Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

พฤศจิกายน 11, 2024, 04:38:43 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,485
  • หัวข้อทั้งหมด: 751
  • Online today: 10
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 11
Total: 11

ฟารีด เฟ็นดี้โง่เรื่องเงื่อนไขการเป็นมุสลิม 1

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 01, 2010, 11:18:10 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

ฟารีด เฟ็นดี้โง่เรื่องเงื่อนไขการเป็นมุสลิม   ตอน  1


อ้างอิงจากบทความฟารีด

อย่าให้กะลิมะห์ชะฮาดะห์ของผู้ใดมาล่อลวงเรา


http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=108
  •  

L-umar

۞  วิจารณ์



การฮุก่มบ่าวคนหนึ่งของอัลเลาะฮ์ว่าเป็น กาเฟ็ร ถือว่าเป็นเรื่องอันตรายใหญ่หลวงมาก
 

แต่น่าแปลกอย่างยิ่งที่เรามักได้ยินได้ฟังวาฮาบีที่ชื่อ ฟารีดเฟ็นดี้ชอบพูดจาพล่อยๆออกมาบ่อยๆว่า

พวกคณะเก่า(อะชาอิเราะฮ์)เป็นพวก  บิดอะฮ์

พวกตอรีกัต(ซูฟี)เป็นพวก  มุชริก

หรือพวกชีอะฮ์12อิม่ามคือ  กาเฟ็ร


หากฟารีดเฟ็นดี้เป็นมุสลิมที่สำรวมตนสักนิด เขาก็จะพูดจาตามหลักกิตาบและซุนนะฮ์อย่างแท้จริง  และเขาจะไม่ทำตัวแบบเลยเถิดจากขอบเขตที่อิสลามได้วางไว้  

เพราะการฮุก่มบ่าวของอัลลอฮ์นั้นเป็นสิทธิของอัลเลาะฮ์แต่เพียงผู้เดียว ดังที่พระองค์ตรัสว่า

ثُمَّ رُدُّوا إِلَى اللَّهِ مَوْلَاهُمُ الْحَقِّ   أَلَا لَهُ الْحُكْمُ

แล้วพวกเขาก็ถูกนำกลับไปยังอัลลอฮ์ ผู้เป็นนายอันแท้จริงของพวกเขา
พึงรู้เถิดว่า การตัดสินชี้ขาดนั้นเป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น

บทที่ 6 : 62

ฉะนั้นการจะตัดสินบุคคลหนึ่งว่า เขาเป็นกาเฟ็ร จึงเป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดแยบยลที่นักวิชาการจะต้องทำความเข้าใจเนื้อในกิตาบและซุนนะฮ์อย่างระมัดระวังและลึกซึ้งจริงๆ

แต่คนอย่างนายฟารีดนั้นมีความญาเฮ้ลต่อ  เกาะวาเอ็ด ตักฟีร ( กฏเกณฑ์และเงื่อนไขของการฮุก่มคนเป็นกาเฟ็ร)

ซึ่งเรื่องนี้อุละมาอ์ซุนนี่ที่แท้จริงไม่ควรนิ่งเฉย พวกท่านควรออกมาชี้แจงให้พี่น้องมุสลิมเข้าใจถึงอันตรายของการฮุก่มมุสลิมด้วยกัน เพราะความมักง่ายของนายฟารีดที่หยิบถ้อยคำเช่น  บิดอะฮ์  มุชริกและกาเฟ็รมาใช้ต่อว่าพี่น้องมุสลิมอย่างสนุกปากหรือเอามันพร่ำเพื่อเกินไป

หากถามว่า  
อะไรคือเหตุจูงใจให้คนอย่างฟารีดเฟ็นดี้กล้าพูดว่า ชีอะฮ์คือกาเฟ็ร  ?

คำตอบคือ โง่จริงๆ   หรือ ไม่ก็แกล้งโง่

ทำไมเราจึงกล่าวว่านายฟารีดโง่จริงๆ   เพราะบาปหรือความผิด (ذَنْبٌ) ที่ผู้กระทำมันจะต้องไปพำนักในนรก หรือเจ้าของบาปนั้นเป็นเหตุทำให้เขาต้องหลุดพ้นความเป็นมุสลิมคือ  

การกุฟร์ (การไร้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ในฐานะพระเจ้า)  

และการทำชีรีก (การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ )

ทั้งสองความผิดนี้ ถือว่าเป็นบาปมหันต์

ส่วนความผิดที่นอกเหนือจากสองบาปใหญ่นี้  ถือว่าผู้กระทำมันจะไม่หลุดพ้นจากอิสลามที่เขานับถือ  ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

إِنَّ اللَّهَ لا يَغْفِرُ أَنْ يُشْرَكَ بِهِ وَيَغْفِرُ مَا دُونَ ذَلِكَ لِمَنْ يَشَاءُ وَمَنْ يُشْرِكْ بِاللَّهِ فَقَدِ افْتَرَى إِثْمًا عَظِيمًا

แท้จริงอัลเลาะฮ์  จะไม่ทรงให้อภัยแก่การที่สิ่งหนึ่งจะถูกให้มีภาคี ขึ้นแก่พระองค์ และพระองค์ทรงให้อภัยแก่สิ่งอื่นจากนั้น สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และผู้ใดทำการตั้งภาคีขึ้นต่ออัลลอฮ์  แน่นอนเขาก็ได้อุปโลกน์บาปกรรมอันยิ่งใหญ่ขึ้น
บทที่ 4 : 48


Φ สมมุติ  เราได้สนทนากับชายคนหนึ่ง  

โดยเราถามเขาว่า   คุณนับถือศาสนาอะไร ?
เขาตอบว่า   ผมนับถือศาสนาอิสลาม  

เราถามว่า   คุณเข้ารับศาสนาอิสลามด้วยเงื่อนไขอย่างไร
เขาตอบว่า   ผมได้กล่าวคำปฏิญาณตนว่า
ลาอิลาฮะ อิลลัลเลาะฮ์   -  มูฮัมหมัด  รอซูลุลเลาะฮ์
ไม่พระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  และมุฮัมมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์

เราถามเขาว่า  ศาสนาอิสลามกำหนดให้คุณเชื่อและศรัทธาอะไรบ้าง
เขาตอบว่า  
1.   ผมเชื่อว่า พระเจ้ามีจริง ทรงมีนามว่าอัลเลาะฮ์ และทรงมีเพียงองค์เดียวเท่านั้น
2.   ผมเชื่อว่า อัลลอฮ์ส่งนะบีมาสอนหลักธรรมให้มนุษย์มากมาย คนสุดท้ายชื่อมุฮัมมัด
3.   ผมเชื่อว่า วันสิ้นโลกมีจริง และในวันนั้นจะมีการชำระพิพากษาการกระทำของมนุษย์บนโลก  คนเชื่อฟังอัลลอฮ์และรอซูลเขาจะได้เข้าสวรรค์ ส่วนคนไม่เชื่อและขัดคำสั่งอัลลอฮ์และรอซูลเขาจะต้องลงนรกญะฮันนัม
4.   ผมมีศรัทธาต่อมลาอิกะฮ์ของอัลลอฮ์
5.   ผมมีศรัทธาต่อคัมภีร์ต่างๆที่อัลลอฮ์ได้ประทานลงมาแก่ชาวโลกและอัลกุรอานคือคัมภีร์เล่มสุดท้าย

เราถามเขาว่า  ศาสนาอิสลามกำหนดให้คุณปฏิบัติอะไรบ้าง
เขาตอบว่า
1.   หนึ่งวัน ผมต้องทำนมาซ 5 ครั้ง คือซุบฮิ,ซุฮ์ริ,อัซริ,มัฆริบและอีชา
2.   เมื่อเดือนรอมฎอนมาถึง ผมต้องถือศีลอด ยกเว้นผมเดินทางหรือเจ็บป่วย
3.   ผมจะต้องจ่ายซะกาต ถ้าผมมีทรัพย์สินตามพิกัดที่อิสลามกำหนด
4.   ผมจะต้องเดินทางไปทำฮัจญ์ที่มักกะฮ์ ถ้าผมมีความสามารถ
5.   ผมต้องทานสัตว์ที่มุสลิมเชือดตามหลักการอิสลาม

