได้พาออกมา(ทำมุบาฮะละฮ์) พร้อมกับท่าน จากตัวแทนของบุรุษทั้งหลายคือ บิดาฉัน จากตัวแทนของบุตรทั้งหลายคือฉันและน้องชายฉัน และจากตัวแทนของสตรีทั้งหลายคือ ฟาติมะฮ์มารดาฉัน

(พวกเขาเหล่านั้น)คือตัวแทนจากบุคคลทั้งหลาย  ดังนั้นพวกเราคือครอบครัวของท่าน  คือเนื้อของท่าน คือเลือดของท่าน คือตัวตนของท่าน  พวกเรามาจากท่านและท่านมาจากเรา
 
29.หนังสือดะลาอิลุน-นุบูวะฮ์  

ท่านญาบิร เล่าว่า : ท่านอากิ๊บและท่านต็อยยิบ(ชาวคริสต์)เข้ามาพบท่านนบี(ศ) ท่านได้เชิญชวนเขาทั้งสองสู่อัลอิสลาม  ทั้งสองกล่าวว่า โอ้มุฮัมมัด เรารับอิสลามก่อนท่านอีก
ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า ท่านทั้งสองมุสา หากท่านทั้งสองต้องการ แนจะบอกท่านทั้งสองเอาไหมว่า อะไรได้ขัดขวางท่านจากการรับอิสลาม
พวกเขากล่าวว่า ท่านจงบอกเรามาสิ
ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า คือความรักในไม้กางเขน(ความเป็นคริสต์)  , การดื่มสุราและการรัปทานเนื้อสุกร
ท่านญาบิรเล่าว่า : ท่านได้เชิญเขาทั้งสองไปสู่การมุลาอะนะฮ์(คือทำมุบาฮะละฮ์)  เขาทั้งสองรับปากกับท่านว่า จะทำกับท่านในตอนเช้าตรู่พรุ่งนี้  ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)ออกมาแต่เช้าตรู่ พร้อมทั้งจูงมือท่านอาลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซน(อ)มา  จากนั้นท่านส่งคนไปหาเขาทั้งสอง แต่ทั้งสองได้ปฏิเสธที่จะตอบรับ(การมุบาฮะละฮ์)กับท่าน และทั้งสองได้ยอมรับต่อท่าน   ดังนั้นท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  ขอสาบานต่อผู้ที่ส่งฉันมาพร้อมสัจธรรม  หากเขาทั้งสองได้ทำ(มุบาฮะละฮ์) หุบเขาจะตกลงมาใส่เขาทั้งสองเป็นไฟแน่  
ท่านญาบิรเล่าว่า : เกี่ยวกับพวกเขาโองการได้ประทานลงมาว่า
( ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า(มุฮัมมัด)ในเรื่องของเขา(อีซาว่าเป็นบุตรของอัลลอฮฺ) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว  (มุฮัมมัด)จงกล่าวเถิดว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด  เราจะเรียกลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของเราและตัวของพวกท่าน... บทอาลิ อิมรอน  : 61)

   อัชชะอ์บีกล่าวว่า : ท่านญาบิรเล่าว่า : (ตัวของเราและตัวของพวกท่าน)คือท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ)กับท่านอาลี อะลัยฮิสสลาม , (ลูก ๆ ของเรา และลูกของพวกท่าน) คือท่านฮาซันและฮูเซน อะลัยฮิมัสลาม (บรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่าน) คือท่านหญิงฟาติมะฮ์ อะลัยฮา อัสสลาม

30.ตัฟสีรกัชช๊าฟของซะมัคชะรี : ได้เล่าว่า :

ตอนที่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้เชิญชวนพวกเขา(ชาวคริสต์แห่งเมืองนัจญ์รอน)ให้ทำการสาบานมุบาฮะละฮ์  

พวกเขา(ชาวคริสต์แห่งเมืองนัจญ์รอน) กล่าวว่า :
จนกว่าเราจะกลับไปพิจารณากันก่อน  ต่อมาเมื่อพวกเขาเริ่มหวาดกลัว พวกเขากล่าวกับท่านอากิ๊บซึ่งเป็นกุนซือเจ้าความคิดของพวกเขาว่า  โอ้ท่านอับดุลมาซีหฺ ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ?

