Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

เมษายน 28, 2024, 04:34:27 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,625
  • หัวข้อทั้งหมด: 650
  • Online today: 65
  • Online ever: 153
  • (เมษายน 26, 2024, 05:40:09 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 53
Total: 53

คำปราศรัยของพลเอกชวชิต เรื่องนครปัตตานี

เริ่มโดย L-umar, พฤศจิกายน 20, 2009, 10:32:03 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


เรื่องจริงอยากรู้ : ตามคำเรียกร้อง คำปราศรัยของพลเอกชวชิต เรื่องนครปัตตานี (ร่ำลือกันว่าคนฟังน้ำตาไหล)
มุสลิมไทยดอทคอม ตามคำเรียกร้อง คำปราศรัยของพลเอกชวชิต เรื่องนครปัตตานี (ร่ำลือกันว่าคนฟังน้ำตาไหล)

 
 
 
คำปราศรัยของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เรื่องนครปัตตานี ที่จ.ปัตตานีเมื่อวันที่ 3 พ.ค.ฉบับถอดความโดยไม่ได้เรียบเรียง

กราบเรียนพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานคณะทำงานและผู้มีเกียรติทุกท่าน ข้าพเจ้านายอับดุลรอนิ กาหามะ บัดนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขออนุญาตเรียนเชิญท่านได้กล่าวให้โอวาสต่อไป ขอเรียนเชิญครับ

ท่านประธานจัดงานชุมนุมองค์กรภาคประชาชนเพื่อเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ท่านเลขาธิการคณะทำงานองค์กรเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนบรรดาท่านผู้มีเกียรติที่คณะทำงานได้เรียนเชิญท่านมา ที่สำคัญที่สุดก็คือบรรดาพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เคารพรักทุกท่าน

ก่อนอื่นต้องขออนุญาตกราบเรียนว่ามีความสุขมากเลยครับวันนี้ มีสบายใจ ความสุขใจมากที่ได้กลับมาเยี่ยมเยียนพี่น้องของผมอีกครั้งหนึ่ง

พี่น้องที่เคารพครับผมตระหนักดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรา ตลอดระยะเวลาเกือบ 6 ปีที่ผ่านมา ผมตระหนักดีถึงความทุกข์ยากที่พี่น้องได้รับ แล้วก็อนาคตที่มองยังไม่เห็นความสำเร็จในอนาคตอันใกล้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำความเจ็บปวดให้กับตัวผมเอง แล้วก็ให้กับพวกเราทุกคนที่มีความผูกพันกับพ่อแม่พี่น้องในจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้

พี่น้องที่เคารพครับ  สำหรับตัวผมเองนั้นอาจจะมีความรู้สึกที่ค่อนข้างที่จะอยู่ในระดับที่ไม่ค่อยสบายค่อนข้างจะมาก เพราะว่า พี่น้องก็คงจะรู้ว่าไม่มากก็น้อยในสายเลือดผมเป็นสายเลือดของพ่อแม่พี่น้องแต่เดิม เมื่อ 400-500 ปีก่อน

ต้นตระกูลผมก็มาอาศัยชีวิตและก็มาเสียชีวิตอยู่ที่นี่ ท่านสุลต่านสุลัยมาน ซึ่งยังอยู่ในหัวใจของพ่อแม่พี่น้องชาวมุสลิมมาโดยตลอด พี่น้องที่เคารพครับ ก็ด้วยความผูกพันดั่งกล่าวนั้น ก็เลยทำให้ชีวิตผมกับพ่อแม่พี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ค่อนข้างที่จะใกล้ชิดกัน มีคนถามผมว่าทำไมถึงมีความสนิทสนมกับพี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้มาก

ผมก็ได้เรียนให้เขาทราบว่า ว่าผมยังเป็นหนี้ชีวิตของพ่อแม่พี่น้องอยู่ เพราะเป็นสิ่งที่ได้เคยตั้งใจ ตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้กับตัวเองว่า ถ้าทำภาระหน้าที่ให้พ่อแม่พี่น้องในกรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไปสู่ความผาสุก ไปสู่ความสงบสุข มีความสุขไม่ได้ ก็คงจะยุติบทบาทภารกิจทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็คงจะต้องถือว่าการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของการทำงานการเมืองครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะมาใช้หนี้และก็ทำภารกิจที่ยังไม่จบสิ้นครั้งนี้ให้สำเร็จให้จงได้

พี่น้องที่เคารพครับ ผมขออนุญาตเรียนพี่น้องเรียนให้ทราบ ความจริงก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ว่าเป็นส่วนที่เกี่ยวกับพี่น้องไม่มากก็น้อย จึงจำเป็นต้องเรียนให้ทราบ การตัดสินใจเข้ามาทำงานทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง ก็อย่างที่บอก ว่าเป็นห่วงพี่น้องใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อันนี้เป็นเรื่องใหญ่

เรื่องที่ตามมาก็คือว่า ประเทศชาติของเราวันนี้ ค่อนข้างที่จะอยู่ในภาวะที่มืดทึบ ความแตกแยกของคนในชาติ ความเห็นที่แตกต่างกัน มีอยู่ในสังคมไทยของเรา เกือบจะทุกแห่งหน เกือบจะทุกองค์กร แม้กระทั้งครอบครัว ก็ยังมีความแตกแยกทางความคิดอย่างน่าเป็นห่วง