เราได้ถามเขาว่า   แล้วคุณอยู่ในมัซฮับซุนนี่  หรือ ชีอะฮ์
เขาตอบว่า  ผมอยู่ในมัซฮับชีอะฮ์ครับ


เพียงคำตอบเท่านี้ใช่ไหม ที่สร้างความไม่ชอบใจให้กับวาฮาบีชื่อนายฟารีดและพวกพ้องของเขา ทำตัวเป็นตอฆูตกล้าตัดสิน มุสลิมคนนั้นว่า เขาเป็นกาเฟ็ร


หากเราถามว่า  อุละมาอ์ซุนนี่ระดับสูงในอดีต  ไม่ใช่อาเล่มกุ้ยๆอย่างนายฟารีดเฟ็นดี้ พวกเขากล่าวไว้อย่างไรบ้างในเรื่องกฏเกณฑ์และเงื่อนไขของการฮุก่มคนเป็นกาเฟ็ร  เราลองมาฟังกันดู
  •  

L-umar



۩ คำพูดและฟัตวาของอุละมาอ์ซุนนี่ว่าด้วยเรื่อง


ไม่อนุญาติให้ตักฟีรมุสลิม ( คือกล่าวกับมุสลิมคนหนึ่งว่าเป็นกาเฟ็ร)



อิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

لا يجوز تكفير المسلم بذنب فعله ولا بخطأ أخطأ فيه، كالمسائل التي تنازع فيها أهل القبلة، فإن الله تعالى قال : آمَنَ الرَّسُولُ بِمَا أُنزِلَ إِلَيْهِ مِنْ رَبِّهِ وَالْمُؤْمِنُونَ كُلٌّ آمَنَ بِاللَّهِ وَمَلَائِكَتِهِ وَكُتُبِهِ وَرُسُلِهِ لاَ نُفَرِّقُ بَيْنَ أَحَدٍ مِنْ رُسُلِهِ وَقَالُوا سَمِعْنَا وَأَطَعْنَا غُفْرَانَكَ رَبَّنَا وَإِلَيْكَ الْمَصِيرُ [البقرة:285]،
وقد ثبت في الصحيح أن الله تعالى أجاب هذا الدعاء وغفر للمؤمنين خطأهم.
مجموع الفتاوى  ج 3  ص 282

ไม่อนุญาตให้ทำการตักฟีรมุสลิม ด้วยบาปที่เขากระทำหรือด้วยความผิดที่เขาพลาดพลั้งทำมันลงไปในนั้นเช่น  ปัญหาต่างๆที่ชาวกิบละฮ์ได้มีความขัดแย้งกันในมัน  เพราะแท้จริงอัลลอฮ์ตะอาลาได้ตรัสว่า  ร่อซูล(คือนะบีมุฮัมมัด) ได้ศรัทธาต่อสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาแก่เขาจากพระเจ้าของเขา และมุอ์มินทั้งหลายก็ศรัทธาด้วย  ทุกคนได้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์และมลาอิกะฮ์ของพระองค์ และบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ และบรรดาร่อซูลของพระองค์ (พวกเขากล่าวว่า) เราจะไม่แยกระหว่างท่านหนึ่งท่านใดจากบรรดาร่อซูลของพระองค์ และพวกเขาได้กล่าวว่า เราได้ยินแล้ว และได้ปฏิบัติตามแล้ว การอภัยโทษจากพระองค์เท่านั้นที่พวกเราปรารถนา โอ้พระเจ้าของพวกเรา! และยังพระองค์นั้นคือการกลับไป  บทที่ 2 : 285   และมีหลักฐานยืนยันในตำราซอฮิ๊ฮ์ว่าอัลลอฮ์ตะอาลาทรงตอบรับคำวิงวอนนี้และทรงให้อภัยแก่บรรดามุอ์มินในความผิดของพวกเขา  

ดูมัจญ์มูอุลฟะตาวา  โดยอิบนิตัยมียะฮ์   เล่ม  3 : 282  

ที่เรายกคำพูดของอิบนุตัยมียะฮ์มาแสดง ก็เพราะว่าฟารีดเป็นวาฮาบีนั่นเอง.


►  หากนายฟารีดจะฮุก่มชีอะฮ์เป็นกาเฟ็รได้   นั่นก็หมายความว่า

ชีอะฮ์จะต้องมีความผิดดังต่อไปนี้คือ  →



1. เขาไม่เชื่อว่า อัลเลาะฮ์เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว
2. เขาไม่เชื่อว่า นะบีมุฮัมมัดเป็นศาสดาคนสุดท้ายของโลก
3. เขาไม่เชื่อว่า วันสิ้นโลกมีจริง
4. เขาไม่เชื่อเรื่องมลาอิกะฮ์ของอัลลอฮ์
5. เขาไม่เชื่อว่าอัลกุรอานคือคัมภีร์เล่มสุดท้ายของโลก

หรือชีอะฮ์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับต่อหลักปฏิบัติที่อิสลามกำหนดไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่งก็ตามเช่น

1. เขาไม่ยอมรับว่านมาซซุบฮิ,ซุฮ์ริ,อัซริ,มัฆริบและอีชานั้นเป็นวายิบที่เขาจำเป็นต้องปฏิบัติ
2. เขาไม่ยอมรับว่าการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนนั้นเป็นวายิบ
3. เขามีทรัพย์สินตามพิกัดที่อิสลามกำหนด แต่เขาไม่ยอมจ่ายซะกาตเพราะเขาถือว่าไม่ใช่วายิบ
4. เขาสามารถไปทำฮัจญ์ที่มักกะฮ์ได้  แต่เขาไม่ยอมเดินทางไปทำเพราะเขาไม่ถือว่าเป็นวายิบ

ทีนี้ท่านลองพิจารณาไปยังชาวชีอะฮ์สิว่า  พวกเขาปฏิเสธไม่เชื่อและไม่ถือว่าเป็นวายิบจริงหรือ  
ถ้าชีอะฮ์ไม่เชื่อและไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่อิสลามกำหนดเพราะถือว่าไม่ใช่วายิบจริงๆ แสดงว่า นายฟารีดพูดถูก

แต่บังเอิญชาวชีอะฮ์ไม่ได้เป็นเช่นที่เรากล่าวมา  ในทางตรงกันข้ามพวกชีอะฮ์เชื่อและปฏิบัติตามสิ่งที่อิสลามกำหนด
ด้วยเหตุนี้คนที่ตกเป็นกาเฟ็รจริงๆคือนายฟารีดเฟ็นดี้นั่นเอง

เพราะ   นายฟารีดได้ยกหะดีษมาประจานตัวของเขาเองดังนี้

อาจจะมีบางท่านกล่าวว่า การให้ข้อหาผู้อื่นด้วยคำว่า "กาเฟร" นี้เป็นที่ต้องห้ามเพราะท่านนบีบอกว่า

لاَ يَرْمِى رَجُلٌ رَجُلاً بِالْفُسُوقِ ، وَلاَ يَرْمِيهِ بِالْكُفْرِ ، إِلاَّ ارْتَدَّتْ عَلَيْهِ ، إِنْ لَمْ يَكُنْ صَاحِبُهُ كَذَلِكَ

"คนหนึ่งจะไม่ใส่ร้ายอีกคนหนึ่งด้วยความชั่ว และจะไม่ใส่ร้ายเขาด้วยข้อหากาเฟร นอกจากข้อหานั้นมันจะย้อนกลับสู่ตัวเขาเอง หากผู้ถูกใส่ร้ายมิได้เป็นเช่นนั้น"

รายงานโดยอบูซัรริน อัลฆิฟารีย์ บันทึกโดยอิหม่ามบุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 5585

