Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 24, 2024, 06:21:56 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,708
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 15
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 11
Total: 11

วิจัย ความหมายของ “ เมาลา “ และ “ วะลี “

เริ่มโดย L-umar, พฤศจิกายน 02, 2009, 09:01:50 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 3 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


สืบเนื่องจากกระทู้นี้


http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1136&limit=6&limitstart=36#1173


เมื่อเราได้พิสูจน์ให้ท่านได้ทราบแล้วว่า หะดีษษะเกาะลัยน์ + หะดีษเฆาะดีร  นั้นมีสายรายงานเชื่อถือได้ และถูกต้อง



ประเด็นที่จะต้องพิสูจน์กันต่อไปคือ      


คำถามที่    2      คำว่า " เมาลา " และ " วะลี " แปลว่า อะไร  ?
  •  

L-umar


بسم الله الرحمن الرحيم الحمد لله و صلواته على سيدنا محمد و آله الطاهرين

ยุคปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า ความเชื่อของชีอะฮ์อะลีหลายอย่าง กำลังเป็นสิ่งท้าทายและพิสูจน์ความเป็นมุสลิมของผู้ปฏิบัติตามมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์ อะลัยฮิมุสสลาม  


ในขณะที่พวกวาฮาบีและอะชาอิเราะฮ์บางส่วนหันมาศึกษาค้นคว้าตำราชีอะฮ์อย่างขะมักเขม้น จุดประสงค์หลักของพวกเขาคือ นำเนื้อหาสาระจากตำราชีอะฮ์ออกมาโจมตีทุกรูปแบบ


พวกเขามีนักวิชาการมากกว่า มีเวลามากกว่า มีงบประมาณมากกว่าชีอะฮ์หลายร้อยหลายพันเท่า  ดังนั้นท่านจะเห็นได้ว่า พวกเขาได้สร้างเวบไซต์มากมายนำสู่สายตาประชาชน เพื่อทำลายมัซฮับชีอะฮ์  พวกเขาสร้างบทความเป็นรูปภาพมีการตัดต่อเติมแต่งอย่างชำนาญและโลดได้ฟรี   อีกทั้งบทความมากมายทั้งไฟล์เสียง ไฟล์ภาพและในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิก  พูดง่ายๆพวกเขาทุ่มสุดตัวเพื่อทำให้ชีอะฮ์เสียโฉม  


ในฐานะที่ท่านเป็นชีอะฮ์อะลีคนหนึ่ง     ฉะนั้นสิ่งที่ท่านต้องให้ความสำคัญคือ  ควรศึกษาทำความเข้าใจความเชื่อของมัซฮับชีอะฮ์ ตามความสามารถเท่าที่จะทำได้  เพราะทุกเรื่องที่ท่านเชื่อ โปรดทราบว่า วาฮาบีและอะชาอิเราะฮ์เขาเอาไปแก้ไขบิดเบือนมันหมดแล้ว  ยิ่งกว่านั้นเขายังได้เขียนบทความตอบโต้และสร้างคำถามไว้มากมายสำหรับชีอะฮ์



ตัวอย่างเช่น


เรื่องที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ)ได้แต่งตั้งท่านอะลีเป็นคอลีฟะฮ์ที่เฆาะดีรคุม ทั้งๆทีมีตัฟสีรและหะดีษบันทึกไว้มากมายชัดเจนถูกต้อง

แต่หลายครั้งที่เราต้องพบกับการบิดเบือนความหมายของคำ " เมาลา "  และ " วะลี "  ในหะดีษเฆาะดีร ชนิดจงใจและไม่จงใจ  ฉะนั้นสิ่งที่ท่านควรได้ตระหนักคือ




1.   ต้องศึกษาเรื่องการแต่งตั้งอิม่ามอะลีเป็นผู้นำในทางประวัติศาสตร์

2.   ต้องแสวงหาหลักฐานเรื่องการแต่งตั้งอิม่ามอะลีจากตัฟสีรและหะดีษ แม้ว่าจะเป็นหะดีษเพียงหนึ่งบท แต่ขอให้หะดีษนั้นถูกต้องก็เพียงพอ เพราะชีอะฮ์บางคนยังยกหะดีษเศาะหิ๊หฺสักบทหนึ่งมาเป็นสรณะในความเชื่อที่ตนยึดยังไม่ได้เลย และนี่คือความล้าหลังในทางวิชาการ  

3.   ต้องทำความเข้าใจต่อความหมายของตัวบทหลักฐาน ในแง่มุมต่างๆ เท่าที่ทำได้




ประเภทของคำ  เมาลา ในทางภาษาศาสตร์


أقسام المولى في اللسان

หากถามว่า  เมาลา  มีรากศัพท์มาอย่างไร ?


คำเมาลา มาจากคำกริยาสามอักษรคือ

วะลิย่ะ – ยะลี – วิลายะตัน

وَلِيَ ←يَلِي← وِلاَيَةً

แปลว่า  ปกครอง  เขาปกครอง ดูแล


เมาลา ในทางภาษายังแปลได้ถึง  10 ความหมาย คือ :


หนึ่ง -  الاولي อัลเอาลา = ผู้เหมาะสมที่สุด (ต่อเรื่องนั้นหรือกิจการนั้นๆ)  
หมายถึง อัศล์ – أصل = รากเดิมและอิมาด – عماد  = รากฐาน
อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

فَالْيَوْمَ لَا يُؤْخَذُ مِنْكُمْ فِدْيَةٌ وَلَا مِنَ الَّذِينَ كَفَرُوا مَأْوَاكُمُ النَّارُ هِيَ مَوْلَاكُمْ وَبِئْسَ الْمَصِيرُ

ดังนั้น วันนี้การไถ่บาปจะไม่ถูกรับจากพวกเจ้า และจากบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ที่พำนักของพวกเจ้าคือไฟนรก
มันคือ  เมาลา ( สถานที่อันเหมาะสมที่สุด) ของพวกเจ้า และมันเป็นทางกลับที่ชั่วร้ายยิ่ง
บท 57 : 15

เมาลาในอายัตนี้อัลลอฮ์ทรงหมายถึง นรกคือสถานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับกาเฟ็ร ตามที่นักตัฟสีรและนักภาษาศาสตร์ได้อธิบายไว้

สอง – มาลิกุล ริก – مالك الرق =  นาย หรือ เจ้าของทาส

อัลลอฮ์ตรัสว่า

ضَرَبَ اللَّهُ مَثَلًا عَبْدًا مَمْلُوكًا لَا يَقْدِرُ عَلَى شَيْءٍ وَمَنْ رَزَقْنَاهُ مِنَّا رِزْقًا حَسَنًا فَهُوَ يُنْفِقُ مِنْهُ سِرًّا وَجَهْرًا هَلْ يَسْتَوُونَ الْحَمْدُ لِلَّهِ بَلْ أَكْثَرُهُمْ لَا يَعْلَمُونَ

อัลลอฮ์ทรงยกอุทาหรณ์ถึงบ่าวผู้เป็นทาสไม่มีอำนาจในสิ่งใด กับผู้ที่เราได้ให้ปัจจัยยังชีพที่ดีจากเราแก่เขา แล้วก็เขาบริจาคมันโดยทางลับและเปิดเผย พวกเขาจะเท่าเทียมกันละหรือ? บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮ์ แต่ทว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้

وَضَرَبَ اللَّهُ مَثَلًا رَجُلَيْنِ أَحَدُهُمَا أَبْكَم لَا يَقْدِرُ عَلَى شَيْءٍ وَهُوَ كَلٌّ عَلَى مَوْلَاهُ

และอัลลอฮ์ทรงยกอุทาหรณ์ถึงชายสองคน หนึ่งในสองคนเป็นใบ้ เขาไม่สามารถในสิ่งใด และเขาเป็นภาระแก่เมาลา (นาย )ของเขาอีกด้วย
บท 16 : 75,76

อายัตนี้หมายถึง  นายของทาส หรือผู้เป็นเจ้าของ  ผู้ครอบครอง...

สาม – ผู้ให้อิสระ (แก่คนอื่น) - الْمُعْتِقُ

สี่ - ผู้ที่ได้รับการปล่อยให้เป็นอิสระ - الْمُعْتَقُ

ห้า -  อิบนุ อัม  - اِبْنُ الْعَمِّ =  ลูกของลุง  ดังกลอนที่กล่าวว่า
 
مهلا بني عمنا مهلا موالينا لا تنشروا بيننا ما كان مدفونا

ช้าก่อน บนีแห่งลุงของพวกเรา  ช้าก่อนบรรดาบุตรของลุงของเรา...

หก -  นาศิร  -  النَّاصِرُ = ผู้ช่วยเหลือ   อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

ذَلِكَ بِأَنَّ اللَّهَ مَوْلَى الَّذِينَ آَمَنُوا وَأَنَّ الْكَافِرِينَ لَا مَوْلَى لَهُمْ

ทั้งนี้เพราะว่า อัลลอฮ์ เป็นเมาลา (ผู้ทรงคุ้มครอง) บรรดาผู้ศรัทธา และแน่นอนพวกปฏิเสธศรัทธาไม่มีผู้คุ้มครองสำหรับพวกเขา
บท 47 : 11

หมายถึง  จะไม่มีผู้ให้การช่วยเหลือ สำหรับพวกกาเฟ็ร

เจ็ด - อัลมุตะวัลลี - الْمُتَوَلِّي = ผู้ได้รับมอบหมาย เช่น มีหน้าที่ดูแลมรดกหรือเรื่องอื่นๆ

แปด – อัลหะลีฟ - الْحَلِيْفُ =  ผู้ที่เป็นพันธมิตร

เก้า – อัลญารุ – الْجَارُ  =  ผู้เป็น เพื่อนบ้าน

สิบ – อัลอิหม่าม อัสสัยยิด อัลมุฏ๊ออ์  -  الْإِماَمُ السَيِّدُ الْمُطاَعُ = ผู้นำ ,  หัวหน้า และ ผู้ที่ได้รับการเชื่อฟัง

ถ้าท่านสังเกตและพิจารณาความหมายที่ 2 – 10 ให้ดี จะพบว่า ความหมายของมันทั้งหมดจะย้อนกลับไปยังความหมายที่หนึ่ง และทั้งหมดล้วนเอามาจากความหมายแรกทั้งสิ้น

ทำไม  ? เพราะว่า
เจ้าของทาส   เขาย่อมมีสิทธิมากที่สุดต่อการควบคุมทาสของเขา มากกว่าผู้อื่น เนื่องจากเขาเป็นนาย
ผู้ให้อิสระ(แก่ทาส) เขาย่อมมีสิทธิมากที่สุดต่อมรดกของผู้ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ มากกว่าผู้อื่น เนื่องจากเขาเป็นนาย

ลูกของลุง  ย่อมมีสิทธิมากที่สุดต่อการรับมรดก มากกว่าญาติคนอื่นๆ ผู้มีเชื้อสายสืบหลังจากเขา และผู้มีเชื้อสายสืบหลังจากเขา ก็ควรให้การช่วยเหลือต่อลูกของลุง มากกว่าคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติ เพราะเขาคือคนใกล้ชิดมากที่สุดกว่าคนอื่น
ผู้ให้การช่วยเหลือ ถูกเจาะจงด้วยการให้ความช่วยเหลือ เขาจึงมีความสิทธิต่อคำนี้มากกว่าผู้อื่น
ผู้ได้รับมอบหมาย เช่น มีหน้าที่ดูแลมรดกหรือเรื่องอื่นๆ เขาย่อมมีสิทธิมากที่สุดในหน้าที่ๆได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติ
ผู้ที่เป็นพันธมิตรกับอีกฝ่ายหนึ่ง เขาย่อมต้องให้การพิทักษ์ดูแลและช่วบเหลือพันธมิตรของเขามากกว่าผุ้ที่ไม่ใช่พันธมิตรของเขา
ผู้เป็น เพื่อนบ้าน ก็ย่อมสมควรได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนข้างบ้านของเขาก่อนใครๆ เพราะเขาอยู่ใกล้ชิดกันมากกว่า บ้านหลังอื่นๆ

ผู้นำ ผู้ที่ได้รับการเชื่อฟัง  เนื่องจากเขามีสิทธิต้องได้รับการเชื่อฟังจากผู้อยู่ภายใต้การดูและควบคุมของเขา
ดังนั้นการปฏิบัติตามผู้นำจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อผู้อยู่ภายใต้การดูแล และผู้นำมีสิทธิมากที่สุดในการออกคำสั่ง
ความหมายทั้งหมดจึงย้อนกลับไปสู่ความหมายประการแรก

ผลลัพท์ที่เราได้จากการศึกษาคำเมาลาในเชิงภาษาคือ  ทำให้เราทราบความจริงว่า  มุสลิมบางส่วนได้ให้ความหมายของคำ " เมาลา "  ไปในทางมะญ๊าซ คืออุปมาอุปมัย เนื่องจากพวกเขามีอคติและความดื้อดึง

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแปลคำเมาลาไปในทางอุปมาอุปมัยก็ตาม  แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่อาจเลี่ยงหนีไปจากความหมายที่แท้จริงของมันได้เลย


สรุป  

เมาลา  แม้จะให้ความหมายได้มากมาย แต่ความหมายหลักของมันก็คือ  ผู้มีสิทธิมากที่สุดต่อ...นั่นเอง.
  •  

L-umar



การแสดงเหตุผลถึงตำแหน่งอิมามัตของท่านอะลีที่เฆาะดีรคุม


อัลลอฮ์ ตะอาลาตรัสว่า

وَإِذْ أَخَذَ رَبُّكَ مِنْ بَنِي آَدَمَ مِنْ ظُهُورِهِمْ ذُرِّيَّتَهُمْ وَأَشْهَدَهُمْ عَلَى أَنْفُسِهِمْ أَلَسْتُ بِرَبِّكُمْ قَالُوا بَلَى شَهِدْنَا

และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของเจ้าได้เอาจากลูกหลานของอาดัม ซึ่งลูก ๆ ของพวกเขาจากหลังของพวกเขา และให้พวกเขา ยืนยันแก่ตัวของเขาเอง(โดยตอบคำถามที่ว่า)

ข้ามิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าดอกหรือ ?

พวกเขากล่าวว่า    ใช่ขอรับ พวกข้าพระองค์ขอยืนยัน
บท 7 : 172



วันที่  18 เดือนซุลฮิจญะฮ์ ฮ.ศ.ที่  10  นักรายงานหะดีษมากมายเล่าว่า  

ท่านนบี(ศ)ได้รวบรวมฮุจญ๊าจญ์ที่เดินทางกลับจากหัจญะตุลวิดาอ์  ณ.เฆาะดีรคุม   ได้ทำนมาซซุฮ์ริเป็นญะมาอัต  หลังนมาซเสร็จสิ้นท่านนบี(ศ)ได้ปราศรัยกับประชาชนโดยถามพวกเขาว่า

أَلَسْتُ أَوْلَى بِالْمُؤْمِنِينَ مِنْ أَنْفُسِهِمْ

ฉัน มิใช่ผู้มีสิทธิมากที่สุดต่อบรรดาผู้ศรัทธา ยิ่งกว่าตัวของพวกเขาเอง ดอกหรือ ?