อากิบกล่าวว่า  :
ขอสานต่ออัลลอฮ์ แน่นอนพวกท่านทราบดี  โอ้ชาวคริสต์ทั้งหลาย  แท้จริงมุฮัมมัดนั้นคือ ศาสดา ผู้ถูกส่งมา  และเขายังได้นำมายังพวกท่านพร้อมคำตัดสินชี้ขาดจากคำสั่งแห่งสหายของพวกเจ้า(คือพระเยซู)  ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า  ไม่เคยมีหมู่ชนใดทำมุบาฮะละฮ์กับศาสดามาก่อน แล้วผู้ใหญ่ของพวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือเด็กของพวกเขาจะเติบโต  หากพวกท่านทำ พวกท่านจะต้องพินาศแน่  แต่หากพวกท่านได้ปฏิเสธ เว้นแต่เพื่อสมานศาสนาของพวกท่านไว้ และเพื่อดำรงไว้บนสิ่งที่พวกท่านนับถืออยู่  ดังนั้นพวกท่านจงอำลาชายคนนั้นซะแล้วกลับไปยังบ้านเมืองของพวกท่านเถิด

รุ่งเช้าท่านศาสดามูฮัมมัด(ศ)ได้ออกมา โดยท่างได้อุ้มฮูเซน จูงมือฮาซัน(ทั้งสองคือหลาน) มีท่านหญิงฟาติมะฮ์(บุตรสาว)เดินอยู่ด้านหลังของท่าน และมีท่านอาลี(บุตรเขย)เดินข้างหลังนางอีกที  
ท่านศาสดาได้กล่าว(กับอะฮ์ลุลบัยต์พิเศษของท่าน)ว่า :
เมื่อฉันทำการวิงวอน(มุบาฮะละฮ์)  ขอให้พวกเจ้าจงกล่าว อามีน  
อุสกุฟ(สังฆราช)แห่งเมืองนัจญ์รอนกล่าวว่า :
โอ้ชาวคริสต์ทั้งหลาย ข้าเห็นบรรดาใบหน้า(ของพวกเขา) มาตรว่าอัลลอฮ์ทรงประสงค์จะบันดาลให้ภูเขาลูกนี้มลายไปจากที่ของมัน  แน่นอนมันจะมลายไปเพราะใบหน้าเหล่านั้น  พวกเจ้าจงอย่าได้ทำมุบาฮะละฮ์ เพราะพวกเจ้าจะต้องพินาศ และจะไม่มีคริสต์เตียนคนใดหลงเหลืออยู่บนผืนแผ่นดินนี้ตลบถึงวันสิ้นโลก  

พวกเขาจึงกล่าวว่า : โอ้ท่านอบุลกอซิม(ฉายาของศาสดามุฮัมมัด) !  พวกเราลงความเห็นว่า จะไม่ทำมุบาฮะละฮ์กับท่านแล้ว เราจะรับรองต่อท่านบนศาสนาของท่าน(ว่าสัจจริง) และเราจะอยู่บนศาสนาของพวกเรา

ท่านศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า  :
เมื่อพวกท่านปฏิเสธไม่ทำมุบาฮะละฮ์ ก็จงเข้ารับอิสลามซิ  จะได้เป็นสำหรับพวกท่านสิ่งที่เป็นสำหรับบรรดามุสลิม และบนพวกท่าน(จะได้มีสิทธิ)สิ่งที่บนพวกเขามี  แต่พวกเขาก็ปฏิเสธ  ท่านนบี(ศ)จึงกล่าวว่า : ฉันจะเปิดศึกกับพวกท่าน

พวกเขากล่าวว่า : พวกเราไม่สามารถสู้รบกับชาวอาหรับได้หรอก แต่เราขอการประนีประนอมกับท่าน บนการที่ท่านอย่าได้ทำสงครามกับเราเลย  และอย่าได้ข่มขู่พวกเรา และอย่าบังคับให้เราต้องออกจากศาสนาของเรา โดยเราจะส่ง(ญิซยะฮ์มา)ให้ท่านทุกปี  เป็นเสื้อคลุมอย่างดีสองพันตัว ในเดือนซอฟัรหนึ่งพันตัวและในเดือนเราะญับอีกหนึ่งพันตัว และเสื้อเกราะเหล็กธรรมดาอีกสามสิบตัว