และท่านนะบี(ศ)กล่าวว่า
أَيُّمَا رَجُلٍ قَالَ لأَخِيهِ يَا كَافِرُ . فَقَدْ بَاءَ بِهَا أَحَدُهُمَا

"ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องของเขาว่า กาเฟร ไม่คนหนึ่งคนใดก็จะต้องรับสถานะนั้นเอง"

รายงานโดยท่านอับดุลลอฮ์ อิบนิอุมัร บันทึกโดยท่านอิหม่ามบุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 5639


เราชาวชีอะฮ์มั่นใจในความเป็นมุสลิมของเรา  และแน่นอนเราเชื่อว่า  นายฟารีดและคนที่ฮุก่มชีอะฮ์  จะกลายเป็นกาเฟ็รเสียเองตามที่ท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)กล่าวเอาไว้.
  •  

L-umar

☺ นิยาม  อีหม่าน   ในทัศนะของชีอะฮ์



ชีอะฮ์มีทัศนะว่า  อีหม่าน (ความเชื่อความศรัทธา)นั้นต้องประกอบไปด้วยสามประการคือ

หนึ่ง – ตัศดี๊ก บิลก็อลบิ   คือการเชื่อมั่นด้วยหัวใจ
สอง -  อิกร็อร บิลลิซาน  คือการยืนยันด้วยคำพูด
สาม – อะมั้ล บิลญะวาริ๊ห์  คือการสำแดงออกมาด้วยอวัยวะต่างๆของร่างกาย


เนื่องจากเชคศอดูกได้บันทึกหะดีษไว้ว่า

حَدَّثَنَا عَبْدُ السَّلاَمِ بْنُ صَالِحٍ (أَبُو الصَّلْتِ الْهَرَوِىُّ) عَنْ عَلِىِّ بْنِ مُوسَى الرِّضَا عَنْ أَبِيهِ مُوْسَى بْنِ جَعْفَرٍ عَنْ أَبِيهِ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ أَبِيهِ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِيٍّ عَنْ عَلِىِّ بْنِ الْحُسَيْنِ عَنِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيٍّ عَنْ عَلِىِّ بْنِ أَبِى طَالِبٍ عليه السلام  قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى الله عليه وآله :
الإِيمَانُ مَعْرِفَةٌ بِالْقَلْبِ وَإقْراَرٌ بِاللِّسَانِ وَعَمَلٌ بِالأَرْكَانِ
كتاب : الخصال  للشيخ الصدوق   ج 1  ص 185  ح 239  و 241

อับดุสสะลาม บินซอและห์ (อะบู ศัลติ อัลฮะร่อวี)รายงานมาจาก  อิม่ามอาลี บินมูซาอัลริฎอ จากบิดาของเขาคือ อิม่ามมูซา บินญะอ์ฟัร  จากบิดาของเขาคือ อิม่ามญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด จากบิดาของเขาคือ อิม่ามมุฮัมมัด บินอาลี จากอิม่ามอาลี บินฮูเซน จากอิม่ามฮูเซน บินอาลี  จากอิม่ามอาลี บินอะบีตอลิบ(อ)เล่าว่า  :  

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  :  อีหม่าน  คือการรู้จักด้วยหัวใจ  การยืนยันด้วยคำพูดและการปฏิบัติด้วยส่วนต่างๆ(ของร่างกาย)

ดูหนังสืออัลคิศ็อล โดยเชคศอดูก  หะดีษที่   239  , 241
  •  

L-umar

۩  คำถามคือ  

อุละมาอ์ซุนนี่ระดับผู้ทรงคุณวุฒิ  (ไม่ใช่โต๊ะครูกุ๊ยๆ) ได้ให้นิยามคำอีหม่านเหมือนชีอะฮ์หรือไม่  ???

เราไม่อยากตอบ  แต่ขอให้พี่น้องซุนนี่ได้อ่าน คำพูดอุละมาอ์ของพวกท่านเอง  ดังนี้  →



หนึ่ง -  ท่านบัยฮะกี บันทึกว่า

حدثنا عبد السلام بن صالح الهروي ، حدثنا علي بن موسى بن جعفر بن محمد بن علي بن الحسين بن علي بن أبي طالب ، حدثني أبي ، عن جعفر ، عن أبيه ، عن علي بن الحسين ، عن أبيه ، عن علي رضي الله عنهم قال : قال رسول الله صلى الله عليه وسلم : « الإيمان معرفة بالقلب ، وإقرار باللسان ، وعمل بالأركان »
كتاب : شعب الإيمان للبيهقي (384 - 458 هـ)  ج 1  ص 20  ح 15
أحمد بن الحسين بن علي بن موسى أبو بكر البيهقي، من أئمة الحديث.

อับดุสสะลาม บินซอและห์ (อะบู ศัลติ อัลฮะร่อวี)รายงานจาก  อาลี บินมูซาอัลริฎอ จากบิดาของเขาคือมูซา บินญะอ์ฟัร  จากบิดาของเขาคือญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด จากบิดาของเขาคือมุฮัมมัด บินอาลี จากอาลี บินฮูเซน จากฮูเซน บินอาลี  จากท่านอาลี บินอะบีตอลิบ(อ)เล่าว่า  :  

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  :  อีหม่าน  คือการรู้จักด้วยหัวใจ  การยืนยันด้วยคำพูดและการปฏิบัติด้วยส่วนต่างๆ(ของร่างกาย)

ดูหนังสือชะอ์บุลอีหม่าน โดยอัลบัยฮะกี (384-458 ฮ.ศ.)  หน้า 20 หะดีษที่   15 , 16
  •  

L-umar

สอง -  ท่านเชคอัลอาญุรรีกล่าวว่า


بل نقول - والحمد لله - قولاً يوافق الكتاب والسنة ، وعلماء المسلمين الذين لا يستوحش من ذكرهم ، وقد تقدم ذكرنا لهم : أن الإيمان معرفة بالقلب تصديقاً يقيناً ، وقول باللسان ، وعمل بالجوارح ، ولا يكون مؤمناً إلا بهذه الثلاثة ،
الكتاب : الشريعة  ج 1 ص 140
المؤلف : الإمام أبو بكر محمد بن الحسين الآجري  (..- 360 هـ =..- 970 م)

แต่ทว่า  เราต้องขอกล่าวคำพูดหนึ่งที่ตรงกับกิตาบและซุนนะฮ์ และ(สอดคล้อง)กับอุละมาอ์มวลมุสลิมที่ไม่เคยว้าเหว่ไปจากการกล่าวขานถึงพวกเขาเลย  และก่อนหน้านี้เราได้กล่าวผ่านมาแล้วสำหรับพวกเขาว่า  

แท้จริงอีหม่านนั้นคือ การรู้จักด้วยหัวใจ ให้ความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง  

และการพูดออกมาด้วยลิ้น

และการกระทำด้วยอวัยวะต่างๆ

และจะไม่ถือว่าเป็นมุอ์มิน(ผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง) ยกเว้นจะต้องควบคู่อยู่กับสามประการนี้


ดูหนังสืออัชชะรีอะฮ์ โดยอัลอาญุรรี  (มรณะ 360 ฮ.ศ.)  หน้า   140
  •  

L-umar

สาม – เชคสะฟารีนี อัลฮัมบะลี ( 1114- 1188 ฮ.ศ.) ได้กล่าวว่า



ومعظم أئمة السلف رضوان الله عليهم أجمعين ، فكانوا يقولون الإيمان معرفة بالقلب وإقرار باللسان وعمل بالأركان . وبعض السلف من أهل السنة زاد : وإتباع السنة ; لأن ذلك لا يكون محبوبا لله - تعالى - إلا باتباع السنة .
الكتاب : لوامع الأنوار البهية وسواطع الأسرار الأثرية لشرح الدرة المضية في عقد الفرقة المرضية
المؤلف : شمس الدين، أبو العون محمد بن أحمد بن سالم السفاريني الحنبلي (المتوفى : 1188هـ)

และบรรดาอิหม่ามสะลัฟระดับอาวุโส   พวกเขาเคยกล่าวว่า   อัลอีหม่านนั้นคือการรู้จักด้วยหัวใจ และยืนยันรับรองด้วยวาจา และปฏิบัติด้วยส่วนต่างๆ(ของร่างกาย)

และชาวสะลัฟบางส่วนจากอะฮ์ลิสซุนนะฮ์ได้เพิ่มเข้าไปอีกว่า จะต้องปฏิบัติตามซุนนะฮ์ด้วย  เพราะสิ่งนั้นจะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานสำหรับอัลเลาะฮ์ ตะอาลา ยกเว้นการปฏิบัติตามซุนนะฮ์(นะบี ศ.)


