Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 02:35:59 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,699
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 102
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 87
Total: 87

วิจัยเรื่อง 12 ผู้นำที่วาฮาบีและอะชาอิเราะฮ์ อคติ

เริ่มโดย L-umar, เมษายน 30, 2010, 04:51:57 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

บทความเรื่อง      วิจัยเรื่อง 12  ผู้นำที่วาฮาบีและอะชาอิเราะฮ์ อคติ





بِسْمِ اللَّهِ الرَّحْمَنِ الرَّحِيمِ
اللَّهُمَّ صَلِّ عَلَى مُحَمَّدٍ ، وَآلِ مُحَمَّدٍ كَمَا صَلَّيْتَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ وَآلِ إِبْرَاهِيمَ ، وَبَارِكْ عَلَى مُحَمَّدٍ وَآلِ مُحَمَّدٍ كَمَا بَارَكْتَ عَلَى إِبْرَاهِيمَ وَآلِ إِبْرَاهِيمَ ، إِنَّكَ حَمِيدٌ مَجِيدٌ

อัสสะลามุอะลัยกุม วะเราะห์มะตุลลอฮิ วะบะร่อกาตุฮ์

ผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน   เนื่องจากผู้นำนับเป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในอิสลาม    โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้ มีพี่น้องมุสลิมกำลังนำพาตำแหน่งผู้นำอิสลามไปมอบให้กับบุคคลที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ไม่ได้แต่งตั้งเอาไว้  

และที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นพวกเขายังใส่ร้ายป้ายสีให้กับมุสลิมที่อยู่ในมัซฮับชีอะฮ์ว่า  ได้เสกสรรปั้นแต่งความเชื่อเรื่องสิบสองอิหม่ามขึ้นมาเองอย่างไรหลักฐาน

แน่นอน การพูดปดมดเท็จถือเป็นบาปใหญ่ในศาสนาอิสลาม อีกทั้งมันยังเป็นหนึ่งในคุณลักษณะของพวกหลอกลวง พวกมุนาฟิก    


อัลลอฮ์  ตะอาลาตรัสว่า

إِنَّمَا يَفْتَرِي الْكَذِبَ الَّذِينَ لَا يُؤْمِنُونَ بِآَيَاتِ اللَّهِ وَأُولَئِكَ هُمُ الْكَاذِبُونَ

แท้จริงบรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อโองการทั้งหลายของอัลลอฮ์นั้น ได้กุความเท็จขึ้น และพวกคนเหล่านั้นคือ พวกคนโกหก

ซูเราะฮ์อันนะห์ลุ  : 105


ท่านนะบี – ศ็อลลัลลอฮุอะลัย วะอาลิฮี วะสัลลัม- ได้กล่าวว่า:

آيَةُ الْمُنَافِقِ ثَلاَثٌ إِذَا حَدَّثَ كَذَبَ ، وَإِذَا وَعَدَ أَخْلَفَ ، وَإِذَا اؤْتُمِنَ خَانَ

สัญลักษณ์ของพวกมุนาฟิกมีอยู่ 3 ประการคือ
1, เมื่อเขาพูด เขาก็โกหก
2, เมื่อเขาทำสัญญา เขาก็เบี้ยว และ
3, เมื่อเขาถูกมอบความไว้วางใจ เขาก็ไม่ซื่อสัตย์

ดูซอฮิ๊ฮ์บุคอรีย์  หะดีษที่ 33 และซอฮีฮ์มุสลิม หะดีษที่ 208

► เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้เราจึงขอเสนอบทความวิจัยเรื่องผู้นำ 12 ที่แท้จริง ซึ่งพวกเขาคือ ผู้สืบทอดตำแหน่งหน้าที่การปกครองต่อจากท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)


۩  โดยจะแบ่งบทความนี้ออกเป็น  6  ตอนดังนี้


หนึ่ง – หะดีษฝ่ายซุนนี่   เรื่องสิบสองผู้นำ

สอง -  รอวีย์ซุนนี่  หมกเม็ดข้อความบางส่วนของหะดีษสิบสองผู้นำ

สาม -  ซุนนี่เล่นลิ้นกับความหมายของ  อะมีร  หรือ คอลีฟะฮ์

สี่ -  ใครคือ สิบสองผู้นำ  ตามทัศนะซุนนี่

ห้า -  หะดีษฝ่ายชีอะฮ์    เรื่องสิบสองผู้นำ

หก -  หะดีษรายชื่อสิบสองผู้นำ



- ท่านนะบีมุฮัมมัด (ศ) กับหะดีษรายชื่อสิบสองผู้นำ

- รายงานซอฮาบะฮ์  กับหะดีษรายชื่อสิบสองผู้นำ

- รายงานจากบรรดาอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์  กับหะดีษรายชื่อสิบสองผู้นำ

Θ บทสรุปของเรื่องคือ

1.   ซุนนี่บางส่วนขาดความเข้าใจเรื่องสิบสองผู้นำ

2.   ซุนนี่บางส่วน  มีอคติต่อเรื่องสิบสองผู้นำ

3.   ซุนนี่บางส่วนบิดเบือนข้อมูลเรื่องสิบสองผู้นำ
   

อินชาอัลลอฮ์ตะอาลา  เราจะพยายามวิจัยเรื่องนี้อย่างเป็นธรรมให้มากที่สุด และจะพยายามลงบทความนี้ให้จบลงอย่างสมบูรณ์  เพื่อว่าเราจะได้นำษะวาบของมันกลับไปพบอัลเลาะฮ์ตะอาลาในวันกิยามะฮ์ว่า  เราได้ทำหน้าที่ชี้แจง อธิบาย และนำเสนอหลักฐานแก่มวลผู้มีใจเป็นธรรม และผู้มีจิตใจอคติต่อเรื่องสิบสองผู้นำของท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)แล้ว  

สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาว่า จะยอมรับฮิดายะฮ์นี้หรือจะยอมอยู่อย่างหลงทางต่อไป ก็สุดแล้วแต่ตัวเขาเอง    ดังที่พระองค์ตรัสว่า

قُلْ فَلِلَّهِ الْحُجَّةُ الْبَالِغَةُ فَلَوْ شَاءَ لَهَدَاكُمْ أَجْمَعِينَ

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์นั้นทรงมีหลักฐานอันทั่วถึง หากว่าพระองค์ทรงประสงค์แล้ว แน่นอนพระองค์ก็ย่อมชี้นำทางแก่พวกท่านแล้วทั้งหมด

ซูเราะฮ์อัลอันอาม : 149

และ

رُسُلًا مُبَشِّرِينَ وَمُنْذِرِينَ لِئَلَّا يَكُونَ لِلنَّاسِ عَلَى اللَّهِ حُجَّةٌ بَعْدَ الرُّسُلِ وَكَانَ اللَّهُ عَزِيزًا حَكِيمًا

คือบรรดาร่อซูลในฐานะผู้แจ้งข่าวดี และในฐานะผู้เตือนข่าวร้าย    เพื่อว่ามนุษย์จะได้ไม่มีหลักฐานใด ๆ มาอ้างแก้ตัวต่ออัลลอฮฺได้  หลังจากบรรดาร่อซูลเหล่านั้น และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ

ซูเราะฮ์อันนิซาอ์ : 165

สุดท้ายนี้เราขอวิงวอนต่ออัลลอฮ์ตะอาลาได้โปรดประทานเตาฟีกให้กับการค้นคว้าและนำเสนอบทความนี้ด้วย

และโปรดอภัยให้กับเราด้วยความด้อยในความรู้ และการมีเวลาอันจำกัดต่อการทำงานรับใช้ศาสนาสัจธรรมของพระองค์ด้วยเถิด  อามีน ยาร็อบบัลอาละมีน.

วัสสลามุอะลัยกุม วะเราะห์มะตุลลอฮิ วะบะร่อกาตุฮ์
  •  

L-umar


ตอนที่หนึ่ง –     หะดีษฝ่ายซุนนี่   เรื่องสิบสองผู้นำ





ตำราหะดีษซุนนี่ที่รายงานว่า  ผู้นำภายหลังท่านนะบี(ศ)มี 12 คน

ในตำราประเภทซอฮิ๊ฮ์


1,อัลบุคอรี บันทึกไว้ 2  บท

อับดุลมะลิกจากท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า : ฉันได้ยินท่านนบี(ศ)กล่าวว่า :  

يَكُونُ اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا ( فَقَالَ كَلِمَةً لَمْ أَسْمَعْهَا فَقَالَ أَبِى إِنَّهُ قَالَ ) كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ
 
จะมี 12   อะมีร เกิดขึ้น แล้วท่านกล่าวคำหนึ่งซึ่งฉันได้ยินไม่ถนัด  บิดาของฉันจึงบอกว่า : แท้จริงท่านกล่าวว่า : พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช

ดูซอฮิ๊ฮ์บุคอรี (194- 256 ฮ.ศ.) หะดีษที่  7222 , 7223  


2,, มุสลิม บินหัจญาจญ์ บันทึกไว้ 6 บท

สิม๊ากบินหัรบ์จาก ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า : ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

لاَ يَزَالُ الإِسْلاَمُ عَزِيزًا إِلَى اثْنَىْ عَشَرَ خَلِيفَةً  ثُمَّ قَالَ كَلِمَةً لَمْ أَفْهَمْهَا فَقُلْتُ لأَبِى مَا قَالَ فَقَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

อัลอิสลามยังคงมีเกียรติมีศักดิ์ศรีอยู่จนถึง 12 คอลีฟะฮ์ แล้วท่านพูดด้วยถ้อยคำแผ่วเบาฉันไม่เข้าใจมัน  ฉันจึงกล่าวกับบิดาของฉันว่า : ท่านพูดอะไร ? บิดาบอกว่า : ท่านกล่าวว่า : พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช

ดูซอฮิ๊ฮ์มุสลิม (206 - 261 ฮ.ศ.) หะดีษที่  4812  

หะดีษเลขที่  4809

إِنَّ هَذَا الأَمْرَ لاَ يَنْقَضِى حَتَّى يَمْضِىَ فِيهِمُ اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً ». قَالَ ثُمَّ تَكَلَّمَ بِكَلاَمٍ خَفِىَ عَلَىَّ - قَالَ - فَقُلْتُ لأَبِى مَا قَالَ قَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

หะดีษเลขที่  4810

لاَ يَزَالُ أَمْرُ النَّاسِ مَاضِيًا مَا وَلِيَهُمُ اثْنَا عَشَرَ رَجُلاً ». ثُمَّ تَكَلَّمَ النَّبِىُّ -صلى الله عليه وسلم- بِكَلِمَةٍ خَفِيَتْ عَلَىَّ فَسَأَلْتُ أَبِى مَاذَا قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- فَقَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

หะดีษเลขที่  4813

لاَ يَزَالُ هَذَا الأَمْرُ عَزِيزًا إِلَى اثْنَىْ عَشَرَ خَلِيفَةً ». قَالَ ثُمَّ تَكَلَّمَ بِشَىْءٍ لَمْ أَفْهَمْهُ فَقُلْتُ لأَبِى مَا قَالَ فَقَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

หะดีษเลขที่  4814

لاَ يَزَالُ هَذَا الدِّينُ عَزِيزًا مَنِيعًا إِلَى اثْنَىْ عَشَرَ خَلِيفَةً ». فَقَالَ كَلِمَةً صَمَّنِيهَا النَّاسُ فَقُلْتُ لأَبِى مَا قَالَ قَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

หะดีษเลขที่  4815

لاَ يَزَالُ الدِّينُ قَائِمًا حَتَّى تَقُومَ السَّاعَةُ أَوْ يَكُونَ عَلَيْكُمُ اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

ดีน(อิสลาม)จะยังคงดำรงอยู่ จนถึงวันสิ้นโลก หรือ(จนกว่า)จะมีสิบสองผู้ปกครอง(ขึ้นมาปกครอง)บนพวกเจ้า  ทุกคนมาจากเผ่ากุเรช
  •  

L-umar

Θ  ตำราซุนนี่  ประเภท สุนัน

สุนัน อะบีดาวูด  มี  2 บท

หะดีษเลขที่  4281   เชคอัลบานีกล่าวว่า ซอฮิ๊ฮ์

ญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า  :

لاَ يَزَالُ هَذَا الدِّينُ قَائِمًا حَتَّى يَكُونَ عَلَيْكُمُ اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً كُلُّهُمْ تَجْتَمِعُ عَلَيْهِ الأُمَّةُ ». فَسَمِعْتُ كَلاَمًا مِنَ النَّبِىِّ -صلى الله عليه وسلم- لَمْ أَفْهَمْهُ قُلْتُ لأَبِى مَا يَقُولُ قَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ »


ดีน(อิสลาม)จะยังคงดำรงอยู่ จนกว่าจะมีสิบสองผู้ปกครอง(ขึ้นมาปกครอง)เหนือพวกเจ้า...  ทุกคนมาจากเผ่ากุเรช


หะดีษเลขที่ 4282  เชคอัลบานีกล่าวว่า ซอฮิ๊ฮ์

ญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า  :
لاَ يَزَالُ هَذَا الدِّينُ عَزِيزًا إِلَى اثْنَىْ عَشَرَ خَلِيفَةً ». قَالَ فَكَبَّرَ النَّاسُ وَضَجُّوا ثُمَّ قَالَ كَلِمَةً خَفِيَّةً قُلْتُ لأَبِى يَا أَبَةِ مَا قَالَ قَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ »

ดีน(อิสลาม)จะยังคงมีเกียรติ ไปยังสิบสองผู้ปกครอง...  ทุกคนมาจากเผ่ากุเรช


สุนัน ติรมิซี   หะดีษเลขที่ 2386   เชคอัลบานีกล่าวว่า ซอฮิ๊ฮ์

ญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า  :

يَكُونُ مِنْ بَعْدِى اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا ». قَالَ ثُمَّ تَكَلَّمَ بِشَىْءٍ لَمْ أَفْهَمْهُ فَسَأَلْتُ الَّذِى يَلِينِى فَقَالَ قَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ ».

จะมี ภายหลังจากฉัน  12 อะมีร(ผู้นำ)... ทุกคนมาจากเผ่ากุเรช
  •  

L-umar

Θ  ตำราซุนนี่  ประเภท มุสนัด

ในตำรามุสนัดของอิม่ามอะหมัด บินฮัมบัล   มี 31 บท เช่น

1,ชะอ์บีจาก ญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ท่านนะบี(ศ)กล่าวว่า  :

لَا يَزَالُ هَذَا الْأَمْرُ عَزِيزًا مَنِيعًا يُنْصَرُونَ عَلَى مَنْ نَاوَأَهُمْ عَلَيْهِ إِلَى اثْنَيْ عَشَرَ خَلِيفَةً ثُمَّ قَالَ كَلِمَةً أَصَمَّنِيهَا النَّاسُ فَقُلْتُ لِأَبِي مَا قَالَ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

กิจการของประชาชาติอิสลามยังคงมีเกียรติและมีสภาพมั่นคงอยู่ในสมัย 12 คอลีฟะฮ์ บุคคลเหล่านั้นจะได้รับชัยชนะเหนือผู้ที่แย่งอำนาจไปจากพวกเขา พวกเขาล้วนมาจากเผ่ากุเรช

สถานะหะดีษ : ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20964  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี


2,ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า

خَطَبَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِعَرَفَاتٍ فَقَالَ لَا يَزَالُ هَذَا الْأَمْرُ عَزِيزًا مَنِيعًا ظَاهِرًا عَلَى مَنْ نَاوَأَهُ حَتَّى يَمْلِكَ اثْنَا عَشَرَ كُلُّهُمْ قَالَ فَلَمْ أَفْهَمْ مَا بَعْدُ قَالَ فَقُلْتُ لِأَبِي مَا قَالَ بَعْدَمَا قَالَ كُلُّهُمْ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ
ท่านนะบี(ศ)ได้ปราศัยต่อหน้าพวกเราที่อะเราะฟาตว่า  กิจการของประชาชาติอิสลามยังคงมีเกียรติ มีสภาพมั่นคง มีชัยเหนือผู้ที่ชิงอำนาจไปจากเขา  จนกว่าจะมี 12 ผู้นำขึ้นมากุมอำนาจ
พวกเขาทุกคน  
ญาบิรเล่าว่า ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดหลังจากนั้น ฉันจึงถามบิดาของฉันว่า หลังจากนั้นท่านพูดอะไร  บิดาฉันกล่าวว่า ท่านบอกว่า พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20910  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี


3,ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์ อัสสุอาลีเล่าว่า

عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ السُّوَائِيِّ قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ فِي حَجَّةِ الْوَدَاعِ إِنَّ هَذَا الدِّينَ لَنْ يَزَالَ ظَاهِرًا عَلَى مَنْ نَاوَأَهُ لَا يَضُرُّهُ مُخَالِفٌ وَلَا مُفَارِقٌ حَتَّى يَمْضِيَ مِنْ أُمَّتِي اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً قَالَ ثُمَّ تَكَلَّمَ بِشَيْءٍ لَمْ أَفْهَمْهُ فَقُلْتُ لِأَبِي مَا قَالَ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวที่การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายว่า แท้จริงศาสนา(อิสลาม)นี้ยังคงมีชัยเหนือผู้ที่ชิงอำนาจไปจากเขา  ทั้งผู้ต่อต้านและผู้แยกตัวออกจากเขาจะไม่อาจทำอันตรายแก่เขาได้  จนกว่ามันจะดำเนินไปในประชาชาติของฉันครบ12 ผู้นำ
ญาบิรเล่าว่า จากนั้นท่านพูดสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจสิ่งนั้น ฉันจึงถามบิดาของฉันว่า ท่านพูดอะไร  บิดาฉันกล่าวว่า ท่านบอกว่า พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20833  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี


4,ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์ อัสสุอาลีเล่าว่า

عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ السُّوَائِيِّ قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ فِي حَجَّةِ الْوَدَاعِ لَا يَزَالُ هَذَا الدِّينُ ظَاهِرًا عَلَى مَنْ نَاوَأَهُ لَا يَضُرُّهُ مُخَالِفٌ وَلَا مُفَارِقٌ حَتَّى يَمْضِيَ مِنْ أُمَّتِي اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا كُلُّهُمْ ثُمَّ خَفِيَ مِنْ قَوْلِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ وَكَانَ أَبِي أَقْرَبَ إِلَى رَاحِلَةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنِّي فَقُلْتُ يَا أَبَتَاهُ مَا الَّذِي خَفِيَ مِنْ قَوْلِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ يَقُولُ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวที่การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายว่า แท้จริงศาสนา(อิสลาม)นี้ยังคงมีชัยเหนือผู้ที่ชิงอำนาจไปจากเขา  ทั้งผู้ต่อต้านและผู้แยกตัวออกจากเขาจะไม่อาจทำอันตรายแก่เขาได้  จนกว่ามันจะดำเนินไปในประชาชาติของฉันครบ12 ผู้นำ พวกเขาทุกคน...จากนั้นคำพูดของท่านรอซูล(ศ)ก็เบาลง  ญาบิรเล่าว่า ปรากฏว่าบิดาของฉันอยู่ใกล้กับพาหนะของท่านรอซูล(ศ)มากกว่าฉัน ฉันจึงกล่าวว่า โอ้พ่อครับ ตอนที่ท่านรอซูล(ศ)พูดเสียงเบาลงนั้นท่านพูดว่าอะไรหรือ  บิดาฉันตอบว่า ท่านกล่าวว่า พวกเขาทุกคนล้วนมาจากเผ่ากุเรช

สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20836  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี
  •  

L-umar


ตอนที่ สอง -  รอวีย์ซุนนี่  หมกเม็ดข้อความบางส่วนของหะดีษสิบสองผู้นำ




หลังจากที่ท่านได้อ่านหะดีษจากตำราซุนนี่เรื่อง 12 ผู้นำผ่านมาแล้ว  เรามี 2 เรื่องที่ต้องพิจารณาคือ

1.   ท่านนะบี(ศ)กล่าวหะดีษ 12 ผู้นำนี้  เอาไว้ที่ไหน

2.   ทำไมผู้เล่า จึงไม่เอ่ยรายชื่อ 12 ผู้นำ ในหะดีษดังกล่าว



►ซอฮิ๊ฮ์บุคอรี หะดีษที่ 7222,7223

يَكُونُ اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا - فَقَالَ كَلِمَةً لَمْ أَسْمَعْهَا فَقَالَ أَبِى إِنَّهُ قَالَ - كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

จะมี 12 อะมีรเกิดขึ้น แล้วท่านกล่าวคำหนึ่งซึ่งฉันได้ยินไม่ถนัด  บิดาของฉันจึงบอกว่า : แท้จริงท่านกล่าวว่า : พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช

รายงานนี้ญาบิรเล่าว่า  ฉันไม่ได้ยินคำพูดของท่านนะบี  

►ซอฮิ๊ฮ์มุสลิม  หะดีษที่ 4812

لاَ يَزَالُ الإِسْلاَمُ عَزِيزًا إِلَى اثْنَىْ عَشَرَ خَلِيفَةً ». ثُمَّ قَالَ كَلِمَةً لَمْ أَفْهَمْهَا فَقُلْتُ لأَبِى مَا قَالَ فَقَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ ».

อัลอิสลามยังคงมีเกียรติมีศักดิ์ศรีอยู่จนถึง 12 คอลีฟะฮ์ แล้วท่านพูดด้วยถ้อยคำแผ่วเบาฉันไม่เข้าใจมัน  ฉันจึงกล่าวกับบิดาของฉันว่า : ท่านพูดอะไร ? บิดาบอกว่า : ท่านกล่าวว่า : พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช
รายงานที่สองนี้ญาบิรเล่าว่า  ฉันไม่เข้าใจคำพูดของท่านนะบี

►ซอฮิ๊ฮ์มุสลิม  หะดีษ 4814  

لاَ يَزَالُ هَذَا الدِّينُ عَزِيزًا مَنِيعًا إِلَى اثْنَىْ عَشَرَ خَلِيفَةً ». فَقَالَ كَلِمَةً صَمَّنِيهَا النَّاسُ فَقُلْتُ لأَبِى مَا قَالَ قَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ
ศาสนานี้ยังคงมีเกียรติ... ไปจนถึง 12 คอลีฟะฮ์
รายงานที่สามนี้ญาบิรเล่าว่า  ท่านนะบีกล่าวคำพูดหนึ่ง  ซึ่งประชาชน(ส่งเสียง)ทำให้ฉันไม่ได้ยินคำพูดนั้น


۩  วิจารณ์

อัลบุคอรีไม่ได้บอกอย่างชัดเจน หรือบ่งชี้ว่า หะดีษสิบสองผู้นำบทนี้คือ ส่วนหนึ่งของ
คุตบะฮ์ในการประกอบพิธีฮัจญ์ครั้งสุดท้าย(ฮัจญะตุลวิดาอ์)ของท่านนะบี(ศ)ที่ท่านได้ปราศรัยไว้ที่อะร่อฟาต


และนักบันทึกหะดีษโดยส่วนมากก็ยึดถือตามอัลบุคอรี กล่าวคือพวกเขาไม่ยอมระบุว่าหะดีษสิบสองผู้นำนี้ท่านนะบี(ศ)ได้กล่าวเอาไว้ที่ไหน จนทำให้เกิดความไม่ชัดเจนต่อนัยยะของความหมายของหะดีษ

แต่ถ้าเราย้อนกลับไปตรวจสอบหะดีษสิบสองผู้นำเช่นเดียวกันนี้ในตำราหะดีษเล่มอื่นๆเช่น  เราจะพบว่า  ท่านญาบิรบินสะมุเราะฮ์ได้ระบุ ช่วงเวลาและสถานที่ของหะดีษสิบสองผู้นำเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ท่านนะบี(ศ)ได้ปราศรัยไว้เวลาใด และที่ไหน ดังนี้


หนึ่ง -  ที่อะเราะฟาต  
ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า

خَطَبَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِعَرَفَاتٍ فَقَالَ لَا يَزَالُ هَذَا الْأَمْرُ عَزِيزًا مَنِيعًا ظَاهِرًا عَلَى مَنْ نَاوَأَهُ حَتَّى يَمْلِكَ اثْنَا عَشَرَ كُلُّهُمْ قَالَ فَلَمْ أَفْهَمْ مَا بَعْدُ قَالَ فَقُلْتُ لِأَبِي مَا قَالَ بَعْدَمَا قَالَ كُلُّهُمْ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

ท่านนะบี(ศ)ได้ปราศัยต่อหน้าพวกเราที่อะเราะฟาตว่า  กิจการของประชาชาติอิสลามยังคงมีเกียรติ มีสภาพมั่นคง มีชัยเหนือผู้ที่ชิงอำนาจไปจากเขา  จนกว่าจะมี 12 ผู้นำขึ้นมากุมอำนาจ
พวกเขาทุกคน  
ญาบิรเล่าว่า ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดหลังจากนั้น ฉันจึงถามบิดาของฉันว่า หลังจากนั้นท่านพูดอะไร  บิดาฉันกล่าวว่า ท่านบอกว่า พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20910  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี


สอง – ในการบำเพ็ญฮัจญ์ครั้งสุดท้าย ( ฮัจญะตุล วะดาอ์ )  
ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์ อัสสุอาลีเล่าว่า

عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ السُّوَائِيِّ قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ فِي حَجَّةِ الْوَدَاعِ إِنَّ هَذَا الدِّينَ لَنْ يَزَالَ ظَاهِرًا عَلَى مَنْ نَاوَأَهُ لَا يَضُرُّهُ مُخَالِفٌ وَلَا مُفَارِقٌ حَتَّى يَمْضِيَ مِنْ أُمَّتِي اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً قَالَ ثُمَّ تَكَلَّمَ بِشَيْءٍ لَمْ أَفْهَمْهُ فَقُلْتُ لِأَبِي مَا قَالَ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวที่การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายว่า แท้จริงศาสนา(อิสลาม)นี้ยังคงมีชัยเหนือผู้ที่ชิงอำนาจไปจากเขา  ทั้งผู้ต่อต้านและผู้แยกตัวออกจากเขาจะไม่อาจทำอันตรายแก่เขาได้  จนกว่ามันจะดำเนินไปในประชาชาติของฉันครบ12 ผู้นำ
ญาบิรเล่าว่า จากนั้นท่านพูดสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจสิ่งนั้น ฉันจึงถามบิดาของฉันว่า ท่านพูดอะไร  บิดาฉันกล่าวว่า ท่านบอกว่า พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20833  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี


สาม – ในฮัจญะตุลวะดาอ์  เป็นคุตบะฮ์ที่มินา

قَالَ الْمُقَدَّمِيُّ فِي حَدِيثِهِ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَخْطُبُ بِمِنًى وَهَذَا لَفْظُ حَدِيثِ أَبِي الرَّبِيعِ فَسَمِعْتُهُ يَقُولُ
لَنْ يَزَالَ هَذَا الْأَمْرُ عَزِيزًا ظَاهِرًا حَتَّى يَمْلِكَ اثْنَا عَشَرَ كُلُّهُمْ ثُمَّ لَغَطَ الْقَوْمُ وَتَكَلَّمُوا فَلَمْ أَفْهَمْ قَوْلَهُ بَعْدَ كُلُّهُمْ فَقُلْتُ لِأَبِي يَا أَبَتَاهُ مَا بَعْدَ كُلُّهُمْ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ وَقَالَ الْقَوَارِيرِيُّ فِي حَدِيثِهِ لَا يَضُرُّهُ مَنْ خَالَفَهُ أَوْ فَارَقَهُ حَتَّى يَمْلِكَ اثْنَا عَشَرَ
อัลมุก็อดดะมีเล่าไว้ในหะดีษของเขาว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล(ศ)ทำการคุตบะฮ์ที่มินา และนี่คือถ้อยคำหะดีษของอะบีเราะบิ๊อฺ  ฉันได้ยินเขากล่าวว่า
กิจการ(อิสลาม)นี้ยังคงมีเกียรติ มีชัย จนกว่าสิบสองคนจะมาควบคุมอำนาจ  พวกเขาทุกคน  จ่อจากนั้นฝูงชนได้ส่งเสียงดังเอ็ดตะโร และพวกเขาได้กล่าว แล้วฉันไม่เข้าใจคำพูดของท่านหลังจากนั้น (คือคำว่า) พวกเขาทุกคน  ฉันจึงกล่าวกับบิดาของฉันว่า พ่อครับ หลังจากคำว่า พวกเขาทุกคน คืออะไร  ท่านกล่าวว่า  พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช  และอัลเกาะวารีรีได้เล่าไว้ในหะดีษของเขาว่า  จะไม่เป็นโทษเป้นอันตรายแก่เขา ผู้ที่ขัดแย้งกับเขา ผู้ที่แยกตัวไปจากเขา จนกว่าสิบสองคนจะมีอำนาจควบคุม

สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20974  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี


ต่อไปท่านจะได้ทราบว่า  ท่านนะบี(ศ)ได้กล่าวถึงเรื่องที่สำคัญนี้ซ้ำหลายครั้งหลายหนที่อะเราะฟาต  ที่มินาตรงที่เสาหินญัมเราะฮ์ในวันอีดและในวันที่สองถัดจากวันอีด  ต่อจากนั้นในวันที่สามในมัสญิดคัยฟ์  แล้วสุดท้ายนั้นท่านนะบี(ศ)ได้ประกาศเรื่องนี้อย่างโจ่งแจ้งชัดเจนเด็ดขาดที่ตำบลเฆาะดีรคุม

เรื่องราวเกี่ยวกับอิม่ามผู้นำสิบสองคืออะไร ? ทำไมท่านนะบี(ศ)จึงนำเสนอมันต่อมหาชนจำนวนมากมาย ในช่วงเวลาที่ท่านกำลังจะจากประชาชาติของท่านไป(หลังจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย


คำถามสำหรับซุนนี่  
ทำไมท่านนะบี(ศ)จึงบอกข่าวกับอุมมัตของท่านในการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายที่อะเราะฟาตเรื่องสิบสองผู้นำ อะไรคือภารกิจภาคปฏิบัติที่กำลังจะตามมาในภายหลังจากนั้น ?




ถ้าซุนนี่ตอบว่า  มันก็แค่เรื่องราวที่แจ้งให้รับรู้ไว้เท่านั้น  นะบี(ศ)แค่อยากจะบอกอุมมัตของท่านในเรื่องนั้น เพื่อจะได้คุ้นหูเขา ซึ่งข่าวเรื่องสิบสองผุ้นำที่แจ้งให้รู้มันไม่ได้มีอะไรที่จะต้องนำพาไปปฏิบัติ

บทสรุป
คือ  อัลบุคอรีได้รายงานหะดีษเรื่องสิบสองผู้นำแบบสังเขปไม่ชัดเจนเอาไว้ในตำราซอฮิฮ์ของเขาแค่เพียงบทเดียวเท่านั้น ซึ่งเราท่านและคนอื่นไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจถึงความสำคัญของหะดีษสิบสองผู้นำได้มากนัก

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ ในขณะเดียวกันเราจะพบว่า  การทำฮัจญะตุลวะดาอ์(ครั้งสุดท้าย)นี้   มีการรายงานแม้กระทั่งเรื่องท่านหญิงอาอิชะฮ์มีประจำเดือนขึ้นมาในสภาพครองอิห์รอม (ดูซอฮิ๊ฮ์บุคอรี หะดีษที่ 316 )และท่านนะบี(ศ)ได้อธิบายเรื่องคนมีเฮซในขณะครองผ้าอิห์รอมเอาไว้อย่างละเอียดชัดเจน  แต่ทำไมพอเรื่องสำคัญเกี่ยวกับสิบสองผู้นำที่จะมาสืบทอดต่อจากท่านในอนาคตอันใกล้นี้ อัลบุคอรีกลับรายงานไว้อย่างคลุมเครือ

ทีนี้ท่านลองมาพิจารณาหะดีษสิบสองผู้นำในซอฮิฮ์มุสลิม จะพบว่ามีความชัดเจนกว่าซอฮิ๊ฮ์บุคอรีนิดหนึ่ง กล่าวคือ มีการระบุว่าสิบสองบุคคลนี้คือคอลีฟะฮ์สืบต่อจากท่านนะบี(ศ)

พี่น้องมุสลิมคงสุขใจกับหะดีษที่มุสลิมรายงานนี้ เพราะนั่นหมายความว่า อัลลอฮ์ตะอาลาทรงคลี่คลายปัญหาการปกครองประชาชาติหลังจากท่านนะบี(ศ)ให้แล้ว  ผู้นำเหล่านั้นถูกกำหนดไว้แล้วจากอัลลอฮ์บนคำพูดของท่านนะบี(ศ)