قَالُوا بَلَى


พวกเขากล่าวว่า  : หามิได้    ใช่แล้วครับ (คือยืนยัน)

قَالَ مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَعَلِيٌّ مَوْلَاهُ

ท่านจึงกล่าวทันทีว่า  : บุคคลใดที่ฉันมีสิทธิมากที่สุดต่อเขา ดังนั้นอะลีก็มีสิทธิมากที่สุดต่อเขา

(แล้วท่านวิงวอนว่า )

اللَّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالَاهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ وَانْصُرْ مَنْ نَصَرَهُ وَاخْذُلْ مَنْ خَذَلَهُ

โอ้อัลลอฮ์ โปรดเป็นมิตรกับผู้ที่เป็นมิตรกับเขา โปรดเป็นศัตรูต่อผู้เป็นศัตรูต่อเขา และโปรดช่วยผู้ที่ช่วยเขา โปรดทอดทิ้งผู้ที่ทอดทิ้งเขา

ท่านนบี(ศ)ได้กำหนดฟัรฎูหนึ่งต่อพวกเขาคือ ต้องเชื่อฟังอะลี ซึ่งเห็นได้ชัดเจนในคำพูดของท่าน  ลองมาดูกันใหม่อีกครั้ง ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า  :

مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَعَلِيٌّ مَوْلَاهُ

บุคคลใดที่ฉันมีสิทธิมากที่สุดต่อเขา ดังนั้นอะลีก็มีสิทธิมากที่สุดต่อเขา

การใช้อักษัร " ฟาอ์ – ฟะ อะลียุน เมาลาฮุ " เชื่อมต่อจากประโยค มันกุนตุ เมาลาฮุ ทันที โดยไม่มีประโยคใดเข้ามาแทรกกลางนั้น
เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า ท่านอะลีเป็นผู้ที่ " เอาลา – أولي " คือ ผู้เหมาะสมที่สุดและมีสิทธิมากที่สุดต่อบรรดาผู้ศรัทธา สืบต่อจากท่านนบี(ศ)


ฮิกมัตของวจนะของท่านนบี(ศ)ที่กล่าวเช่นนี้คือ เพื่ออธิบายให้ชัดเจนว่า เมื่อพวกเขายืนยันว่า รอซูลุลลอฮ์(ศ)คือ ผู้มีสิทธิมากที่สุดต่อบรรดาผู้ศรัทธา  ต่อจากนั้นอะลีคือผู้มีสิทธิมากที่สุดต่อบรรดาผู้ศรัทธา ต่อจากฉัน


วิธีเบี่ยงเบนคำพูดของท่านนบี(ศ)ที่ชัดเจนให้สับสน พวกเขาทำดังนี้

1.   เขาจะไม่กล่าวถึงตอนนบีมุฮัมมัด(ศ)ถามซอฮาบะฮ์เรื่อง อำนาจสูงสุดของท่านก่อนที่จะกล่าวหะดีษ มันกุนตุเมาลาฮุ ฟะอะลียุนเมาลาฮ์
2.   แปลคำเมาลาว่า มิตรสหาย , คนรัก ,ผู้ช่วยเหลือ ไม่ใช่ผู้ปกครอง


พฤติกรรมเบี่ยงเบนเช่นนี้  วิเคราะห์ได้ดังนี้

1.   ไม่เข้าใจภาษาอาหรับอย่างแท้จริงหรือเข้าใจแต่ยอมรับความจริงไม่ได้
2.   ไม่ใช้สติปัญญาวิเคราะห์ความต่อเนื่องของหะดีษ
3.   ต้องการทำให้ผู้ฟังหลงประเด็นสาระสำคัญของหะดีษ


ไม่ว่าจะบิดเบือนคำ" เมาลา "ไปในทางใดก็ตาม แต่เราอธิบายไปแล้วแต่ต้นว่า  เมาลามีความหมายถึงสิบด้าน แต่ทั้งหมดจะย้อนกลับไปยังความหมายเดิมของมันคือ  " เอาลา "



สรุป

หากนบีมุฮัมมัด  คือ เอาลา ของบรรดามุอ์มิน

ฉะนั้น อะลีคือ เอาลา ของบรรดามุอ์มิน




ทำไมเราจึงกล่าวเช่นนั้น ? เพราะอัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า



النَّبِيُّ أَوْلَى بِالْمُؤْمِنِينَ مِنْ أَنْفُسِهِمْ

นบี (มุฮัมมัดนั้นคือ) ผู้ที่ "เอาลา " มากที่สุดต่อบรรดาผู้ศรัทธา ยิ่งกว่าตัวของพวกเขาเองเสียอีก
บท 33 : 6


หากถามว่า  " เอาลา "  ในที่นี้ควรแปลว่าอะไร ?


1.   เหมาะสมมากที่สุด
2.   มิตรสหาย
3.   ผู้เป็นที่รักยิ่ง
4.   ผู้ช่วยเหลือ
5.   ผู้นำสูงสุดทั้งเรื่องดีนและดุนยา
6.   หรือหมายถึงทั้งห้า


ก่อนตอบคำถาม  ท่านคงต้องถามตัวท่านเองให้ดีเสียก่อนว่า บุรุษที่ชื่อ  มุฮัมมัด  อยู่ในฐานะอะไรสำหรับท่าน ?


คัมภีร์อัลกุรอ่านได้บ่งบอกสถานะของ มุฮัมมัด ไว้ดังนี้


مَا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِنْ رِجَالِكُمْ وَلَكِنْ رَسُولَ اللَّهِ وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ وَكَانَ اللَّهُ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمً

มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาของผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า  แต่เขาเป็นรอซูลุลลอฮ์และเป็น(นบี)คนสุดท้ายแห่งบรรดานะบี

บท 33 : 40

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสชัดว่า  หลังมุฮัมมัด(ศ)สิ้นชีพ จะไม่มีผู้นำที่อยู่ในฐานะนบี อีกแล้ว
นบีมุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวกับท่านอะลีว่า

أَنْتَ مِنِّى بِمَنْزِلَةِ هَارُونَ مِنْ مُوسَى إِلاَّ أَنَّهُ لاَ نَبِىَّ بَعْدِى

เจ้าจากฉัน มีฐานะเหมือนกับมูซาและฮารูน ยกเว้นว่า จะไม่มีนบีหลังจากฉันอีกแล้ว

ซอฮีฮุลมุสลิม  หะดีษ 6370



นบีมูซาวิงวอนกับอัลลอฮ์เรื่องนบีฮารูน

قَالَ رَبِّ اشْرَحْ لِي صَدْرِي (25) وَيَسِّرْ لِي أَمْرِي (26) وَاحْلُلْ عُقْدَةً مِنْ لِسَانِي (27) يَفْقَهُوا قَوْلِي (28) وَاجْعَلْ لِي وَزِيرًا مِنْ أَهْلِي (29) هَارُونَ أَخِي (30) اشْدُدْ بِهِ أَزْرِي (31) وَأَشْرِكْهُ فِي أَمْرِي (32)

เขา (มูซา) กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดเปิดอกของข้าพระองค์ให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
และทรงโปรดทำให้การงานของข้าพระองค์ง่ายดายแก่ข้าพระองค์ด้วย
และทรงโปรดแก้ปม จากลิ้นของข้าพระองค์ด้วย
เพื่อให้พวกเขาเข้าใจคำพูดของข้าพระองค์
และทรงโปรดให้คนในครอบครัวของข้าพระองค์ เป็นผู้ช่วยข้าพระองค์ด้วย
ฮารูนพี่ชายของข้าพระองค์
ได้โปรดให้เขาเพิ่มความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์ด้วย(คือให้เป็นกำลังสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่)
และให้เขามีส่วนร่วมในกิจการของข้าพระองค์ด้วย(คือให้เขามีหุ้นส่วนกับข้าพระองค์ ในการเป็นนะบีและการเผยแพร่สาส์น)

บท 20 : 25 -32


หน้าที่ๆนบีฮารูนสืบทอดต่อจากนบีมูซาเมื่อท่านเดินทางไปรับคัมภีร์เตารอตบนเขา

وَوَاعَدْنَا مُوسَى ثَلَاثِينَ لَيْلَةً وَأَتْمَمْنَاهَا بِعَشْرٍ فَتَمَّ مِيقَاتُ رَبِّهِ أَرْبَعِينَ لَيْلَةً وَقَالَ مُوسَى لِأَخِيهِ هَارُونَ اخْلُفْنِي فِي قَوْمِي وَأَصْلِحْ وَلَا تَتَّبِعْ سَبِيلَ الْمُفْسِدِينَ

และเราได้สัญญาแก่มูซาสามสิบคืน และเราได้ให้มันครบอีกสิบ ดังนั้นกำหนดเวลาแห่งพระเจ้าของเราจึงครบสี่สิบคืน และมูซาได้กล่าวแก่ฮารูนพี่ชายของเขาว่า จงทำหน้าที่แทนฉันในหมู่ชนของฉัน  และจงปรับปรุงแก้ไข และจงอย่าปฏิบัติตามทางของผู้ก่อความเสียหาย

บท 7 : 142


เมื่อนบีมุฮัมมัด(ศ)จากไปอย่างไม่กลับ  อะลีก็คือ คอลีฟะฮ์ นั่นเอง


แต่ด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองหลังท่านนบี(ศ)วะฟาตมันผันแปรไปเป็นอื่น กล่าวคือท่านอบูบักรได้รับเลือกตั้งให้ขึ้นมาเป็นคอลีฟะฮ์เสียแล้ว  ดังนั้นอะฮ์ลุสสุนนะฮ์จึงต้องแปลหะดีษมันกุนตุเมาลาฮุ ฟะอะลียุนเมาลาฮุ ให้เป็นอื่นเสีย มิเช่นนั้นหะดีษนี้มันจะมาทำลายอะกีดะฮ์ของพวกเขานั่นเอง


หากท่านอะลีได้รับเลือกให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ตั้งแต่วันแรกที่ท่านนบี(ศ)วะฟาต
แน่นอนอะฮ์ลุสสุนนะฮ์คงต้องแปลหะดีษมันกุนตุเมาลาฮุ ฟะอะลียุนเมาลาฮุว่า
ผู้ใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา ดังนั้นอะลีก็คือผู้ปกครองของเขาเช่นกัน
والحمد لله وصلي الله علي محمد وآله
  •  

L-umar


เรามาทดลองเปรียบเทียบความหมายหะดีษ

 " มันกุนตุเมาลาฮุ    ฟะอะลียุนเมาลาฮุ "  
   



ทีละความหมาย ตามที่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์อธิบาย  


ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)กล่าวที่เฆาะดีรคุมว่า  :

مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَعَلِيٌّ مَوْلَاهُ


1.   ผู้ใดที่ฉันคือนายทาสของเขา ดังนั้นอะลีคือนายทาสของเขา

2.   ผู้ใดที่ฉันคือทาสของเขา ดังนั้นอะลีคือทาสของเขา

3.   ผู้ใดที่ฉันคือผู้ปล่อยอิสระของเขา ดังนั้นอะลีคือผู้ปล่อยอิสระของเขา

4.   ผู้ใดที่ฉันคือผู้ถูกให้อิสระของเขา ดังนั้นอะลีคือผู้ถูกให้อิสระของเขา

5.   ผู้ใดที่ฉันคือลูกของลุงของเขา ดังนั้นอะลีคือลูกของลุงของเขา

6.   ผู้ใดที่ฉันคือผู้ให้การช่วยเหลือของเขา ดังนั้นอะลีคือผู้ให้การช่วยเหลือของเขา

7.   ผู้ใดที่ฉันคือผู้ได้รับมอบหมายของเขา ดังนั้นอะลีคือผู้ได้รับมอบหมายของเขา

8.   ผู้ใดที่ฉันคือพันธมิตรของเขา ดังนั้นอะลีคือพันธมิตรของเขา

9.   ผู้ใดที่ฉันคือเพื่อนบ้านของเขา ดังนั้นอะลีคือเพื่อนบ้านของเขา

10.   ผู้ใดที่ฉันคือมิตรของเขา ดังนั้นอะลีคือมิตรของเขา

11.   ผู้ใดที่ฉันคือที่รักยิ่งของเขา ดังนั้นอะลีคือที่รักยิ่งของเขา



ลองไตร่ตรองดูให้ดีสิครับว่า  

ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ออกคำสั่งให้ประชาชนนับแสนคนแวะพักลงที่เฆาะดีรคุม เวลาเที่ยง มีแสงแดดอันร้อนระอุ ท่ามกลางทะเลทราย  เพียงแค่อยากบอกกับประชาชนว่า

ใครก็ตามที่ฉันคือมิตรคือคนรักของเขา ดังนั้นอะลีก็คือมิตรคือคนรักของเขา กระนั้นจริงหรือ ???  



เราขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ให้พ้นจากความคิดตื้นๆแบบนี้ด้วยเถิด


สมมุติว่า

ท่านนบี(ศ)เจตนาทำเช่นนั้นจริงๆ ท่านมิได้มีประโยชน์อื่นใดมากไปกว่านี้  แล้วอะไรทำให้ท่านถึงกับต้องสั่งประชาชนให้มารวมตัวกันต่อหน้าท่าน  จากนั้นก็ให้พวกเขายืนยันว่า พวกเขายังตออัต(เชื่อฟัง)ท่านและยอมรับว่าท่านมีสิทธิสูงสุดต่อชีวิตของพวกเขา แน่นอนมันจึงไม่เหลือเจตนาอื่นใดอีก นอกจากท่านนบี(ศ)มีเจตนาที่จะบอกว่า
 
مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَعَلِيٌّ مَوْلَاهُ

ผู้ใดที่ฉันคือ" ผู้ปกครอง " ของเขา ดังนั้นอะลีคือ" ผู้ปกครอง "ของเขา


มันต้องเป็นเรื่องผู้นำ – อิมามะฮ์   ที่บางครั้งท่านใช้คำ " เอาลา - ผู้เหมาะสมที่สุด "

มาอธิบายให้เราได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ท่านได้กำหนดเรื่องการตออะฮ์ต่ออะลีเป็นฟัรฎูสุดท้ายสำหรับประชาชาติแล้ว
  •  

L-umar



เยามุล เราะห์บะฮ์  -  يَوْمُ الرَّحْبَة

วันที่ซอฮาบะฮ์มาแสดงความยินกับท่านอะลีในการเป็นคอลีฟะฮ์



หลังจากท่านคอลีฟะฮ์อุษมานถูกสังหาร  ประชาชนได้หันมามอบสัตยาบันกับท่านอะลีให้เข้ารับตำแหน่งคอลีฟะฮ์ ในช่วงเวลาดังกล่าวมีวันหนึ่ง ท่านอะลีได้ปราศรัยบนมิมบัรที่มัสญิดกูฟะฮ์ โดยท่านได้ทวงถามสิทธิของท่านต่อหน้าบรรดาซอฮาบะฮ์ถึงหะดีษมันกุนตุเมาลาฮุ ฟะอะลียุนเมาลาฮุ ที่เฆาะดีรคุม ซึ่งเรื่องราวมีดังนี้


حَدَّثَنَا حُسَيْنُ بْنُ مُحَمَّدٍ وَأَبُو نُعَيْمٍ الْمَعْنَى قَالَا ثَنَا فِطْرٌ عَنْ أَبِي الطُّفَيْلِ قَالَ :
جَمَعَ عَلِيٌّ رَضِيَ اللَّهُ تَعَالَى عَنْهُ النَّاسَ فِي الرَّحَبَةِ ثُمَّ قَالَ لَهُمْ أَنْشُدُ اللَّهَ كُلَّ امْرِئٍ مُسْلِمٍ سَمِعَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ يَوْمَ غَدِيرِ خُمٍّ مَا سَمِعَ لَمَّا قَامَ فَقَامَ ثَلَاثُونَ مِنْ النَّاسِ وَقَالَ أَبُو نُعَيْمٍ فَقَامَ نَاسٌ كَثِيرٌ فَشَهِدُوا حِينَ أَخَذَهُ بِيَدِهِ فَقَالَ لِلنَّاسِ أَتَعْلَمُونَ أَنِّي أَوْلَى بِالْمُؤْمِنِينَ مِنْ أَنْفُسِهِمْ قَالُوا نَعَمْ يَا رَسُولَ اللَّهِ قَالَ مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَهَذَا مَوْلَاهُ اللَّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالَاهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ
قَالَ فَخَرَجْتُ وَكَأَنَّ فِي نَفْسِي شَيْئًا فَلَقِيتُ زَيْدَ بْنَ أَرْقَمَ فَقُلْتُ لَهُ إِنِّي سَمِعْتُ عَلِيًّا رَضِيَ اللَّهُ تَعَالَى عَنْهُ يَقُولُ كَذَا وَكَذَا قَالَ فَمَا تُنْكِرُ قَدْ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ ذَلِكَ لَهُ

تعليق شعيب الأرنؤوط : إسناده صحيح رجاله ثقات رجال الشيخين غير فطر بن خليفة فمن رجال أصحاب السنن وروى له البخاري مقرونا
مسند أحمد بن حنبل ج 4 / ص 370  ح 19321


ฮูเซน บินมุฮัมมัด กับอบูนุอัยม์ อัลมะอ์นา ได้เล่าให้เราฟัง ทั้งสองกล่าวว่า ฟิฏรุนได้เล่าให้เราฟังจาก   ท่านอบูตุฟัยล์(อามิรบินวาษิละฮ์) เล่าว่า :

ท่านอะลีได้รวบรวมประชาชนในวันเราะห์บะฮ์(แสดงความยินดี) จากนั้นท่านกล่าวกับพวกเขาว่า   ขอให้ท่านสุภาพบุรุษมุสลิมทุกคนสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า

ใครได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวในวันที่เฆาะดีรคุมสิ่งที่เขาได้ยินมา  ก็ขอให้เขายืนขึ้น แล้วประชาชนราว 30 คนได้ยืนขึ้น

อบูนุอัยม์เล่าว่า : มีประชาชนมากมายยืนขึ้น แล้วพวกเขาได้เป็นพยานว่า ขณะที่ท่าน(รอซูลฯ)จับมือเขา(อะลีชูขึ้น) ท่าน(รอซูลฯ)ได้กล่าวต่อประชาชนว่า

พวกท่านรู้หรือไม่ว่า : แท้จริงฉันคือผู้มีสิทธิมากที่สุดต่อบรรดาผู้ศรัทธา ยิ่งกว่าตัวของพวกเขาเอง ?

พวกเขา(ประชาชน)กล่าวว่า :  ใช่แล้วครับ  โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์

ท่านจึงกล่าวว่า : บุคคลใดที่ฉันเป็นเมาลาของเขา ดังนั้นอะลีก็เป็นเมาลาของเขา

(แล้วท่านขอดุอาอ์ว่า)  โอ้อัลลอฮ์ โปรดเป็นมิตรกับผู้ที่เป็นมิตรกับเขา โปรดเป็นศัตรูต่อผู้เป็นศัตรูต่อเขา


อบูตุฟัยล์เล่าว่า :  

ฉันเดินออกมา(จากมัสญิด) อย่างกับในตัวฉันนั้นมีบางสิ่ง(ติดใจว่าทำไมประชาชนไม่ยอมปฏิบัติตามอะลีหลังนบีวะฟาต) แล้วฉันได้พบกับท่านเซด บินอัรกอม  

ฉันจึงกล่าวกับเขาว่า :  แท้จริงฉันได้ยินท่านอะลี กล่าวอย่างนั้น อย่างนี้

ท่านเซดกล่าวว่า  : แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ท่านต้องปฏิเสธ ? แท้จริงฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) กล่าวสิ่งนั้นกับเขาจริง


สถานะหะดีษ  : เศาะหิ๊หฺ  

ดูมุสนัดอิหม่ามอะหมัด  หะดีษ 19321 ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี



เชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี กล่าวว่า  :    อิสนาดของหะดีษนี้  ถูกต้อง  บรรดานักรายงานหะดีษบทนี้ เชื่อถือได้

ซึ่งเป็นบรรดานักรายงานของท่านเชคทั้งสอง (บุคอรีและมุสลิม) ยกเว้น ฟิฏรุน บินคอลีฟะฮ์ เขาเป็นหนึ่งจากนักรายงานของอัศฮาบุส-สุนัน



วิเคราะห์


1.   เมื่อสะนัดหะดีษเชื่อถือได้ มะตั่น(ตัวบท)ก็ถูกต้อง แต่ทำไมอุละมาอ์ซุนนี่บางส่วนจึงกล่าวว่า หะดีษมันกุนตุเมาลาฮ์นี้เป็นหะดีษเมาฎู๊อฺ  หรือว่าพวกเขายอมรับความจริงไม่ได้ในเรื่องนี้

2.   ตัวบทหะดีษเล่าว่า  มีซอฮาบะฮ์ 30 คนยืนยันต่อหน้าผู้คนในมัสญิดกูฟะฮ์วันนั้นว่า พวกเขาได้ยินท่านรอซูล(ศ) กล่าวหะดีษมันกุนตุเมาลาฮ์กับท่านอะลีจริง  นั่นแสดงว่า  หะดีษนี้มีซอฮาบะฮ์รายงานอย่างต่ำสามสิบคน

3.   วันนั้นประชาชนมาเพื่อแสดงความยินต่อการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอะลี  ฉะนั้นท่านอะลีจึงขอให้พวกเขาสาบานว่า เมื่อ 25 ปีที่แล้ว ท่านรอซูล(ศ)ได้แต่งตั้งเขาเป็นคอลีฟะฮ์ไว้แล้วใช่ไหม  ฉะนั้นคำเมาลาจึงจะแปลความหมายเป็นมิตร เป็นที่รักหรือผู้ช่วยเหลือตามที่อุละมาอ์ซุนนี่บิดเบือนไม่ได้ นอกจากต้องแปลว่า ผู้ปกครองหรือผู้นำ ถึงจะเข้ากับสถานการณ์ที่ท่านอะลีกำลังสนทนากับประชาชนอยู่ในวันนั้น

4.   ท่านอะลีต้องการย้ำต่อหน้าประชาชนอีกครั้งว่า ตำแหน่งคอลีฟะฮ์มิใช่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน  แต่ต้องมาจากการแต่งตั้งโดยท่านรอซูล(ศ)เท่านั้น

5.   ท่านอะลีได้ทำให้ประชาชนในวันนั้นได้รับรู้ความจริงอย่างชัดเจนต่อเรื่องตำแหน่งผู้นำของท่านและอะฮ์ลุลบัยต์ในหะดีษมันกุนตุเมาลาฮ์ว่า  มันไม่ใช่เป็นเรื่องของมะฮับบัตและนุซเราะฮ์(ความรักหรือการให้ความช่วยเหลือ) อย่างที่อาเล่มซุนนี่เอามาเล่นลิ้นกันอยู่ในปัจจุบัน

6.   เรื่องความรักและการให้ความช่วยเหลือต่ออะฮ์ลุลบัยต์นั้นถือเป็นหน้าที่ของมุสลิมที่รู้กันดีอยู่แล้วในยุคนั้น แต่นี่มันเป็นเรื่องที่ท่านนบี(ศ)ได้มอบอำนาจปกครองให้ท่านอะลี ไม่ใช่มาขอความรักความช่วยเหลือจากประชาชนกลางทะเลอันร้อนระอุ

7.   ท่านอะลีต้องการชี้แจงให้ประชาชนทราบว่า อำนาจการปกครอง(วิลายะฮ์)ของท่านนั้นได้รับมาจากอำนาจการปกครองของท่านรอซูล(ศ) และอำนาจการปกครองของท่านรอซูล(ศ)นั้นได้มาจากอำนาจวิลายะฮ์ของอัลเลาะฮ์

8.   ส่วนอำนาจวิลายะฮ์ของอัลลอฮ์นั้น มิใช่ยืนอยู่บนเรื่องของความรักและการให้ความช่วยเหลือต่อพระองค์  แต่มันตั้งอยู่บนการเชื่อฟังและการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในคำสั่งใช้และคำสั่งห้ามของพระองค์ในยามมีชีวิตจนถึงวันตาย  และนี่คือสิ่งที่อบูตุฟัยล์ได้ตระหนักถึงความสำคัญของหะดีษมันกุนตุเมาลาฮุฟะอะลียุนเมาลาฮุ ในวันนั้นว่า ทำไมประชาชนถึงได้ปล่อยปละละเลยคำพูดของท่านรอซูล(ศ)มาถึง 25 ปีเต็ม

9.   ด้วยเหตุนี้ซอฮาบะฮ์ที่ชื่ออบูตุฟัยล์หรืออามิร บินวาษิละฮ์จึงยืนอยู่เคียงข้างท่านอิม่ามอะลีมาโดยตลอด เพราะเขาคือชีอะฮ์ผู้ปฏิบัติตามท่านอะลีคนหนึ่งนั่นเอง

10.   แม้ดูภายนอกท่านอะลีต้องฝืนใจยอมให้ท่านอบูบักรเป็นคอลีฟะฮ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ตามกระแสประชาชนในวันนั้น มันเป็นการทำเพื่อความสงบสุขของอุมมัตอิสลาม แต่ท่านอะลีได้กล่าวถึงความขืนข่มในใจที่มิอาจทำหน้าตามที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)สั่งเสียเอาไว้ได้  ซึ่งท่านอิม่ามอะลีได้ปราศัยไว้ดังนี้ :



أَمَا وَ اَللَّهِ لَقَدْ تَقَمَّصَهَا ؟ اِبْنُ أَبِي قُحَافَةَ ؟ وَ إِنَّهُ لَيَعْلَمُ أَنَّ مَحَلِّي مِنْهَا مَحَلُّ اَلْقُطْبِ مِنَ اَلرَّحَى يَنْحَدِرُ عَنِّي اَلسَّيْلُ وَ لاَ يَرْقَى إِلَيَّ اَلطَّيْرُ فَسَدَلْتُ دُونَهَا ثَوْباً وَ طَوَيْتُ عَنْهَا كَشْحاً وَ طَفِقْتُ أَرْتَئِي بَيْنَ أَنْ أَصُولَ بِيَدٍ جَذَّاءَ أَوْ أَصْبِرَ عَلَى طَخْيَةٍ عَمْيَاءَ يَهْرَمُ فِيهَا اَلْكَبِيرُ وَ يَشِيبُ فِيهَا اَلصَّغِيرُ وَ يَكْدَحُ فِيهَا مُؤْمِنٌ حَتَّى يَلْقَى رَبَّهُ فَرَأَيْتُ أَنَّ اَلصَّبْرَ عَلَى هَاتَا أَحْجَى فَصَبَرْتُ وَ فِي اَلْعَيْنِ قَذًى وَ فِي اَلْحَلْقِ شَجًا أَرَى تُرَاثِي نَهْبا


ท่านอิม่ามอะลีกล่าวว่า :  

ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า แท้จริง(ท่านอบูบักร)บุตรชายของอบีกุฮาฟะฮ์ได้สวมตำแหน่งคอลีฟะฮ์ไปแล้ว  ทั้งๆที่ความจริงเขารู้ดีว่า

แท้จริงฐานะถาพของฉันกับตำแหน่งคอลีฟะฮ์นั้น มีความสัมพันธ์กันเฉกเช่นเพลากลางของโม่กับโม่หิน

เขารู้ดีถึง (ความประเสริฐและกระแสคลื่นแห่งความรู้)ที่ไหลหลากออกจากฉัน ฝูงนก (ที่โบยบินโฉบเฉียววนรอบความรู้และวิสัยทัศน์อันทรงคุณค่ายิ่งของฉัน) มันไม่สามารถบินมาถึงฉันได้

ฉะนั้น ฉันจึงปล่อยเสื้อแห่งคิลาฟะฮฺไปและลดตัวเองสวมอาภรณ์อีกผืนหนึ่ง ฉันครุ่นคิดด้วยความปวดร้าวว่า ฉันควรกระโจนลงไปยึดสิ่งนั้นกลับมาด้วยมือเปล่า (ปราศจากผู้ช่วยเหลือ)

หรือว่าจะอดทนอยู่กับความมืดมิดที่เข้าปกคลุมอยู่อย่างนี้ต่อไป และอยู่ในสภาพเช่นนั้นจนผู้ใหญ่ผ่านวัยสู่ความร่วงโรยและเด็กผ่านเข้าสู่วัยหนุ่ม   และผู้ศรัทธาคนหนึ่งต้องอดทนกล้ำกลืนอย่างเจ็บปวดจนกระทั่งกลับคืนสู่พระผู้อภิบาลของตน

ดังนั้น ฉันพิจารณาแล้วเห็นว่า การอดทนกับสภาพทั้งสองย่อมเหมาะสมมากกว่า ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงยอมอดทนทั้งที่ในดวงตาเต็มไปด้วยเศษหนาม และในลำคอมีกระดูกทิ่มติดอยู่ (ฉันรู้สึกเศร้าใจที่สุดที่ท่านอบูบักรเป็นคอลีฟะฮ์) ฉันได้เห็นมรดกของฉันถูกปล้นสะดมไป