ดูหนังสือละวามิอุลอันวาริลบะฮียะฮ์   โดยอัสสะฟารีนี อัลฮัมบะลี   หน้าที่  406  
  •  

L-umar

เราแสดงหลักฐานเรื่องความหมายของอีหม่านด้วยหะดีษจากตำราชีอะฮ์ไปแล้ว

ต่อจากนั้นเราได้ยกหนังสือของอุละมาอ์ซุนนี่สามเล่ม มาเปรียบให้ดู

และท่านคงเห็นแล้วว่า   โดยรวมมันแทบไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย


สิ่งที่เรานำมากล่าวไม่ใช่ว่า  เราพยายามจะแสดงหลักฐานให้ท่านเห็นว่า  
ซุนนี่เหมือนชีอะฮ์  หรือชีอะฮ์เหมือนซุนนี่ไปเสียทุกอย่าง

เพียงแต่เราต้องการพิสูจน์ว่า   การศึกษาเรื่องความเชื่อและการปฏิบัติของมัซฮับต่างๆในอิสลาม  เราต้องมีใจเป็นธรรมและเป็นกลางอย่างแท้จริง

การตัดสิน   ผิดหรือถูก    ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก    รอดหรือหายนะ   อย่างรวดเร็วไปตามนัฟซูที่ตนชอบมันส่อถึงวิสัยทัศของคนมีจิตใจคับแคบ  ซึ่งเราเชื่อว่าบรรดาศาสดาที่อัลลอฮ์ตะอาลาส่งลงมาโปรดชาวโลกย่อมไม่ใช่บุคคลที่มีจิตใจคับแคบเหมือนพวกวาฮาบีเช่นนายฟารีดเฟ็นดี้อย่างเป็นแน่

นายฟารีดเฟ็นดี้ได้เคยออกโรงมาถกปัญหาศาสนากับอุละมาอ์ชีอะฮ์แล้ว  แต่ดูเหมือนว่าเขาไร้ความสามารถที่จะเอาชนะหรือโค่นล้มชีอะฮ์ให้พินาศไปต่อหน้าต่อตาประชาชนได้

และนั่นดูเหมือนว่ามันจะเป็นปมด้อยของเขา ที่ตอกย้ำให้เขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อกู้หน้าตัวเอง และกู้ชื่อเสียงของเขาให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง  อย่างน้อยก็พิสูจน์ให้โลกซุนนี่ได้รู้ว่า   ข้ายังแน่อยู่เหมือนเดิม  และทางออกแบบคนญาเฮ้ลก็คือ  จ้องจับผิดชีอะฮ์  เขียนบทความมากๆใส่ร้ายชีอะฮ์มากๆ ไม่ใช่จ้องศึกษามัซฮับชีอะฮ์ด้วยใจบริสุทธิ์  ซึ่งนั่นหมายความว่า  คำพูดและการกระทำของเขาส่อสะแดงถึงสันดานของคนที่มีจิตใจต่ำทรามนั่นเอง.    
  •  

L-umar

หากนายฟารีด เฟ็นดี้ต้องการทำความเข้าใจเรื่องอีหม่านและหลักปฏิบัติชีอะฮ์อย่างแท้จริงและบริสุทธิ์ใจ

เราคิดว่าแค่รายงานหะดีษจากอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ)เพียงบทเดียวก็เพียงพอเช่น


عَن ْعَبْدِ الْعَظِيْمِ الحَْسَـنِي قَالَ : دَخَلْتُ عَلَى سَيِّدِيْ :
عَلِيٍّ ـ الْهَادِيّ ـ : بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ مُوْسَى بْنِ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِيْ طَالِبٍ عَلَيْهُمُ السَّلاَم .
فَلَمَّا بَصُرَ بِيْ قَالَ لِيْ : ( مَرْحَباً بِكَ يَا أَبَا الْقَاسِمِ أَنْتَ وَلِيُّنَا حَقّاً ).
 قَالَ : فَقُلْتُ لَهُ : يَا ابْنَ رَسُوْلِ الله إِنَّنِيْ أُرِيْدُ أَنْ أَعْرِضَ عَلَيْكَ دِيْنِيْ ، فَإِنْ كاَنَ مَرْضِيّاً أَثْبِتُ عَلَيْهِ حَتَّى أَلْقَى اللهَ عَزَّ وَجَلَّ .
 فَقَالَ : (( هَاتِ يَا أَبَا الْقَاسِمِ )) . فَقُلْتُ إِنِّيْ أَقُوْلُ :
إنَّ اللهَ تَبَارَكَ وَتَعَالَى : وَاحِدٌ لَيْسَ كَمِثْلِهِ شَيْءٌ .
 خَارِجٌ عَنِ الْحَدَّيْنِ ، حَدُّ الْإِبْطَالِ وَحَدُّ التَّشْبِيْهِ .
 وَأَنَّهُ : لَيْسَ بِجِسْمٍ ، وَلاَ صُوْرَةٍ ، وَلاَ عَرَضٍ ، وَلاَ جَوْهَرٍ .
 بَلْ هُوَ : مُجَسِّمُ الْأَجْسَامِ ، ومصور الصور ، وخالق الأعراض والجواهر ، ورب كل شيء : ومالكه ، وجاعله ، ومحدثه .
وإن محمداً : عبده ورسوله ، وخاتم النبيين فلا نبي بعده إلى يوم القيامة .
 وأقول : إن الإمام والخليفة وولي الأمر بعده أمير المؤمنين علي بن أبي طالب ، ثم الحسن ، ثم الحسين ، ثم علي بن الحسين ، ثم محمد بن علي ، ثم جعفر بن محمد ، ثم موسى بن جعفر ، ثم علي بن موسى ، ثم محمد بن علي ، ثم أنت يا مولاي .
فقال عليه السلام :
(( ومن بعدي الحسن أبني ، فكيف للناس بالخلف من بعده ؟ )) .
قال فقلت : وكيف ذلك يا مولاي ؟
 قال : (( لأنه لا يرى شخصه ، ولا يحل ذكره باسمه حتى يخرج فيملأ الأرض قسطاً وعدلا ، كما ملئت جوراً وظلماً )) .
قال : فقلت : أقررت ، وأقول : إن وليهم ولي الله ، وعدوهم عدوا الله ، وطاعتهم طاعة الله ، ومعصيتهم معصية الله .
 وأقول : إن المعراج حق ، والمساءلة في القبر حق ، وإن الجنة حق ، والنار حق ، والميزان حق ، وإن الساعة آتية لا ريب فيها ، وإن الله يبعث من في القبور .
 وأقول : إن الفرائض الواجبة بعد الولاية : الصلاة ، والزكاة ، والصوم ، والحج ، والجهاد ، والأمر بالمعروف ، والنهي عن المنكر.
فقال علي بن محمد عليه السلام :
(( يا أبي القاسم ، هذا والله دين الله الذي ارتضاه لعباده ، فأثبت عليه ثبتك الله بالقول الثابت في الحياة الدنيا وفي الآخرة )).