ประชาชาติอิสลามคงจะได้รับการช่วยเหลือจากการกำหนดอันนี้  โดยไม่จำเป็นจะต้องนำมันไปปรึกษาหารือกันที่สะกีฟะฮ์  จนขัดแย้งกันขึ้นระหว่างฝ่ายอันศ็อรกับมุฮาญิรีน แล้วต่อมาก็เกิดการหลั่งเลือดกันเองในเรื่องผู้ปกครองอิสลามจนมาถึงยุคปัจจุบัน

มีประชาชาติอิสลามจำนวนนับล้านคนที่ต้องถูกสังเวยลงไปเพราะปัญหาผู้นำผู้ปกครองที่สืบต่อจากท่านนะบี(ศ)  มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในหมู่ประชาชาติอิสลามทำให้เกิดความอ่อนแอ จนในที่สุดอำนาจการปกครองมุสลิมต้องตกไปอยู่ในมือของพวกออตโตมานเตริก

แต่หะดีษสิบสองคอลีฟะฮ์ในซอฮิ๊ฮ์มุสลิมนั้นช่วยแก้ไขให้เราได้จริงหรือ เปล่าเลยมันก็แค่รายงานเอาไว้แบบสังเขปเช่นกัน  โดยมิได้แจ้งให้ประชาชาติอิสลามได้ทราบถึงรายชื่อสิบสองคอลีฟะฮ์เอาไว้  และซอฮาบะฮ์นับหมื่นคนในวันนั้นก็ไม่ใครสักคนได้สอบถามเรื่องที่สำคัญเช่นนี้เอาไว้ให้เอียดว่า  โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ครับ  สิบสองผู้นำที่ว่าเป็นใครชื่ออะไรหรือครับ

หากมีซอฮาบะฮ์สักคนหนึ่ง ได้สอบถามท่านนะบี(ศปถึงรายชื่อสิบสองคอลีฟะฮ์เอาไว้ หรือเพียงหนึ่งชื่อจากสิบสองผู้นำนั้น   แน่นอนชาวกุเรชทุกเผ่าก็ย่อมต้องพอใจต่อสิ่งนั้น และชาวกุเรชก็ต้องยอมเชื่อฟังเขาเป็นผู้นำโดยไม่มีการขัดขืนอันใดกับสิบสองผู้นำนั้น

เพราะมันคือการเชื่อฟังอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์  แต่หะดีษมีเพียงคำกล่าวที่ว่า พวกเขาทั้งสิบสองคนล้วนมาจากเผ่ากุเรช


เพราะฉะนั้นทั้งบุคอรีและมุสลิมไม่สามารถนำพาท่านไปสู่ผลลัพท์ที่พึงพอใจได้เลยในเรื่องผู้นำสิบสองนี้

ท่านเชคทั้งสอง(บุคอรีและมุสลิม)ได้ปิดประตูใส่กุญแจของพวกท่านเอาไว้  สิ่งเดียวที่ท่านเชคทั้งสองบอกเล่าให้ท่านได้กลิ่นอายของมันก็คือ เรื่องผู้นำสิบสองเท่านั้น จงสูดดมมันไว้และจงนิ่งเสีย

แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สิ้นหวัง จนเราพบหะดีษสิบสองผู้นำที่ให้ความกระจ่างมากกว่าตำราซอฮิฮ์ของบุคอรีและมุสลิม  

เนื่องจากในหะดีษสิบสองผู้นำนั้นได้รายงานคำว่า  << บะอ์ดี  - หลังจากฉัน >>
ซึ่งคำนี้ได้บ่งบอกว่า สิบสองผู้นำนี้คือบุคคลที่จะต้องสืบทอดตำแหน่งผู้นำต่อจากท่านนะบีโดยตรงทันที
  •  

L-umar

หะดีษ12 ผู้นำที่ระบุคำ << บะอ์ดี- หลังจากฉัน >> ในหนังสือมุสนัดอะหมัด คือ


1, มุสนัดอะหมัด หะดีษเลขที่  20890

عَنِ الْأَسْوَدِ بْنِ سَعِيدٍ الْهَمْدَانِيِّ عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ قَالَ : سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ أَوْ قَالَ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ

يَكُونُ بَعْدِي اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ قَالَ ثُمَّ رَجَعَ إِلَى مَنْزِلِهِ فَأَتَتْهُ قُرَيْشٌ فَقَالُوا ثُمَّ يَكُونُ مَاذَا قَالَ ثُمَّ يَكُونُ الْهَرْجُ

ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :
จะมีสิบสองคอลีฟะฮ์เกิดขึ้น หลังจากฉัน  พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช  

ต่อจากนั้นท่านได้กลับเข้าไปยังบ้านของท่าน  แล้วชาวกุเรชได้มาหาท่าน  พวกเขากล่าวว่า แล้วต่อจากนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นครับ ?  ท่านกล่าวว่า  ต่อจากนั้นก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน


2, มุสนัดอะหมัด หะดีษเลขที่  20892

سِمَاكُ بْنُ حَرْبٍ حَدَّثَنِي جَابِرٌ أَنَّهُ
سَمِعَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ يَكُونُ بَعْدِي اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا ثُمَّ لَا أَدْرِي مَا قَالَ بَعْدَ ذَلِكَ فَسَأَلْتُ الْقَوْمَ كُلَّهُمْ فَقَالُوا قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :
จะมีสิบสองอะมีรเกิดขึ้น หลังจากฉัน...พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

 
3, มุสนัดอะหมัด หะดีษเลขที่  20921

سِمَاكٌ هُوَ ابْنُ حَرْبٍ حَدَّثَنِي جَابِرُ بْنُ سَمُرَةَ أَنَّهُ
سَمِعَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ يَكُونُ بَعْدِي اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا ثُمَّ لَا أَدْرِي مَا قَالَ بَعْدَ ذَلِكَ فَسَأَلْتُ الْقَوْمَ فَقَالُوا قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :
จะมีสิบสองอะมีรเกิดขึ้น หลังจากฉัน...พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

 
4, มุสนัดอะหมัด หะดีษเลขที่  21088

 حَدَّثَنَا عُمَرُ بْنُ عُبَيْدٍ أَبُو حَفْصٍ عَنْ سِمَاكٍ عَنْ جَابِرٍ قَالَ
سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ يَكُونُ بَعْدِي اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا قَالَ ثُمَّ تَكَلَّمَ فَخَفِيَ عَلَيَّ مَا قَالَ قَالَ فَسَأَلْتُ بَعْضَ الْقَوْمِ أَوْ الَّذِي يَلِينِي مَا قَالَ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ
 ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :
จะมีสิบสองอะมีรเกิดขึ้น หลังจากฉัน...พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช  

หะดีษบทแรกเชคชุเอบอัรนะอูฏีกล่าวว่า มีสถานะ  ซอฮิ๊ฮ์  ส่วนสามบทที่เหลือมีสถานะ ฮาซัน
  •  

L-umar

วิจารณ์

รายงานเรื่องสิบสองผู้นำในตำรามุสนัดอะหมัดที่ระบุคำว่า   " บะอ์ดี – หลังจากฉัน "  ซึ่งเข้าใจความหมายของหะดีษนี้ได้ว่า  สิบสองผู้นำดังกล่าวจะเกิดขึ้นหลังจากท่านนะบี(ศ)เสียชีวิต ทันที(มุบาชะเราะฮ์)


หะดีษสิบสองผู้นำในมุสนัดอะหมัด หะดีษเลขที่  20890 ได้เผยให้เห็นว่า   ชาวกุเรชได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องสิบสองผู้นำภายหลังจากท่านนะบี(ศ)  พวกเขาจึงมาสอบถามเรื่องสิบสองผู้นำถึงบ้านท่านนะบี(ศ) ซึ่งเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นในนครมะดีนะฮ์  ไม่ใช่ที่ฮัจญะตุลวะดาอ์  ขอให้ท่านจดจำหะดีษบทนี้ไว้ให้ดี ซึ่งจะขยายความกันต่อไป

หะดีษสิบสองผู้นำ  ที่ระบุคำว่า  " มิม บะอ์ดี – ภายหลังจากฉัน "
 
عَنْ سِمَاكِ بْنِ حَرْبٍ عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ

يَكُونُ مِنْ بَعْدِي اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا فَتُكُلِّمَ فَخَفِيَ عَلَيَّ فَسَأَلْتُ الَّذِي يَلِينِي أَوْ إِلَى جَنْبِي فَقَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

จะมีสิบสองอะมีรเกิดขึ้น ภายหลังจากฉัน...  พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

ดูมุสนัดอะหมัด  หะดีษเลขที่  20978
เชคชุเอบอัรนะอูฏีกล่าวว่า มีสถานะ  ซอฮิ๊ฮ์  และอิสนาดหะดีษนี้ฮาซัน เพราะมีสิม๊าก



และญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า  :

يَكُونُ مِنْ بَعْدِى اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا ». قَالَ ثُمَّ تَكَلَّمَ بِشَىْءٍ لَمْ أَفْهَمْهُ فَسَأَلْتُ الَّذِى يَلِينِى فَقَالَ قَالَ « كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ ».

จะมี ภายหลังจากฉัน  12 อะมีร(ผู้นำ)... ทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

ดูสุนัน ติรมิซี   หะดีษเลขที่ 2386  เชคอัลบานีกล่าวว่า ซอฮิ๊ฮ์


เรายังพบหะดีษสิบสองผู้นำ  ที่ระบุคำว่า  " มิม บะอ์ดี – ภายหลังจากฉัน " ในตำราซุนนี่ประเภทอื่นๆอีกเช่น

عن الاسود بن سعيد الهمداني سمعت جابر ابن سمرة سمع النبي صلى الله عليه وسلم: يكون بعدى اثنا عشر خليفة
التاريخ الكبير للبخاري  ج 1  ص 446  ح 1426

ญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า  :

จะมี ภายหลังจากฉัน  12 คอลีฟะฮ์... ทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

ดูตารีคกะบีร โดยบุคอรี  เล่ม 1 : 446 หะดีษที่ 1426  

และ

عن جابر بن سمرة، أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: \\\" يكون بعدي اثنا عشر أميرا
سير أعلام النبلاء للذهبي  ج 8 ص 184

ญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า  :

จะมี ภายหลังจากฉัน  12  อะมีร... ทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

ดูสิยัร อะอ์ลามุน นุบะลาอ์ โดยซะฮะบี  เล่ม 8 หน้าที่ 184  
  •  

L-umar

เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า  ท่านนะบี(ศ) ได้นำเสนอเรื่องผู้ปกครองภายหลังจากท่านเอาไว้ที่ฮัจญะตุลวะดาอ์(ฮัจญ์ครั้งสุดท้าย)ของท่านแล้ว


และท่านนะบี(ศ)ยังได้ประกาศข่าวของอัลลอฮ์ตะอาลาว่า  แท้จริงเรื่องผู้ปกครองประชาชาติอิสลามตามหลักชัรอีย์ จะเป็นสิทธิของสิบสองผู้นำนี้


แต่หะดีษเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้นักค้นคว้าหาความจริงได้รับการคลี่คลายปัญหาเลย ในทางตรงกันข้ามมันกลับเปิดประตูแห่งคำถามมากมายต่อชาวกุเรชและต่อนักรายงานหะดีษบทนี้



คำถามสำหรับซุนนี่

1- เราจะพบรายงานหะดีษเรื่องสิบสองผู้นำนี้มีจำนวนมากมาย  โดยในตำราหะดีษของฝ่ายซุนนี่ทั้งหมดแทบจะกล่าวได้ว่า  ซอฮาบะฮ์ที่เล่าถงึหะดีษสิบสองผู้นำนี้มีเพียงคนเดียวคือ ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์ ซึ่งตอนนั้นท่านญาบิรบุตรชายของท่านสะมุเราะฮ์ ยังเป็นเด็กคาดว่าเขามีอายุประมาณ 10 กว่าปีในการไปทำฮัจญะตุลวะดาอ์ครั้งนั้น  

ทำไมจึงไม่เห็นมีคนอื่นๆเล่าถึงหะดีษสิบสองผู้นำนี้เลย ?

ทำไมซอฮาบะฮ์คนอื่นๆตั้งมากมายที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นจึงไม่เล่าถึงเรื่องสิบสองผู้นำนี้
หรือว่า ซอฮาบะฮ์คนอื่นๆได้เล่าเรื่องนี้ไว้ แต่รายงานของญาบิรบินสะมุเราะฮ์เท่านั้นที่ได้รับรางวัล เนื่องจากเป็นรายงานที่ดีที่สุด มีความเหมาะสมต่อการเป็นผู้ปกครองของชาวกุเรช ดังนั้นจึงยึดหะดีษของญาบิรไว้และอนุญาตให้บันทึกมันไว้ได้


2 - มุสลิมที่อยู่ในสมัยท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)เคยได้ไตร่ถามถึงปัญหาต่างๆทั้งน้อยใหญ่ แม้แต่ในช่วงขณะที่ท่านกำลังปราศรัยอยู่ต่อหน้าเขา  และหะดีษสิบสองผู้นำนี้กล่าวได้ว่า ท่านได้แจ้งข่าวกับพวกเขาด้วยเรื่องใหญ่มีความสำคัญ ทั้งในทางความเชื่อและในทางการปฏิบัติอีกทั้งมีความสำคัญสำหรับอนาคตของพวกเขา... แต่น่าแปลก เพราะรายงานหะดีษกลับเล่าเอาไว้แบบคร่าวๆไม่ละเอียดและมีความคลุมเครือ  แถมยังไม่เล่าให้รู้อีกว่า มีมุสลิมสักคนหนึ่งไหมที่ได้สอบถามท่านนะบี(ศ)ถึงรายละเอียดของสิบสองผู้นำเหล่านั้น และอุมมัตอิสลามมีหน้าที่อะไรต่อพวกเขาทั้งสิบสอง

ถ้าหากว่าชาวกุเรชได้ไปหาท่านนะบี(ศ)ถึงหน้าบ้านของท่านที่นครมะดีนะฮ์จริงตามที่มีรายงานไว้ แล้วพวกเขาได้เคาะประตูบ้านท่านนะบี(ศ)เพื่อขอสอบถามท่านถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากท่านนะบี(ศ)จากไป กับบรรดาสิบสองผู้นำดังกล่าวตลอดจนการสิ้นสุดพัญธะหน้าที่ของพวกเขาทั้งสิบสอง  

แล้วจะกินกับปัญญาไหม ที่ชาวกุเรชไม่ได้สอบถามถึงรายชื่อของพวกเขาเอาไว้ว่าเป็นใครชื่ออะไร และจะเกิดอะไรขึ้นในยุคการปกครองของพวกเขาเหล่านั้น  

(ชาวกุเรชในนครมะดีนะฮ์ตามที่หะดีษเล่าถึงนี้ ก็น่าจะหมายถึงท่านอุมัรกับท่านอะบูบักรใช่ไหม)  เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ที่ชาวกุเรชจะไม่สอบถามท่านนะบี(ศ)ถึงรายชื่อสิบสองผู้นำที่นครมีนะฮ์  แล้วคำตอบของท่านนะบี(ศ)ไปอยู่ที่ไหนล่ะ

จะกินกับปัญญาไหม  ว่ามีมุสลิมคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในฮัจญะตุลวะดาอ์ ทั้งที่เป็นชาวกุเรชและไม่ใช่ชาวกุเรชไม่ยอมสอบถามท่านนะบี(ศ)ถึงรายละเอียดของสิบสองผู้นำนั้น และเกี่ยวกับหน้าที่ของอุมมะฮ์อิสลามที่จะต้องปฏิบัติตัวต่อพวกเขา แล้วคำตอบของท่านนะบี(ศ)ไปอยู่ที่ไหน


3 - ทำไมเสียงของท่านนะบี(ศ) ที่กำลังพูดถึงผู้นำสิบสองจึงดังเบาลงต่อผู้เล่าหะดีษบทนี้(หมายถึงญาบิร บุตรของสะมุเราะฮ์) ทั้งๆที่ถ้อยคำตอนนั้นมีความหมายและมีความสำคัญเป็นอย่างมาก

เนื่องจากท่านนะบี(ศ)กำลังกำหนดตัวผู้นำสิบสองต่อจากท่านเอาไว้ให้  จนทำให้ผู้เล่าหะดีษต้องสอบถามกับผู้ที่อยู่ใกล้ๆกับท่านนะบี(ศ)มากกว่าผู้เล่าถึงคำพูดของท่านตอนที่ดังเบาลงหรือถูกเสียงคนอื่นดังกลบ
จากนั้นพวกเขาก็มาเล่าถึงหะดีษสิบสองผู้นำของท่านนะบี(ศ)กันที่นครมะดีนะฮ์เช่นกัน แล้วคำพูดนั้นก็ดังค่อยลงเหมือนเดิม  ซุบฮานัลลอฮ์


ทำไมจึงเน้นย้ำเล่ากันเฉพาะว่า ตำแหน่งผู้ปกครอง(คอลีฟะฮ์)นั้นจะต้องมาจากชาวกุเรชเท่านั้น ซึ่งการรายงานถึงถ้อยคำของท่านนะบี(ศ)ก่อนหน้านี้กลับสูญหายไปบางส่วน เพราะเล่าว่า ท่านนะบี(ศ)พูดเสียงเบาลงบ้าง หรือผู้คนส่งเสียงดังกลบเสียงของท่านบ้างตามรายงานอันมีที่มาจากท่านสะมุเราะฮ์(บิดาของญาบิร) หรือจากท่านอื่นๆ ?