อ้างอิงจาก

นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ เล่ม  1 : 30 คุฏบะฮ์ ชักชะกียะฮ์



و الله الموفق للصواب
  •  

L-umar



ความหมาย ของ (( วะลี  ))  


ท่านอะหมัด บินฮัมบัล บันทึกว่า

حَدَّثَنَا عَبْد اللَّهِ حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ حَدَّثَنَا أَبُو بَلْجٍ حَدَّثَنَا عَمْرُو بْنُ مَيْمُونٍ قَالَ :

إِنِّي لَجَالِسٌ إِلَى ابْنِ عَبَّاسٍ إِذْ أَتَاهُ تِسْعَةُ رَهْطٍ فَقَالُوا يَا بْنَ عَبَّاسٍ إِمَّا أَنْ تَقُومَ مَعَنَا وَإِمَّا أَنْ يُخْلُونَا هَؤُلَاءِ قَالَ فَقَالَ ابْنُ عَبَّاسٍ بَلْ أَقُومُ مَعَكُمْ قَالَ وَهُوَ يَوْمَئِذٍ صَحِيحٌ قَبْلَ أَنْ يَعْمَى قَالَ فَابْتَدَءُوا فَتَحَدَّثُوا فَلَا نَدْرِي مَا قَالُوا قَالَ فَجَاءَ يَنْفُضُ ثَوْبَهُ وَيَقُولُ أُفْ وَتُفْ وَقَعُوا فِي رَجُلٍ لَهُ عَشْرٌ وَقَعُوا فِي رَجُلٍ قَالَ لَهُ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَأَبْعَثَنَّ رَجُلًا لَا يُخْزِيهِ اللَّهُ أَبَدًا يُحِبُّ اللَّهَ وَرَسُولَهُ قَالَ فَاسْتَشْرَفَ لَهَا مَنْ اسْتَشْرَفَ قَالَ أَيْنَ عَلِيٌّ قَالُوا هُوَ فِي الرَّحْلِ يَطْحَنُ قَالَ وَمَا كَانَ أَحَدُكُمْ لِيَطْحَنَ قَالَ فَجَاءَ وَهُوَ أَرْمَدُ لَا يَكَادُ يُبْصِرُ قَالَ فَنَفَثَ فِي عَيْنَيْهِ ثُمَّ هَزَّ الرَّايَةَ ثَلَاثًا فَأَعْطَاهَا إِيَّاهُ فَجَاءَ بِصَفِيَّةَ بِنْتِ حُيَيٍّ قَالَ ثُمَّ بَعَثَ فُلَانًا بِسُورَةِ التَّوْبَةِ فَبَعَثَ عَلِيًّا خَلْفَهُ فَأَخَذَهَا مِنْهُ قَالَ لَا يَذْهَبُ بِهَا إِلَّا رَجُلٌ مِنِّي وَأَنَا مِنْهُ قَالَ وَقَالَ لِبَنِي عَمِّهِ أَيُّكُمْ يُوَالِينِي فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ قَالَ وَعَلِيٌّ مَعَهُ جَالِسٌ فَأَبَوْا فَقَالَ عَلِيٌّ أَنَا أُوَالِيكَ فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ قَالَ أَنْتَ وَلِيِّي فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ قَالَ فَتَرَكَهُ ثُمَّ أَقْبَلَ عَلَى رَجُلٍ مِنْهُمْ فَقَالَ أَيُّكُمْ يُوَالِينِي فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ فَأَبَوْا قَالَ فَقَالَ عَلِيٌّ أَنَا أُوَالِيكَ فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ فَقَالَ أَنْتَ وَلِيِّي فِي الدُّنْيَا وَالْآخِرَةِ قَالَ وَكَانَ أَوَّلَ مَنْ أَسْلَمَ مِنْ النَّاسِ بَعْدَ خَدِيجَةَ قَالَ وَأَخَذَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثَوْبَهُ فَوَضَعَهُ عَلَى عَلِيٍّ وَفَاطِمَةَ وَحَسَنٍ وَحُسَيْنٍ فَقَالَ { إِنَّمَا يُرِيدُ اللَّهُ لِيُذْهِبَ عَنْكُمْ الرِّجْسَ أَهْلَ الْبَيْتِ وَيُطَهِّرَكُمْ تَطْهِيرًا }  قَالَ وَشَرَى عَلِيٌّ نَفْسَهُ لَبِسَ ثَوْبَ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ثُمَّ نَامَ مَكَانَهُ قَالَ وَكَانَ الْمُشْرِكُونَ يَرْمُونَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَجَاءَ أَبُو بَكْرٍ وَعَلِيٌّ نَائِمٌ قَالَ وَأَبُو بَكْرٍ يَحْسَبُ أَنَّهُ نَبِيُّ اللَّهِ قَالَ فَقَالَ يَا نَبِيَّ اللَّهِ قَالَ فَقَالَ لَهُ عَلِيٌّ إِنَّ نَبِيَّ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَدْ انْطَلَقَ نَحْوَ بِئْرِ مَيْمُونٍ فَأَدْرِكْهُ قَالَ فَانْطَلَقَ أَبُو بَكْرٍ فَدَخَلَ مَعَهُ الْغَارَ قَالَ وَجَعَلَ عَلِيٌّ يُرْمَى بِالْحِجَارَةِ كَمَا كَانَ يُرْمَى نَبِيُّ اللَّهِ وَهُوَ يَتَضَوَّرُ قَدْ لَفَّ رَأْسَهُ فِي الثَّوْبِ لَا يُخْرِجُهُ حَتَّى أَصْبَحَ ثُمَّ كَشَفَ عَنْ رَأْسِهِ فَقَالُوا إِنَّكَ لَلَئِيمٌ كَانَ صَاحِبُكَ نَرْمِيهِ فَلَا يَتَضَوَّرُ وَأَنْتَ تَتَضَوَّرُ وَقَدْ اسْتَنْكَرْنَا ذَلِكَ قَالَ وَخَرَجَ بِالنَّاسِ فِي غَزْوَةِ تَبُوكَ قَالَ فَقَالَ لَهُ عَلِيٌّ أَخْرُجُ مَعَكَ قَالَ فَقَالَ لَهُ نَبِيُّ اللَّهِ لَا فَبَكَى عَلِيٌّ فَقَالَ لَهُ أَمَا تَرْضَى أَنْ تَكُونَ مِنِّي بِمَنْزِلَةِ هَارُونَ مِنْ مُوسَى إِلَّا أَنَّكَ لَسْتَ بِنَبِيٍّ إِنَّهُ لَا يَنْبَغِي أَنْ أَذْهَبَ إِلَّا وَأَنْتَ خَلِيفَتِي قَالَ وَقَالَ لَهُ رَسُولُ اللَّهِ أَنْتَ وَلِيِّي فِي كُلِّ مُؤْمِنٍ بَعْدِي وَقَالَ سُدُّوا أَبْوَابَ الْمَسْجِدِ غَيْرَ بَابِ عَلِيٍّ فَقَالَ فَيَدْخُلُ الْمَسْجِدَ جُنُبًا وَهُوَ طَرِيقُهُ لَيْسَ لَهُ طَرِيقٌ غَيْرُهُ قَالَ وَقَالَ مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَإِنَّ مَوْلَاهُ عَلِيٌّ قَالَ وَأَخْبَرَنَا اللَّهُ عَزَّ وَجَلَّ فِي الْقُرْآنِ أَنَّهُ قَدْ رَضِيَ عَنْهُمْ عَنْ أَصْحَابِ الشَّجَرَةِ فَعَلِمَ مَا فِي قُلُوبِهِمْ هَلْ حَدَّثَنَا أَنَّهُ سَخِطَ عَلَيْهِمْ بَعْدُ قَالَ وَقَالَ نَبِيُّ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لِعُمَرَ حِينَ قَالَ ائْذَنْ لِي فَلْأَضْرِبْ عُنُقَهُ قَالَ أَوَكُنْتَ فَاعِلًا وَمَا يُدْرِيكَ لَعَلَّ اللَّهَ قَدْ اطَّلَعَ إِلَى أَهْلِ بَدْرٍ فَقَالَ اعْمَلُوا مَا شِئْتُمْ
حَدَّثَنَا أَبُو مَالِكٍ كَثِيرُ بْنُ يَحْيَى قَالَ حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ عَنْ أَبِي بَلْجٍ عَنْ عَمْرِو بْنِ مَيْمُونٍ عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ نَحْوَهُ
مسند أحمد  ج 6 ص 436  ح 2903


คำแปล


อับดุลลอฮ์ บินอะหมัดบินฮัมบัลรายงานจาก → ยะห์ยา บินฮัมมาดรายงานจาก → อบูอิวานะฮ์รายงานจาก → อบูบัลญินรายงานจาก → อัมรู บินมัยมูนเล่าว่า :

แท้จริงฉันนั่งอยู่กับท่านอิบนุอับบาส ทันใดนั้นมีกลุ่มชน 9 กลุ่มเข้ามาหาเขา

พวกเขากล่าวว่า : โอ้ท่านอิบนิอับบาส (ท่านมีทางเลือกสองทางคือ) ต้องลุกไปกับพวกเรา หรือไม่ท่านก็บอกเขาเหล่านี้ให้ปล่อยพวกเราอยู่ตามลำพังกับท่าน

ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า  แต่ฉันจะลุกไป(คุยกับ)พวกท่านตามลำพังเอง  ตอนนั้นท่านอิบนุอับบาสยังตาดีอยู่ ก่อนที่เขาจะตาบอด
อัมรู บินมัยมูนเล่าว่า : แล้วพวกเขาได้เริ่มสนทนากัน ฉันไม่รู้ว่า พวกเขาพูดอะไร

อัมรู บินมัยมูนเล่าว่า :
ท่านอิบนุอับบาสได้(กลับมาที่พวกเรา) เขาปัดเสื้อผ้าของเขา(เป็นอุปมาให้เห็นว่าท่านไม่ขอเกี่ยวข้องกับคำพูดของคนพวกนั้น)  และอุทานออกมาว่า " อุฟ " คือหยุดเดี๋ยวนี้นะ  คนพวกนั้นได้ต่อว่าเกี่ยวกับชายคนหนึ่ง ซึ่งสำหรับชายคนนั้น(มีฟะดีลัตถึง) 10 ประการ  พวกเขาได้ตำหนิต่อว่าถึงชายคนหนึ่ง ซึ่งท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)เคยกล่าวกับชายคนนั้นว่า :

(หนึ่ง)แน่นอนฉันจะส่งชายคนหนึ่งออกไป อัลลอฮ์จะไม่ทรงทำให้เขาต้องอับอายไปตลอดกาล เขา(ชายคนนั้น)รักอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : แล้วท่านนบี(ศ)ได้เพ่งมองผู้ที่ท่านค้นหาอยู่ ท่านกล่าวว่า อะลีอยู่ที่ไหน ? พวกเขากล่าวว่า : เขา(อะลี)กำลังบดแป้งอยู่ที่โม่หินครับ
ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า : ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกท่านที่จะไปบดแป้ง(แทนอะลีหน่อยหรือ) ?
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : แล้วท่านอะลีได้ถูกพาตัวมาหาในสภาพตาเจ็บ เกือบมองอะไรไม่เห็น
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบี(ศ)ได้เป่าไปที่ดวงตาทั้งสองของอะลี ต่อจากนั้นท่านได้สะบัดธงรบสามครั้ง แล้วมอบธงนั้นให้อะลี
เขา(อะลีถูก)พามาโดยนางซอฟียะฮ์ บินติหุยัย

(สอง)เขา(อิบนุอับบาส)เล่าว่า :
จากนั้นท่านนบี(ศ)ได้ส่งชายคนหนึ่งไปพร้อมกับซูเราะฮ์อัตเตาบะฮ์ แล้วท่านนบี(ศ)ได้ส่งท่านอะลีตามหลังเขาไปเอาซูเราะฮ์นั้นจากเขาคืนมา โดยท่านนบี(ศ)กล่าวว่า จะไม่มีใครนำซูเราะฮ์นั้น(ไปประกาศได้) นอกจากชายที่มาจากฉัน และฉันมาจากเขาเท่านั้น

(สาม)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า :
ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวกับตระกูลของลุงของท่านว่า คนใดในหมู่พวกท่านจะมาช่วยเหลือฉันทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์บ้าง ?

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ตอนนั้นมีท่านอะลีนั่งอยู่กับท่านนบี(ศ) พวกเขา(บรรดาลุงนบี)ได้ปฏิเสธ แล้วท่านอะลีกล่าวว่า ฉันจะให้ความช่วยเหลือท่านเองทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบีได้ปล่อยเขาไว้ จากนั้นท่านหันมาหาชายคนหนึ่งในหมู่พวกเขา แล้วท่านกล่าวว่า คนใดในหมู่พวกท่านจะมาช่วยเหลือฉันทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์บ้าง ? พวกเขา(บรรดาลุงนบี)ได้ปฏิเสธอีก
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ตอนนั้นมีท่านอะลีนั่งอยู่กับท่านนบี(ศ) พวกเขา(บรรดาลุงนบี)ได้ปฏิเสธ แล้วท่านอะลีกล่าวว่า ฉันจะให้ความช่วยเหลือท่านเองทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์

(สี่)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ปรากฏว่าเขา(อะลี)คือบุคคลแรกที่เข้ารับอิสลามจากผู้คนทั้งหลาย หลังจากท่านหญิงคอดีญะฮ์(นางรับอิสลามก่อนท่านอะลี)

(ห้า)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) เอาผ้า(กีซา)คลุมบนท่านอะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนพลางอ่านโองการว่า

อันที่จริง อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดความโสมมออกจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์ของนบี และ(ทรงประสงค์ที่จะ)ชำระพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์ )
บท 33 : 33

(หก)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านอะลีได้ยอมแลกชีวิตของตัวเอง เขาได้สวมเสื้อผ้าของท่านนบี(ศ) แล้วได้นอนแทนที่ท่าน
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ตอนนั้นพวกมุชริกกำลังขว้างปาใส่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)อยู่ แล้วท่านอบูบักรได้มาหา ในขณะที่ท่านอะลีนอนอยู่ ท่านอบูบักรนึกว่าอะลีคือท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : เขาจึงกล่าวว่า โอ้ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ ท่านอะลีได้กล่าวกับเขาว่า แท้จริงท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ได้ออกไปที่บ่อน้ำมัยยมูนแล้ว ท่านอบูบักรได้ออกติดตามไปหาท่าน
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านอบูบักรได้ตามไปจนได้เข้าไปหลบในถ้ำพร้อมกับท่านนบี(ศ)
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านอะลีจึงโดนขว้างด้วยก้อนหินเหมือนที่ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์โดนขว้าง และท่านได้รับบาดเจ็บ ท่านได้เอาผ้าคลุมศรีษะท่านไว้ ท่านไม่ยอมโผล่ศรีษะออกมาจนรุ่งเช้า จากนั้นท่านได้โผล่ศรีษะออกมา พวกมุชริกจึงกล่าวว่า แท้จริงท่านคือผู้คลุมผ้า สหายของท่านคือคนที่เราจะขว้างเขา แต่เขากลับไม่ได้รับอันตราย ส่วนท่านต้องเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ แน่นอนพวกเราไม่รู้สิ่งนั้น