กระผมได้เฝ้าคอยดูหนทางในการแก้ไข ว่าจะมีผู้ใดในแผ่นดินนี้ได้เสนอแนวทางต่างๆ ที่จะแสดงออกอย่างชัดเจนถึงวิถีทางที่จะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชาติบ้านเมืองของเรา ก็ยังไม่เห็น วันนี้ยังไม่เห็นจริงๆ พี่น้องที่เคารพครับ ว่าจะมีผู้ใดหรือหน่วยงานใด ที่เสนอความคิดนี้ขึ้นมา

ก่อนอื่นต้องขออนุญาตที่จะเรียนให้พี่น้องให้ได้รับทราบก่อน ความขัดแย้งในบ้านเมือง หรือปัญหาหลักของบ้านของเมืองของเรา ได้ของเราได้ถูกถ่ายทอดลงไปเป็นปัญหาของพวกเราในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาของเราก็คือปัญหาของชาติ ปัญหาของชาติก็คือปัญหาของเรา ถูกถ่ายทอดลงมาสู่พวกเรา แหละปัญหาของชาติที่เกิดขึ้นจนถึงวันนี้ ซึ่งมีระยะเวลาที่ยาวนานจนตั้งแต่ปี 2475 ขอพูดย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เป็นสถานการณ์ที่ยืดเยื้อยาวนาน มาว่าบ้านเรานี่ 77 ปีที่นี่แล้ว เรายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชาติได้เลย

พี่น้องครับ เมื่อปี พ.ศ.2575 มีคณะราษฎร์ หรือเราเรียกว่า "คณะราษฎร" ซึ่งเป็นคณะที่ประกอบไปด้วยผู้คนหลายหมู่หลายเหล่า มีทั้งพี่น้องพลเรือนตำรวจทหารและเป็นพี่น้องประชาชนโดยทั่วไป ได้รวมตัวเรียกตัวเองว่า "คณะราษฎร์" มีความปรารถนาที่จะสร้างบ้านแปลงเมือง ที่จะสร้างบ้านสร้างเมือง ให้มีความเจริญก้าวหน้าเหมือนกับนานาประเทศ อารยะประเทศที่เขาได้เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองเขาไปแล้ว

นั่นก็คือมีความประสงค์ที่จะเปลี่ยนให้อำนาจของพระมหากษัตริย์ซึ่งแต่เดิมเป็นของพระมหากษัตริย์ ให้กลับมาเป็นของพี่น้องคนไทย ที่เราเรียกว่า เป็นการเปลี่ยนการปกครองการจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชที่เป็นระบอบเผด็จการรูปแบบหนึ่ง มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองเป็นของพี่น้องประชาชน เขามีความปรารถนาที่ดี เขาจึงไปขออำนาจนั้นจากพระมหากษัตริย์ไทยในยุคนั้น ก็คือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์ไทย ในพระบรมราชจักรีวงศ์พระองค์หนึ่ง

ซึ่งได้สืบทอดเจตนารมณ์ของพระองค์ท่าน พระราชประสงค์ของพระองค์ท่านมาจากพระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆ ก็คือในรัชการที่ 6 รัชการที่ 6 ก็รับการสืบทอดมาจากรัชการที่ 5 พระมหากษัตริย์ไทย ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ มีพระราชหฤทัย หรือพระราชประสงค์พูดง่ายๆ ว่ามีความต้องการจะเปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่แล้ว

โดยเอาอำนาจของพระองค์ท่านที่มีอยู่นั่นนะ มาให้พี่น้องประชาชน อันนี้เป็นพระราชประสงค์ ผมอยากจะนำสิ่งนี้มาเรียนกับพ่อแม่พี่น้องของผมได้รับทราบ ว่านี่คือน้ำพระทัยของพระมหากษัตริย์ไทย มีพระราชประสงค์แล้วก็คิดถึงผลประโยชน์ของพ่อแม่พี่น้องประชาชนนั้นเป็นหลัก เพราะฉะนั้นในรัชการที่ 7 พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านมีพระราชประสงค์เรื่องนี้อยู่แล้ว

พี่น้องที่เคารพครับ ท่านต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่แล้ว เผอิญพวกเราใจร้อนไปหน่อย ไปขอพระราชอำนาจจากพระองค์ท่าน ซึ่งพระองค์ท่านก็ทรงมอบให้โดยดี พร้อมกับ...! กำชับอย่างชัดเจนว่า ที่พระองค์ท่านทรงมอบอำนาจมาให้กับพวกเรามานั้น ต้องการที่จะให้เอาอำนาจที่มีอยู่นี้ ให้กับพี่น้องประชาชน ไม่ต้องการที่จะมอบให้กับคนหนึ่งคนใด หรือคณะหนึ่งคณะใดโดยเด็ดขาด ต้องการที่จะมอบให้กับพี่น้องประชาชน นั่นคือพระราชประสงค์ แล้วพระองค์ก็ทรงพร่ำพูดสิ่งนี้ เตือนสิ่งนี้ แก่คณะราษฎรซึ่งเป็นคณะที่ไปขออำนาจจากพระองค์ท่านมาโดยตลอด