คำถามต่างๆเหล่านี้ได้อุบัติขึ้นมาจากตัวบทหะดีษดังกล่าว  และผู้แสวงหาสัจธรรมจำเป็นจะต้องแสวงหาความจริงของมันจากตำราหะดีษและตำราประวัติศาสตร์อิสลามกันต่อไป
เราและท่านคงจะต้องพยายามค้นหาคำตอบว่า ทำไมถ้อยคำสำคัญในหะดีษสิบสองผู้นำนี้จึงสูญหายไป  หรือเกิดมีการหมกเม็ด
  •  

L-umar


ตอนที่  สาม -  ซุนนี่เล่นลิ้นกับความหมายของ  อะมีร  หรือ คอลีฟะฮ์



นักปราชญ์ซุนนี่บางส่วนรู้ดีว่า ชีอะฮ์เป็นมัซฮับเดียวในอิสลามที่มีความเชื่อเรื่องสิบสองผู้นำอย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจำต้องหาทางเลี่ยงโดยใช้อุบายเล่นลิ้นกับพี่น้องซุนนี่ระดับเอาวามดังนี้

1. พวกชีอะฮ์เชื่อเรื่องสิบสองผู้นำแบบมั่วๆไม่มีหลักฐานที่ถูกต้องมายืนยัน ซึ่งเราจะชี้แจงเรื่องหลักฐานในตอนที่ห้าและหกต่อไป อินชาอัลลอฮ์ตะอาลา

2. หะดีษฝ่ายซุนนี่พูดเรื่องสิบสองอะมีรหรือสิบสองคอลีฟะฮ์ ส่วนพวกชีอะฮ์พูดเรื่องสิบสองอิม่าม ดังนั้นนักปราชญ์ซุนนี่จึงเล่นลิ้นว่า หะดีษฝ่ายซุนนี่ไม่ได้พูดเรื่องสิบสองอิม่ามของชีอะฮ์ สรุปเราสองฝ่ายพูดคนละเรื่องกันนั่นเอง
  •  

L-umar

ความหมายทางด้านภาษาศาสตร์สำหรับคำว่า  ผู้นำ  


►คำ 1 คำในภาษาอาหรับสามารถให้ความหมายได้หลายอย่าง  ยกตัวอย่างเช่นคำว่า

อัยนุน - عَيْنٌ  

ซึ่งคำอัยนุน นี้ในพจนานุกรมอาหรับได้ให้ความหมายไว้ดังนี้

1.   ดวงตา
2.   ตัวตน
3.   ตาน้ำ
4.   ชาวเมือง
5.   ชาวบ้าน
6.   รูเล็ก
7.   ผู้บริสุทธิ์
8.   สายลับ  และอื่นๆ...เป็นต้น




►แต่ก็มีคำ(ในภาษาอาหรับ)หลายๆคำ  ซึ่งมันได้ให้ความหมายไปในทางเดียวกันเพียงหนึ่ง ความหมายเช่นคำว่า

ผู้นำ (อิม่าม) หรือ ผู้ปกครอง (คอลีฟะฮ์)

ดังต่อไปนี้

1, อิหม่าม -  إماَمٌ  → ผู้นำ  (พหูพจน์คือ อะอิมมะฮ์)

2, คอลีฟะฮ์ -  خَلِيْفَةٌ → ผู้ปกครอง  (พหูพจน์คือ คุละฟาอ์)

3, อะมีร - أَمِيْرٌ → หัวหน้า  (พหูพจน์คือ อุมะรออ์)

4,วะลี – وَلِيٌّ → ผู้คุ้มครอง,ผู้ปกครอง
 
5,เมาลา – مَوْلَي →ผู้ปกครอง,ผู้ค้มครอง




หากท่านได้ย้อนกลับไปดูในคัมภีร์อัลกุรอานหรือในตำราหะดีษ

ก็จะพบว่า อัลเลาะฮ์และรอซูลทรงนำคำทั้งห้านี้มาใช้ในความหมายเดียวกันดังนี้   :



1,   إِنِّي جاعِلُكَ لِلنَّاسِ إِماماً
ฉันจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็น(อิม่าม)ผู้นำสำหรับมนุษย์  

ซูเราะฮ์อัลบะก่อเราะฮ์  : 124

وَجَعَلْنَا مِنْهُمْ أَئِمَّةً يَهْدُونَ بِأَمْرِنَا
เราได้แต่งตั้งจากพวกเขาเป็นอะอิมมะฮ์(ผู้นำประชาชน)ตามบัญชาของเรา

ซูเราะฮ์อัส-สัจญ์ดะฮ์ : 24

ท่านนะบี(ศ)กล่าวว่า :

سَبْعَةٌ يُظِلُّهُمُ اللَّهُ فِى ظِلِّهِ يَوْمَ لاَ ظِلَّ إِلاَّ ظِلُّهُ الإِمَامُ الْعَادِلُ...

มีบุคคลเจ็ดประเภท อัลลอ์จะทรงให้พวกเขาอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระองค์ ในวันที่ไม่มีร่มเงาใดๆ นอกจากร่มเงาของพระองค์ ได้แก่ 1.(อิม่าม)ผู้ปกครองที่ยุติธรรม...

ดูซอฮีฮ์บุคอรี  หะดีษที่ 660
http://www.islamcyber.co.cc/forum/index.php?topic=2.0

ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า :

الْأَئِمَّةُ مِنْ قُرَيْشٍ  - อะอิมมะฮ์( บรรดาหัวหน้า) ต้องมาจากชาวกุเรช

สถานะหะดีษ : ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด  หะดีษที่ 12923  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี

2,   إِنِّي جاعِلٌ فِي الأَرْضِ خَلِيفَةً

แท้จริงเราจะแต่งตั้ง(อาดัม)ให้เป็นคอลีฟะฮ์(ผู้ปกครอง) บนโลก

ซูเราะฮ์อัลบะก่อเราะฮ์ : 30

يا داوُدُ إِنَّا جَعَلْناكَ خَلِيفَةً فِي الأَرْضِ

โอ้ดาวูด แท้จริงเราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นคอลีฟะฮ์บนโลก

ซูเราะฮ์ศ็อด : 26

3,ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า :

مَنْ أَطَاعَنِى فَقَدْ أَطَاعَ اللَّهَ ، وَمَنْ عَصَانِى فَقَدْ عَصَى اللَّهَ ، وَمَنْ أَطَاعَ أَمِيرِى فَقَدْ أَطَاعَنِى ، وَمَنْ عَصَى أَمِيرِى فَقَدْ عَصَانِى

ผู้ใดเชื่อฟังฉันเท่ากับเชื่อฟังอัลลอฮ์ ผู้ใด้ไม่เชื่อฟังฉันเท่ากับไม่เชื่อฟังอัลลอฮ์  และผู้ใดเชื่อฟังอะมีร(หัวหน้าที่ฉันแต่งตั้ง)เท่ากับเขาเชื่อฟังฉัน  ผู้ใดไม่เชื่อฟังอะมีรของฉัน ก็เท่ากับเขาไม่เชื่อฟังฉัน   ดูซอฮิ๊ฮ์บุคอรี  หะดีษที่ 7137
 
4,   أَنْتَ وَلِيُّنَا فَاغْفِرْ لَنَا وَارْحَمْنَا وَأَنْتَ خَيْرُ الْغَافِرِينَ

พระองค์ทรงเป็นวะลี (ผู้ปกครองของเรา) ดังนั้นโปรดอภัยให้เราและโปรดเมตตาเรา และพระองค์ทรงเป็นเลิศแห่งผู้ให้อภัยทั้งหลาย  ซูเราะฮ์อัลอะอ์รอฟ : 155

5,   ذَلِكَ بِأَنَّ اللَّهَ مَوْلَى الَّذِينَ آَمَنُوا وَأَنَّ الْكَافِرِينَ لَا مَوْلَى لَهُمْ

ทั้งนี้เนื่องจากว่า อัลลอฮ์ทรงเป็นเมาลา(ผู้คุ้มครอง)บรรดาผู้ศรัทธา และแท้จริงผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย ย่อมไม่มีเมาลาสำหรับพวกเขา    ซูเราะฮ์มุฮัมมัด : 11



ท่านจะเห็นได้ว่าถ้อยคำทั้งห้านี้

1, อิหม่าม   2, คอลีฟะฮ์  3, อะมีร  4, วะลี  5, เมาลา

ได้สื่อความหมายไปในทางเดียวกันคือ   ผู้นำหรือผู้ปกครอง ที่มีอำนาจควบคุมประชาชน


และคนระดับปัญญาชนคงเข้าใจดีว่า เรื่องอิหม่ามกับเรื่องคอลีฟะฮ์คือเรื่องเดียวกัน
แต่ดูเหมือนบรรดาผู้รู้ของวาฮาบีและอะชาอิเราะฮ์ได้เบี่ยงเบนประเด็นการสนทนาเรื่อง 12 ผู้นำที่สืบต่อจากท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ระหว่างซุนนี่ / ชีอะฮ์  ให้เป็นเรื่องอื่น


เราจะขอหยิบยกบทความของนักบิดเบือนเหล่านี้มาแสดงให้ท่านได้ประจักษ์ดังต่อไปนี้
  •  

L-umar

หนึ่ง - ในเวบของอะชาอิเราะฮ์ (ซุนนี่คณะเก่า ) เราพบบทความของคุณอัซฮะรี่ (หรือ อ. อารีฟีน แสงวิมาน)  ได้กล่าวไว้ดังนี้
http://www.sunnahstudent.com/forum/index.php?action=printpage;topic=502.0



กระดานเสวนานักศึกษาอะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญามะอะฮ์
เสวนาเชิงวิชาการ => ชี้แจงแนวทางอะฮฺลิสสุนนะฮ์ฯ => ข้อความที่เริ่มโดย: al-azhary ที่ พ.ค. 03, 07, 07:39 pm


بسم الله الرحمن الرحيم

คอลิฟะฮฺผู้ปกครอง 12 ท่าน


ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชีอะฮฺเมืองไทยต่างแอบอ้างฮะดิษของซุนนะฮฺให้กับพี่น้องซุนนะฮฺ ที่รู้เท่าไม่ถึงการและชีอะฮฺที่หลงเข้าใหม่ ด้วยบรรดาฮะดิษที่กล่าวถึงผู้ปกครอง 12 ท่าน ซึ่งตัวเลขนี้บังเอิญไปตรงกับเลขลัทธิอิมาม 12 ของชีอะฮฺอิมามียะฮฺ อัรรอฟิเฏาะฮฺ ดังกล่าวนี้ จึงทำให้พี่น้องซุนนะฮฺทั่วไปและชีอะฮฺที่หลงเข้าใหม่และเก่าคิ ดว่าฮาดิษคอลิฟะฮฺ 12 ท่านนั้นคือ อิมาม 12 ของลัทธิชีอะฮฺ ผมคิดว่าจะพูดเรื่อง 20 ฮาดิษที่ระบุอิมาม 12 จากหนังสือ อุซูล อัล-กาฟีย์ แต่ชีอะฮฺเขาไม่ตอบรับในการสนทนา เนื่องจากพวกเขาต้องการสนทนาถึงฮะดิษของซุนนะฮฺที่กล่าวคอลิฟะฮ ฺ 12 ท่านก่อน โดยหลีกเลี่ยงการสนทนา 20 ฮะดิษในอุซูล อัล-กาฟีย์ โดยอ้างว่าต้องการเอามาเป็นบทนำในการร่วมสนทนา ผมก็พอเข้าเจตนาของพวกเขา ดังนั้น ผมก็ขอตอบรับการสนทนาเกี่ยวกับฮะดิษของซุนนะฮฺที่กล่าวถึงผู้ปก ครองคอลิฟะฮฺ 12 ท่านและตามไปด้วยเรื่องเกี่ยวกับอิมาม 12 และการระบุชื่อ อิมาม 12 ในหนังสือ อุซูล อัล-กาฟีย์ หวังว่าพวกชีอะฮฺทั้งหลายคงให้การชี้แนะ

عن جابر بن سمرة رضي الله عنه عن النبي صلى الله عليه وسلم قال : يكون بعدى اثنا عشر خليفة كلهم من قريش

รายงานจาก ญาบิร บุตร ซะมุเราะฮฺ (ร.ฏ.) จากท่านนบี (ซ.ล.) ท่านกล่าวว่า \\\" จะมี 12 ผู้ปกครอง ซึ่งพวกเขาทั้งหมดมาจากกุเรช \\\" ฟัตฮุลบารีย์ เล่ม 13 หน้า 181 รายงานโดย มุสลิม ฮะดิษที่ 1821 ท่านติรมิซีย์ ฮะดิษที่ 2224 มุสนัด อิมามอะหฺมัด เล่ม 5 หน้า 87-90-92-95-97-99-101-107-108

ท่านบุคอรีย์รายงานจากญาบิร บุตร ซะมุเราะฮฺ อีกว่า

 لا يزال الإسلام عزيزاً إلى اثني عشر خليفة كلهم من قريش  

ความว่า \\\" อิสลามยังคงยิ่งใหญ่ จนกระทั้งถึงคอลิฟะฮฺ 12 คน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดมาจากกุเรช \\\"

ท่านบุคอรีย์รายงานโดยใช้อีกคำหนึ่งว่า \\\" اثنى عشر أميراً \\\" ความว่า \\\" หัวหน้า(ผู้ปกครอง) 12 คน \\\"

มีสายรายงานอื่นอีกจากท่านอบีดาวูด

لا يزال هذا الدين قائماً حتى يكون عليكم اثنا عشر خليفة كلهم تجتمع عليه الأمة فسمعت كلاماً من النبي صلى الله عليه وسلم لم أفهمه ، قلت لأبي : ما يقول ؟ قال : كلهم من قريش

ความว่า \\\" ศาสนานี้ยังคงดำรงอยู่ จนกระทั่งมี 12 คอลิฟะฮฺปกครองพวกท่าน ซึ่งพวกเขาทั้งหมดนั้น ประชาชาติ(อิสลาม)ได้รวมไว้บนเขา แล้วฉันก็ได้ยินคำพูดหนึ่งจากท่านนบี(ซ.ล.)โดยที่ฉันไม่เข้าใจมัน ฉันจึงกล่าวกับบิดาของฉันว่า ท่านนบีกล่าวว่าอะไรหรือ ? บิดาฉันกล่าวว่า \\\" พวกเขาทั้งหมดนั้นมาจากกุเรช \\\" สุนัน อบีดาวูด ฮะดิษที่ 4279 และอีกสายรายงานเช่นกันว่า \\\" ศาสนานี้ยังคงความยิ่งใหญ่ จนกระทั่งถึง 12 คอลิฟะฮฺ \\\" สุนัน อบีดาวูด ฮะดิษที่ 4280

อธิบาย

จากบรรดาฮะดิษที่ผมหยิบยกมาสนทนานั้น ยังมีอีกหลายฮะดิษที่อยู่ในความหมายทำนองเดียวกัน ซึ่งบรรดาฮะดิษดังกล่าวนั้น ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวเอาไว้อย่างรวบรัดและได้ใจความว่า จะมีคอลิฟะฮฺผู้ปกครองหลังจากท่าน 12 คน โดยที่ท่านนบีไม่ได้บอกเอาไว้ว่าเป็นผู้ใดบ้าง ดังนั้น รายงาน คอลิฟะฮฺ 12 คนนั้น จึงอยู่ในเรื่องการวินิจฉัยของบรรดาอุลามาอฺซุนนะฮฺจากตัวบทที่ ท่านนบี(ซ.ล.)ได้บอกเอาไว้ สิ่งที่ได้จากบรรดาฮะดิษดังกล่าวนั้น สรุปพอสังเขปตามความเป็นจริงและเกิดขึ้นจริงได้ดังต่อไปนี้