คำแปล

ท่านอับดุลอะซีม บินอับดุลลอฮ์ อัลฮาซานี(รฎ.)ได้เล่าว่า :


ข้าพเจ้าได้เข้ามาพบนายของข้าพเจ้าคือท่านอิม่ามอะลี บิน มุฮัมมัด (อัลฮาดี อิม่ามคนที่ 10 ) อะลัยฮิสสลาม
เมื่อท่านอิม่ามฮาดีมองเห็นข้าพเจ้า  ท่านได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า : ยินดีต้อนรับโอ้อบุล กอซิม  ท่านคือผู้ที่มีวิลายัต(ความรัก)ต่อเราอย่างแท้จริง

อับดุลอะซีมเล่าว่า :  ข้าพเจ้าได้กล่าวกับท่านอิม่ามฮาดีว่า : โอ้บุตรของท่านรอซูลุลลอฮ์ แท้จริงข้าพเจ้าต้องการนำเสนอศาสนาที่ข้าพเจ้านับถือให้ท่าน(พิจารณา)   หากมันเป็นที่พอใจ(คือถูกยอมรับ) ข้าพเจ้าจะได้ยึดมั่นมันไว้อย่างมั่นคง จนกว่าข้าพเจ้าจะได้กลับไปพบกับอัลลอฮ์ อัซซะวะญัล

ท่านอิม่ามฮาดีกล่าวว่า :  โอ้อบุลกอซิมจงเสนอมาซิ

ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า : ข้าพเจ้าเชื่อว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ตะอาลา ทรงเอกะ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์  ทรงอยู่นอกขอบเขตสองประการคือ  1,ฮัดดุล อิบฏ็อล(ขวาสุดโต่ง) และ2,ฮัดดุล ต๊ะอ์ตีล(ซ้ายตกขอบ)     แท้จริงอัลลอฮ์ไม่มีร่างกาย ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ใช่อะร็อฎ(สิ่งที่พึ่งวัตถุ)และเญาฮัร(วัตถุ)  แต่ทว่าพระองค์คือผู้ทรงสร้างเรือนร่างทั้งหลาย  ผู้ทรงสร้างรูปลักษณ์ทั้งหลายและทรงเป็นผู้ทรงสร้างอะร็อฎและเญาฮัร(วัตถุหรือมัคลูก)ทั้งหลาย    และอัลลอฮ์ทรงเป็นพระผู้อภิบาลทุกสรรพสิ่ง  ทรงเป็นผู้ครอบครองกรรมสิทธิ์ทุกสิ่ง  ทรงเป็นผู้บันดาลสร้างทุกสิ่งและทรงเป็นผู้ให้กำเนิดทุกสิ่ง

และแท้จริงมุฮัมมัด(ศ) นั้นเป็นบ่าวของพระองค์ เป็นรอซูลของพระองค์และเป็นนะบีคนสุดท้าย ซึ่งจะไม่มีนบีเกิดขึ้นหลังจากเขาอีกแล้วตราบจนถึงวันกิยามะฮ์

และแท้จริงชะรีอะฮ์(หลักธรรม)ของเขานั้นเป็นศาสนาสุดท้าย ซึ่งจะไม่มีศาสนา(ของอัลลอฮ์มาประกาศ)หลังจากศาสนาอิสลามอีกแล้วตราบจนถึงวันกิยามะฮ์  

และข้าพเจ้าขอกล่าวว่า :
แท้จริงอิม่ามผู้นำและคอลีฟะฮ์ที่สืบต่อจากนบีมุฮัมมัด(ศ) และเป็นวะลียุลอัมริ(ผู้ปกครอง)คือ
1,ท่านอมีรุลมุอ์มินีน อะลี บิน อบีตอลิบ(อ) ถัดมาคือ2,อัลฮาซัน 3,อัลฮุเซน 4,อะลี บิน ฮุเซน 5,มุฮัมมัด บิน อะลี อัลบาเก็ร 6,ญะอ์ฟัร บิน มุฮัมมัด อัศ-ศอดิก 7, มูซา บิน ญะอ์ฟัร 8,อะลี บิน มูซา 9,มุฮัมมัด บิน อะลี และคนที่ 10 คือท่าน(อิม่ามอะลี อัลฮาดี) โอ้เมาลาของข้าพเจ้า

ท่านอิม่ามฮาดี(อ)ได้กล่าวเสริมว่า : และอิม่ามคนที่ 11 หลังจากข้าพเจ้าคืออัลฮาซัน(อัสการี) บุตรชายของข้าพเจ้า  แล้วจะเป็นอย่างไรเล่าสำหรับประชาชน เกี่ยวกับอัลค่อลัฟผู้สืบทอด(ตำแหน่งอิม่ามคนที่ 12) ต่อจากเขา(ฮาซันอัสการี) ?

อับดุลอะซีมเล่าว่า : ข้าพเจ้ากล่าวว่า : โอ้เมาลาของข้าพเจ้ามันจะเป็นอย่างไรหรือ ?

ท่านอิม่ามฮาดี(อ) ตอบว่า : เนื่องจากเขา(อิม่ามคนที่ 12 ) จะไม่มีใครได้เห็นตัวเขา และไม่อนุญาติให้เอ่ยถึงเขาด้วยชื่อจริงของเขา จนกว่าเขาจะปรากฏตัวออกมาทำให้โลกเต็มเปี่ยมด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรม เหมือนดังที่มันเคยเต็มไปด้วยความอธรรมและการกดขี่

อับดุลอะซีมเล่าว่า : ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า : ข้าพเจ้าขอยืนยัน(ต่อสิ่งที่กล่าวมา)  และข้าพเจ้ากล่าวว่า : แท้จริงวะลี(คนรัก)ของพวกเขาคือวะลี(คนรัก)ของอัลลอฮ์  และศัตรูของพวกเขาคือศัตรูของอัลลอฮ์ การตออัต(เชื่อฟังและปฏิบัติตาม)พวกเขาคือการเชื่อฟังต่ออัลลอฮ์และการขัดคำสั่งพวกเขาคือการขัดคำสั่งอัลลอฮ์

และข้าพเจ้าเชื่อว่า : แท้จริงการขึ้นเมี๊ยะอ์รอจญ์ของท่านนบีนั้นเป็นเรื่องจริง, การสอบถามในหลุมฝังศพนั้นเป็นจริง, สวรรค์และนรกนั้นมีจริง, สะพานศิร็อฏมีจริง, มีซานตราชั่งความดีความชั่วนั้นมีจริง,วันอวสานนั้นจะต้องเกิดขึ้นแน่ อย่างไม่ต้องสงสัยและแท้จริงอัลลอฮ์จะให้ผู้ที่อยู่ในหลุมฝังศพฟื้นขึ้นมา

และข้าพเจ้าเชื่อว่า :  แท้จริงฟัรฎูที่เป็นวาญิบ(ต้องปฏิบัติ) หลังจากเรื่อง 1,วิลายะฮ์-การแสดงความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ (ตรงข้ามกับ2,บะรออะฮ์-การไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ที่ไม่รักอะฮ์ลุลบัยต์ ) คือ 3, นมาซวาญิบ 4, จ่ายซะกาต (และ5,จ่ายคุมส์ข้อย่อยของซะกาต) 6,ถือศีลอด 7, ทำฮัจญ์  8,ญิฮ๊าด 9,แนะนำให้ทำดีและ10,ห้ามปรามมิให้ทำชั่ว

ท่านอิม่ามอะลี อัลฮาดี(อ)กล่าวว่า :
โอ้อบุลกอซิม(อับดุลอะซีม) ! ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮ์ว่า หลักศรัทธาและหลักปฏิบัติแบบนี้แหล่ะคือ (ดีนุลเลาะฮ์) ศาสนาของอัลลอฮ์ ที่ทรงพอพระทัยมอบมันให้กับปวงบ่าวของพระองค์
ดังนั้นขอให้ท่านจงยึดมันไว้อย่างมั่นคง ขออัลลอฮ์ทรงทำให้ท่านมีความมั่นคงต่อคำพูดอันมั่นคงนี้ทั้งชีวิตในโลกดุนยานี้และโลกอาคิเราะฮ์ด้วยเถิด