ปรากฏว่า เราก็ยังไม่ได้ทำให้ต้องตามพระราชประสงค์ คือยังไม่ได้เอาอำนาจที่ได้มา ให้กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง นั่นคือสาเหตุหลัก ของความขัดแย้งในแผ่นดินไทยมาโดยตลอด เรายึดอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี 2495, 2496  1 ปีให้หลัง เกิดกบฏ เรียกบวรเดช เกิดการรบราฆ่าฟันในแผ่นดินเป็นครั้งแรก  2497 อีก 1 ปีถัดมา พี่น้องครับ..!  พระปกเกล้าเจ้าอยู่ทรงสละราชสมบัติ เพราะพระองค์เห็นว่า พวกเราคงไม่ได้ทำตามพระราชประสงค์แล้ว

พอถัดมา 2498-2499 ลงมาเรื่อยๆ เกิดการแย่งชิงอำนาจกันมาโดยตลอด เกิดความขัดแย้งในแผ่นดินมาโดยตลอด ความขัดแย้งในแผ่นดินออกมาในรูปของการแย่งชิงอำนาจกัน การยึดอำนาจโดยใช้กำลังทหาร มีการรัฐประหารไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง พี่น้องประชาชาชนประสบความยุ่งยาก ความลำบาก ความอดอยาก ความยากจนมาโดยตลอด

พี่น้องครับ จนถึงปี 2507 คนไทยส่วนหนึ่งทนไม่ไหว หลบหนีเข้าไปในป่า จับปืนต่อสู้กับพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง ครอบครัวของตัวเอง เพื่อนฝูงของตัวเองที่อยู่ในบ้านในเมือง เกิดการแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย ใช้อาวุธเข้าต่อสู้กันนับเป็นความขัดแย้งทางสังคมที่รุนแรงที่สุด ที่จะเกิดขึ้น กระผมมีบทบาทในตอนนี้แล้ว เข้าไปช่วยเขาทำความเข้าใจกับพ่อแม่พี่น้องประชาชน จนกระทั้งเกิดความสงบสุขขึ้นมาได้

หลังจากเกิดความสงบได้พี่น้องที่เคารพครับ ผมได้พยายามที่จะเอากองทัพซึ่งตอนนั้นเรามีอำนาจสูงสุด เป็นทั้งผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พยายามที่จะเอาอำนาจตรงนั้นมาแก้ไขปัญหาหลักของชาติ คือการเมืองการปกครองที่อำนาจสูงสุดไม่ได้เป็นของประชาชน หรือเราเรียกว่า การปกครองที่ไม่เป็นธรรม เพราะถ้าอำนาจสูงสุดไม่เป็นของประชาชน

การใช้อำนาจก็ไม่ได้ใช้เพื่อประโยชน์ของประชาชน ด้วยเหตุดังกล่าวโครงสร้าง ของพี่น้องประชาชนในแผ่นดินนี้ ยังมีรูปร่างเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ยั่งงี้พี่น้องที่เคารพครับ (ตรงนี้ตอนที่พล.อ.ชวลิต ทำมือเป็นรูปสามเหลี่ยมให้ดู) ข้างบนนิดเดียว คือคนร่ำคนรวย แต่ข้างล่างนี่มหาศาล คนยากคนจน ความแตกต่างระหว่างความร่ำรวยกับความยากจนของคนในชาตินั้นมหาศาล ประเทศใดก็แล้วแต่ ที่พี่น้องประชาชนมีความแตกต่างกันในความเป็นอยู่อย่างมากมาย ประเทศนั้นต้องเกิดปัญหา หรือความขัดแย้งอย่างแน่นอนที่สุด

ผมพยายามแก้ไขปัญหา หลังจากแก้ไขปัญหา ในการต่อสู้ด้วยอาวุธเสร็จแล้ว ก็พยายามที่จะเอากองทัพไปแก้ไขให้การปกครองนั้น เกิดความเป็นธรรม แต่ทำไม่สำเร็จเพราะเราเป็นทหารไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ด้วยเหตุดังกล่าว ผมจึงได้ลาออกจากราชการ เมื่อก่อนจะถึงกำหนดอายุจะครบ 60 ลาออกเมื่ออายุ 56 , 4 ปีที่เสียอำนาจ สละอำนาจ โดยไม่ยอมใช้อำนาจนั้นเข้าไปยึด รัฐประหาร เหมือนอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน

นั่นคือสาเหตุที่ผมลาออก แล้วก็ออกมาเดินต๊อกๆ แล้วก็มาหาพ่อแม่พี่น้อง รวมทั้งมาอยู่กับพ่อแม่พี่น้องอย่างใกล้ชิด ในยุคนั้นสมัยนั้น นั่นคือสาเหตุของการลาออกจากราชการ เพื่อที่จะมาเดินไปสู่การมีอำนาจสูงสุด เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วก็ใช้อำนาจนั่นกลับมาแก้ปัญหาการเมืองและการปกครองที่ไม่เป็นธรรม

เอาสิ่งนี้มาพูดเพื่อให้พ่อแม่พี่น้องได้รับทราบกันว่า "ผมได้พยายามมาแล้วไม่สำเร็จ" จำเป็นต้องลาออก ซึ่งเอาไว้พูดกันว่าเพราะเหตุใด แล้วก็ พี่น้องที่เคารพครับ ก็เฝ้ารอมาจนถึงวันนี้...ว่าจะมีผู้ใด หรือรัฐบาลไหนไหม ที่จะกำหนดแนวทางหรือนโยบายออกมา เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติ แต่ยังไม่ปรากฏ?