1. จะมีคอลิฟะฮฺ 12 คน หลังจากท่านนบี(ซ.ล.)เสียชีวิต

2. คอลิฟะฮฺ 12 คนนั้นมาจากกุเรช

3. คอลิฟะฮฺ 12 คนดังกล่าวนั้น พวกเขาจะได้เป็นผู้ปกครองอาณาจักรอิสลาม

4. อิสลามยังคงมีความมั่นคง แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงคอลิฟะฮฺ 12 คน

ท่านอัลหาฟิซฺ อิบนุกะษีร กล่าวว่า \\\"พวกเขาเหล่านั้นที่ได้ระบุไว้ในฮะดิษ ไม่ใช่ อิมาม 12 ที่ชีอะฮฺ อัรรอฟิเฏาะฮฺได้โกหกกล่าวอ้าง โดยที่พวกเขานั้นมะอฺซูม เพราะส่วนมากจากพวกเขานั้น ไม่มีคนหนึ่งคนใดทำการปกครองประชาชาติอิสลามในฐานะคอลิฟะฮฺ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังไม่ได้ปกครอง แคว้นหนึ่งจากบรรดาแคว้นต่าง ๆ หรือเมืองหนึ่งจากบรรดาเมืองต่าง ๆเลย แต่ทว่าได้ปกครองจากพวกเขา โดยท่านอลี และท่านหุซัยนฺ ( ร่อฏิยัลลอฮฺ อันฮุมา ) ดู นิฮายะฮฺ อัลฟิตัน เล่ม 1 หน้า 17-18 อัลบิดายะฮฺ วะ อันนิฮายะฮฺ เล่ม 6 หน้า 198

พี่น้องชาวซุนนะฮฺลองมาพิจารณาความเห็นของ อัล-หาฟิซฺ อิบนุ หะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ (ร.ฏ.) ท่านกล่าวว่า \\\" ที่ใกล้เคียงที่สุด ในเรื่องนี้ ดังที่อุลามาอฺกลุ่มหนึ่งได้กล่าวไว้ มีความว่า จุดมุ่งหมายของฮะดิษนี้ คือ บรรดาคอลิฟะฮฺทั้งสี่ มุอาวิยะฮฺ และบุตรของเขา คือยะซีด จากนั้น อับดุลเลาะฮฺบินมัรวาน และบรรดาบุตรของเขาทั้งสี่คน และก็อุมัรบินอับดุลอะซีซฺ ฉันขอกล่าวว่า บรรดาบุตรของอับดุลมาลิกบินมัรวานนั้น คืออัลวะลีด สุลัยมาน ยะซีดและฮิชาม โดยที่ท่านอุมัรบินอับดุลอะซีซฺนั้นได้ขั้นกล่างระหว่าง สุลัยมานและยะซีด พวกเขาก็เป็น 12 คอลิฟะฮฺพอดี และจุดมุ่ง ที่ใกล้เคียงและถูกต้องที่สุด เกี่ยวกับผู้นำ 12 คนนั้น จำนวนของพวกเขาสิ้นสุดที่ ฮิชาม บุตร อับดุลมาลิก เพราะศาสนาอิสลามในสมัยพวกเขา ยังมั่นคงดำรงอยู่ อิสลามได้แพร่หลาย สัจจะธรรมยังคงอยู่ การญิฮาดก็ยังคงอยู่ และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ยะซีดเสียชีวิต จากการขัดแย้งในเรื่องคอลิฟะฮฺ โดยที่มัรวานได้ปกครองที่ชาม อิบนุซุบัยรฺได้ปกครองที่ฮิยาซฺ ก็ไม่เป็นผลกระทบใด ๆกับบรรดามุสลิมีน ในเรื่องที่อิสลามก็ยังคงโดดเด่นมั่นคงอยู่ ดังนั้นศาสนาอิสลามของพวกเขาก็ยังคงโดดเด่น ภาระกิจของพวกเขาก็ยังคงอยู่ ศรัตรูของพวกเขาก็ยังถูกพิชิต ทั้งที่มีการขัดแย้งกัน จากนั้นดังกล่าวก็ยุติลงด้วยการให้สัตยาบันอย่างสมบูรณ์ให้กับ อับดุลเลาะฮฺบินมาลิก.....ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ สิ่งที่ท่านนบี(ซ.ล.)ได้กล่าวไว้ แท้จริงแล้ว มันได้เกิดขึ้นจริง และก็ผ่านมาแล้ว และก็สิ้นสุด(ถึง 12 คน)แล้ว \\\" ดู ฟัตฮุลบารีย์ เล่ม 13 หน้า 211-215

จากคำกล่าวของท่านอิบนุหะญัร บรรดาคอลิฟะฮฺ 12 คนมีดังนี้

1. อบูบักร อัศศิดดีก

2. อุมัร อัลฟารูค

3. อุษมาน ซินนูรัยนฺ

4. อลีบินอบีฏอลิบ อัลมุรตะฏอ

5. มุอาวิยะฮฺ

6. ยะซีด บุตร มุอาวิยะฮฺ

7. อับดุลเลาะฮฺ บุตร มัรวาน

8. อัลวะลีด บุตร อับดุลเลาะฮฺ

9. สุลัยมาน บุตร อับดุลเลาะฮฺ

10. ยะซีด บุตร อับดุลเลาะฮฺ

11. ฮิชาม บุตรอับดุลเลาะฮฺ

12. อุมัร บุตร อับดุลอะซีซฺ

แต่มีชีอะฮฺบางท่าน อาจจะค้านว่า การเป็นอิมามนั้น ไม่จำเป็นต้องนั่งบันลังค์ปกครองเสมอไป ผมขอกล่าวว่า หากชีอะฮฺผู้นั้นพูดอย่างนี้ ก็แสดงว่าบรรดาอิมามของชีอะฮฺ10 คน ก็ไม่ได้เข้าอยู่ในฮะดิษของซุนนะฮฺที่พวกเขาแอบอ้าง เพราะคอลีฟะฮฺในความหมายของบรรดาฮะดิษของซุนนะฮฺนั้น ต้องเป็นคอลีฟะฮฺปกครองอาณาจักรอิสลามอย่างแท้จริงและเกิดขึ้นจ ริง ไม่ใช่เป็นผู้ปกครองแบบในจิตนาการของลัทธิชีอะฮฺ เช่นการปกครองกันทั้งจักรวาลโดยที่จะบริหารอย่างไรก็ตามที่อิมา มของพวกเขาต้องการ

พวกชีอะฮฺบางท่านอาจจะ กล่าวเสียดสีว่า คอลิฟะฮฺ 12 ของซุนนะฮฺนั้น มีทั้งคนดีและไม่ได้ดี ? อย่างเช่น มุอาวิยะฮฺ หรือยะซีด ซึ่งพวกเขาเคียดแค้นเข้ากระดูกดำ จึงทำให้ซุนนะฮฺบางท่านเขวขึ้นมา ซึ่งผมขอชี้แจงว่า ในบรรดาฮะดิษของซุนนะฮฺที่ผมหยิบยกมานั้น ไม่ได้บอกถึงเงื่อนไขว่าต้องเป็นคอลิฟะฮฺผู้ทรงธรรม เพียงแต่บอกว่า เป็นคอลิฟะฮ์ที่มาจากกุเรชและอิสลามยังคงยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่อ ง คอลิฟะฮฺผู้ทรงธรรมของซุนนะฮฺนั้น มีอยู่ 4 หรือ 5 ท่าน คือท่านอบูบักร ท่านอุมัร ท่านอุษมาน ท่านอลี และท่านอุมัรบินอับดุลอะซีซฺ ส่วนที่เหลือนั้น เราขอกล่าวว่าพวกเขาคือคอลิฟะฮฺที่เป็นมุสลิม และพวกเขาก็ยังคงปกครองโดยที่อิสลามยังคงยิ่งใหญ่ และการตัดสินและตอบแทนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะฮฺแต่เพียงผ ู้เดียว เมื่อเรามาพิจารณาถึงคำกล่าวของท่านอลีในนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ เราจะพบว่าไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกที่บรรดามนุษย์นั้น บางครั้งมีผู้นำที่ดีและผู้นำที่ไม่ดี ท่านอลีได้กล่าวไว้ในนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ ในขณะที่ท่านอลีได้ยินคำกล่าวของพวกคอวาริจญฺเกี่ยวกับหลักที่ว่า \\\" ไม่มีการตัดสินอันใด นอกจากเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลเลาะฮฺ \\\" ว่า

( وإنه لابد للناس من أمير بر أو فاجر يعمل فى إمرأته المؤمن ويستمتع فيها الكافر ، ويبلغ الله فيها الأجل ، ويجمع به الفىء ، ويقاتل به العدو، وتأمن به السبيل ، ويؤخذ به للضعيف من القوى حتى يستريح برّ ويستراح من فاجر )

ความว่า \\\" โดยแท้จริง จำเป็นสำหรับมนุษย์ ต้องมีผู้นำ ที่ดีหรือชั่ว ซึ่งมุอฺมินสามารถปฏิบัติอามัลได้ ภายใต้การอำนาจการปกครองของเขา และกาเฟรสามารถเสวยสุขได้ภายใต้อำนาจการปกครองของเขา โดยที่อัลเลาะฮฺจะให้การปกครองของเขาได้ถึงระยะเวลาหนึ่ง และจะถูกรวบรวมทรัพย์สินสงครามด้วยกับเขา จะทำการสู้รบกับศรัตรูด้วยกับเขา หนทางจะปลอดภัยด้วยกับเขา สิทธิคนอ่อนแอกว่าจะได้รับเอามาจากคนที่แข็งแรงกว่าด้วยกับเขา จนกระทั่ง คนดีได้พักผ่อน และได้รับการพักผ่อน(ให้พ้น)จากคนชั่ว \\\" ดู หนังสือ อธิบายนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คำกล่าวที่ 40 เล่ม 1 หน้า 488 อิบนุอบีอัลหะดีด ตีพิมพ์ ฮะญะรียะฮฺ เผยแพร่ ดารฺ มักตะบะฮฺ อัลหะยาฮฺ เบรูต เลบานอน

ท่านอิบนุอะบีอัลหะดีด กล่าวว่าอธิบายว่า \\\" ท่านไม่เห็นคำกล่าวของท่านอลี(อ.)ดอกหรือว่า ท่านได้ให้เหตุผลกับคำกล่าวของท่านที่ว่า \\\" لابد للناس من أمير \\\" ความว่า \\\" จำเป็นสำหรับมนุษย์ต้องมีผู้นำ \\\" ท่านอลีได้กล่าวเหตุผลจากคำพูดของท่าน(ที่มนุษย์ต้องมีผู้นำ)ว่า เพื่อ \\\" จะถูกรวบรวมทรัพย์สินสงครามด้วยกับเขา จะทำการสู้รบกับศรัตรูด้วยกับเขา หนทางจะปลอดภัยด้วยกับเขา สิทธิ์คนอ่อนแอกว่าจะได้รับเอามาจากคนที่แข็งแรงกว่าด้วยกับเขา \\\" ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นส่วนหนึ่งจากการคงไว้ซึ่งผลประโยชน์ต่าง ๆของโลกนี้

ท่านอลีกล่าวว่า \\\" มุอฺมินสามารถปฏิบัติอามัลได้ ภายใต้การอำนาจการปกครองของเขา \\\" หมายความว่า การมีอำนาจปกครองของคนชั่วนั้น ไม่ได้ห้ามมุอฺมินจากการปฏิบัติอามัล เพราะเขาสามารถทำการละหมาด ถือศีลอด ทำการบริจาคทาน(ซะกาต)ได้ ถึงแม้ว่าตัวผู้นำเองจะเป็นคนชั่วก็ตาม

ท่านอลีกล่าวว่า \\\" โดยที่อัลเลาะฮฺจะให้การปกครองของเขาได้ถึงระยะเวลาหนึ่ง \\\" เนื่องจากอำนาจการปกครองของคนชั่ว ก็เสมือนกับอำนาจการปกครองของคนดี ในระยะเวลาที่ถูกกำหนดเอาไว้และสิ้นสุดระยะเวลาที่ถูกกำหนดเอาไ ว้สำหรับมนุษย์

หลังจากนั้นท่านอลีกล่าวว่า \\\"จะถูกรวบรวมทรัพย์สินสงครามด้วยกับเขา จะทำการสู้รบกับศรัตรูด้วยกับเขา หนทางจะปลอดภัยด้วยกับเขา สิทธิ์คนอ่อนแอกว่าจะได้รับเอามาจากคนที่แข็งแรงกว่าด้วยกับเขา \\\" ทั้งหมดนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับการปกครองของผู้นำที่ชั่วอีกทั้งมีความเข้ มแข็งในตัวเขาเอง โดยแท้จริงท่านร่อซูลุลลอฮฺ(ซ.ล.)กล่าวว่า \\\" แท้จริงอัลเลาะฮฺ จะทำให้ยืนหยัดกับศาสนาอิสลามนี้ด้วยกับบุรุษที่เป็นคนชั่ว \\\" อธิบายนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ เล่ม 1 หน้า 489 อิบนุอบีอัลหะดีด

สิ่งที่ได้จากคำกล่าวของท่านอลี(อ.)

1. ในนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺนั้น ท่านอลีไม่กล่าวได้เรื่อง อิมาม 12 ตามแนวทางลัทธิชีอะฮฺเอาไว้ แม้กระทั้งรายชื่อก็ไม่ได้กล่าวเอาไว้เลย ไม่เพียงเท่านั้นท่านเองก็ปฏิเสธเรื่องการจำกัดผู้นำอิมาม 12 ด้วย เนื่องจาก

2. ผู้นำนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี

3. ผู้นำนั้น ทรัพย์สงครามต้องถูกรวบรวมด้วยกับเขา

4. การพิชิตเมืองต่าง ๆก็สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยการปกครองของเขา

5. หนทางจะปลอดภัยด้วยกับเขา

6. คนอ่อนแอสามารถทวงสิทธิ์ที่ชอบธรรมจากผู้แข็งแรงที่อธรรมได้ด้วยกับเขา

ในทางตรงกันข้าม บรรดาอิมามของชีอะฮฺ 12 ที่พวกเขาอ้างนั้น 10 คนไม่ได้เป็นปกครองอาณาจักรอิสลาม ทรัพย์สินสงครามไม่ได้รวบรวมด้วยกับพวกเขา การต่อสู้กับศรัตรูและพิชิตเมืองต่าง ๆไม่ได้เกิดขึ้นโดยคำสั่งของพวกเขา หนทางจะสามารถผ่านได้อย่างปลอดภัยก็ไม่ใช่เพราะพวกเขาตามที่ท่า นอลีได้กล่าวเอาไว้ถึงเหตุผลการเป็นผู้นำในนะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ หากมีชีอะฮฺบางท่านแย้งผมว่า การเป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องทำสิ่งดังกล่าว ก็เป็นผู้นำได้ ผมขอกล่าวว่า คำกล่าวแบบนั้นย่อมถือว่าเป็นการเอากำปั้นทุบดิน และติดอยู่ในพรรธนาการแห่งทฤษฏีและจินตนาการของลักษณะการเป็นอิ มามของลัทธิชีอะฮฺ ทั้งที่ ท่านอลี ท่านหะซันและท่านฮุซัยน์ ก็ไม่ได้เคยกล่าวเอาไว้เลยเกี่ยวกับรายชื่ออิมาม 12 เมื่อศึกษาบรรดาฮะดิษเกี่ยวกับการระบุชื่ออิมาม 12ในอุซูลอัลกาฟีย์ ก็แปลก พิกล สายรายงานฏออีฟก็มีหลายฮะดิษ ส่วนฮะดิษที่มีสายรายซอเฮี๊ยฮฺ(ตามทัศนะของชีอะฮฺ) แต่กับไปมีข้อตำหนิในตัวบท บางฮาดิษชี้ให้เห็นว่า ชีอะฮฺ มีอิมาม 13 คนบ้าง อินชาอัลเลาะฮฺ ผมจะนำเสนอในการสนทนาในครั้งต่อไปครับ อีกอย่างหนึ่ง เรื่องหลักฐานที่ชี้ถึง คอลิฟะฮฺทั้ง 4 หรือ 5 ของซุนนะฮฺผู้ทรงธรรมนั้น

al-azhary

หัวข้อ: เกี่ยวกับบรรดาคอลิฟะฮ์ 12 คน
เริ่มหัวข้อโดย: al-azhary ที่ พ.ค. 03, 07, 07:54 pm
  •  