(เจ็ด)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบี(ศ)ออกไปพร้อมกับประชาชนในสงครามตะบู๊ก ท่านอะลีได้กล่าวกับท่านว่า ฉันจะออกไป(รบ)กับท่านด้วย ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ได้กล่าวกับเขาว่า ไม่ได้ ท่านอะลีจึงร้องไห้ ท่านจึงกล่าวกับเขาว่า ท่านไม่พอใจดอกหรือที่ท่านกับฉัน มีฐานะเหมือนนบีมูซากับนบีฮารูน ยกเว้นว่าท่านไม่ใช่นบีเท่านั้น เพราะไม่สมควรที่ฉันออกไป ยกเว้นว่า ท่านจะต้องเป็นคอลีฟะฮ์ตัวแทนของฉัน
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า :

(แปด)ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวกับเขาว่า ท่านคือวะลีของฉัน (คนที่รักยิ่งของฉัน)ในมุอ์มินทุกคนหลังจากฉัน


(เก้า)และท่าน(ศ)กล่าวว่า พวกท่านจงปิดประตูบ้านทุกบาน(ที่เชื่อมไปยัง)มัสญิด ยกเว้นประตูบ้านของอะลี
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : แล้วเขา(อะลี)จะผ่านเข้าไปในมัสญิดขณะที่มีญุนุบ เพราะมันคือทางเดินของเขา ซึ่งเขาไม่มีทางอื่นอีกนอกจากทางนี้

(สิบ)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่าน(ศ)กล่าวว่า บุคคลใดที่ฉันคือเมาลาของเขา เพราะฉะนั้นแท้จริงอะลีก็คือเมาลาของเขา



สถานะหะดีษ  : เศาะหิ๊หฺ  

ดูมุสนัด อิหม่ามอะหมัด  เล่ม  6 : 436 หะดีษ 2903
  •  

L-umar



วิเคราะห์สายรายงานหะดีษ


عَبْد اللَّهِ ← يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ ← أَبُو عَوَانَةَ ← أَبُو بَلْجٍ ← عَمْرُو بْنُ مَيْمُونٍ

อับดุลลอฮ์ → ยะห์ยา บินฮัมมาด → อบูอิวานะฮ์  → อบูบัลญิน → อัมรู บินมัยมูน




1,อับดุลลอฮ์ - عَبْد اللَّهِ
เขาคือบุตรชายของอิหม่ามอะหมัด บินฮัมบัล
 


2,ยะห์ยา บินฮัมมาด - يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ

อิบนิฮิบบาน นับว่า : ยะห์ยา บินฮัมมาด   เชื่อถือได้ในการรายงาน
 
يحيى بن حماد الشيباني كنيته أبو بكر من أهل البصرة يروى عن شعبة وأبى عوانة روى عنه بندار وأهل البصرة مات سنة خمس عشرة ومائتين
ดูอัษ ษิกอต โดยอิบนิฮิบบาน  อันดับที่ 16307


อัลอิจญ์ลี กล่าวว่า : ยะห์ยา บินฮัมมาด  ชาวเมืองบัศเราะฮ์  เชื่อถือได้ในการรายงาน

يحيى بن حماد بصرى ثقة وكان من أروى الناس عن أبي عوانة

ดูอัษ ษิกอต โดยอัลอิจญ์ลี  อันดับที่ 1971

อิบนิ อบีอาติมอัลรอซีกล่าวว่า :
يحيى بن حماد أبو بكر البصري
روى عن شعبة وحماد بن سلمة وأبى عوانة ورجاء أبى يحيى
روى عنه محمد بن المثنى وبندار بن بشار ويوسف بن موسى التستري والحسن بن على الحلواني نا عبد الرحمن سمعت أبى يقول ذلك ويقول سمعت منه قراءة عليه وسألته عنه فقال ثقة

อับดุลเราะห์มาน เล่าว่า : ฉันได้ยินบิดาฉันกล่าวเช่นนั้น และเขากล่าวว่า ฉันได้ฟังจากเขาว่า เขาเรียนอ่านกับเขา และฉันได้ถามเขาถึงเขา(ยะห์ยาบินฮัมมาด) เขากล่าวว่า  เชื่อถือได้ในการรายงาน
ดูอัลญัรฮุ วัต ตะอ์ดีล โดยอิบนิอบีฮาติมอัลรอซี  อันดับที่ 583

อิบนุหะญัร อัลอัสเกาะลานี กล่าวว่า :

يحيى بن حماد بن أبي زياد الشيباني مولاهم البصري ختن أبي عوانة ثقة عابد من صغار التاسعة مات سنة خمس عشرة

ยะห์ยา บินฮัมมาด บินอบีซิยาด อัชชัยบานี คนรับใช้ของพวกเขา ชาวบัศเราะฮ์ เขาเป็นลูกเขยของอบูอิวานะฮ์   : เขาเชื่อถือได้ในการรายงาน
ดูตักรีบุต – ตักรีบ  อันดับที่ 7535



3.อบูอิวานะฮ์ - أَبُو عَوَانَةَ
 
อิบนิฮิบบาน นับว่า : อบูอิวานะฮ์ ชื่ออัลวัฎฎ๊อห์   เชื่อถือได้ในการรายงาน

أبو عوانة اسمه الوضاح مولى يزيد بن عطاء الليثي من أهل البصرة يروى عن قتادة والبصريين روى عنه أهل العراق وكان مولده سنة اثنتين وعشرين ومائة ومات في شهر ربيع

ดูอัษ ษิกอต โดยอิบนิฮิบบาน  อันดับที่ 11483

อัลอิจญ์ลี กล่าวว่า :  อัลวัฎฎ๊อห์ อบูอิวานะฮ์  ชาวเมืองบัศเราะฮ์ เชื่อถือได้

وضاح أبو عوانة بصرى ثقة مولى يزيد بن عطاء الواسطي

ดูอัษ ษิกอต โดยอัลอิจญ์ลี  อันดับที่ 1937

อัซ ซะฮะบี กล่าวว่า :

أبو عوانة هو الامام الحافظ، الثبت، محدث البصرة، الوضاح بن عبد الله، مولى يزيد بن عطاء اليشكري، الواسطي، البزاز...
وكان من أركان الحديث.
قال عفان: أبو عوانة أصح حديثا عندنا من شعبة.
وقال أحمد بن حنبل: هو صحيح الكتاب، وإذا حدث من حفظه، ربما يهم.
وقال عفان بن مسلم: كان أبو عوانة صحيح الكتاب ثبتا، كثير العجم، والنقط.
وقال يحيى بن سعيد القطان: ما أشبه حديثه بحديث سفيان، وشعبة.
وقال عفان: سمعت شعبة يقول: إن حدثكم أبو عوانة عن أبي هريرة فصدقوه.

อบูอิวานะฮ์ คือ : อิหม่าม อัลฮาฟิซ ษะบัต(มั่นคง)  เป็นนักรายงานหะดีษแห่งบัศเราะฮ์  ชื่อคือ อัลวัฎฎ๊อห์ บินอับดุลลอฮ์ คนรับใช้ของยะซีด บินอะฏออ์...
เขาคือหนึ่งจากอัรกานุลหะดีษ
อัฟฟานกล่าวว่า  : อบูอิวานะฮ์  มีหะดีษเศาะหิ๊หฺที่สุดในทัศนะของเรา จากชุอ์บะฮ์
อิหม่ามอะหมัดกล่าวว่า  : เขาการบันทึกของเขาถูกต้อง เมื่อเขารายงานจากความจำของเขา มีบางครั้งผิดพลาด
และอัฟฟาน บินมุสลิม กล่าวว่า : อบูอิวานะฮ์ เป็นผู้ที่มีการบันทึกถูกต้อง มั่นคง  เขาใส่จุดบนตัวอักษรไว้มากมาย
ยะห์ยา บินสะอีด อัลก็อฏฏอนกล่าวว่า : หะดีษของเขาช่างคล้ายกับหะดีษของสุฟยานและชุอ์บะฮ์
และอัฟฟานกล่าวว่า : ฉันได้ยินชุอ์บะฮืกล่าวว่า หากอบูอิวานะฮ์เล่าหะดีษจากท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์ให้พวกท่านฟัง จงเชื่อเขา
ดูสิยัร อะอ์ลามุน - นุบะลาอ์   อันดับที่ 39



4.อบูบัลญิน - أَبُو بَلْجٍ

อิบนุ อบีฮาติมกล่าวว่า :  

يحيى بن أبى سليم أبو بلج الواسطي الْفَزَارِيُّ
روى عن محمد بن حاطب الجمحي وعمرو بن ميمون
روى عنه سفيان وشعبة وزهير بن معاوية وأبو عوانة وهشيم وأبو حمزة السكري وسويد بن عبد العزيز
عن يحيى بن معين انه قال أبو بلج ثقة
عبد الرحمن قال سألت أبى عن أبى بلج يحيى بن أبى سليم فقال هو صالح لا بأس به

มีชื่อว่า : ยะห์ยา บินอบีสุลัยม์ อบูบัลญิน อัลวาสิฏี อัลฟะรอซี
รายงานหะดีษจาก  : มุฮัมมัด บินฮาติบ , อัมรู บินมัยมูน
ผู้ที่รายงานหะดีษจากเขา  : สุฟยาน , ชุอ์บะฮ์, ซุเฮร บินมุอาวียะฮ์,อบูอิวานะฮ์
ยะห์ยาบินมะอีนกล่าวว่า   : อบูบัลญิน เชื่อถือได้
อับดุลเราะห์มานเล่าว่า : ฉันได้ถามบิดาฉันถึงอบูบัลญิน ท่านกล่าวว่า เขาเป็นคนดี ไม่เป็นไร(ในการรายงาน)
ดูอัลญัรฮุ วัต ตะอ์ดีล โดยอิบนิอบีฮาติมอัลรอซี  อันดับที่ 634

อัซ ซะฮะบี กล่าวว่า :  

يحيى بن سليم أو ابن أبى سليم  أبو بلج الفزارى الواسطي
عن عمرو بن ميمون الاودى،
وثقه ابن معين، وغيره، ومحمد بن سعد، والنسائي، والدارقطني.
وقال أبو حاتم: صالح الحديث، لا بأس به.
وقال يزيد بن هارون: رأيته كان يذكر الله كثيرا.
وقال البخاري: فيه نظر.
وقال أحمد: روى حديثا منكرا.
وقال ابن حبان: كان يخطئ.
وقال الجوزجانى: غير ثقة.

ยะห์ยา บินสุลัยม์ หรืออิบนิ อบีสุลัยม์  ยาอบูบัลญิน อัลฟะรอซี อัลวาสิฏี
รายงานหะดีษจาก :  อัมรู บินมัยมูน อัลเอาดี

ยะห์ยาบินมะอีน และคนอื่นๆเช่น มุฮัมมัดบินสะอ์ดฺ , อันนะซาอี, อัดดาร่อกุฏนี  : ให้ความเชื่อต่อเขา(ในการรายงานหะดีษ)
อบูอาติมอัลรอซี กล่าวว่า   : เขาซอและห์ ในการรายงานหะดีษ ไม่เป็นไร
ยะซีด บินฮารูนกล่าวว่า : ฉันเห็นเขาได้ทำการซิกรุลเลาะฮ์อย่างมากมาย
อัลบุคอรีกล่าวว่า : ในรายงานของเขาต้องพิจารณา
อิหม่ามอะหมัดกล่าวว่า  : เขารายงานหะดีษมุงกัร
อิบนิฮิบบานกล่าวว่า  : เขาเคยผิดพลาด (ในการรายงาน)
อัลเญาซะญานีกล่าวว่า  : เขาไม่น่าเชื่อถือ
ดูมีซานุลอิ๊อฺติดาล  โดยอัซซะฮะบี  อันดับที่ 9539

อิบนุหะญัรกล่าวว่า :

أبو بلج الفزاري الكوفي ثم الواسطي الكبير اسمه يحيى ابن سليم  صدوق ربما أخطأ

อบูบัลญิน อัลฟะรอซี อัลวาสิฏี ชื่อของเขาคือ ยะห์ยาบินสุลัยม์  : เขาศอดูก คือเชื่อได้ แต่บางครั้งก็ผิดพลาด
ดูตักรีบุต ตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 8003



5. อัมรู บินมัยมูน - عَمْرُو بْنُ مَيْمُونٍ

อิบนิฮิบบาน นับว่า : อัมรู บินมัยมูน   เชื่อถือได้ในการรายงาน

عمرو بن ميمون الأودي من أود كنيته أبو عبد الله أدرك الجاهلية دخل مكة خمسا وخمسين مرة بين حج وعمرة سكن الشام ثم انتقل إلى الكوفة يروى عن بن مسعود ومعاذ بن جبل روى عنه

ดูอัษ ษิกอต โดยอิบนิฮิบบาน  อันดับที่ 43398

อัลอิจญ์ลี กล่าวว่า :  อัมรู บินมัยมูน   เชื่อถือได้ในการรายงาน

عمرو بن ميمون الأودي كوفي تابعي ثقة جاهلي أسلم في حياة النبي صلى الله عليه و سلم ولم ير النبي صلى الله عليه و سلم من أصحاب عبد الله ثقة

ดูอัษ ษิกอต โดยอัลอิจญ์ลี  อันดับที่ 1412

ยะห์ยา บินมะอีน กล่าวว่า :  อัมรู บินมัยมูน   เชื่อถือได้ในการรายงาน

عن يحيى بن معين انه قال عمرو بن ميمون يعنى الأودي ثقة

ดูอัลญัรฮุ วัต ตะอ์ดีล โดยอิบนิอบีฮาติมอัลรอซี  อันดับที่ 1422

อิบนุหะญัรกล่าวว่า :

عمرو بن ميمون الأودي  مشهور ثقة عابد نزل الكوفة مات سنة أربع وسبعين وقيل بعدها

อัมรู บินมัยมูน   อัลเอาดี  :  มัชฮูร  เชื่อถือได้ในการรายงาน  มรณะฮ.ศ. 74
ดูตักรีบุต ตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 5122