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงจำเป็นที่จะต้องกลับเข้ามาสู่ การเมืองการปกครองอีกครั้งหนึ่ง หรือการเมืองอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะใช้ตำแหน่งหน้าที่ตรงนี้ เข้าไปแก้ไขปัญหา เพราะไม่มีทางครับ ถ้าไปอยู่อย่างอื่น หรือไปเป็นทหารหรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ ไม่มีอำนาจพอ ไม่ได้เป็นนักการเมืองแล้วจะไม่สามารถ จะมีอำนาจที่จะเข้าไปจัดการกับบ้านกับเมืองได้ เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง พี่น้องที่เคารพครับ ผมได้เสนอแนวทางตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ยังไม่กลับเข้ามา

เสนอ "โซ่ข้อกลาง" ที่พี่น้องคงจะรู้ โซ่ข้อกลาง หมายถึงคนที่อยู่ตรงกลาง จับซ้ายจับขวา กระชับให้แน่น พยายามดึงเขาเข้ามาให้ต่อเนื่องกัน ให้มีความผูกพันกันให้เป็นเนื้อเดียวกันให้ได้

นั่นก็คือ เอาความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายมาสร้าง มาทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ ซึ่งคนที่เป็นโซ่ข้อกลาง หรือคนที่อยู่ตรงกลางนี้ ต้องมีอำนาจหรือมีกำลังอย่างมากเหลือเกิน พยายามเสนอแนวทางนี้มา แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะคนที่จะมายืนอยู่ตรงกลางและทำหน้าที่เป็นกรรมการ ต้องมีแรงอย่างมหาศาล เหมือนกับสหประชาชาติ ที่ทำได้ เป็นองค์กรกลาง ที่จะดูแลไม่ให้ประเทศต่างๆ ขัดแย้งกัน หรือประเทศที่ขัดแย้งกันก็พยายามสร้างให้เลิกความขัดแย้งกัน ต้องมีองค์กร หรือเป็นองค์กรที่มีพลังอย่างยิ่ง ทำไม่สำเร็จครับพี่น้องเคารพ!

ผมจึงได้ประกาศกับสังคมให้รู้ว่า "ผมทำไม่สำเร็จ" จึงต้องเลือกวิธีที่ 2 ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง วิธีแรก เข้ามายืนอยู่ตรงกลาง ทำหน้าที่ด้วยการเป็นโซ่ข้อกลาง ไม่สำเร็จ วิธีที่สอง เลือกเข้ามาอยู่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายของคู่ขัดแย้ง เรามีคู่ขัดแย้งยืนอยู่ตรงนี้(ทำท่าแสดง) อีกข้างหนึ่งยืนอยู่ตรงนี้ มีความขัดแย้งกัน มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน  

พี่น้องที่เคารพครับ เราจะแก้ตรงนี้ได้ ก็ต้องเลือกวิธีนี้ ก็คือเข้าอยู่ข้างหนึ่งข้างใดในที่นี่ สมมุติว่าเข้ามาอยู่ข้างนี้ แทนที่จะต่อสู้กันอย่างนี้ ผมก็จะหันหลังกลับเสีย แล้วก็เอาพลังทั้งสิ้นที่พรรคการเมืองนี้มีอยู่ เข้าไปทำงานให้กับพี่น้องประชาชนแทน แทนที่จะเอามาต่อสู้กัน กับอีกฝ่ายหนึ่ง วิธีนี้เป็นวิธีที่ผมเห็นว่า เร็วที่สุด ง่ายที่สุด และด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมจึงเลือกใช้วิธีมาอยู่กับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ที่เป็นพรรคใหญ่ เรามีพรรคใหญ่อยู่ 2 พรรค ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ต้องเลือกว่าจะอยู่พรรคไหน พรรคหนึ่งพรรคใด ไม่ใช่ว่าไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์เพราะเขาไม่ดี ไม่ใช่อย่างนั้น

แต่ที่เลือกพรรคเพื่อไทย เพราะพ่อแม่ที่เคารพ ที่นั่งอยู่ตรงนี้ และไม่ได้มาเป็นคนเลือกให้ผม ผมเข้ามาถาม ผมเข้ามาซัก ผมได้ส่งจดหมายมาติดต่อ ผมให้เพื่อนฝูงให้มาซักถาม ว่าจะให้ผม...ถ้าจะให้ผมเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่พี่น้อง จะให้ผมอยู่ที่ไหน ทุกคนชี้มาที่พรรคเพื่อไทยแห่งนี้ ผมก็ไม่ทราบ นอกจากท่านแล้ว ก็ยังมีผู้คนบนแผ่นดินนี้ ซึ่งเป็นคนยากคนจน ชี้ให้ผมมาอยู่พรรคนี้เช่นเดียวกัน

พี่น้องที่เคารพครับ นั่นคือสิ่งที่ผม มาทำงานทางการเมือง แล้วอยู่ในพรรคนี้ แต่ว่าผมไม่ได้ถือว่า พรรคหนึ่ง หรือพรรคอื่นๆ เป็นพรรคที่เป็นศัตรูกับผม ผมถือว่าเขาคือเพื่อน เขาคือพลังอันหนึ่ง ที่มีความคิดเหมือนกับเรา ถ้าร่วมกับเราได้ในการเข้ามาแก้ไขปัญหาให้พ่อแม่พี่น้อง พี่น้องครับ นั่นคือสิ่งที่วิเศษที่สุด พี่น้องที่เคารพคงจะทราบว่า ผมต้องการให้พี่น้องรู้ว่าผมมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะอะไร?