L-umar


สอง -  ในเวบฟารีด เฟ็นดี้ ( วาฮาบี ) เราพบบทความของ อ. ฟารีด เฟ็นดี้  ได้กล่าวไว้ดังนี้

http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=178


สิบสองคอลีฟะห์ไม่ใช่สิบสองอิหม่ามของชีอะห์



          ขณะที่ลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสองพยายามทำลายความน่าเชื่อถือตัวบทหลักฐานจากตำราของชาวซุนนะห์ ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้รายงานในระดับศอฮาบะห์ เช่นท่านอบูฮุรอยเราะห์ หรือผู้บันทึกเช่น อิหม่ามบุคคอรี และท่านอื่นๆ  แต่ในอีกมุมหนึ่ง พวกเขาก็หยิบเอาตัวบทคำรายงานของบุคคลเหล่านั้นมาอ้างอิงเสมือนว่า พวกเขาให้ความเชื่อถือและไม่เคยประณาม จาบจ้วงล่วงเกินต่อบรรดาผู้รายงานหรือผู้บันทึกเหล่านั้นเลย


          โดยเฉพาะฮะดีษบทใดก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ตามอุดมการณ์ของลัทธิชีอะห์ พวกเขาก็จะไม่ละเลยที่จะนำมาบิดเบือน อธิบายความให้สอดคล้องกับลัทธิของตนเอง ดังเช่นฮะดีษที่ท่านนบีได้พูดถึงคอลีฟะห์สืบจำนวนสิบสองคน ซึ่งลัทธิชีอะห์ได้ฉกฉวยเอาฮะดีษบทนี้มาเป็นหลักฐานยืนยันในเรื่องอิหม่ามสิบสองของพวกเขาอย่างไร้ยางอาย ทั้งที่พวกเขาประณามตัวผู้รายงานว่าตกมุรตัดหลังจากท่านนบีสิ้นชีวิต แต่ก่อนที่เราจะพิสูจน์ความโกหกปลิ้นปล้อนของเหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสองในเรื่องนี้ เราไปดูเนื้อหาและความหมายของตัวบทฮะดีษนี้กันก่อน


          ผู้รายงานในระดับศอฮาบะห์คือ ท่านญาบิร บิน ซะมุเราะห์ พ่อลูกคู่นี้ (ญาบิรและซะมุเราะห์) เป็นศอฮาบะห์ของท่านรอซูลทั้งคู่ ทั้งสองรายงานว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

لا يَزَالَ الإسْلامُ عَزِيْزًا اِلَى إثنَى عَشَرَ خَلِيْفَةً  ثُمَّ قَالَ كَلِمَةً لَمْ أفْهَمْهَا فَقُلْتُ لأَبِي مَا قَالَ فَقَالَ  كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

          "อัลอิสลามจะยังคงรุ่งเรืองจนกระทั่งถึงสิบสองคอลีฟะห์ หลังจากนั้นท่านได้กล่าวถ้อยคำที่ฉันฟังไม่เข้าใจ ฉันได้จึงได้ถามพ่อของฉัน (ซะมุเราะห์) ว่าท่านนบีกล่าวว่าอย่างไร เขาตอบว่า (ท่านนบีกล่าวว่า) พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวกุรอยช์" บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 3395


          อีกบทหนึ่งเป็นฮะดีษที่ศอฮาบะห์สองพ่อลูกคู่นี้รายงานไว้เช่นเดียวกัน แต่มีข้อความต่างจากบทแรกเล็กน้อยคือ

لا يَزَالُ الدِيْنُ قَائِمًا حَتَّى تَقُوْمَ السَاعَةُ أوْ يَكُوْنَ عَليْكُمُ اثْنَا عَشَرَ خَلِيْفَةً كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ"

ศาสนานี้จะยังคงธำรงอยู่จนกว่าจะถึงกาลอวสาน หรือจนกว่าจะมีสิบสองคอลีฟะห์มายังพวกเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวกุรอยช์"  บันทึกโดยอิหม่ามสุสลิม ฮะดีษเลขที่ 3398

          ฮะดีษเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่หลายบันทึก มีทั้งสายรายงานที่ศอเฮียะห์ และฏออีฟ แต่ที่เรานำมาแสดงให้เห็นนี้เป็นสำนวนคำรายงานจากบันทึกของอิหม่ามุสลิม ซึ่งแน่นอนว่า ชาวซุนนะห์มิได้สงสัยในสถานภาพของฮะดีษนี้ แต่สิ่งที่จะต้องนำมากล่าวกันก็คือ ความเข้าใจในวัตถุประสงค์และเป้าหมายของฮะดีษเป็นหลักว่าถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากเหล่าชีอะห์มักจะหยิบยกฮะดีษในบทนี้ไปแอบอ้างแก่บรรดาผู้คนว่า ท่านนบีได้กล่าวถึงอิหม่ามจำนวนสิบสองคนของพวกเขาไว้แล้ว และมีบันทึกอยู่ในตำราของชาวซุนนะห์ด้วย ดังนั้นเพื่อให้ผู้ที่ไม่รู้ภาษาอาหรับได้เข้าใจถึงความหมายและเป้าหมายของฮะดีษอย่างถูกต้อง จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของลัทธินอกรีตชีอะห์อิหม่ามสิบสอง เราจึงต้องนำเอาความเข้าใจของฮะดีษบทนี้มาชี้แจง


          แต่ก่อนที่จะได้สาธยายในรายละเอียดนั้น เราตั้งข้อสังเกตให้ท่านพิจารณาก่อนว่า เพราะเหตุใดลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสอง จึงได้นำเอาหลักฐานจากตำราของชาวซุนนะห์มาเสนอ ทำไม่พวกเขาไม่แสดงหลักฐานในเรื่องนี้จากตำราของพวกเขาแก่บรรดาผู้คน หรือว่าสิ่งที่พวกเขาอ้างกันนั้นไม่มีอยู่ในสาระบบหรือตำราของลัทธิชีอะห์ สิ่งที่พวกเขาได้ทำให้เห็นนี้เป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่ง นั่นคือพวกเขาได้ขโมย ตัวบทหลักฐานจากตำราของชาวซุนนะห์ แล้วนำไปแอบอ้างกับบรรดาผู้คน ด้วยวิธีการอันสกปรกคือ เอาตัวบทที่ถูกต้องมาแล้วเอาคำอธิบายของพวกเขามาสวมแทนเพื่อให้บรรลุถึงอุดมการณ์ของพวกเขา จนทำให้ผู้ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปได้หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับคำเชิญชวนนั้น ทั้งที่เหล่าชีอะห์เองก็ไม่ได้ยอมรับในสายรายงาน หรือตัวผู้รายงาน และผู้บันทึก ตัวอย่างเช่นขณะที่พวกเขาด่าประณามอบูฮุรอยเราะห์ แต่พวกเขาก็เอาคำรายงานของอบูฮุรอยเราะห์มานำเสนอแก่ผู้คน หรือพวกเขาด่าประณามท่านหญิงอาอิชะห์ แต่พวกเขาก็นำเอาคำรายงานของท่านหญิงอาอิชะห์มาอ้างเป็นหลักฐาน และในขณะที่พวกเขาให้ข้อหาบรรดาศอฮาบะห์ว่าตกมุรตัดแต่พวกเขาก็ยังนำคำรายงานของบรรดาผู้ที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นกาเฟรมาอ้างอิง ซึ่งคนโดยปกติทั่วไปไม่สามารถกระทำการเยี่ยงนี้ได้นอกจากผู้ที่มีหัวใจโสมมเท่านั้น


          ไม่เพียงแต่พวกเขาจะนำคำรายงานจากบุคคลที่พวกเขาด่าประณามกันอยู่มาอ้างเท่านั้น พวกเขายังทำการบิดเบือนถ้อยคำและเป้าหมายของคำรายงานอีกด้วย โดยพวกเขาไม่ได้นำเอาความเข้าใจหรือคำอธิบายของผู้รายงานหรือผู้บันทึกมาอ้างอิงด้วย และที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ บางครั้งพวกเขาก็นำเสนอตัวบทแบบตัดตอนเพื่อตบตาบรรดาผู้คน  ซึ่งวิธีพิสดารที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ชาวชีอะห์อาจจะถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเราแล้วถือว่าเป็นการโจรกรรม ซึ่งข้อความที่เรากล่าวมาจะได้พิสูจน์ให้ท่านได้ประจักษ์ดังต่อไปนี้


ประการที่หนึ่ง

           การที่เหล่าชีอะห์อ้างฮะดีษสิบสองคอลีฟะห์เพื่อเป็นหลักฐานในเรื่องสิบสองอิหม่ามของพวกเขานั้น เป็นการนำตัวบทมาครอบผิดเรื่อง เพราะในตัวบทฮะดีษ ท่านนบีได้กล่าวโดยใช้คำว่า คอลีฟะห์  ชัดเจน ซึ่งท่านมิได้กล่าวด้วยคำว่า อิหม่าม เพราะเหตุที่คำทั้งสองนี้มีความหมายจำกัดและคลอบคลุมต่างกัน และเราขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่มีฮะดีษในเรื่องนี้สักบทเดียวที่ท่านนบีได้กล่าวโดยใช้คำว่า อิหม่าม หรือกล่าวถึง อิหม่ามสิบสองของเหล่าชีอะห์ ไม่มีเลยจริงๆ  แม้กระทั่งท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ซึ่งเหล่าชีอะห์ยกให้เป็นอิหม่ามลำดับที่หนึ่งของพวกเขา หรือท่านฮะซัน และฮุเซน ซึ่งเป็นอิหม่ามลำดับที่สองและสามของพวกเขา ก็ไม่เคยอ้างฮะดีษในบทนี้เพื่อยืนยันสถานภาพการเป็นอิหม่ามของตัวท่านและอิหม่ามหลังจากท่านจนครบสิบสองคนดั่งที่เหล่าชีอะห์ได้แอบอ้างกัน


ประการที่สอง

          ขณะที่เหล่าชีอะห์ไม่สามารถเปลี่ยนถ้อยคำในบันทึกจากคำว่า คอลีฟะห์ ให้เป็นคำว่า อิหม่ามได้ดั่งต้องการ พวกเขาจึงใช้วิธีการชักลากอธิบายความว่า คำว่า ค่อลีฟะห์ กับคำว่า อิหม่าม มีความหมายเหมือนกัน ซึ่งคำพูดเช่นนี้ถ้ากล่าวแก่ผู้ที่ไม่รู้ภาษาอาหรับก็คงได้ผล แต่สำหรับคนที่พอมีพื้นฐานภาษาอาหรับอยู่บ้างก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า คำทั้งสองนี้มีความหมายที่ครอบคลุมต่างกัน และเราไม่อยากจะเชื่อว่า ชีอะห์ผู้อ้างตนว่าเป็นลูกหลานนบี หรือผู้ถ่ายทอดความรู้จากลูกหลานนบีจะไม่เข้าใจภาษาอาหรับขั้นพื้นฐาน จนกระทั่งไม่สามารถแยกความหมายของคำทั้งสองนี้ได้ หรือว่าพวกเขาเข้าใจแต่สร้างความคลุมเครือเพื่อหลอกลวงผู้อื่นเท่านั้น
          คำว่า อิหม่าม เป็นคำเอกพจน์ ระบุถึงบุคคลจำนวน 1 คน มีความหมายในทางภาษาว่า ผู้นำของกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด หรือหมายถึง ผู้นำพา,สิ่งนำพา ก็ได้ แต่ถ้ามีจำนวน 3 คนขึ้นไปจะใช้คำที่อยู่ในรูปของพหูพจน์ว่า อะอิมมะห์ หมายถึงบรรดาผู้นำของแต่ละกลุ่มชน
          คำว่า ผู้นำของกลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใดเป็นการเฉพาะนั้น ดั่งเช่นท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุลัยฮิวะซัลลัม อยู่ในฐานะของ อิมามุลมุรซะลีน คืออิหม่ามของบรรดารอซูล อย่างนี้เป็นต้น นอกจากนี้คนแต่ละกลุ่มต่างก็มีผู้นำของกลุ่มดั่งเช่น พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า
يَوْمَ نَدْعُو كُلَّ أُنَاسٍ بِإمَامِهِمْ
"วันที่เราจะเรียกมนุษย์ทุกหมู่เหล่ามาพร้อมกับอิหม่ามของพวกเขา" อัลอิสรออ์ อายะห์ที่ 71
           คำว่าอิหม่ามในอายะห์ข้างต้นนี้หมายถึงผู้นำพาหรือสิ่งนำพาหรือผลงานของมนุษย์ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ในดุนยา ซึ่งมนุษย์ทุกหมู่เหล่าก็จะมีผู้นำหรือสิ่งนำพาที่แตกต่างกันไป ดังนั้นใครเชื่อใคร,ใครสวามิภักดิ์ต่อผู้ใดหรือสิ่งใดหรือมีผลงานเช่นใด เขาผู้นั้นหรือสิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นอิหม่ามนำพาพวกเขามาพบกับอัลลอฮ์ในวันกิยามะห์ ซึ่งในบรรดาอิหม่ามเหล่านี้ มีทั้งที่นำพาผู้คนไปในทางที่ดี,ไปสู่ทางนำ หรืออาจจะเป็นอิหม่ามที่นำพาผู้คนไปสู่ทางหลงหรือนำไปสู่นรกก็ได้ พระองค์อัลลอฮ์ ได้ทรงกล่าวว่า
وَجَعَلْنَا مِنْهُمْ أَئِمَّةً يَهْدُوْنَ بِأمْرِنَا
"และเราได้ให้มีบรรดาผู้นำในหมู่พวกเขาเพื่อชี้แนะทางนำตามบัญชาของเรา" ซูเราะห์อัสซะญะดะห์ อายะห์ที่ 24
وَجَعَلْنَاهُمْ أَئِمَّةً يَدْعُوْنَ اِلَى النَارِ
"และเราได้ให้เขาเป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำที่เรียกร้องสู่ไฟนรก" ซูเราะห์อัลก่อศ๊อศ อายะห์ที่ 41قَاتِلُوا أَئِمَّةَ الكُفْرِ"พวกเจ้าจงต่อสู่กับบรรดาผู้นำที่ฏิเสธการศรัทธา" ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ 12
          คนบ้านเราพอพูดถึงคำว่า อิหม่ามก็จะเข้าใจโดยทันทีว่า หมายถึง ผู้นำละหมาดตามมัสยิดต่างๆ ในแต่ละชุมชนซึ่งมีจำนวนมากมาย แต่ในภาษาอาหรับไม่ได้ขีดกรอบความหมายเฉพาะว่า ต้องเป็นอิหม่ามประจำมัสยิดเท่านั้น แต่อาจจะหมายถึง ผู้นำทัพ หรือหัวหน้าหน่วยงาน,กรมกองต่างๆ และหมายถึงผู้ที่เดินนำหน้าคนอื่นๆ หรือผู้นำในการเดินทางก็ได้
          ส่วนคำว่า คอลีฟะห์ เป็นคำเอกพจน์ มีความหมายว่า ตัวแทน หรือ ผู้สืบทอด อยู่ในรูปของพหูพจน์ว่า คุละฟาอ์ หมายถึงบรรดาตัวแทนหรือบรรดาผู้สืบทอด
          พระองค์อัลลอฮ์ได้ทรงกล่าวว่า

إنَّي جَاعِلٌ فِى الأرْضِ خَلِيْفَة

"แท้จริงข้าจะให้มีผู้ตัวแทนคนหนึ่งในโลกนี้" ซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ อายะห์ 30
          อายะห์นี้แสดงถึงการให้นบีอาดำเป็นตัวแทนของอัลลอฮ์บนโลกใบนี้

واذكروا إذ جعلكم خلفاء من بعد قوم نوح
"และจงทบทวนดู ขณะที่พระองค์ได้ทรงทำให้พวกเจ้าเป็นผู้สืบแทนต่อจากกลุ่มชนของนัวฮ์" ซูเราะห์อัลอะอ์รอฟ อายะห์ที่ 69
          อายะห์นี้กล่าวถึงกลุ่มชนที่มาแทนที่กลุ่มชนของท่านนบีนัวฮ์ ไม่ใช่กลุ่มชนที่จะมาเป็นผู้นำกลุมชนของนบีนัวฮ์
          ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