ท่านศาสดาจึงได้ทำสัญญาประนีประนอมกับพวกเขาตามนั้น  และกล่าวว่า  ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตฉันอยู่ในอำนาจของพระองค์ว่า  

แท้จริงความหายนะได้ยุติลงแก่ชาวเมืองนัจญ์รอนแล้ว  หากพวกเขาได้ทำมุบาฮะละฮ์  พวกเขาจะต้องถูกสาปเป็นวานรและสุกรอย่างแน่นอน และหุบลูกนี้จะตกลงมาบนพวกเขาเป็นไฟ  อัลลอฮ์จะทรงถอนรากถอนโคนเมืองนัจญ์รอนและชาวเมืองจนพวกนกบินอยู่บนยอดต้นไม้  และจะไม่มีสิ่งใดกีดกั้นต่อพวกนะซอรอเลย จนกระทั่งพวกเขาพินาศ...

จากนั้นท่านซะมัคชะรีกล่าวว่า ►  (อัลลอฮ์ ตะอาลา)ได้ทรงเสนอพวกเขานำหน้าไว้ในคัมภีร์กุรอ่านในฐานะตัวแทน เพื่อเรียกร้องให้เห็นถึงสถานะภาพความสูงส่งของพวกเขา  และเพื่อประกาศว่า พวกเขาคือกลุ่มหัวหน้าต่อตัวตนชีวิตทั้งหลาย พวกเขาคือตัวแทนของชีวิตทั้งหลาย และโองการนี่คือหลักฐานที่บ่งบอกว่า
ไม่มีสิ่งใดจะแข็งแกร่งมากกว่านี้อีกแล้วที่แสดงถึงความประเสริฐของอัศฮาบุลกีซา อะลัยฮิมุสสลาม.



หมายเหตุ   อัศฮาบุลกีซา(ผู้ที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุม)มีดังนี้

1.   ศาสดามูฮัมมัด  บุตรอับดุลลอฮ์  บุตรอับดุลมุตตอลิบ
2.   อาลี บุตรอะบูตอลิบ บุตรอับดุลมุตตอลิบ
3.   ฟาติมะฮ์  บุตรีมุฮัมมัด
4.   ฮาซัน  บุตรอาลี
5.   ฮูเซน บุตรอาลี
  •  

L-umar

  •  

L-umar

บทที่ 2

ปรัชญาแห่งการเป็นศาสดา


2.1- การเรียกร้องเชิญชวนไปสู่อัลลอฮฺ


۞  อัลกุรอาน

อัลลอฮ์  ตะอาลา ทรงตรัสว่า

يَا أَيُّهَا النَّبِيُّ إِنَّا أَرْسَلْنَاكَ شَاهِدًا وَمُبَشِّرًا وَنَذِيرًا
وَدَاعِيًا إِلَى اللَّهِ بِإِذْنِهِ وَسِرَاجًا مُنِيرًا

โอ้ นะบีเอ๋ย ! แท้จริง เราได้ส่งเจ้ามาเพื่อให้เป็นพยาน และผู้แจ้งข่าวดี  และผู้ตักเตือน
และเป็นผู้เรียกร้อง(เชิญชวน)ไปสู่อัลลอฮฺ ตามพระบัญชาของพระองค์  และเป็นดวงประทีปอันแจ่มจรัส    


ซูเราะฮ์ อัลอะหฺซาบ  : 45 - 46


قُلْ هَذِهِ سَبِيلِي أَدْعُو إِلَى اللَّهِ عَلَى بَصِيرَةٍ أَنَا وَمَنِ اتَّبَعَنِي وَسُبْحَانَ اللَّهِ وَمَا أَنَا مِنَ الْمُشْرِكِينَ