วันนี้ที่ผมได้มายืนอยู่ตรงนี้ พี่น้องครับ ผมได้ส่งหนังสือ กราบเรียนเชิญท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ ไม่ว่าท่านจะอยู่พรรคไหน ไม่ท่านจะไปอยู่ส่วนไหนในสังคมไทย โดยเฉพาะพรรคไหนก็แล้วแต่ ผมได้ส่งหนังสือเชิญไป เพื่อให้มาร่วมกัน ณ ที่นี้ เพราะการมาร่วมกัน ณ ที่นี้วันนี้ เป็นการมาร่วมกันแก้ปัญหาให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแก้ไขปัญหาประเทศชาติ

ขอให้พวกเราได้ละวางความเป็นพรรค ความเป็นพวกเอาไว้ก่อน เอาพลังของเราทั้งสิน มาแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติให้กับพี่น้องประชาชน นั่นคือความมุ่งหมายหลักในการกราบเรียนเชิญท่านมาในวันนี้ ท่านผู้มีเกียรติที่มานั่งอยู่ตรงนี้ ซึ่งผมต้องขอขอบพระคุณท่านด้วย นี่คือสิ่งที่จะสวยงามอย่างเหลือเกิน ถ้าเรามาร่วมมือกันได้อย่างแท้จริง

พี่น้องครับ งานนี้เมื่อสักครู่นี้ท่านเลขาฯ หรือท่านประธานฯได้เรียนให้กับท่านได้ทราบแล้ว ทำกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2547

พี่น้องครับ วันแรกของที่องค์กรประชาสังคม ของพี่น้องประชาชน ที่ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ของสังคมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มารวมกัน แล้วก็มาหารือกัน แล้วก็มาพบปะกัน ครั้งแรกเมื่อมกราคม 2549 พี่น้องที่เคารพครับ 3 ปีเศษแล้ว

วันนั้นผมได้กราบเรียนเชิญ ฯพณฯ ประธานองคมนตรี พลเอกเปรม ติณสุลานนท์ ท่านมาด้วย ผมกราบเรียนเชิญ ฯพณฯ มาเป็นประธาน เพราะเห็นว่า ฯพณฯนั้น มีส่วนที่ผูกพันกับสถาบันอันเป็นที่เคารพรัก สถาบันอันเป็นที่เคารพรัก พี่น้องที่เคารพครับ เมื่อสักครู่นี้ ผมได้เรียนให้ทราบแล้ว

แล้วผมขอกราบเรียนย้ำอีกครั้งหนึ่งเพราะผมได้ทำงานถวายพระองค์ท่านมาตลอดชีวิต เมื่อกราบอยู่เบื้องพระยุคคลบาท ผมตระหนักดีในพระราชหฤทัยของท่าน มีแต่สิ่งที่นึกถึงพ่อแม่พี่น้องประชาชน แน่นอนที่สุด วันนี้มีข่าวมีเรื่องมีราว สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น โปรดได้นึกถึงคำพูดของผมด้วย ว่าในพระราชหฤทัยของพระองค์นั้นใสสะอาด นึกถึงแต่พี่น้องประชาชนที่รักนี้ โดยตลอด

พี่น้องครับ นั่นคือเจตจำนงของเรา ที่ผมได้เชิญในวันนั้น เพื่อต้องการให้ท่านเป็นสื่อ ที่จะนำเอาสุขและทุกข์ของพี่น้องในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าไปกราบบังคมทูลได้อย่างใกล้ชิด

หลังจากวันนั้นมาแล้ว เราได้วางแผนไว้เยอะเลยที่จะทำอะไร โครงการแรกที่จะทำ พาเอาพ่อแม่พี่น้องประชาชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของผม ที่วันนี้นี่ ติดอยู่ในคุกของต่างประเทศ 6 ประเทศด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย พม่า แถวนี้แหละครับ เวียดนาม ฯลฯ ทั้งหมดรวมกันเท่ากัน 1,205 คน เราต้องการที่จะเอาพี่น้องกลับมา ในวันที่ เป็นวันที่เราเรียกว่าวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ปี พ.ศ. 2551 เมื่อปีที่แล้ว

แต่ว่า...เกิดปัญหาความไม่เข้าใจกัน ในกระบวนการของพวกเรานิดหน่อย ก็เลยทำให้โครงการนี้ไม่บรรลุผลสำเร็จ ผมเสียดายอย่างที่สุด แล้ววันนี้ก็ได้ส่งข่าวไปถึงท่านเอกอัครราชทูตที่ดูแลพ่อแม่พี่น้องของเรา แล้วขอฝากไว้...แล้วจะทำให้สำเร็จให้จงได้

เรื่องที่ 2 ที่พยายามทำอยู่ ก็คือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์ พระราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์ไทยกับพระราชวงศ์ของพระมหากษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย

พี่น้องที่เคารพครับมีคนสงสัยว่า เอ๋...ไปยุ่งอะไรด้วยว่ะ  จำเป็นอย่างเหลือเกิน จำเป็นอย่างเหลือเกิน(เน้นย้ำอีกครั้ง) พ่อแม่พี่น้องของผมคงจะรู้ ว่าทำไมจึงจำเป็นจะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์ขึ้น ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนะครับ ความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์