عَليْكُمْ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الخُلَفَاءِ الرَاشِدِيْنَ المَهْدِييْنَ
"จำเป็นต่อพวกท่านทั้งหลายจะต้องยึดเอาซุนนะห์ของฉันและซุนนะห์ของบรรดาผู้สืบแทนจากฉันที่ปราชญ์ เปรื่องและได้รับทางนำ" สุนันอัตติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 2006
          ฮะดีษนี้กล่าวถึงผู้สืบแทนต่อจากท่านนบี ไม่ใช่หมายถึงผู้เป็นอิหม่ามของท่านนบี
          จากอายะห์อัลกุรอานและฮะดีษที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ชี้ให้เห็นถึงสภาพของตัวแทนหรือผู้สืบแทน ที่มีความหมายแตกต่างกับคำว่า ผู้นำ หรือสิ่งนำพา อย่างสิ้นเชิง ซึ่งเราสามารถเห็นสภาพข้อเท็จจริงของคำทั้งสองนี้โดยตั้งเป็นคำถามว่า
          ผู้นำของกลุ่มใด และจะนำพาไปไหน
          ตัวแทนของใคร แทนด้วยเรื่องอะไร
          ผู้มีปัญญาย่อมทราบดีว่าคำว่า ผู้นำและผู้แทนนั้นมีความหมายแตกต่างกัน  อย่างไรก็ตาม ฮะดีษข้างต้นนี้ท่านนบีได้กล่าวโดยใช้คำว่า คอลีฟะห์ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้แทน แต่จะหมายถึงผู้แทนของใครและแทนด้วยเรื่องอะไร เราคงนำรายละเอียดมาชี้แจงในประเด็นต่อไป
          แต่ที่กล่าวมาแล้วทำให้เราได้เห็นพฤติกรรมของเหล่าชีอะห์ ที่ฉกฉวยเอาคำว่า คอลีฟะห์ไปสวมแทนคำว่า อิหม่าม แล้วตบตาหลอกลวงแก่ผู้ไม่เข้าใจภาษาอาหรับว่า ท่านนบีได้กล่าวถึงอิหม่ามสิบสองของพวกเขาซึ่งถูกระบุอยู่ในตำราของชาวซุนนะห์ด้วย ทั้งที่ไม่มีตัวบทหลักฐานระบุถึงอิหม่ามสิบสองของพวกเขาเลย


ประการที่สาม

          ท่านนบีได้แจ้งลักษณะของคอลีฟะห์สิบสองคนที่ท่านกล่าวถึงในคำรายงานของฮะดีษศอเฮียะห์อีกบทหนึ่งว่า จะต้องเป็นผู้นำแห่งประชาชาติอิสลามทั้งมวลดังนี้

لاَ يَزَالُ هَذاَ الدِيْنُ قَائِمًا حَتَّى يَكُوْنَ عَليْكُمْ اِثْنَا عَشَرَ خَلِيْفَةً كُلُّهُمْ تَجْتَمِعُ عَليْهِ الأُمَّةُ
"ศาสนานี้จะดำรงอยู่จนกว่าจะมีคอลีฟะห์สิบสองคนมายังพวกเจ้า โดยประชาชาติ (อิสลาม) ทั้งหมดจะอยู่ใต้การปกครองของพวกเขา" สุนันอบีดาวูด ฮะดีษเลขที่ 3731
          แม้เหล่าชีอะห์จะพยายามทำให้สิบสองอิหม่ามของพวกเขา เป็นสิบสองคอลีฟะห์ที่ท่านนบีได้กล่าวไว้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า บรรดาอิหม่ามทั้งสิบสองคนของพวกเขาได้ปกครองรัฐ หรืออณาจักรอิสลามเต็มรูปแบบ และเป็นจุดศูนย์รวมของประชาชาติอิสลามทั้งมวลตามที่ระบุในฮะดีษบทนี้ ไม่ใช่อิหม่ามทั้งสิบสองคนที่เหล่าชีอะห์อุปโลกน์ขึ้นเลยแม้แต่น้อย


ประการที่สี่

          ฮะดีษบทนี้ท่านนบีได้แจ้งไว้กว้างๆ โดยไม่ได้ระบุระยะเวลาตายตัว ซึ่งตามคำรายงานว่า "ศาสนานี้จะยังคงธำรงอยู่จนกว่าจะถึงกาลอวสาน หรือจนกว่าจะมีสิบสองคอลีฟะห์มายังพวกเจ้า" แต่ขณะที่ฮะดีษศอเฮียะห์อีกบทหนึ่งได้ขีดกรอบเวลาไว้ชัดเจนว่า

خِلافَةُ النُبُوَّةِ ثَلاثُوْنَ سَنَةً ثُمَّ يُؤْتِي اللهُ المُلْكَ أوْمُلْكَهُ مِنْ يَشَاءُ
"การสืบแทนนบีจะมีระยะเวลาสามสิบปีหลังจากนั้นพระองค์อัลลอฮ์จะให้สิทธิของพระองค์แก่ผู้ที่พระองค์ประสงค์" สุนันอบีดาวู๊ด ฮะดีษเลขที่ 4028,4029
         

ขอให้ท่านได้พิจารณาพฤติกรรมของเหล่าชีอะห์ว่า พวกเขาจะทำการโจรกรรมฮะดีษจากบันทึกของชาวซุนนะห์ที่พวกเขาสามารถนำมาบิดเบือนให้เป็นประโยชน์กับลัทธิของตนเองเท่านั้น หากมิใช่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ต้องรับเอาฮะดีษที่ขีดกรอบระยะเวลานี้ไว้ด้วย แต่พวกเขาก็ปฏิเสธเนื่องจากระยะเวลา 30 ปีที่ท่านรอซูลได้ขีดกรอบไว้นี้ไม่เอื้ออำนวยต่อระยะเวลาของบุคคลที่พวกเขานำมาอ้างว่าเป็นอิหม่ามของพวกเขาทั้งสิบสองคน แต่ถ้าพวกเขาจะแย้งว่า ฮะดีษทั้งสองบทนี้ขัดกัน เราก็มีคำถามว่า ในเมื่อฮะดีษทั้งสองบทนี้ศอเฮียะห์ทั้งคู่ แล้วเพราะเหตุใดเหล่าชีอะห์จึงทิ้งบทหนึ่งและนำมาอ้างอีกบทหนึ่งเท่านั้น ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้เชื่อฮะดีษทั้งสองบทนี้ เพียงแต่ฉกฉวยนำมาล่อลวงผู้ไม่รู้ให้คล้อยตามเท่านั้นเอง เพราะโดยเนื้อหาของฮะดีษทั้งสองบทข้างต้นนี้ไม่ขัดแย้งกันแต่อย่างใด เนื่องจากฮะดีษบทหนึ่งระบุเรื่องจำนวน และฮะดีษอีกบทหนึ่งระบุเรื่องเวลา, อีกทั้งฮะดีษบทหนึ่งพูดถึงคอลีฟะห์โดยรวม แต่ฮะดีษอีกบทหนึ่งพูดถึงเฉพาะคิลาฟะตุ้ลนุบูวะห์ (ผู้สืบแทนนบี) ภายในระยะเวลา 30 ปี ซึ่งแน่นอนว่า ประเด็นหลังนี้ไม่ได้หมายถึงสิบสองอิหม่ามของชีอะห์อย่างแน่นอน เนื่องจากท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ที่พวกเขาอุปโลกน์ให้เป็นอิหม่ามคนที่หนึ่งของพวกเขานั้นกว่าจะได้ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ผู้สืบแทนนบีจริงๆ ก็กินระยะเวลาหลังจากท่านนบีเสียชีวิตไปแล้วมากกว่ายี่สิบปี แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรกับบรรดาอิหม่ามที่เหลืออีกตั้งโขยงหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่า เกินกว่าระยะเวลาที่ท่านรอซูลได้กำหนดไว้มาก ซึ่งถ้าจะนับกันจนถึงขณะนี้ก็ 1,400 กว่าปีแล้วที่อิหม่ามลำดับที่ 12 ของพวกเขายังไม่ยอมโผล่ออกจากหลุมเสียที ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจำเป็นต้องปฏิเสธฮะดีษศอเฮียะห์ที่ท่านนบีได้ขีดกรอบเวลาไว้นี้ และเมื่อพวกเขาปฏิเสธฮะดีษเรื่องระยะเวลาของคิลาฟะห์นุบูวะห์ (การสืบแทนนบี)  ก็เท่ากับพวกเขาปฏิเสธการเป็นผู้สืบแทนนบีของบรรดาอิหม่ามของพวกเขาเอง
          แต่หากท่านจะถามว่า 30 ปีของการดำรงตำแหน่ง คิลาฟะห์นุบูวะห์ (ผู้สืบแทนนบี) นั้นมีท่านใดบ้าง เราให้ท่านได้เห็นคำรายงานต่อไปนี้
            อิบนุอบีมุลัยกะห์ รายงานว่า

قِيْلَ لأبِي بَكْرٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ يَا خَلِيْفَةَ اللهِ فَقَالَ أنَا خَلِيْفَةُ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ
"มีผู้เรียกท่านอบูบักร์ว่า โอ้คอลีฟะห์ของอัลลอฮ์เอ๋ย ท่านกล่าวว่า ฉันคือคอลีฟะห์ของท่านรอซูล ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม" มุสนัดอิหม่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 56
          คำรายงานข้างต้นนี้เป็นการยืนยันว่า หลังจากท่านนบีจากไป ท่านอบูบักร์ก็ทำหน้าที่เป็นคอลีฟะห์สืบต่อจากท่านนบี ดังนั้นเมื่อเราเริ่มนับหลังจากการที่ท่านนบีเสียชีวิตแล้ว และเป็นช่วงการปกครองของบรรดาคอลีฟะห์ซึ่งเรียงลำดับได้ดังนี้
          1 – ท่านอบูบักร์ อัศศิดดีก
          2 – ท่านอุมัร อิบนุ้ลค็อตต๊อบ
          3 – ท่านอุสมาน บินอัฟฟาน
          4 – ท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ
          ทั้งสี่ท่านนี้ดำรงตำแหน่งรวมระยะเวลาได้ 29 ปี 6 เดือน
          5 – ท่านฮะซัน บินอาลี ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์เป็นระยะเวลา 6 เดือนก่อนจะประกาศสละตำแหน่ง          รวมระยะเวลาทั้ง 5 ท่านที่ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ 30 ปีตามที่ท่านนบีได้กล่าวไว้พอดี  ซึ่งแน่นอนว่า การนับเรียงลำดับดั่งข้างต้นนี้เหล่าชีอะห์ย่อมไม่สบายใจ แต่เรายืนยันว่า ท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบเองเป็นผู้ยืนยันความถูกต้องในเรื่องนี้ด้วยตัวท่านเอง และจากตำราของชีอะห์เอง ซึ่งเราจะได้นำเอาคำของท่านอาลีมาให้เป็นที่ประจักษ์ในประเด็นถัดไป

          ประการที่ห้า
          หากจะกล่าวถึงคอลีฟะห์จำนวนสิบสองคนที่เหล่าชีอะห์นำมาสวมแทนตำแหน่งอิหม่ามของพวกเขา แล้วอ้างว่าเป็นเรื่องเดียวกันนั้น เราขอกล่าวอย่างเต็มปากว่า เหล่าชีอะห์โกหกและกำลังหลอกลวงชาวโลก เพราะสิบสองอิหม่ามที่พวกเขานับ กับสิบสองคอลีฟะห์ที่ท่านอาลีนับ เป็นคนละเรื่องกันเลย ซึ่งเราจะให้ท่านได้เห็นความบิดพลิ้วของพวกเขาที่มีต่อท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ อิหม่ามของพวกเขาเอง และจากตำราของพวกเขาเอง ซึ่งก่อนที่ท่านจะได้พบกับคำยืนยันของท่านอาลี เราแจ้งให้ท่านทราบถึงสิบสองอิหม่ามตามที่เหล่าชีอะห์ได้นับกันก่อน โดยไล่เรียงตามลำดับดังนี้
          1 – อาลี อิบนิอบีตอลิบ
          2 – ฮะซัน บินอาลี อิบนิอบีตอลิบ
          3 – ฮุเซน บินอาลี อิบนิอบีตอลิบ
          4 – อาลี บินฮุเซน (ซัยนุ้ลอาบีดีน)
          5 – มูฮัมหมัด บินอาลี (มูฮัมหมัด บากิร)
          6 – ญะอ์ฟัร อัศศอดิก
          7 – มูซา กาเซ็ม บุตรของญะอ์ฟัร อัศศอดิก
          8 – อาลี ริฏอ บุตรของมูซา กาเซ็ม
          9 – มูฮัมหมัดตะกีย์ บุตรของอาลี
          10 – อาลี นะกีย์ บุตรของมูฮัมหมัด
          11 – ฮะซันอัสอัสกะรีย์
          12 – อิหม่ามลำดับที่ 12 นี้เหล่าชีอะห์ยังขัดแย้งกันเอง และแยกเป็นสองก๊ก กลุ่มหนึ่งได้ยึดเอาน้องชายของฮะซันอัลอัสการีย์ มีชื่อว่า ญะฟัรเป็นอิหม่าม เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่า ท่านฮะซันอัลอัสกะรีย์ ไม่มีบุตร เพราะเมื่อท่านฮะซันเสียชีวิตนั้น น้องชายและแม่ของท่านเป็นผู้รับมรดก แต่ชีอะห์อีกกลุ่มหนึ่งได้อุปโลกน์เด็กชายผู้หนึ่งขึ้นมาแล้วให้ชื่อว่า มะฮ์ดีย์ โดยพวกเขาอ้างว่าเป็นบุตรของท่านฮะซันที่เกิดกับภรรยาลับ ซึ่งแม้แต่ชื่อและประวัติของแม่อิหม่ามมะฮ์ดีย์ก็ยังเป็นปริศนา และในตำราของพวกเขาก็บรรยายกันไปคนละทาง
          แต่เราแจ้งให้ท่านได้ทราบว่า เหล่าชีอะห์ได้ทึกทักเอาท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ เป็นอิหม่ามลำดับที่หนึ่งของพวกเขา โดยท่านอาลีเองก็มิได้ยอมรับหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอุปโลกน์ของพวกเขาแต่อย่างใด และที่เรากล่าวว่าท่านอาลีไม่ได้นับเอาตัวท่านเองเป็นลำดับที่หนึ่ง แต่ท่านกลับนับเอาท่านอบูบักร์และท่านอุมัร เป็นคอลีฟะห์ต่อจากท่านนบีนั้น ก็ไม่ใช่คำพูดที่เราปั้นแต่งขึ้น แต่เป็นคำพูดของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ และจากตำราของเหล่าชีอะห์เองดังนี้
          จากหนังสือนะฮ์ญุลบะลาเฆาะห์ ซึ่งเป็นตำราขนาดเอกของเหล่าชีอะห์ ที่รวมไว้ด้วยสุนทรโรวาทและจดหมายเหตุของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ และเป็นตำราที่ชาวชีอะฮ์ยกย่องเทิดทูน ได้บันทึกคำพูดของท่านอาลีไว้ดังนี้
          แท้จริง อัลลอฮ์ได้แต่งตั้งนบีมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์ และทำให้ท่านเป็นกลไกในการชักนำประชาชนให้ผละออกจากหนทางแห่งความชั่วและความต่ำทราม เพื่อจะได้ปกป้องพวกเขาให้พ้นจากการลงโทษในอาคิเราะห์ และพระองค์ยังได้ทำให้ท่านนบีเป็นกลไกในการสร้างสันติภาพและความปรองดองในหมู่ผู้ศรัทธา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าท่านมีความขัดแย้งและความบาดหมางกัน ต่อมาอัลลอฮ์ได้ทรงเรียกท่านกลับคืนไปสู่พระองค์ และบรรดาผู้ศรัทธาได้ทำให้อบูบักรเป็นคอลีฟะห์ของท่านนบี ในเวลาต่อมา อบูบักรได้แต่งตั้งให้อุมัรเป็นผู้สืบทอดของเขา ทั้งสองได้ฉายให้เห็นการกระทำที่น่ายกย่อง และยังผดุงรักษาความยุติธรรมและความเท่าเทียมเอาไว้ ดังนั้นเราจึงพบว่าเขา (อบูบักรและอุมัร) ได้ปกครองดูแลอุมมะฮ์ก่อนหน้าเรา ถึงแม้ว่าเราในในฐานะที่เป็นสมาชิกในครอบครัวของท่านนบีจะมีสิทธิในการเป็นคอลีฟะห์มากกว่าก็ตาม แต่เราก็ได้อภัยให้พวกเขา (คำธิบายนะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ หน้าที่ 447)
          คำพูดของท่านอาลีข้างต้นนี้เป็นที่ชัดเจนว่าท่านชื่นชมและให้การยอมรับในการเป็นคอลีฟะห์ของท่านอบูบักร์และท่านอุมัร และท่านก็เรียกอบูบักร์ว่าเป็นคอลีฟะห์อย่างเต็มปากเต็มคำ นอกจากนั้นท่านยังได้ยืนยันว่าผู้ที่คัดเลือกให้ท่านอบูบักร์ และท่านอุมัร ดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์นั้นก็คือเหล่าบรรดาผู้ศรัทธา แล้วเหตุใดเล่าที่เหล่าชีอะห์อ้างว่า บรรดาศอฮาบะห์ตกมุรตัดทั้งหมดหลังจากนบีเสียชีวิต ในขณะที่ท่านอาลีกลับบอกว่า พวกเขาคือบรรดาผู้ศรัทธา นอกจากนี้ท่านอาลียังยืนยันอีกว่า
          "อันที่จริงแล้วหมู่ชนที่ได้ให้สัตยาบันต่อฉันก็คือกลุ่มชนที่เคยให้สัตยาบันต่อท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร, และท่านอุสมาน" (ส่วนหนึ่งจากข้อความของสาสน์ที่ท่านอาลีส่งถึงมุอาวิยะห์ ระบุใน นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ ตำราขนานเอกของชีอะห์)
           เมื่อท่านอาลียืนยันว่าผู้ที่คัดเลือกท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,ท่านอุสมาน และท่านอาลี เป็นคนกลุ่มเดียวกัน ถ้าเช่นนั้นชีอะห์กล้าที่จะกล่าวไหมว่า บรรดากาเฟรให้สัตยาบันต่อท่านอาลีในการดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ อย่างไรก็ตาม ข้อความทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นคำยืนยันของท่านอาลีเองทั้งสิ้น ซึ่งแตกต่างจากการอุปโลกน์บรรดาอิหม่ามทั้งสิบสองคนของชีอะห์อย่างสิ้นเชิง
          ประการที่หก
          จากการเรียงลำดับคอลีฟะห์ของท่านอาลี โดยนับตั้งแต่ท่านอบูบักร์ อัศศิดดีก เป็นลำดับที่หนึ่ง ท่านอุมัร อิบนุลค๊อตต๊อบ เป็นลำดับที่สอง และท่านอุสมานเป็นลำดับที่สาม หลังจากนั้นประชาชนก็เลือกท่านให้เป็นคอลีฟะห์ต่อจากท่านอุสมาน ซึ่งชาวซุนนะห์ก็นับท่านอาลีเป็นคอลีฟะห์ในลำดับที่สี่  ทั้งหมดนี้เราได้รับทราบและเรียงลำดับจากปากคำของท่านอาลีเอง แต่เราก็ไม่พบหลักฐานที่ท่านอาลีได้กล่าวถึงคอลีฟะห์ลำดับต่อจากท่านจนกระทั่งครบทั้งสิบสองคน ถ้าเช่นนั้นแล้วคอลีฟะห์ที่เหลืออีกจำนวน 8 คนคือใคร แต่หากเหล่าชีอะห์จะหยิบเอาบรรดาอิหม่ามของพวกเขามาต่อท้ายจากการเรียงลำดับของท่านอาลีข้างต้นนี้ ก็จะทำให้มีจำนวนเกินกว่า 12 คนแน่นอน ถ้าเช่นนั้นเหล่าชีอะห์จะยอมทิ้งการอุปโลกน์ของพวกเขา แล้วกลับมาเอาอย่างที่ท่านอาลีบอก หรือว่าจะทิ้งคำของท่านอาลี แล้วถือเอาเรื่องโกหกเป็นแก่นสารในศาสนาของพวกเขาก็ตามใจเถิด
          ในช่วงที่เรากล่าวถึง คิลาฟะห์นุบูวะห์ ตามที่ท่านบีบอกว่า จะมีระยะเวลา 30 ปีหลังจากท่าน ซึ่งเราได้เรียงลำดับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของแต่ละท่านมากระทั่งมาสุดที่ท่านที่ห้าคือ ฮะซันบุตรของท่านอาลี เป็นระยะเวลา 30 ปีพอดี ซึ่งเหล่าชีอะห์ก็คงจะนึกถึงอิหม่ามคนโปรดของพวกเขาคือ ท่านฮุเซน ว่ากระเด็นไปอยู่นอกโผได้อย่างไร แต่จะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อท่านนบีขีดกรอบเวลาไว้แค่นี้ และท่านอาลีเองก็นับไล่เรียงไว้ดังนี้ หรือเหล่าชีอะห์จะนำเอาท่านฮุเซนมาเป็นคอลีฟะห์ในลำดับที่หก เราก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่จะหยิบใครมาใส่เรียงต่อจากนี้ก็ต้องคำนึงถึงคำของท่านนบีที่เรานำเสนอไว้ก่อนหน้านี้ด้วยว่า คอลีฟะห์นั้น ประชาชาติอิสลามทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้การปกครองของเขา    แต่ที่สำคัญก็คือ อย่าได้หยิบเขามาเป็นหุ่นเชิดเท่านั้น เหมือนดั่งที่เหล่าชีอะห์มักจะหยิบยกท่านอาลีและวงศ์วานของท่านไปแอบอ้าง แต่ความเชื่อ,การปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขาช่างไกลห่างจากท่านอาลีและวงศ์วานของท่านเหลือเกิน
          นอกจากนี้นักวิชาการซุนนะห์ยังให้การยอมรับว่า อุมัร อิบนุอับดิลอะซีซ ก็เป็นคอลีฟะห์อีกท่านหนึ่งด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยความทรงธรรมและด้วยบทบาทของท่านเด่นชัดในการปกครองรัฐอิสลามด้วยอิสลามจริงๆ