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)  นี่คือแนวทางของฉัน   ฉันจะเรียกร้อง(เชิญชวน)ไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้ง   ทั้งตัวฉันและผู้ปฏิบัติตามฉัน และมหาบริสุทธิ์แห่งอัลลอฮ์ ฉันมิได้อยู่ในหมู่ตั้งภาคี    

ซูเราะฮ์ ยูซุฟ : 108


ادْعُ إِلَى سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ إِنَّ رَبَّكَ هُوَ أَعْلَمُ بِمَنْ ضَلَّ عَنْ سَبِيلِهِ وَهُوَ أَعْلَمُ بِالْمُهْتَدِينَ

จงเรียกร้อง(เชิญชวน)สู่แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้า  โดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า  แท้จริงพระเจ้าของพระองค์และพระองค์ทรงรู้ดียิ่งถึงบรรดาผู้ที่อยู่ในทางที่ถูกต้อง

ซูเราะฮ์อันนะหฺลุ : 125


يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آَمَنُوا اسْتَجِيبُوا لِلَّهِ وَلِلرَّسُولِ إِذَا دَعَاكُمْ لِمَا يُحْيِيكُمْ وَاعْلَمُوا أَنَّ اللَّهَ يَحُولُ بَيْنَ الْمَرْءِ وَقَلْبِهِ وَأَنَّهُ إِلَيْهِ تُحْشَرُونَ

บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงตอบรับอัลลอฮฺ และร่อซูลเถิด เมื่อเขาได้เชิญชวนพวกเจ้าสู่สิ่งที่ทำให้พวกเจ้ามีชีวิตชีวาขึ้น และพึงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮฺนั้นจะทรงกั้นระหว่างบุคคลกับหัวใจของเขา และแท้จริงยังพระองค์นั้นพวกเจ้าจะถูกนำกลับไปชุมนุม

ซูเราะฮ์อัลอันฟาล : 24



يَا قَوْمَنَا أَجِيبُوا دَاعِيَ اللَّهِ وَآَمِنُوا بِهِ يَغْفِرْ لَكُمْ مِنْ ذُنُوبِكُمْ وَيُجِرْكُمْ مِنْ عَذَابٍ أَلِيمٍ
وَمَنْ لَا يُجِبْ دَاعِيَ اللَّهِ فَلَيْسَ بِمُعْجِزٍ فِي الْأَرْضِ وَلَيْسَ لَهُ مِنْ دُونِهِ أَوْلِيَاءُ أُولَئِكَ فِي ضَلَالٍ مُبِينٍ

โอ้หมู่ชนของเราเอ๋ย !  จงตอบรับต่อผู้เรียกร้องของอัลลอฮฺเถิด และจงศรัทธาต่อเขา พระองค์จะทรงอภัยโทษจากความผิดของพวกท่านให้แก่พวกท่าน และจะทรงให้พวกท่านรอดพ้นจากการลงโทษอันเจ็บปวด
และผู้ใดที่ไม่ตอบรับผู้เรียกร้องของอัลลอฮฺ เขาจะไม่รอดพ้น (จากการลงโทษ) ในแผ่นดินนี้ และสำหรับเขาจะไม่มีผู้คุ้มครองอื่นจากพระองค์ ชนเหล่านี้อยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง

ซูเราะฮ์ อัลอะหฺกอฟ : 31- 32




۞  อัลหะดีษ



31. ท่านรอซูลุลลอฮฺ(ศ) :
ในด้านที่ท่านได้ชื่อว่า อัดดาอี- ผู้เรียกร้องเชิญชวน - : และส่วนอัดดาอี

ดังนั้นแท้จริงข้าพเจ้าขอเชิญชวนมนุษยชาติสู่ศาสนาแห่งองค์ผู้อภิบาลของข้าพเจ้า อัซซะวะญัล


32. อิม่ามอาลี(อ) : ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาคนที่สดับฟังวิทยปัญญาต่างๆแล้วจดจำ  และเขาถูกเชิญชวนสู่ทางนำแล้วเข้าเข้าใกล้ และเขาจับชายผ้าของผู้ชี้นำ แล้วเขารอดปลอดภัย