มีต่อ
  •  

L-umar



อัลฮากิม อันนัยซาบูรี  รายงานว่า


أخبرنا أبو بكر أحمد بن جعفر بن حمدان القطيعي ، ببغداد من أصل كتابه ، ثنا عبد الله بن أحمد بن حنبل ، حدثني أبي ، ثنا يحيى بن حماد ، ثنا أبو عوانة ، ثنا أبو بلج ، ثنا عمرو بن ميمون ، قال : إني لجالس عند ابن عباس ، إذ أتاه تسعة رهط ، فقالوا : يا ابن عباس ، إما أن تقوم معنا ، وإما أن تخلو بنا من بين هؤلاء ، قال : فقال ابن عباس : بل أنا أقوم معكم ، قال : وهو يومئذ صحيح قبل أن يعمى ، قال : فابتدءوا فتحدثوا فلا ندري ما قالوا : قال : فجاء ينفض ثوبه ويقول : أف وتف وقعوا في رجل له بضع عشرة فضائل ليست لأحد غيره ، وقعوا في رجل قال له النبي صلى الله عليه وسلم : « لأبعثن رجلا لا يخزيه (1) الله أبدا ، يحب الله ورسوله ، ويحبه الله ورسوله » فاستشرف لها مستشرف فقال : « أين علي ؟ » فقالوا : إنه في الرحى (2) يطحن ، قال : « وما كان أحدهم ليطحن » ، قال : فجاء وهو أرمد لا يكاد أن يبصر ، قال : فنفث في عينيه ، ثم هز الراية ثلاثا فأعطاها إياه ، فجاء علي بصفية بنت حيي ، قال ابن عباس : ثم بعث رسول الله صلى الله عليه وسلم فلانا بسورة التوبة ، فبعث عليا خلفه فأخذها منه ، وقال : « لا يذهب بها إلا رجل هو مني وأنا منه » ، فقال ابن عباس : وقال النبي صلى الله عليه وسلم لبني عمه : « أيكم يواليني في الدنيا والآخرة ؟ » قال : وعلي جالس معهم ، فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم وأقبل على رجل منهم ، فقال : « أيكم يواليني في الدنيا والآخرة ؟ » فأبوا ، فقال لعلي : « أنت وليي في الدنيا والآخرة » ، قال ابن عباس : وكان علي أول من آمن من الناس بعد خديجة رضي الله عنها ، قال : وأخذ رسول الله صلى الله عليه وسلم ثوبه فوضعه على علي وفاطمة وحسن وحسين وقال : « ( إنما يريد الله ليذهب عنكم الرجس أهل البيت ويطهركم تطهيرا (3) ) ، قال ابن عباس : » وشرى علي نفسه ، فلبس ثوب النبي صلى الله عليه وسلم ، ثم نام في مكانه « ، قال : ابن عباس ، » وكان المشركون يرمون رسول الله صلى الله عليه وسلم ، فجاء أبو بكر رضي الله عنه وعلي نائم ، قال : وأبو بكر يحسب أنه رسول الله صلى الله عليه وسلم ، قال : فقال : يا نبي الله ، فقال له علي : إن نبي الله صلى الله عليه وسلم قد انطلق نحو بئر ميمون فأدركه ، قال : فانطلق أبو بكر فدخل معه الغار ، قال : وجعل علي رضي الله عنه يرمي بالحجارة كما كان رمي نبي الله صلى الله عليه وسلم وهو يتضور ، وقد لف رأسه في الثوب لا يخرجه حتى أصبح ، ثم كشف عن رأسه فقالوا : إنك للئيم وكان صاحبك لا يتضور ونحن نرميه ، وأنت تتضور وقد استنكرنا ذلك « ، فقال ابن عباس : وخرج رسول الله صلى الله عليه وسلم في غزوة تبوك وخرج بالناس معه ، قال : فقال له علي : أخرج معك ؟ قال : فقال النبي صلى الله عليه وسلم » لا « . فبكى علي فقال له : » أما ترضى أن تكون مني بمنزلة هارون من موسى إلا أنه ليس بعدي نبي ، إنه لا ينبغي أن أذهب إلا وأنت خليفتي « ، قال ابن عباس : وقال له رسول الله صلى الله عليه وسلم : » أنت ولي كل مؤمن بعدي ومؤمنة « ، قال ابن عباس : » وسد رسول صلى الله عليه وسلم أبواب المسجد غير باب علي فكان يدخل المسجد جنبا ، وهو طريقه ليس له طريق غيره « ، قال ابن عباس : وقال رسول الله صلى الله عليه وسلم : » من كنت مولاه ، فإن مولاه علي...
 
هذا حديث صحيح الإسناد ، ولم يخرجاه بهذه السياقة

 المستدرك على الصحيحين للحاكم   ج 10 / ص 457



อับดุลลอฮ์รายงานจาก → ยะห์ยา บินฮัมมาดรายงานจาก → อบูอิวานะฮ์รายงานจาก  → อบูบัลญินรายงานจาก → อัมรู บินมัยมูนเล่าว่า   :


แท้จริงฉันนั่งอยู่กับท่านอิบนุอับบาส ทันใดนั้นมี 9 กลุ่มชนได้เข้ามาหาเขา

พวกเขากล่าวว่า : โอ้ท่านอิบนิอับบาส (ท่านมีทางเลือกสองทางคือ) ต้องลุกไปกับพวกเรา หรือไม่ท่านก็บอกเขาเหล่านี้ให้ปล่อยพวกเราอยู่ตามลำพังกับท่าน

ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า  แต่ฉันจะลุกไป(คุยกับ)พวกท่านตามลำพังเอง  ตอนนั้นท่านอิบนุอับบาสยังตาดีอยู่ ก่อนที่เขาจะตาบอด
อัมรู บินมัยมูนเล่าว่า : แล้วพวกเขาได้เริ่มสนทนากัน ฉันไม่รู้ว่า พวกเขาพูดอะไร

อัมรู บินมัยมูนเล่าว่า :
ท่านอิบนุอับบาสได้(กลับมาที่พวกเรา) เขาปัดเสื้อผ้าของเขา(เป็นอุปมาให้เห็นว่าท่านไม่ขอเกี่ยวข้องกับคำพูดของคนพวกนั้น)  และอุทานออกมาว่า " อุฟ " คือหยุดเดี๋ยวนี้นะ  คนพวกนั้นได้ต่อว่าเกี่ยวกับชายคนหนึ่ง ซึ่งสำหรับชายคนนั้น(มีฟะดีลัตถึง) 10 ประการ  พวกเขาได้ตำหนิต่อว่าถึงชายคนหนึ่ง ซึ่งท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)เคยกล่าวกับชายคนนั้นว่า :

(หนึ่ง)แน่นอนฉันจะส่งชายคนหนึ่งออกไป อัลลอฮ์จะไม่ทรงทำให้เขาต้องอับอายไปตลอดกาล เขา(ชายคนนั้น)รักอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : แล้วท่านนบี(ศ)ได้เพ่งมองผู้ที่ท่านค้นหาอยู่ ท่านกล่าวว่า อะลีอยู่ที่ไหน ? พวกเขากล่าวว่า : เขา(อะลี)กำลังบดแป้งอยู่ที่โม่หินครับ
ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า : ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกท่านที่จะไปบดแป้ง(แทนอะลีหน่อยหรือ) ?
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : แล้วท่านอะลีได้ถูกพาตัวมาหาในสภาพตาเจ็บ เกือบมองอะไรไม่เห็น
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบี(ศ)ได้เป่าไปที่ดวงตาทั้งสองของอะลี ต่อจากนั้นท่านได้สะบัดธงรบสามครั้ง แล้วมอบธงนั้นให้อะลี
เขา(อะลีถูก)พามาโดยนางซอฟียะฮ์ บินติหุยัย

(สอง)เขา(อิบนุอับบาส)เล่าว่า :
จากนั้นท่านนบี(ศ)ได้ส่งชายคนหนึ่งไปพร้อมกับซูเราะฮ์อัตเตาบะฮ์ แล้วท่านนบี(ศ)ได้ส่งท่านอะลีตามหลังเขาไปเอาซูเราะฮ์นั้นจากเขาคืนมา โดยท่านนบี(ศ)กล่าวว่า จะไม่มีใครนำซูเราะฮ์นั้น(ไปประกาศได้) นอกจากชายที่มาจากฉัน และฉันมาจากเขาเท่านั้น

(สาม)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า :
ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวกับตระกูลของลุงของท่านว่า คนใดในหมู่พวกท่านจะมาช่วยเหลือฉันทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์บ้าง ?

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ตอนนั้นมีท่านอะลีนั่งอยู่กับท่านนบี(ศ) พวกเขา(บรรดาลุงนบี)ได้ปฏิเสธ แล้วท่านอะลีกล่าวว่า ฉันจะให้ความช่วยเหลือท่านเองทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบีได้ปล่อยเขาไว้ จากนั้นท่านหันมาหาชายคนหนึ่งในหมู่พวกเขา แล้วท่านกล่าวว่า คนใดในหมู่พวกท่านจะมาช่วยเหลือฉันทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์บ้าง ? พวกเขา(บรรดาลุงนบี)ได้ปฏิเสธอีก
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ตอนนั้นมีท่านอะลีนั่งอยู่กับท่านนบี(ศ) พวกเขา(บรรดาลุงนบี)ได้ปฏิเสธ แล้วท่านอะลีกล่าวว่า ฉันจะให้ความช่วยเหลือท่านเองทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์

(สี่)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ปรากฏว่าเขา(อะลี)คือบุคคลแรกที่เข้ารับอิสลามจากผู้คนทั้งหลาย หลังจากท่านหญิงคอดีญะฮ์(นางรับอิสลามก่อนท่านอะลี)

(ห้า)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) เอาผ้า(กีซา)คลุมบนท่านอะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนพลางอ่านโองการว่า

อันที่จริง อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดความโสมมออกจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์ของนบี และ(ทรงประสงค์ที่จะ)ชำระพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์ )
บท 33 : 33

(หก)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านอะลีได้ยอมแลกชีวิตของตัวเอง เขาได้สวมเสื้อผ้าของท่านนบี(ศ) แล้วได้นอนแทนที่ท่าน
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ตอนนั้นพวกมุชริกกำลังขว้างปาใส่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)อยู่ แล้วท่านอบูบักรได้มาหา ในขณะที่ท่านอะลีนอนอยู่ ท่านอบูบักรนึกว่าอะลีคือท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : เขาจึงกล่าวว่า โอ้ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ ท่านอะลีได้กล่าวกับเขาว่า แท้จริงท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ได้ออกไปที่บ่อน้ำมัยยมูนแล้ว ท่านอบูบักรได้ออกติดตามไปหาท่าน
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านอบูบักรได้ตามไปจนได้เข้าไปหลบในถ้ำพร้อมกับท่านนบี(ศ)
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านอะลีจึงโดนขว้างด้วยก้อนหินเหมือนที่ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์โดนขว้าง และท่านได้รับบาดเจ็บ ท่านได้เอาผ้าคลุมศรีษะท่านไว้ ท่านไม่ยอมโผล่ศรีษะออกมาจนรุ่งเช้า จากนั้นท่านได้โผล่ศรีษะออกมา พวกมุชริกจึงกล่าวว่า แท้จริงท่านคือผู้คลุมผ้า สหายของท่านคือคนที่เราจะขว้างเขา แต่เขากลับไม่ได้รับอันตราย ส่วนท่านต้องเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ แน่นอนพวกเราไม่รู้สิ่งนั้น

(เจ็ด)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบี(ศ)ออกไปพร้อมกับประชาชนในสงครามตะบู๊ก ท่านอะลีได้กล่าวกับท่านว่า ฉันจะออกไป(รบ)กับท่านด้วย ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ได้กล่าวกับเขาว่า ไม่ได้ ท่านอะลีจึงร้องไห้ ท่านจึงกล่าวกับเขาว่า ท่านไม่พอใจดอกหรือที่ท่านกับฉัน มีฐานะเหมือนนบีมูซากับนบีฮารูน ยกเว้นว่าท่านไม่ใช่นบีเท่านั้น เพราะไม่สมควรที่ฉันออกไป ยกเว้นว่า ท่านจะต้องเป็นคอลีฟะฮ์ตัวแทนของฉัน
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า :

(แปด)ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวกับเขาว่า ท่านคือวะลีของฉัน (คนที่รักยิ่งของฉัน)ในมุอ์มินทุกคนหลังจากฉัน


(เก้า)และท่าน(ศ)กล่าวว่า พวกท่านจงปิดประตูบ้านทุกบาน(ที่เชื่อมไปยัง)มัสญิด ยกเว้นประตูบ้านของอะลี
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : แล้วเขา(อะลี)จะผ่านเข้าไปในมัสญิดขณะที่มีญุนุบ เพราะมันคือทางเดินของเขา ซึ่งเขาไม่มีทางอื่นอีกนอกจากทางนี้

(สิบ)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่าน(ศ)กล่าวว่า บุคคลใดที่ฉันคือเมาลาของเขา เพราะฉะนั้นแท้จริงอะลีก็คือเมาลาของเขา




และท่านอัลฮากิม อันนัยซาบูรี กล่าวว่า :  

هذا حديث صحيح الإسناد ، ولم يخرجاه بهذه السياقة

หะดีษนี้  สายรายงานถูกต้อง แต่ทานเชคทั้งสองมิได้นำหะดีษนี้ออกรายงานตามเนื้อหานี้


สถานะหะดีษ : เศาะหิ๊หฺ

ดูอัลมุสตักร็อก อะลัซ ซ่อฮีฮัยนิ  เล่ม 10 : 457 หะดีษ 4627
  •  

L-umar


อัซ ซะฮะบี  

ได้ตรวจสอบสายรายงานหะดีษที่ท่านอิหม่ามอะหมัดและท่านฮากิมอันนัยซาบูรีรายงานคือ  




أخبرنا أبو بكر أحمد بن جعفر بن حمدان القطيعي ببغداد من أصل كتابه ثنا عبد الله بن أحمد بن حنبل حدثني أبي ثنا يحيى بن حماد ثنا أبو عوانة ثنا أبو بلج ثنا عمرو بن ميمون قال : إني لجالس عند ابن عباس إذ أتاه تسعة رهط فقالوا : يا ابن عباس :

تعليق الذهبي قي التلخيص : صحيح


อับดุลลอฮ์รายงานจาก → ยะห์ยา บินฮัมมาดรายงานจาก → อบูอิวานะฮ์รายงานจาก  → อบูบัลญินรายงานจาก → อัมรู บินมัยมูนเล่าว่า   :


แท้จริงฉันนั่งอยู่ที่ท่านอิบนุอับบาส ทันใดนั้นมีกลุ่มชน 9 กลุ่มเข้ามาหาเขา
พวกเขากล่าวว่า  :  โอ้ท่านอิบนิอับบาส...

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า  : ท่าน(ศ)กล่าวว่า  บุคคลใดที่ฉันคือเมาลาของเขา แท้จริงเมาลาของเขาก็คืออะลี เช่นกัน...