          ประการที่เจ็ด

          การที่ท่านนบีได้กล่าวถึงคอลีฟะห์จำนวนสิบสองคนหลังจากท่านจนกระทั่งถึงยุคสุดท้ายก่อนกิยามะห์จะเกิดขึ้น และในสิบสองคนนี้ท่านได้เจาะจงเฉพาะที่เป็น คิลาฟะห์นุบูวะห์ (ตัวแทนของท่านนบี) ภายในระยะเวลาหลังจากท่าน 30 ปี นอกจากนั้นก็จะเป็นบรรดาคอลีฟะห์ที่มาทำหน้าปกครองรัฐอิสลาม และเป็นผู้นำแห่งประชาชาติอิสลามทั้งมวล ซึ่งเราได้ทราบถึงชื่อเสียงเรียงนามของพวกเขามาแล้วส่วนหนึ่ง มาถึงตรงนี้ท่านคงต้องการจะทราบว่า ที่เหลืออีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นใคร,ชื่ออะไรกันบ้าง แต่ที่แน่ๆก็คืออิหม่ามสิบสองของลัทธิชีอะห์นั้นไม่ใช่สิบสองคอลีฟะห์แน่นอนตามที่เราได้พิสูจน์มาแล้วด้วยคำของท่านอาลีเอง
          ความจริงฮะดีษในเรื่องนี้นั้น ท่านนบีได้แจ้งถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า เช่นเดียวกับที่ท่านได้แจ้งถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าในเรื่องอื่นๆ ซึ่งบางเรื่องได้ปรากฏให้คนยุคสุดท้ายอย่างพวกเราได้รู้ได้เห็นแล้ว และบางเรื่องก็ยังไม่ปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์ ตัวอย่างเช่นการที่ท่านนบีได้พูดถึงเรื่อง ดัจญาล ว่า
لاَ تَقُوْمُ السَاعَةُ حَتَّى يَخْرُجَ ثَلاَثُوْنَ دَجَّالُوْنَ كُلُّهُمْ يَزْعُمُ أنَّهُ رَسُوْلُ اللهِ
"กาลอวสานจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่า ดัจญาลสามสิบตนจะปรากฏ พวกเขาทั้งหมดจะอ้างว่าเป็นรอซูลของอัลลอฮ์" สุนันอบีดาวู๊ด ฮะดีษเลขที่ 3772
          อย่างนี้คือเหตุการณ์ที่ท่านบีแจ้งไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกัน ซึ่งเราเองก็ยังไม่ได้ประจักษ์ถึงตัวตนของดัจญาลทั้งสามสิบตนตามที่ท่านนบีกล่าวไว้ และเราก็ไม่สามารถที่จะคาดเดาถึงอนาคตในสิ่งที่เราไม่รู้ไม่เห็นได้เลย แต่เราก็ศรัทธาตามที่ท่านนบีได้บอก และการที่ท่านนบีกล่าวว่า "ศาสนานี้จะยังคงธำรงอยู่จนกว่าจะถึงกาลอวสาน หรือจนกว่าจะมีสิบสองคอลีฟะห์มายังพวกเจ้า" ก็เป็นแจ้งล่วงหน้าเช่นเดียวกัน ซึ่งบางส่วนก็ปรากฏและเป็นที่ประจักษ์แล้วและบางส่วนก็ยังมิได้ปรากฏให้เป็นที่ประจักษ์ ซึ่งจุดยืนของชาวซุนนะห์ในเรื่องนี้คือ การที่จะไม่พูดอะไรโดยปราศจากหลักฐานหรือข้อเท็จจริง ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ก็ทรงเตือนบรรดาผู้ศรัทธาในการจะพูดถึงเรื่องใดจากการคาดเดาว่า
وَمَالَهُمْ بِذَلِكَ مِنْ عِلْمٍ إنْ هُمْ إلا يَظُنُّوْنَ
"และสำหรัพวกเขามิได้มีความรู้ในเรื่องนั้นหรอกนอกจากคาดเดา" ซูเราะห์อัลญาซียะห์ อายะห์ที่ 24
وَلاَ تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ إنَّ السَمْعَ وَالبَصَرَ وَالفُؤَادَ كُلُّ أُوْلئِكَ مَسْئُوْلاً
"และเจ้าอย่าได้เชื่อตามในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงการได้ยิน (หู) การเห็น (ตา) และหัวใจนั้น ทั้งหมดย่อมถูกสอบสวน"  ซูเราะห์อัลอิสรออ์ อายะห์ที่ 36
          ท่านอิบนุฮะญัร อัลอัสกอลานีย์ นักวิชาการระบือนาม เจ้าของหนังสือ ฟัตฮุลบารีย์ เป็นหนังสืออธิยายฮะดีษศอเฮียะห์บุคคอรี ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
"ไม่มีหลักฐานใดๆที่จะมาเจาะจงความฮะดีษบทนี้" ฟัตฮุ้ลบารย์ 16 หน้าที่ 338
          ด้วยเหตุนี้ชาวซุนนะห์จึงมีจุดยืนที่มั่นคงในการที่จะไม่วิจารณ์เหตุการณ์ล่วงหน้า ในสิ่งที่ไม่มีตัวบทหลักฐานมายืนยันในประเด็นที่เกี่ยวกับสิบสองคอลีฟะห์ ว่าจะปรากฏครบถ้วนในยุคใดหรือปีใด ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในผู้รอคอย และชาวซุนนะห์ก็เชื่อตามที่ท่านนบีบอก และเชื่อในสิ่งที่ได้ปรากฏแล้วบางส่วนตามคำยืนยันของท่านอาลี แต่เหล่าชีอะห์กลับมีความเชื่อที่สวนทางกับท่านอาลีเสียเอง อย่างนี้พิศดารไหม

           ประการที่ 8
          ตามที่ได้พิสูจน์กันมาก่อนแล้วว่า สิบสองคอลีฟะห์ ที่ท่านนบีกล่าวถึง ไม่ใช่สิบสองอิหม่าม ของลัทธิชีอะห์ ตามคำยืนยันของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ แต่เหล่าชีอะห์ก็ยังไม่ละความพยามยามในการที่จะบิดเบือนความหมายของฮะดีษ ซึ่งพวกเขาพยายามที่จะโพทนาว่า สิบสองคอลีฟะห์ หรือสิบสองอิหม่ามตามการบิดเบือนของพวกเขานั้น ทั้งหมดมาจากตระกูลบะนีฮาเซ็ม ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับบรรดาอิหม่ามทั้งสิบสองคนของพวกเขาโดยตรง ทั้งๆ ที่ในตัวบทฮะดีษระบุไว้ชัดเจนว่า ทั้งหมดมาจากกุรอยช์ ไม่ใช่เฉพาะตระกูลบะนีฮาเซ็มที่เหล่าที่ชีอะห์ได้แอบอ้าง
           พฤติกรรมของเหล่าชีอะห์เยี่ยงนี้ ทำให้นึกถึงคำพูดของท่านนบีที่ว่า "ถ้าไม่มียางอายก็ทำเถิดในสิ่งที่อยากทำ"  ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 3225


เขียนโดย  อ . ฟารีด  เฟ็นดี้
  •  

L-umar


۩   ความจริงบทความของท่านอาจารย์วาฮาบีและอะชาอิเราะฮ์ทั้งสอง   มีหลายจุดที่ต้องชี้แจง

แต่เพื่อป้องกันการสนทนาออกนอกกรอบที่วางไว้   จึงจะขอชี้แจงเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เราตั้งไว้เท่านั้น  ۩
  •  

L-umar

ท่านจะเห็นได้ว่าทั้ง  

อ. อารีฟีน แสงวิมาน

และ

อ. ฟารีด เฟ็นดี้


ต่างพยายามอย่างสุดกำลัง ด้วยความชำนาญภาษาอาหรับ จึงนำมาอธิบายแบบเบี่ยงเบนบิดเบือนตัวบทหะดีษกับพี่น้องมุสลิมตาดำๆทั่วไปว่า  

คอลีฟะอ์ กับ  อิหม่าม   มีความหมายไม่เหมือนกัน

การที่เขาทั้งสองกล่าวเช่นนั้นเพราะมีจุดประสงค์หลักคือต้องการบอกว่า

คอลีฟะอ์ซุนนี่  กับ  อิหม่ามชีอะฮ์  ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยนั่นเอง


เพราะฉะนั้นอันดับแรก
เราต้องมาดูคำ " อิหม่าม " ว่าตามทัศนะอุละมาอ์ซุนนี่ได้ให้ความหมายมันไว้อย่างไร
  •  

L-umar


นักปราชญ์ซุนนี่ได้ให้ความหมายคำ  " อิหม่าม  "  ในหะดีษว่าหมายถึง  " ผู้ปกครอง "


عَنِ النَّبِىِّ - صلى الله عليه وسلم - قَالَ « سَبْعَةٌ يُظِلُّهُمُ اللَّهُ فِى ظِلِّهِ يَوْمَ لاَ ظِلَّ إِلاَّ ظِلُّهُ الإِمَامُ الْعَادِلُ

ท่านนบี(ซ็อลัลลอฮูอาลัยฮีวาซัลลัม)กล่าวว่า   มีบุคคลเจ็ดประเภท อัลลอฮจะทรงให้พวกเขาอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระองค์ ในวันที่ไม่มีร่มเงาใดๆ นอกจากร่มเงาของพระองค์ ได้แก่
 
1.   ผู้ปกครองที่ยุติธรรม  (อิหม่าม อาดิล)

2.   ชายหนุ่มที่ชีวิตของเขาผูกพันอยู่กับการอิบาดะฮต่ออัลลอฮ  อัซซะวะญัลละ
3.   ชายคนหนึ่งที่หัวใจของเขาผูกพันอยู่กับมัสญิด
4.   ชายสองคนรักกันในหนทางของอัลลอฮ รวมกันในหนทางของอัลลอฮ และแยกกันในหนทางของอัลลอฮ
5.   ชายคนหนึ่งเมื่อได้มีสตรีพร้อม และรูปงาม ชักชวนสู่การทำซินา เขาจะกล่าวว่า \\\"แท้จริงฉันกลัวอัลลอฮ\\\"
6.   ชายคนหนึ่งได้บริจาคทาน โดยเขาปกปิดการศอดะเกาะฮฺของเขา จนกระทั่งมือซ้ายของเขาไม่รู้สิ่งที่มือขวาของเขาได้บริจาคไป
7.   ชายคนหนึ่ง เขาได้รำลึกถึงอัลลอฮอยู่ตามลำพัง จนกระทั่งน้ำตาเอ่อล้นออกมา

ดูซอฮิ๊ฮ์บุคอรี  หะดีษที่  660


อ้างอิงคำแปลจากเวบซุนนี่ชื่ออิสลามไซเบอร์
http://www.islamcyber.co.cc/forum/index.php?topic=2.0
  •  

87 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้