33. อิม่ามอาลี(อ) : ผู้ที่จ้องมองหัวใจมด(หมายถึงลูกตาดำ) ด้วยมัน เขาจะเห็นแจ้งถึงกำหนดเวลาของเขา และรู้จักความลึกของเขาและพบมัน  ผู้เชิญชวนได้เชิญชวน และผู้ดูแลได้ดูแล ดังนั้นพวกท่านจงตอบรับต่อผู้เชิญชวนเถิด และจงปฏิบัติตามผู้ดูแลเถิด

34. อิม่ามอาลี(อ)กล่าวว่า :
พระองค์ทรงบริสุทธิ์ยิ่ง ผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงถูกสักการะ ! ด้วยความดีแห่งการทดสอบของพระองค์ณ.การสร้างของพระองค์   รพองค์ได้สร้างที่พำนักหนึ่งไว้ และทรงดลบันดาลให้ในที่แห่งนั้น เป็นสถานที่เลี้ยงฉลอง ที่ดื่ม ที่กิน ที่ครองคู่  มีผู้รับ ปราสาท แม่น้ำลำธาร เรือกสวน พืชผลไม้  จากนั้นพระองค์ทรงส่งผู้เรียกร้องคนหนึ่งไปเชิญชวนสู่สถานที่แห่งนั้น แต่แล้วพวกเขาไม่ตอบรับผู้เรียกร้อง สิ่งที่เจ้าปรารถนา พวกเขาก็ไม่ปรารถนา  และสิ่งที่เจ้าอยากได้พบพระองค์ พวกเขาก็ไม่อยากพบ  พวกเขากลับหันมาสนใจซากสัตว์ แน่นอนพวกเขาประจานตัวเองด้วยการรัปทานมันและพวกเขาตกลงปรงใจที่จะรักชอบมัน
  •  

L-umar

2.2- การพัฒนาสู่ความสมบูรณ์แห่งการเป็นมนุษย์


อัลกุรอาน

อัลลอฮ์ ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَمَا قَدَرُواْ اللّهَ حَقَّ قَدْرِهِ إِذْ قَالُواْ مَا أَنزَلَ اللّهُ عَلَى بَشَرٍ مِّن شَيْءٍ

และพวกเขา มิได้ให้ความยิ่งใหญ่แก่อัลลอฮ์ตามควรแก่ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เมื่อพวกเขากล่าวว่า   อัลลอฮฺไม่ได้ทรงประทานสิ่งใดแก่มนุษย์เลย


อัลอันอาม : 91



อัลหะดีษ


35. อิม่ามศอดิก(อ)ได้กล่าวกับซินดีก(คนนอกรีต)ที่ถามท่านว่า : ท่านเอาอะไรมาพิสูจน์หลักฐานเรื่องบรรดานะบีและรอซูล ?  