อ้างอิงจากหนังสือ
อัต-เตาฮีด เชคศอดูก กิตาบอัต-เตาฮีด วัต-ตัชเบี๊ยะห์ หน้า 81 หะดีษที่ 37



►ฮัดดุ ตะอ์ตีล หมายถึง  การที่คนปฏิเสธพระเจ้า ปฎิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าและปฏิเสธความเป็นร็อบของพระองค์
และถือว่าซิฟัตต่างๆของพระเจ้าบนด้านที่ไม่เหมาะสมกับพระองค์เป็นโมฆะทั้งหมด
►ฮัดดุ ตัชบิ๊ห์ หมายถึง  การนำเอาพระเจ้าไปเปรียบกับสิ่งที่พระองค์สร้างมันมา หรือการอธิบายถึงพระเจ้าด้วยลักษณะต่างๆของสิ่งที่พระองค์สร้างมา  สรุปคือเราจำเป็นต้องเรียกสิ่งหนึ่งๆสำหรับอัลลอฮ์ที่ให้ความบริสุทธิ์ในการที่จะเข้าใจถึงพระองค์จากความเข้าใจในสิ่งต่างๆที่เป็นมัคลู๊ก )


เราขอถามว่า   พวกท่านเคยเห็นนายฟารีดนำหะดีษชีอะฮ์ทำนองนี้ไปเล่าให้พี่น้องซุนนี่ตามสถานที่ต่างๆรับฟังบ้างไหม   ?

แน่นอนเขาคงไม่หยิบไปแปลหรอก  เพราะคนอย่างนายฟารีดเกรงว่า จะมีพี่น้องซุนนี่ตั้งคำถามขึ้นมาว่า    ถ้าพวกชีอะฮ์เชื่อและปฏิบัติตนตามหะดีษดังกล่าว  แล้วทำไมท่านอาจารย์ฟารีดเฟ็นดี้จึงไปฮุก่ม ชีอะฮ์เป็นกาเฟ็ร  ???



 
 
  •  

L-umar



หนึ่ง  -  การศรัทธาในเรื่องเตาฮีดของชีอะฮ์

หลังจากที่เราได้อธิบายถึงลักษณะของการมีอีหม่านที่ถูกต้องไปแล้ว  ต่อไปเราก็จะนำเสนอหลักฐานว่า  ชีอะฮ์เชื่อเรื่องพระเจ้าตรงกับอัลกุรอ่านหรือไม่   ซึ่งเรื่องนี้นายฟารีดเฟ็นดี้ก็ไม่กล้านำเสนอให้ชาวซุนนี่ได้รับรู้เช่นกัน

อัลลอฮ์ ตะอาลาตรัสว่า

وَإِلَـهُكُمْ إِلَهٌ وَاحِدٌ

และพระเจ้าของสูเจ้านั้นคืออัลลอฮ์เพียงองค์เดียว บทที่ 2 : 163




ถ้าชีอะฮ์เชื่อว่า   พระเจ้ามีสององค์นั่นแสดงว่า  ชีอะฮ์ผิด   ทีนี้เรามาดูหะดีษชีอะฮ์กัน



มุฮัมมัด บินมุสลิม (ชีอะฮ์คนหนึ่ง)ได้เล่าว่า    อิม่ามศอดิก อะลัยฮิสสลามกล่าวว่า

إِنَّ الْيَهُودَ سَأَلُوا رَسُولَ اللَّهِ ص فَقَالُوا انْسِبْ لَنَا رَبَّكَ فَلَبِثَ ثَلَاثاً لَا يُجِيبُهُمْ ثُمَّ نَزَلَتْ قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ إِلَى آخِرِهَا

الكافي ج : 1  ص :  91  ح : 1  بَابُ النِّسْبَةِ
درجة الحديث :  صحيح    تحقيق : مركز البحوث الكومبيوترية للعلوم الإسلامية قم ايران  

แท้จริงพวกยะฮูดีได้ถามท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ็อลฯ)ว่า จงบอกเชื้อสายของพระเจ้าของท่านให้เราฟัง  ท่าน(ศ็อลฯ)นิ่งเฉย สามครั้งโดยไม่ได้ให้คำตอบแก่พวกเขา  แล้วต่อมาอัลกุรอานได้ประทานลงมาว่า  จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงเอกะ จนถึงโองการสุดท้ายของซูเราะฮ์

สถานะหะดีษ  : ซอฮี๊ฮ์   ดูอัลกาฟี  โดยเชคกุลัยนี  เล่ม 1 : 91 หะดีษที่ 1
ตรวจทานโดยมัรกัซ บุฮูซ คอมพิวเตอร์ ลิลอุลูมิลอิสลามียะฮ์ เมืองกุม อิหร่าน




อิม่ามศอดิก(อ)ได้สอนลูกศิษย์ของเขาว่า   หากมีคนมาถามท่านว่า   ชีอะฮ์นั้นมีความเชื่อในเรื่องพระเจ้าแบบไหน  อย่างไร  ท่านสอนให้ตอบคำถามนี้ด้วยซูเราะฮ์ที่ 112 อัลอิคลาศ หรืออัต-เตาฮีด มีทั้งหมด 4 อายะฮ์


سورة الإخلاص    بسم الله الرحمن الرحيم   قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ (1) اللَّهُ الصَّمَدُ (2) لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ (3) وَلَمْ يَكُنْ لَهُ كُفُوًا أَحَدٌ (4)

ด้วยนามของอัลเลาะฮ์ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตายิ่งเสมอ

[1]  จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด)ว่า  อัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงเอกะ
[2]  อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง(ของสรรพสิ่งทั้งมวล)
[3]  พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ
[4]  และในสากลจักรวาล ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์



คำถามสำหรับวาฮาบี

เมื่อวาฮาบีเช่นฟารีดเฟ็นดี้กล่าวว่า  พวกชีอะฮ์เชื่อเรื่องพระเจ้าไม่เหมือนพวกเขา  
แสดงว่า พวกวาฮาบีเชื่อแบบนี้หรือ  ? เช่น
[1]  อัลลอฮ์นั้นไม่ใช่ผู้ทรงเอกะ
[2]  อัลลอฮ์นั้นมิได้เป็นที่พึ่ง(ของสรรพสิ่งทั้งมวล)
[3]  พระองค์ทรงถูกประสูติ
[4]  และในจักรวาล มีบางสิ่งเหมือนพระองค์  เช่นพระองค์มีมือ มีเท้า
  •  

L-umar

สอง - การศรัทธาของชีอะฮ์ต่อความอาดิลของพระเจ้า  

นายฟารีดเฟ็นดี้ก็เอามาโจมตีว่า  อะกีดะฮ์แบบนี้คือ   เตาฮีด  อาดิล  นุบูวัต อิมามัต  มะอ๊าด  ไม่มีในกิตาบและซุนนะฮ์  


เราเคยตอบไปแล้วว่า เชคมุฟีดคือคนกำหนดอะกีดะฮ์ดังกล่าว ซึ่งทั้งห้าได้รวบรวมมาจากคัมภีร์กุรอ่านและตำราหะดีษชีอะฮ์  เช่น

อัลลอฮ์ ตะอาลาตรัสว่า

หนึ่ง -

إِنَّ اللّهَ لاَ يَظْلِمُ مِثْقَالَ ذَرَّةٍ

แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงอธรรมแม้เพียงน้ำหนักเท่าผงธุลี  บทที่  4 : 40