ก็อย่างว่าแหละครับ เผอิญมีเหตุที่เกิดขึ้น และไม่สามารถที่จะทำได้สำเร็จ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เราได้พยายามทำงานเพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่เคารพมาโดยตลอด และอย่างที่ได้กล่าวให้ทราบแล้ว ถ้าไม่มีอำนาจก็ประสบความสำเร็จได้ยาก สิ่งที่ท่านได้กล่าวมาสักครู่นี้ (มีคนกล่าวเรื่องนี้ก่อนหน้าที่ท่านจะมาพูดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาไฟใต้) เป็นสิ่งที่งดงามมากเหลือเกิน กระผมฟังอย่างดี เหมือนกับพ่อแม่พี่น้องฟังได้อย่างดี

พี่น้องที่เคารพครับ มีท่านประธานได้กล่าวมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านเลขาสมชายได้กล่าวมาสักครูนี้ ทำให้เราได้ทราบ

เรื่องที่ 1 เราจะติดต่อกับใคร ที่ถือว่าเป็นพ่อแม่พี่น้องของเรา แต่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม แล้วก็กำลังสร้างปัญหาให้กับพวกเรา จากท่านที่ได้กล่าวมา หรือจากองค์ประกอบของพ่อแม่พี่น้องที่ได้ยืนอยู่ตรงนี้ หรือมาร่วมกันอยู่ตรงนี้ ทำให้เราสามารถที่จะรู้ได้ว่า การติดต่อกับพ่อแม่พี่น้องของเราที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง ก็คือการติดต่อผ่านท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้นั่นเอง (ชี้มายังผู้เข้าร่วมฟังคำปราศรัย) นี่คือจุดติดต่อที่สำคัญที่สุด ก็จะเห็นได้ว่า รัฐบาลก็ดี หรือคนที่กำลังแก้ไขปัญหาของพวกเราก็ดี มักจะพูดว่า "ไม่รู้จะติดต่อกับใคร"

พี่น้องครับ!ผมมาวันนี้ ผมมาโดยที่ผมไม่ได้มีอำนาจอยู่ในมือเลยแม้แต่น้อย ผมมาโดยผมไม่ได้มีงบประมาณที่อยู่ในการดูแลของผมแม้แต่น้อย ผมมาโดยผมไม่ได้มีทหาร และเพื่อนข้าราชการตำรวจ แล้วก็ อส.ต่างๆ ที่รวมกันแล้ว 6 หมื่นเศษ ที่อยู่ในมือผมแม้แต่น้อย ผมไม่มีอะไรเลย มีคนถามผมว่า ไม่มีอะไรในมือเลย แล้วจะมาแก้ปัญหาอย่างไร ผมได้เรียนให้เขาทราบว่า ผมไม่ได้มีสิ่งที่เขาบอก ไม่มีทั้งอำนาจ ไม่มีทั้งเงิน ไม่มีทั้งกำลังพล

แต่ผมมีสิ่งที่เหนือกว่าทุกอย่าง นั่นก็คือ ผมมีน้ำใจ จิตใจ และพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่ยืนอยู่กับผม ยืนอยู่ด้วยกันอย่างไม่หวั่น ที่จะแก้ไขปัญหาตามวิถีทางตามที่เราได้กล่าวมาเมื่อกี้นี้ ตามวิถีทางของความสมานฉันท์และสันติวิธี นั่นคือสิ่งสูงสุด (เสียงปรบมือ)

พี่น้องครับ!นั่นข้อแรก ต่อไปนี้ผมคิดว่า คงจะไม่มีส่วนราชการไหน และคงจะไม่มีหน่วยงานไหนที่จัดการสัมมนาแล้วจัดกันจริง สัมมนา จัดหน่วยนั้นหน่วยนี้ เข้ามาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อที่จะให้ได้คำตอบ หนึ่งในที่เราอยากได้ในคำตอบก็คือ วันนี้ชัดเจนแล้วว่าจะติดต่อกับใคร ติดต่อกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนของผมที่นั่งอยู่ตรงนี้ (เสียงปรบมือ)

เรื่องที่ 2 ที่เขามักจะถามกัน ว่าเมื่อมีการพูดจาเมื่อมีการติดต่อกันแล้ว หลายคนไม่อยากจะให้ใช้คำว่า "เจรจา" ซึ่งข้อเท็จจริงมันเหมือนกัน เอ๊า! ไม่ใช้ก็ไม่ใช้! พูดจา หลังจากพูดจากันแล้ว ติดต่อกันแล้ว หลายคนบอกว่าเขาจะไปสร้างกระบวนการในการติดต่อ หรือกระบวนการสันติภาพได้อย่างไร ก็เหมือนกัน พี่น้องที่เคารพครับ! ชมรม หรือสมาพันธ์ สมาคมที่ประกอบด้วย องค์กรต่างๆ ของประชาสังคมนี่  มันครอบคลุมทุกพื้นที่ทุกตารางนิ้ว ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นี้อยู่แล้ว องค์กรของพ่อแม่พี่น้อง คือขบวนการสันติภาพที่มีความหมายสูงสุดในวันนี้ (เสียงปรบมือ) ติดต่อกับใคร สร้างกระบวนการอย่างไร เสร็จเรียบร้อยแล้ว

เรื่องที่ 3 ก็คือเรื่องจะแก้ไขเรื่องอะไร เมื่อกี้นี้ ท่านประธานบอกมาอย่างละเอียด ต้องการอะไรครับ ความยุติธรรมครับ ความยุติธรรมคือสิ่งสูงสุด ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น "เราไม่ได้รับความยุติธรรมที่เพียงพอ" ไม่ต้องมาพูดกันตรงนี้ พ่อแม่พี่น้องของผมรู้ในสิ่งนี้ได้อย่างดีที่สุด