อัซ ซะฮะบี  ตรวจทานสายรายงานหะดีษนี้และกล่าวว่า  :  เศาะหิ๊หฺ

ดูอัลมุสตัดร็อก เล่ม 3 : 143 หะดีษ  4652   ฉบับตรวจทานโดยอัซซะฮะบี



มีต่อ
  •  

L-umar


อัน นะซาอี  รายงานว่า


أخبرنا محمد بن المثنى قال حدثنا يحيى بن حماد قال حدثنا الوضاح وهو أبو عوانة قال حدثنا يحيى قال حدثنا عمرو بن ميمون قال :
اني لجالس إلى بن عباس إذ أتاه تسعة رهط فقالوا إما أن تقوم معنا وإما أن تخلونا يا هؤلاء وهو يومئذ صحيح قبل أن يعمى قال أنا أقوم معكم فتحدثوا فلا أدري ما قالوا فجاء وهو ينفض ثوبه وهو يقول أف وتف يقعون في رجل له عشر وقعوا في رجل قال رسول الله صلى الله عليه وسلم لابعثن رجلا يحب الله ورسوله لا يخزيه الله أبدا فأشرف من استشرف فقال أين علي هو في الرحا يطحن وما كان أحدكم ليطحن فدعاه وهو أرمد ما يكاد أن يبصر فنفث في عينيه ثم هز الراية ثلاثا فدفعها إليه فجاء بصفية بنت حيي وبعث أبا بكر بسورة التوبة وبعث عليا خلفه
فأخذها منه فقال لا يذهب بها إلا رجل هو مني وأنا منه ودعا رسول الله صلى الله عليه وسلم الحسن والحسين وعليا وفاطمة فمد عليهم ثوبا فقال اللهم هؤلاء أهل بيتي فأذهب عنهم الرجس وطهرهم تطهيرا وكان أول من أسلم من الناس بعد خديجة ولبس ثوب رسول الله صلى الله عليه وسلم ونام فجعل المشركون يرمون كما يرمون رسول الله صلى الله عليه وسلم وهم يحسبون أنه نبي الله صلى الله عليه وسلم فجاء أبو بكر فقال يا نبي الله فقال علي إن نبي الله صلى الله عليه وسلم قد ذهب نحو بئر ميمون فاتبعه فدخل معه الغار وكان المشركون يرمون عليا حتى أصبح وخرج بالناس في غزوة تبوك فقال علي أخرج معك فقال لا فبكى فقال أما ترضى أن تكون مني بمنزلة هارون من موسى إلا أنك لست بنبي ثم قال أنت خليفتي يعني في كل مؤمن من بعدي قال وسد أبواب المسجد غير باب علي فكان يدخل المسجد وهو جنب وهو في طريقه ليس له طريق غيره وقال من كنت وليه فعلي وليه
السنن الكبرى للنسائي  ج 5 / ص 112 ح 8409


เนื้อหาของหะดีษบทนี้อาจแตกต่างเล็กน้อยกับหะดีษของท่านอิหม่ามอะหมัดและท่านอัลฮากิม แต่พอสรุปได้ดังนี้คือ



มุฮัมมัด บินอัลมุษันนาได้เล่าให้เราฟัง เขากล่าวว่า ยะห์ยา บินฮัมมาดเล่าให้เราฟัง เขากล่าวว่า อัลวัฎฎ๊อห์ เขาคืออบูอิวานะฮ์เล่าให้เราฟัง เขากล่าวว่า ยะห์ยาเล่าให้เราฟัง เขากล่าวว่า  อัมรู บินมัยมูนเล่าให้เราฟัง เขาเล่าว่า :


แท้จริงฉันนั่งอยู่กับท่านอิบนุอับบาส ทันใดนั้นมีชนกลุ่มหนึ่งประมาณ 9 คนเข้ามาหาเขา

พวกเขากล่าวว่า : โอ้ท่านอิบนิอับบาส (ท่านมีทางเลือกสองทางคือ) ต้องลุกไปกับพวกเรา หรือไม่ท่านก็บอกเขาเหล่านี้ให้ปล่อยพวกเราอยู่ตามลำพังกับท่าน

ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า  แต่ฉันจะลุกไป(คุยกับ)พวกท่านตามลำพังเอง  ตอนนั้นท่านอิบนุอับบาสยังตาดีอยู่ ก่อนที่เขาจะตาบอด
อัมรู บินมัยมูนเล่าว่า : แล้วพวกเขาได้เริ่มสนทนากัน ฉันไม่รู้ว่า พวกเขาพูดอะไร

อัมรู บินมัยมูนเล่าว่า :
ท่านอิบนุอับบาสได้(กลับมาที่พวกเรา) เขาปัดเสื้อผ้าของเขา(เป็นอุปมาให้เห็นว่าท่านไม่ขอเกี่ยวข้องกับคำพูดของคนพวกนั้น)  และอุทานออกมาว่า " อุฟ " คือหยุดเดี๋ยวนี้นะ  คนพวกนั้นได้ต่อว่าเกี่ยวกับชายคนหนึ่ง ซึ่งเขามีความดีงามถึง 10 ประการ  พวกเขาได้ตำหนิต่อว่าถึงชายคนหนึ่ง ซึ่งท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)เคยกล่าวกับชายคนนั้นว่า :

(หนึ่ง)แน่นอนฉันจะส่งชายคนหนึ่งออกไป อัลลอฮ์จะไม่ทรงทำให้เขาต้องอับอายไปตลอดกาล เขา(ชายคนนั้น)รักอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : แล้วท่านนบี(ศ)ได้เพ่งมองผู้ที่ท่านค้นหาอยู่ ท่านกล่าวว่า อะลีอยู่ที่ไหน ? พวกเขากล่าวว่า : เขา(อะลี)กำลังบดแป้งอยู่ที่โม่หินครับ
ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า : ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกท่านที่จะไปบดแป้ง(แทนอะลีหน่อยหรือ) ?
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : แล้วท่านอะลีได้ถูกพาตัวมาหาในสภาพตาเจ็บ เกือบมองอะไรไม่เห็น
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบี(ศ)ได้เป่าไปที่ดวงตาทั้งสองของอะลี ต่อจากนั้นท่านได้สะบัดธงรบสามครั้ง แล้วมอบธงนั้นให้อะลี
เขา(อะลีถูก)พามาโดยนางซอฟียะฮ์ บินติหุยัย

(สอง)เขา(อิบนุอับบาส)เล่าว่า :
จากนั้นท่านนบี(ศ)ได้ส่งท่านอบูบักรไปพร้อมกับซูเราะฮ์อัตเตาบะฮ์ แล้วท่านนบี(ศ)ได้ส่งท่านอะลีตามหลังเขาไปเอาซูเราะฮ์นั้นจากเขาคืนมา โดยท่านนบี(ศ)กล่าวว่า จะไม่มีใครนำซูเราะฮ์นั้น(ไปประกาศได้) นอกจากชายที่มาจากฉัน และฉันมาจากเขาเท่านั้น

(สาม)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า :
ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวกับตระกูลของลุงของท่านว่า คนใดในหมู่พวกท่านจะมาช่วยเหลือฉันทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์บ้าง ?

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ตอนนั้นมีท่านอะลีนั่งอยู่กับท่านนบี(ศ) พวกเขา(บรรดาลุงนบี)ได้ปฏิเสธ แล้วท่านอะลีกล่าวว่า ฉันจะให้ความช่วยเหลือท่านเองทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบีได้ปล่อยเขาไว้ จากนั้นท่านหันมาหาชายคนหนึ่งในหมู่พวกเขา แล้วท่านกล่าวว่า คนใดในหมู่พวกท่านจะมาช่วยเหลือฉันทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์บ้าง ? พวกเขา(บรรดาลุงนบี)ได้ปฏิเสธอีก
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ตอนนั้นมีท่านอะลีนั่งอยู่กับท่านนบี(ศ) พวกเขา(บรรดาลุงนบี)ได้ปฏิเสธ แล้วท่านอะลีกล่าวว่า ฉันจะให้ความช่วยเหลือท่านเองทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์

(สี่)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ปรากฏว่าเขา(อะลี)คือบุคคลแรกที่เข้ารับอิสลามจากผู้คนทั้งหลาย หลังจากท่านหญิงคอดีญะฮ์(นางรับอิสลามก่อนท่านอะลี)

(ห้า)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) เอาผ้า(กีซา)คลุมบนท่านอะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนพลางอ่านโองการว่า

อันที่จริง อัลเลาะฮ์ทรงประสงค์ที่จะขจัดความโสมมออกจากพวกเจ้า โอ้อะฮ์ลุลบัยต์ของนบี และ(ทรงประสงค์ที่จะ)ชำระพวกเจ้าให้สะอาดบริสุทธิ์ )
บท 33 : 33

(หก)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านอะลีได้ยอมแลกชีวิตของตัวเอง เขาได้สวมเสื้อผ้าของท่านนบี(ศ) แล้วได้นอนแทนที่ท่าน
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ตอนนั้นพวกมุชริกกำลังขว้างปาใส่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)อยู่ แล้วท่านอบูบักรได้มาหา ในขณะที่ท่านอะลีนอนอยู่ ท่านอบูบักรนึกว่าอะลีคือท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์

ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : เขาจึงกล่าวว่า โอ้ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ ท่านอะลีได้กล่าวกับเขาว่า แท้จริงท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ได้ออกไปที่บ่อน้ำมัยยมูนแล้ว ท่านอบูบักรได้ออกติดตามไปหาท่าน
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านอบูบักรได้ตามไปจนได้เข้าไปหลบในถ้ำพร้อมกับท่านนบี(ศ)
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านอะลีจึงโดนขว้างด้วยก้อนหินเหมือนที่ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์โดนขว้าง และท่านได้รับบาดเจ็บ ท่านได้เอาผ้าคลุมศรีษะท่านไว้ ท่านไม่ยอมโผล่ศรีษะออกมาจนรุ่งเช้า จากนั้นท่านได้โผล่ศรีษะออกมา พวกมุชริกจึงกล่าวว่า แท้จริงท่านคือผู้คลุมผ้า สหายของท่านคือคนที่เราจะขว้างเขา แต่เขากลับไม่ได้รับอันตราย ส่วนท่านต้องเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บ แน่นอนพวกเราไม่รู้สิ่งนั้น

(เจ็ด)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่านนบี(ศ)ออกไปพร้อมกับประชาชนในสงครามตะบู๊ก ท่านอะลีได้กล่าวกับท่านว่า ฉันจะออกไป(รบ)กับท่านด้วย ท่านศาสดาแห่งอัลลอฮ์ได้กล่าวกับเขาว่า ไม่ได้ ท่านอะลีจึงร้องไห้ ท่านจึงกล่าวกับเขาว่า ท่านไม่พอใจดอกหรือที่ท่านกับฉัน มีฐานะเหมือนนบีมูซากับนบีฮารูน ยกเว้นว่าท่านไม่ใช่นบีเท่านั้น เพราะไม่สมควรที่ฉันออกไป ยกเว้นว่า ท่านจะต้องเป็นคอลีฟะฮ์ตัวแทนของฉัน
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า :

(แปด)ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวกับเขาว่า ท่านคือวะลีของฉัน (คนที่รักยิ่งของฉัน)ในมุอ์มินทุกคนหลังจากฉัน


(เก้า)และท่าน(ศ)กล่าวว่า พวกท่านจงปิดประตูบ้านทุกบาน(ที่เชื่อมไปยัง)มัสญิด ยกเว้นประตูบ้านของอะลี
ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : แล้วเขา(อะลี)จะผ่านเข้าไปในมัสญิดขณะที่มีญุนุบ เพราะมันคือทางเดินของเขา ซึ่งเขาไม่มีทางอื่นอีกนอกจากทางนี้

(สิบ)ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า : ท่าน(ศ)กล่าวว่า บุคคลใดที่ฉันคือเมาลาของเขา เพราะฉะนั้นแท้จริงอะลีก็คือเมาลาของเขา


ดูสุนัน อัลกุบรอ โดยนะซาอี เล่ม 5 : 112 หะดีษ 8409
  •  

L-umar



บทสรุป


มีอุละมาอ์ซุนนี่  สองคนที่ รับรองว่า  หะดีษนี้มีสายรายงาน   เศาะหิ๊หฺ คือ

1.   อัลฮากิม อันนัยซาบูรี

2.   อัซ ซะฮะบี



และหะดีษทำนองนี้ยังถูกบันทึกอยู่ในตำราฝ่ายซุนนี่อีกดังต่อไปนี้


1.   มุชกิลุล อาษ้าร โดยอัฏ เฏาะฮาวี  เล่ม 8 : 123 หะดีษ 3054  และเล่ม 9 : 85 หะดีษ 3449

2.   ฆอยะตุลมักศ็ฮด ฟีซะวาอิดิลมุสนัด  โดยอัลฮัยษะมี  เล่ม 2 : 1319

3.   ฟะฎออิลุซ ซอฮาบะฮ์  โดยอิหม่ามอะหมัด  เล่ม 2 : 682 หะดีษ 1168 และเล่ม 9 : 85 หะดีษ 3449

4.   คอซออิซ อะลี  โดยอัน นะซาอี  เล่ม 1 : 47 หะดีษ 24

5.   อัช ชะรีอะฮ์ โดยอัลอาญุรรี  เล่ม 4 : 141 หะดีษ 1444
  •  

L-umar


พินิจ ใจความหะดีษ



ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ขอพรให้ท่านอับดุลเลาะฮ์ บินอับบาสว่า


اللَّهُمَّ فَقِّهْهُ فِي الدِّينِ وَعَلِّمْهُ التَّأْوِيلَ


โอ้อัลลอฮ ได้โปรดให้เขาเข้าใจในศาสนาและได้โปรดสอนการตะอ์วีลให้แก่เขา


เศาะหิ๊หฺ บุคอรี  หะดีษ  143

บิฮารุลอันวาร โดยอัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี เล่ม 18 : 18




ท่านอิบนุอับบาส เกิดก่อนฮิจเราะฮ์ 3 ปี และเสียชีวิตปีฮ.ศ.ที่68  ที่เมืองตออิฟ รวมอายุได้ 71 ปี
ในวันที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) วะฟาต  ท่านอิบนุอับบาสมีอายุได้สิบสี่ปี  เป็นซอฮาบะฮ์ที่มีความรู้อย่างมากมายคนหนึ่ง จนได้สมญานามว่า ฮิบรุลอุมมะฮ์
ดวงตาทั้งสองของท่านต้องบอดลงเพราะ ได้ร่ำไห้เสียใจให้กับมุซีบัตของท่านอิม่ามอะลี ฮาซันและฮูเซน



ท่านอิหม่ามอะหมัดและมุฮัดดิษคนอื่นๆได้เล่าว่า  ก่อนที่ท่านอิบนุอับบาสจะตาบอด มีบุคคล 9 กลุ่มเข้ามาพบท่าน  พวกเขาขอคุยธุระกับท่านอิบนุอับบาสเป็นการส่วนตัว