สอง –
 
وَمَا أَنَا بِظَلاَّمٍ لِّلْعَبِيدِ

และข้า ก็มิได้เป็นผู้อธรรมต่อปวงบ่าวของข้าเลย   บทที่  50 : 29

สาม –

وَلا يَظْلِمُ رَبُّكَ أَحَدًا

และพระผู้เป็นเจ้าของเจ้า มิทรงอธรรมต่อผู้ใดเลย  บทที่  18 : 49



อิม่ามญะอ์ฟัร ศอดิก อะลัยฮิสสลาม กล่าวว่า

اللَّهُ أَعْدَلُ

อัลเลาะฮ์  คือผู้ทรงยุติธรรมที่สุด    ดูอัลกาฟี  เล่ม 1 : 159  หะดีษที่  11



อิม่ามอาลี อัลริฎอ อะลัยฮิสสลาม กล่าวว่า

إِنَّ اللَّهُ أَعْدَلُ وَ أَحْكَمُ

แท้จริงอัลเลาะฮ์  คือผู้ทรงยุติธรรมที่สุด และทรงเป็นผู้ตัดสินเลิศที่สุด    
ดูอัลกาฟี  เล่ม 1 : 157  หะดีษที่  3

ในเมื่อชีอะฮ์เชื่อว่า  อัลเลาะฮ์ตะอาลา  ทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทินจากเรื่องซอเล่ม ( การอธรรมกดขี่ หรือความอยุติธรรม )  พระองค์ทรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม  ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พระองค์จะมีความอธรรมต่อบ่าวคนหนึ่งแม้เพียงเศษเสี้ยวอณูหนึ่ง  ทุกการกระทำของพระองค์ล้วนมีความอาดิลและเต็มไปด้วยความเราะห์มัต

ชีอะฮ์จะไม่กล่าวพาดพิงเรื่องความชั่วร้าย ความไม่ดีงามหรือความเลวทราม ( ชัรรุน)ไปยังอัลเลาะฮ์ เพราะเนื่องจากพระองค์มีซิฟัตกะม้าล คือผู้ทรงไว้ซึ่งความสมบูรณ์ในทุกการกระทำ

พระองค์ทรงสั่งให้มนุษย์ทำแต่สิ่งดี    และทรงห้ามมนุษย์ไม่ให้ทำสิ่งเลวทราม

ดังที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

مَّا أَصَابَكَ مِنْ حَسَنَةٍ فَمِنَ اللّهِ وَمَا أَصَابَكَ مِن سَيِّئَةٍ فَمِن نَّفْسِكَ

ความดีใด ๆ ที่ได้มาประสบแก่เจ้านั้นมาจากอัลลอฮ์ และความชั่วใด ๆ ที่มาประสบแก่เจ้านั้นมาจากตัวของเจ้าเอง     บทที่  4 : 79

และ

إِنَّ اللّهَ لاَ يَظْلِمُ النَّاسَ شَيْئًا وَلَـكِنَّ النَّاسَ أَنفُسَهُمْ يَظْلِمُونَ

แท้จริงอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงอธรรมแก่มนุษย์แต่อย่างใด แต่ว่ามนุษย์ต่างหากที่อธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง   บทที่  10 : 44

การซอเล่ม(การอธรรม กดขี่) คือซิฟัตที่ไม่ดีและชั่วร้าย ( สัยยิอะฮ์)

คนที่ซอเล่ม(อธรรม) คือ พวกกาเฟ็ร  ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَالْكَافِرُونَ هُمُ الظَّالِمُونَ

และพวกกาเฟ็รนั้นคือพวกซอเล่ม     บทที่  2 : 254

 

คำถามสำหรับวาฮาบี

หนึ่ง - อีหม่านหกประการของวาฮาบี ไม่ได้ระบุว่า  อัลลอฮ์มีความยุติธรรม  แสดงว่า พวกวาฮาบี ไม่ศรัทธาว่า อัลลอฮ์ อาดิล กระนั้นหรือ

สอง -  นายฟารีดกล่าวว่า พวกชีอะฮ์เชื่อว่าอัลลอฮ์อาดิล นั่นแสดงว่านายฟารีดไม่เชื่อว่าอัลลอฮ์อาดิลกระนั้นหรือ

สาม -  อัลกุรอ่านสามโองการข้างต้นระบุชัดว่า อัลลอฮ์ไม่เคยอธรรมและไม่มีวันอยุติธรรมต่อปวงบ่าว  เมื่อนายฟารีดไม่ยอมรับความเชื่อของชีอะฮ์เรื่องอัลลอฮ์อาดิล แสดงว่าเขาเป็นกาเฟ็รใช่ไหม เพราะเขาปฏิเสธอัลกุรอ่าน
  •  

L-umar

สาม - การศรัทธาเรื่องนุบูวัต  หรือเรื่องภาวะการเป็นศาสดาของบรรดานะบี

หากฟารีดเฟ็นดี้จะใส่ร้ายว่า  ชีอะฮ์ไม่มีศรัทธาต่อนะบีมุฮัมมัด (ศ)  ในฐานะที่ท่านคือศาสดาคนสุดท้ายของโลก  

เขาก็คือคนโกหก   เพราะเชคกุลัยนีได้บันทึกหะดีษไว้ในหนังสืออัลกาฟีดังนี้




Φ อัจญ์ลาน อะบีซอและห์เล่าว่า  ฉันได้กล่าวกับอิม่ามศอดิก (อ)ว่า


أَوْقِفْنِي عَلَى حُدُودِ الْإِيمَانِ فَقَالَ شَهَادَةُ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَ أَنَّ مُحَمَّداً رَسُولُ اللَّهِ وَ الْإِقْرَارُ بِمَا جَاءَ بِهِ مِنْ عِنْدِ اللَّهِ وَ صَلَوَاتُ الْخَمْسِ وَ أَدَاءُ الزَّكَاةِ وَ صَوْمُ شَهْرِ رَمَضَانَ وَ حِجُّ الْبَيْتِ وَ وَلَايَةُ وَلِيِّنَا وَ عَدَاوَةُ عَدُوِّنَا وَ الدُّخُولُ مَعَ الصَّادِقِينَ

โปรดบอกให้ฉันทราบถึงขอบเขตของอีหม่านด้วยเถิด

อิม่ามศอดิก(อ)กล่าวว่า   ( อีหม่านคือ )

شَهَادَةُ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَ أَنَّ مُحَمَّداً رَسُولُ اللَّهِ
การปฏิญาณตนว่า  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  และแท้จริงมุฮัมมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์

الْإِقْرَارُ بِمَا جَاءَ بِهِ مِنْ عِنْدِ اللَّهِ
ต้องยืนยันรับรองต่อสิ่งที่เขา(รอซูลฯ)ได้นำมันมาจากอัลลอฮ์

صَلَوَاتُ الْخَمْسِ
ต้องทำนมาซห้าเวลา

أَدَاءُ الزَّكَاةِ
ต้องจ่ายทานซะกาต

صَوْمُ شَهْرِ رَمَضَانَ
ต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน

حِجُّ الْبَيْتِ
ต้องไปบำเพ็ญหัจญ์ที่บัยตุลลอฮ์

وَلَايَةُ وَلِيِّنَا
ต้องมีความรักต่อผู้ที่มีความรักต่อเรา

عَدَاوَةُ عَدُوِّنَا
ต้องมีความชิงชังต่อผู้ที่ชิงชังเรา

الدُّخُولُ مَعَ الصَّادِقِينَ
และต้องเข้าไปอยู่กับบรรดาผู้สัตย์จริง



ดูอัลกาฟี  โดยเชคกุลัยนี   เล่ม  2 : 18 หะดีษที่  2


۩  คำถามสำหรับวาฮาบี

หากท่านใส่ร้ายชีอะฮ์ว่าเป็นกาเฟ็รเพราะมีอีหม่านแบบนี้  

หมายความว่า  อีหม่านของพวกวาฮาบีตรงกันข้ามกับชีอะฮ์หรือ

แสดงว่าอีหม่านของพวกวาฮาบีเป็นเช่นนี้หรือคือ

1.   ไม่มีปฏิญาณตนด้วยกะลิมะฮ์ ชะฮาดะตัยนิ ดังกล่าว
2.   ไม่ยอมรับในสิ่งที่ท่านรอซูลฯนำมาจากอัลลอฮ์
3.   ไม่ต้องนมาซห้าเวลา
4.   ไม่ต้องจ่ายซะกาต
5.   ไม่ต้องถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
6.   ไม่ต้องไปทำหัจญ์ที่บัยตุลลอฮ์
7.   ไม่มีความรักต่อผู้ที่รักอะฮ์ลุลบัยต์นะบี
8.   ไม่ต้องชิงชังต่อผู้ที่ไม่รักอะฮ์ลุลบัยต์
9.   ไม่ต้องอยู่กับผู้สัตย์จริง