แต่...สิ่งที่ผมอยากจะนำมากล่าวให้กับพ่อแม่พี่น้องเดี๋ยวนี้วันนี้เลยว่า...ผมอยากให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับการแก้ไขปัญหา ผมอยากจะให้พวกเรา หน่วยงานที่แก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยราชการ ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนตำรวจทหาร "ช่วยมองข้ามหน่อยได้ไหม" มองข้ามว่าปัญหาของพวกเราที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ใช่ปัญหาในเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ส่วนมากจะมองว่าปัญหาสุดท้ายของพ่อแม่พี่น้อง หรือความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรานี้ อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงการแบ่งแยกดินแดน ทำไมไม่มองข้ามไปถึง ว่าปัญหาสูงสุดของพวกเราก็คือ ปัญหาของจิตใจและน้ำใจของพ่อแม่พี่น้องเป็นสิ่งสูงสุด ต้องดูแล ต้องรักษา ไม่ใช่เรื่องนั้น (แบ่งแยกดินแดน) เรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว ไม่เคยปรากฏเลย ว่าพ่อแม่ของเรานั้น จะมีความปรารถนาในการแบ่งแยกดินแดนหรือเป็นอิสระหลุดพ้นจากพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ

พี่น้องครับที่เคารพครับ ! "ผมอยากให้พวกเราทุกคนมองข้ามสิ่งนี้ มองเข้าไปถึงหัวใจและจิตใจของพี่น้องทุกคน ว่าเรามีความเจ็บปวด เรามีความไม่สบายใจในเรื่องของความอยุติธรรมที่เราได้รับเพียงใด ไม่ว่าจะด้านใดทั้งสิ้น"พี่น้องที่เคารพครับ! นี่คือจุดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งจุดหนึ่ง ตรงนี้เป็นจุดที่ผมอยากจะนำมากล่าวให้พ่อแม่พี่น้องได้รับทราบ และก็แน่นอนที่สุดเราจำเป็นที่จะต้องชี้ทาง ซึ่งเมื่อสักครูนี้ ท่านประธานก็ได้ชี้ให้เห็น ชี้ทางให้พี่น้องของเราที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง ที่กำลังเงี่ยหูฟังว่า เรากำลังจะชี้ทางลงให้กับพี่น้องของเราได้อย่างไรบ้าง

สมัยก่อน ที่มีปัญหาเรื่อง คอมมิวนิสต์ ที่ผมได้บอกว่าเป็นความขัดแย้งหลักของเรา เมื่อ 20 กว่าปีก่อน แล้วก็พี่น้องหนีเข้าป่า จับปืนขึ้นต่อสู้กับพวกเรา ในบ้านในเมือง เรามีกฎหมายตามพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ มาตรา 17,18 นั่นคือมาตราที่จะสามารถที่จะใช้ได้เพื่อที่จะเปิดทางลง นั่นคือการ อโหสิกรรม และการนิรโทษกรรม ซึ่งเราต้องทำให้กับพ่อแม่พี่น้องของเรา ที่ได้หลงผิดเข้าไป หรือเข้าใจผิดเข้าไป ในป่าในเขาจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้กับพวกเรา วันนี้เรามีแต่พระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับเรื่องของความมั่นคง ปี 2550 มาตราที่ 20 ซึ่งเราสามารถจะใช้ได้ แต่อำนาจนี้ไปอยู่ที่ศาล

เพราะฉะนั้นพี่น้องที่เคารพครับ ผมเชื่อว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม จะมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานสิ่งนี้ให้กับพวกเรา เมื่อเวลาอันมาถึง และเวลานั้น พี่น้องที่เคารพครับ กำลังใกล้จะมาถึงแล้ว วันนี้คือวันที่ผมต้องการจะสื่อไปยังพี่น้องของผมที่อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ที่อาจจะมาอยู่ในห้องนี้ก็มี หรืออาจจะไม่ได้อยู่ในห้องนี้ก็ได้ หรือจะอยู่บริเวณรอบๆ นี้ อยากจะรู้ว่า ท่านเหล่านั้นมีทางที่เราจะชี้ให้ท่านลงอย่างไรบ้าง

ผมอยากจะเรียนอย่าชัดเจนว่า การออกพระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับนิรโทษกรรมให้กับพวกท่านนั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด และต้องกระทำ ไม่มีที่ไหนหรอกครับ ถ้าจะพูดจากัน จะสร้างสรรค์สันติภาพ แล้วไม่มีพระราชบัญญัติฉบับนี้ออกมาพี่น้องที่เคารพครับ (เสียงปรบมือ)

เราได้พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างมา เปิดทางทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือสิ่งที่ผมได้มายืนพูดในวันรุ่งขึ้น ที่เรามีปัญหาที่กรือเซะ ท่านพ่อแม่พี่น้องของผมจำได้ เรามีปัญหาของเราน่าเสียใจอย่างถึงที่สุด ที่กรือเซะ รุ่งขึ้นผมบินมา แล้วผมก็มายืนอยู่ข้างที่กรือเซะ แล้วผมก็มาประกาศยุทธศาสตร์ของผม 3 ข้อ ถ้าพ่อแม่พี่น้องจำได้ ตั้งแต่ปี 47

พี่น้องที่เคารพครับ!