อิม่ามศอดิก(อ)ตอบว่า : แท้จริงเราเมื่อได้พิสูจน์ไปแล้วว่า สำหรับตัวพวกเรานั้น มีผู้สร้าง ผู้ประดิษฐ์ ผู้สูงส่งกว่าเราและ(สูงส่ง)เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างมา  และปรากฏว่าผู้สร้างนั้นเป็นผู้ทรงวิทยปัญญา ผู้ทรงสูงส่ง  ไม่เคยอนุญาตที่มัคลู๊ก(สิ่งถูกสร้าง)ของพระองค์(คือมนุษย์)จะมองเห็นพระองค์(ได้ด้วยตาเปล่า)  และพวกเขาไม่อาจสัมผัสจับต้องพระองค์ได้ แล้วพระองค์จะไปหาพวกเขาโดยตรงหรือเขาจะเข้าเฝ้าพระองค์โดยตรง  และพระองค์จะโต้แย้งกับพวกเขาและพวกเขาจะโต้แย้งกับพระองค์ได้  ได้พิสูจน์แล้วว่า พระองค์นั้นมีตัวแทน(สุฟะรออ์)ไว้ใน(หมู่มนุษย์)มัคลู๊กของพระองค์  พวกเขาจะสาธยายเกี่ยวกับพระองค์แก่มัคลู๊กและปวงบ่าวของพระองค์  พวกเขา(ตัวแทน)จะบอกพวกเขา(มนุษย์)ถึงสิ่งที่เป็นคุณและประโยชน์ต่างๆของพวกเขา และสิ่งที่อยู่กับพระองค์ พวกเขาจะคงอยู่ และในสิ่งที่ทอดทิ้งพระองค์ พวกเขาจะมลายดับสูญ
   ดังนั้นบรรดาผู้สั่ง(ให้ทำดี)และผู้ห้าม(ไม่ให้ทำไม่ดี)ได้พิสูจน์ถึงผู้ทรงวิทยปัญญา ผู้ทรงรอบรู้ในการสร้างของพระองค์ และบรรดาผู้สาธยายถึงพระองค์ ผู้ทรงสูงส่งและผู้กิตติคุณ  และพวกเขาคือบรรดาศาสดา (อ)และผู้ได้รับการคัดเลือกของพระองค์จากมัคลู๊กของพระองค์  (บรรดานบี)คือผู้มีวิทยญาณ ผู้ได้รับการฝึกฝนอบรมมาด้วยความฉลาดรอบรู้  พวกเขาถูกส่งมาพร้อมสิ่งนั้น  ส่วนนอกเหนือจากนี้ พวกเขามีส่วนร่วมกับมนุษย์ (คือบรรดานะบีมีส่วนร่วมกับมนุษย์ทั่วไปในการสร้างและส่วนประกอบ)     ในสิ่งจากสภาพทั่วไปของมนุษย์ บรรดานะบีได้รับสนับสนุนจากพระผู้ทรงวิทยปัญญา ผู้ทรงรอบรู้ต่อฮิกมะฮ์


36.อิม่ามริฎอ(อ) - กล่าวเรื่องสาเหตุที่จำเป็นต้องทำความรู้จักบรรดาศาสดาและให้การยอมรับต่อพวกเขา  และยอมนอบน้อมต่อพวกเขาด้วยการเชื่อฟังปฏิบัติตาม -:



เมื่อยังไม่เป็นที่เพียงพอในการสร้างพวกเขาและทำให้พวพเขาเข้มแข็ง สิ่งพวกเขาจะมั่นคงต่อพระองค์สำหรับการเข้าหาโดยตรงต่อผู้สร้าง ผู้ทรงสูงส่ง เพื่อจะทรงตรัสกับพวกเขาและสนทนากับพวกเขา และปรากฏว่า ผู้สร้างเป็นผู้ที่สูงส่งเกินกว่าจะมองเห็นได้ และเป็นเพราะความอ่อนแอและไร้ความสามารถของพวกเขาที่จะเข้าถึงพระองค์ได้อย่างเปิดเผย  พระองค์ไม่เคยมีรูปบูชาไว้สำหรับพวกเขาจากศาสดา ระหว่างพระองค์กับพวกเขา มีผู้บริสุทธิ์จะปฏิบัติหน้าที่ต่อพวกเขา ด้วยคำสั่งใช้ คำสั่งห้ามและการอบรมของพระองค์ และจะทำให้พวกเขาตั้งอยู่บนสิ่งที่จะนำคุณประโยชน์ต่างๆมาและขจัดอันตรายต่างๆออกไปด้วยพระองค์  เพราะไม่เคยมีอยู่ในการสร้างพวกเขาสิ่งที่พวกเขารู้จัก สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพระองค์ ทั้งเรื่องคุณและโทษของพวกเขา
   ดังนั้นถ้าหากการมะอ์ริฟัต(รู้จักพระเจ้า)และการตออัต(เชื่อฟัง)ต่อพระองค์ไม่ได้เป็นวาญิบ(สิ่งจำเป็น)สำหรับพวกเขาแล้วละก้อ  การมาของศาสดาสำหรับพวกเขาคงไม่มีประโยชน์อันใด และไม่ต้องปิดความต้องการ  และแน่นอนการมาของศาสดาจะเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีประโยชน์และผลดีใดๆ และนี่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งจากพระคุณลักษณะของพระผู้ทรงวิทยปัญญาที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งมีความมั่นคง
  •  

61 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้