ที่เราได้เปรียบเทียบแบบนี้  เพื่อให้คนมีสติปัญญาสามารถแยกจริงออกจากเท็จได้

และเพื่อให้ท่านได้ทราบว่า  ฟารีดเฟ็นดี้นั้นต่ำทรามเช่นไร ในการใส่ร้ายแนวทางชีอะฮ์อะฮ์ลุลบัยต์ว่าเป็นกาเฟ็ร  
ทั้งๆที่ชีอะฮ์ได้ระบุถึงอีหม่านไว้ชัดเจนตามนัยยะหะดีษข้างต้น
  •  

L-umar

สี่ -   การศรัทธาต่อเรื่องอิมามะฮ์   คือเรื่องผู้นำที่สืบการปกครองต่อจากท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)



ชีอะฮ์เชื่อว่า   อิม่ามผู้นำนั้นจะต้องได้รับการแต่งตั้งมาจากอัลลอฮ์และรอซูลุลลอฮ์(ศ)

ชีอะฮ์ไม่ยอมรับคอลีฟะฮ์ที่มนุษย์มาใช้สิทธิ์เลือกกันเอง

ฉะนั้นก่อนที่นายฟารีดเฟ็นดี้จะประณามว่า  พวกชีอะฮ์ไม่ยอมรับท่านอะบูบักรเป็นคอลีฟะฮ์    

อันดับแรกนายฟารีดจะต้องรับฟังเหตุผลของฝ่ายชีอะฮ์เสียก่อน


การที่ชาวชีอะฮ์จำต้องยอมรับท่านอาลี บินอะบีตอลิบเป็นอิม่ามคนแรกของพวกเขา ย่อมแสดงว่าเขาต้องมีหลักฐาน  ไม่ใช่เอานัฟซูไว้หน้า  และเอาหลักฐานที่มาจากกิตาบและซุนนะฮ์ไว้หลัง  


ซึ่งเราจะนำเสนอหลักฐานชีอะฮ์ให้ท่านได้ทราบต่อไป  อินชาอัลลอฮ์.
  •  

L-umar

ความคิดและความเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง " ผู้นำ  ผู้ปกครอง "    الامامة والخليفة


คือเมล็ดพันธ์แห่งความขัดแย้งหลักในหมู่ประชาชาติอิสลาม ถ้าหากบรรดาผู้กุมอำนาจไม่เข้ามาก้าวก่าย  เรื่องต่างๆก็จะดำรงอยู่อย่างเที่ยงตรง และปัญหาคิลาฟียะฮ์ก็จะไม่เกิดขึ้น

แต่เรื่องมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะพวกผู้ปกครองและผู้มีอำนาจทั้งหลายดันไปหยิบเอาเครื่องแบบของผู้นำอิสลามมาสวมใส่   และพวกนักการศาสนาก็ให้การสนับสนุนต่อความผิดพวกผู้ปกครองเหล่านั้น เรื่องมันจึงบานปลาย
 
นับจากนั้นเรื่อยมาเมล็ดพันธ์ของความขัดแย้ง มันจึงถูกหว่านลงบนดินและเจริญเติบโตแตกกิ่งก้านสาขา ออกดอกออกผลมาเป็นมุสลิมมัซฮับ(แนวทาง)ต่างๆมากมาย ห้ำหั่นกันเอง ส่งผลทำให้โลกมุสลิมล้าหลัง เสื่อมถอยลงไป

สรุปความได้ว่า
บทบาทและภาพลักษณ์ของคนทุกกลุ่มที่เกิดความขัดแย้งและห้ำหั่นกันเองนับจากวันที่ท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)เสียชีวิต      สาเหตุหลักของมันคือ

เพราะพวกเขาขาด " ผู้นำที่แท้จริง " และถูกต้องตามหลักการอิสลาม


ในเมื่ออิสลามเป็นศาสนาสุดท้าย และมุฮัมมัดเป็นนะบีคนสุดท้าย  ดังนั้นเมื่อท่านจากไป ก็จำเป็นต้องมีเครื่องมือหรืออุปกรณ์อะไรสักอย่างหนึ่งมาควบคุมรัฐอิสลามและการเคลื่อนไหวของโลกมุสลิมหลังจากท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)

และตัวควบคุมที่ว่านี้คือ   ผู้นำอิสลาม

แต่เรากลับไม่ค่อยมีผู้นำอิสลามที่แท้จริงขึ้นมาดูแลรัฐอิสลามและควบคุมโลกมุสลิมเลยหลังการวะฟาตของท่านรอซูล(ศ)

มีแต่พวกฮากิมหรือพวกซุลตอนตอฆูต  ที่ทำตัวไม่อยู่ในครรลองอิสลามขึ้นมาควบคุมดูแลรัฐและโลกมุสลิมเสียส่วนมาก อีกทั้งยังมีพวกนักการศาสนาที่ลุ่มหลงดุนยาให้การสนับสนุนพวกนักปกครองโฉดเหล่านั้นมาโดยตลอดนั่นเอง

เพราะฉะนั้น หากท่านถามว่า
ทำไม มุสลิมต้องทะเลาะกันต้องแบ่งแยกกันออกเป็นซุนนี่ ชีอะฮ์ ?


คำตอบสัจธรรมคือ

พวกนักปกครองชั่วกับอุละมาอ์ลุ่มหลงในดุนยา คือต้นกำเนิดของการแบ่งพวกแบ่งเหล่า และคือสาเหตุของความขัดแย้งในหมู่มุสลิม



และเพราะคำสั่งของพวกฮากิมตอฆูตและฟัตวาของพวกอุละมาอ์เห็นแก่ตัวคือต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องคิลาฟียะฮ์ในโลกมุสลิมนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้
เราจึงจำเป็นต้องย้อนกลับไปศึกษาสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นก่อไว้ในอดีตที่ส่งผลมาถึงเราในยุคปัจจุบัน ที่ต้องมาห้ำหั่นกัน มาถกเถียงกัน

และผลสุดท้ายต้องแตกกันเป็นมัซฮับซุนนี่ ชีอะฮ์
  •  

L-umar

เราเชื่อว่า   ต่อให้พวกชีอะฮ์มีอีหม่านตามนี้คือ

1.อีหม่านต่ออัลเลาะฮ์

2,อีหม่านต่อบรรดามลาอิกะฮ์

3,อีหม่านต่อบรรดาคัมภีร์

4,อีหม่านต่อบรรดารอซูลของพระองค์

5,อีหม่านต่อวันอาคิเราะฮ์

6,อีหม่านต่อการกำหนดความดีและความชั่วของพระองค์(ที่ทรงกำหนดไว้)


พวกวาฮาบีก็จะใส่ร้ายชีอะฮ์ว่าเป็นกาเฟ็รอีกนั่นแหล่ะ   ทำไม ?

เพราะความจริง  จุดประสงค์ของพวกวาฮาบีคือ  ต้องการบังคับให้ชีอะฮ์ยอมรับว่า

ท่านอะบูบักรคือคอลีฟะฮ์ที่  1

ท่านอุมัรคือคอลีฟะฮ์ที่  2

ท่านอุษมานคือคอลีฟะฮ์ที่  3



เนื่องจากว่า  พวกชีอะฮ์เชื่อและศรัทธาว่า  คอลีฟะฮ์ที่  1  คือท่านอาลี  บินอะบีตอลิบ


และเราเชื่อว่านี่คือ   ปัญหาขัดแย้งหลักระหว่างชีอะฮ์ กับ วาฮาบี
  •  

11 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้