ข้อที่ 1 ยุทธศาสตร์ที่ว่าด้วยดอกไม้หลากสี

ผมต้องการให้ยุทธศาสตร์ตรงนี้เป็นยุทธศาสตร์ข้อแรก เพื่อที่จะให้คนทั้งแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่พี่น้องของเรา  ที่เหลืออีก 73 จังหวัดได้ตระหนัก ว่าพ่อแม่พี่น้องของเราที่อยู่ที่นี่ หรือลูกเราหลานของเราที่อยู่ที่นี่ ที่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้และสร้างความเสียหายให้กับพวกเรา เขามีเหตุและก็มีผลในการที่จะต้องกระทำสิ่งนี้

พี่น้องที่เคารพครับ! นั่นคือสิ่งที่เราพยายามที่จะกระทำกันมา นั่นคือสิ่งที่พยายามจะบอกกับพ่อแม่พี่น้องทั้งชาตินี้ หรือแม้กระทั่งทั้งสากลให้ทราบว่า สังคมไทยนั้นประกอบไปด้วยคนหรือเชื้อชาติหลายๆ ฝ่าย ซึ่งมีอัตลักษณ์ของตัวเอง มีขนบธรรมเนียมประเพณี มีวัฒนธรรม มีศาสนา ที่ต่างคนต่างมี และคือความสวยสดงดงาม และก็มีความแตกต่างกัน เปรียบเสมือนดอกไม้หลากสี ที่มีสีต่างๆ กันแล้วก็มารวมกันเป็นประเทศชาติ หรือเป็นช่อเดียวกัน มันคือความสวยสดงดงาม มากกว่าดอกไม้ที่มีสีเดียวกัน เขาเรียกทฤษฎีนี้ว่า เป็นทฤษฎีดอกไม้หลากสี คือทฤษฎีที่ต้องการที่จะสื่อไปยังพี่น้องประชาชนทั้งแผ่นดินนี้ ให้เข้าใจ และก็ให้เห็นใจ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรา

ยุทธศาสตร์ข้อที่ 2 ก็คือยุทธศาสตร์ ถอยคนละ 3 ก้าว

ท่านถอย เราถอย เพื่อเปิดพื้นที่ให้ ให้เราสามารถที่จะมานั่ง แล้วก็พูดจากัน ทำความเข้าใจกันได้ ท่านจะมานั่งเอง หรือท่านจะให้พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนหนึ่งคนใด หรือกลุ่มใด มานั่งแทนก็ได้ เป็นสิ่งที่จะต้องมีการพูดจา เป็นสิ่งที่จะต้องให้กระบวนการสันติภาพเกิดขึ้น เพื่อจะมีในการดำเนินงานในขั้นตอนต่อไป

แหละสิ่งสุดท้าย ที่ผมได้เสนอ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ในวันนี้ นั่นก็คือ ผมเสนอ ยุทธศาสตร์ที่ว่าด้วย "นครปัตตานี"

ทำไมผมถึงเสนอยุทธศาสตร์นี้ ผมเสนอยุทธศาสตร์นครปัตตานีให้กับพี่น้องมาตั้งแต่ปี 2547 โดยได้กราบเรียนพ่อแม่พี่น้องโดยชัดเจนว่า การสร้างการปกครองตนเองหรือสิทธิในการดูแลตัวเองในกรอบหนึ่งนั้น จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ผมไม่เห็นพ่อแม่พี่น้องจะปฏิเสธในสิ่งนี้เลย พี่น้องที่เคารพได้รับเอา ยุทธศาสตร์ข้อนี้เอาไว้ เอาไว้ในหัวใจของพ่อแม่พี่น้องตลอดเวลา ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น

ข้อที่ 1 เกียรติและศักดิ์ศรีของคนมลายู อิสลามที่อยู่ที่ปัตตานี หรือมุสลิมแห่งนี้ คือ คนมลายูมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ในอดีต

สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ เป็นศูนย์กลางแห่งการศึกษาทางด้านศาสนา เป็นศูนย์กลางแห่งการศึกษาทางวิชาการต่างๆ ทางโลก เป็นศูนย์กลางแห่งการค้า เป็นศูนย์กลางแห่งเกียรติประวัติ ในอดีตที่สูงส่งจนถึงทุกวันนี้ มันผิดด้วยหรือที่พวกเราจะยกย่องเอาเกียรติศักดิ์ของบรรพบุรุษเราที่สร้างเอาไว้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ให้เป็นที่ประจักษ์กับโลก (เสียงปรบมือ)

เพราะฉะนั้นที่พ่อแม่พี่น้องพูดว่า จำเป็นจะต้องสร้างการศึกษา จำเป็นที่จะต้องสร้างพิธีการทางศาสนา หรือระบบที่แสดงออกถึงอัตลักษณ์ของพ่อแม่พี่น้องเอง ในนครแห่งนี้นั้น กระผมเห็นด้วยทุกอย่าง และนอกเหนือจากที่พ่อแม่พี่น้องเสนอ

ผมยังขอเสนอเพิ่มเติม ว่าทำไมผมจึงต้องสร้างแนวคิด

นูซันตารา (NUSANTARA) นูซันตาราที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่ นูซันตาราที่เป็นมัสยิด

ที่สามารถจะบรรจุผู้คนได้เป็นหมื่นๆ คน เพื่อเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคแห่งนี้ ในการประกอบ
  •  

53 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้