เรื่องที่บุคคลเก้ากลุ่มมาพูดคุยกับอิบนุอับบาสคือ ตำหนิต่อว่าท่านอะลี บินอบีตอลิบ
เมื่อท่านอิบนุอับบาสได้ฟังคำของพวกเขา ท่านจึงเดินแยกตัวออกมาจากบุคคลเหล่านั้นอย่างไม่พอใจและไม่ต้องการฟัง เพื่อแสดงให้เห็นว่า ท่านไม่ขอเกี่ยวข้องกับคำพูดของคนพวกนั้น  พร้อมกับขอร้องให้พวกเขายุติการตำหนิท่านอะลีด้วย  

ท่านอิบนุอับบาสเดินกลับมานั่งที่เดิม ซึ่งมีอัมรูบินมัยมูนนั่งอยู่กับท่านก่อนหน้านี้แล้ว

ท่านอิบนุอับบาสได้กล่าวว่า  คนพวกนั้นได้มาต่อว่าท่านอะลีกับฉัน  ซึ่งตัวฉันนั้นรู้ดีว่า ท่านอะลีนั้นมีฟะดีลัต(ความดีงาม)ถึง 10 ประการ

โดยที่ฉันมีแค่เพียงหนึ่งประการจากฟะดีลัตเหล่านั้น  



ซึ่งเรื่องราวความดีงามของท่านอิม่ามอะลีทั้งสิบประการ ที่ท่านอิบนุอับบาสได้เล่าให้เราฟังมีดังนี้
  •  

L-umar


ฟะดีลัตที่ หนึ่ง -

สงครามค็อยบัร

หรือวาดีค็อยบัร ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของนครมะดีนะฮ์ ห่างจากมะดีนะฮ์ประมาณ 32 ฟัรซัค เป็นเขตพื้นที่สำคัญของพวกยิว ที่คอยสร้างความรำคาญและรบกวนอิสลามโดยตลอด

ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)จึงตัดสินใจว่า ต้องปราบปรามพวกยิว ที่ชอบแสดงตนเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก และจำกัดขอบเขตให้อยู่ในพื้นที่  ท่านจึงสั่งให้บรรดาซอฮาบะฮ์เตรียมตัวเคลื่อนพลไปที่ค็อยบัรเพื่อทำสงคราม
ฝ่ายมุสลิมได้ยืนหยัดต่อสู้อยู่นาน แต่ไม่สามารถตีป้อมสุดท้ายอันแข็งแกร่งของพวกยิวให้แตกลงได้

ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวต่อหน้ากองทัพว่า :  พรุ่งนี้เช้าฉันจะส่งชายคนหนึ่งออกไปรบกับพวกยิว  ซึ่งอัลลอฮ์จะไม่ทรงทำให้เขาต้องอับอายเพราะต้องได้รับความพ่ายแพ้กลับมาอีก ชายคนนั้นมีความรักอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์
แน่นอนทหารมุสลิมทุกคนต่างปรารถนาที่จะได้รับเกียรติอันนั้น  พวกเขาทุกคนต่างวิงวอนในใจว่า  ยาอัลเลาะฮ์ พรุ่งนี้เช้าขอให้ท่านนบี(ศ) เลือกฉันเป็นคนนำทัพออกไปรบกับพวกยิวด้วยเถิด ดังนั้นคืนนั้นจึงเป็นคืนที่ระทึกใจสำหรับทุกคน

เช้าวันรุ่งขึ้น ท่านนบี(ศ)ออกมาต่อหน้ากองทัพ ท่านได้กวาดสายตามองหาคนที่ท่านต้องการตัว แต่หาไม่เจอ ท่านจึงถามว่า อะลีอยู่ที่ไหน ?

พวกทหารตอบว่า :  อะลีกำลังบดแป้งนวดแป้งอยู่ครับ  ท่านนบี(ศ)ได้ถามว่า :  มีใครสักคนจะอาสาไปบดแป้งแทนอะลีบ้างไหมและช่วยตามเขามาพบฉันด้วย

ต่อมามีคนพาอะลีมาพบท่านนบี(ศ)ในสภาพตาเจ็บเกือบมองอะไรไม่เห็น ท่านนบี(ศ)จึงได้เป่าไปที่ดวงตาทั้งสองของอะลี จากนั้นท่านนบี(ศ)ได้สะบัดธงรบสามครั้ง แล้วมอบธงแม่ทัพให้กับอะลี
ท่านนบี(ศ)ได้บัญชาว่า จงนำทัพออกไปตีป้อมคามูสแห่งเมืองค็อยบัรบัดเดี๋ยวนี้  

ท่านอะลีได้นำทัพออกรบ ในที่สุดป้อมปราการอันแข็งแกร่งของพวกยิวก็ถูกตีจนแตกพ่าย ท่านอะลีได้นำชัยชนะมาสู่อิสลาม


เรื่องที่ท่านอิบนิอับบาสเล่านี้ ถูกบันทึกอยู่ในตำราเศาะหิ๊หฺบุคอรี หะดีษที่ 2942,2975,3009,3701,3702,4209
และเศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษที่ 4779,6373,6377



وَسَمِعْتُهُ(رَسُولُ اللَّهِ) يَقُولُ يَوْمَ خَيْبَرَ « لأُعْطِيَنَّ الرَّايَةَ رَجُلاً يُحِبُّ اللَّهَ وَرَسُولَهُ وَيُحِبُّهُ اللَّهُ وَرَسُولُهُ ». قَالَ فَتَطَاوَلْنَا لَهَا فَقَالَ « ادْعُ لِى عَلِيًّا ». فَأَتَاهُ وَبِهِ رَمَدٌ فَبَصَقَ فِى عَيْنِهِ فَدَفَعَ الرَّايَةَ إِلَيْهِ فَفَتَحَ اللَّهُ عَلَيْهِ.

(พรุ่งนี้)ฉันจะมอบธงรบให้กับชายคนหนึ่งที่เขารักอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์ และอัลลอฮ์กับรอซูลของพระองค์ก็รักเขา ท่านสะอัดเล่าว่า (รุ่งเช้าทุกคนมารวมตัวกันที่กระโจมท่านนบี) พวกเราพยายามยืนตัวให้สูง(ท่านนบีจะได้มองเห็น) เพื่อจะได้รับธงรบนั้น ท่านนบีกล่าวว่า พวกท่านจงไปเรียกอะลีมาหาฉันที แล้วก็มีคนพาเขามา ซึ่งตาเขาเจ็บ ท่านได้เอาน้ำลายป้ายไปที่ดวงของเขา และมอบธงรบกับเขา แล้วอัลลอฮ์ได้ประทานชัยชนะให้กับเขา

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 6373



ตำราเศาะหิ๊หฺทั้งสองเล่มคือพยานทั้งยืนยัน และนอนยันว่า เรื่องที่ท่านอิบนุอับบาสเล่าเป็นเรื่องจริง   สิ่งที่ได้รับจากเรื่องนี้และชวนวิเคราะห์คือ


1.   มีซอฮาบะฮ์ในกองทัพตั้งมากมาย แต่ทำไมท่านนบี(ศ)เจาะจงมอบธงแม่ทัพให้กับท่านอะลีเพียงคนเดียว ?

2.   ท่านนบี(ศ)อธิบายลักษณะของท่านอะลีว่า เขาเป็นคนรักอัลลอฮฺและรอซูล

3.   ท่านนบี(ศ)บอกกับกองทัพว่า อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ก็รักอะลี

4.   ทำไมทุกคนในกองทัพอยากได้รับมอบธงรบในตอนเช้า

5.   เช้าวันนั้นทหารทุกคนมีสุขภาพปกติดี แต่อะลีตาเจ็บ ถึงกระนั้นท่านนบี(ศ)ก็ให้คนไปพาตัวมาและเยียวยาเขาจนหาย จากนั้นก็มอบธงรบให้เขานำทัพไปรบ  ทำไมคนตาดีมีเยอะแยะ ท่านนบี(ศ)ไม่เลือกพวกเขาให้เป็นแม่ทัพออกไปรบ แต่ส่งคนตาเจ็บออกไป ?

6.   คนอื่นนำทัพออกไปรบกับยิวแต่พ่ายแพ้  ส่วนอะลีนำทัพออกไปแต่นำชัยชนะกลับมา

7.   อะลีทำความดีนำพาชัยชนะมาสู่อิสลาม แต่ทำไมคนสมัยนั้นยังด่าทอต่อว่า คนอย่างอะลีได้ ?



เพราะฉะนั้น

เราสามารถกล่าวได้ไหมว่า  อัลลอฮ์ตะอาลารักอะลีมาก จึงทรงประทานบะร่อกัตให้อะลีชนะ และตัวอะลีเองก็มุ่งมั่นที่จะเอาชนะมาให้ได้ด้วยเพื่ออิสลาม


เพราะความดีของอะลีอันนี้ใช่ไหม ที่ทำให้คนเก้ากลุ่มซึ่งอาจมีใครสักคนหนึ่งอยู่ร่วมในสงครามคอยบัรเกิดอิจฉาอะลีมาตลอด จนต้องมาด่าว่าอะลีกับท่านอิบนิอับบาส ?
จนอิบนุอับบาสต้องเตือนสติพวกเขาและพวกเราอีกครั้งหนึ่งถึงความดีของอะลี
  •  

L-umar

ท่านอิม่ามอะลียังได้ถ่ายทอดอุดมการณ์และความมุ่งมั่นของท่านไว้กับชีอะฮ์อะลี

ท่านจะเห็นได้ว่า  

สัยยิดอะลีคาเมเนอีผู้นำอิหร่านและประชาชนอิหร่านมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กับอิสราเอล เพราะยิวไซออนิสต์คือศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิสลาม

สัยยิดฮาซันนัซุรลเลาะฮ์ผู้นำฮิซบุลเลาะฮ์และชาวเลบานอน ได้สร้างความอับยศให้กับกองทัพอิสราเอลมาแล้ว


เพราะเมาลาของพวกเขาคือ  อะลี

แต่ถึงกระนั้นก็ตามเราจะพบชาววาฮาบีผู้อ่อนแอได้พยายามด่าว่า ประณามใส่ร้ายต่างๆนานาต่อสัยยิดอะลีคาเมเนอีกับชาวอิหร่านและสัยยิดฮาซันนัซุรลกับฮิซบุลเลาะฮ์  ด้วยเหตุผลประการเดียวกันกับคนเก้ากลุ่มที่ไปรุมด่าท่านอะลีต่อหน้าท่านอิบนุอับบาส นั่นคือ  


" อิจฉาในสิ่งที่พวกเขา ไม่มี   และริษยาในสิ่งที่ตนทำไม่ได้ นั่นเอง "
  •  

L-umar


ฟะดีลัตที่ สอง –



ท่านอิบนุอับบาสเล่าว่า  :

ปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 9  
ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ) มีเจตนาที่จะนำซูเราะฮ์เตาบะฮ์ไปประกาศที่นครมักกะฮ์ในช่วงเทศกาลหัจญ์ว่า ห้ามมิให้มุชริก(ผู้ตั้งภาคี)มาทำหัจญ์และห้ามคนเปลือยกายมาเดินต่อวาฟที่บัยตุลลอฮ์อีกต่อไป แต่ท่านนบี(ศ)ไม่อยากไปทำหัจญ์โดยมีพวกมุชริกปะปนอยู่ในการทำหัจญ์ของท่าน ท่านจึงเปลี่ยนใจให้ท่านอบูบักรนำซูเราะฮ์เตาบะฮ์ไปประกาศแทน   แต่แล้วท่านญิบรออีล(อ)ได้ลงมาแจ้งให้ท่านนบี(ศ)ทราบว่า  จะไม่มีใครทำหน้าที่ประกาศโองการอัลกุรอ่านแทนตัวท่านได้ นอกจากตัวท่านเองหรือชายที่มาจากอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านเท่านั้น

เมื่อท่านนบี(ศ)รับทราบ ท่านจึงได้เรียกท่านอะลีมาพบและสั่งให้รีบติดตามไปพบท่านอบูบักรในระหว่างทางเพื่อขอซูเราะฮ์เตาบะฮ์คืนจากเขา หลังจากท่านอบูบักรมอบซูเราะฮ์เตาบะฮ์ให้ท่านอะลี ตัวเขาได้ย้อนกลับมาที่นครมะดีนะฮ์ด้วยความเสียใจ ฝ่ายท่านอะลีได้นำซูเราะฮ์เตาบะฮ์ไปประกาศแก่ชาวเมืองมักกะฮ์ในฐานะตัวแทนของรอซูลุลลอฮ์    เรื่องมัชฮูรนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในตำราซุนนี่มากมาย เช่น


อัต-ติรมิซี รายงาน

حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ بَشَّارٍ حَدَّثَنَا عَفَّانُ بْنُ مُسْلِمٍ وَعَبْدُ الصَّمَدِ بْنُ عَبْدِ الْوَارِثِ قَالاَ حَدَّثَنَا حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ عَنْ سِمَاكِ بْنِ حَرْبٍ عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ قَالَ :
بَعَثَ النَّبِىُّ -صلى الله عليه وسلم- بِبَرَاءَةَ مَعَ أَبِى بَكْرٍ ثُمَّ دَعَاهُ فَقَالَ « لاَ يَنْبَغِى لأَحَدٍ أَنْ يُبَلِّغَ هَذَا إِلاَّ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِى ». فَدَعَا عَلِيًّا فَأَعْطَاهُ إِيَّاهَا.

قَالَ (الترمذي) هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ غَرِيبٌ
قال الشيخ الألباني : حسن الإسناد انظر الكتاب : صحيح وضعيف سنن الترمذي  ح 3090

สะนัดหะดีษ -

มุฮัมมัด บินบัชช้ารจาก→ อัฟฟาน บินมุสลิมและอับดุลซ่อมัดจาก→ฮัมมาด บินสะละมะฮ์จาก →สิม๊าก บินหัรบ์จาก→ท่านอะนัส บินมาลิกเล่าว่า :

ตัวบท -

ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้ส่งซูเราะฮ์บะรออะฮ์ไป(ประกาศที่นครมักกะฮ์)พร้อมกับท่านอบูบักร ต่อมาท่านนบีเรียกท่านอบูบักรกลับมา ท่านกล่าวว่า : ไม่ควรที่ใครคนใดจะทำหน้าที่ประกาศซูเราะฮ์บะรออะฮ์ นอกจากชายที่มาจากครอบครัวของฉัน แล้วท่านนบีได้เรียกท่านอะลีมาหา  ดังนั้นท่านได้มอบซูเราะฮ์บะรออะฮ์ให้อะลี(นำไปประกาศแก่บรรดาฮุจญ๊าจญ์)


สถานะหะดีษ  :  ฮาซัน

ดูสุนันติรมิซี  หะดีษ  3370  ฉบับตรวจทานโดยเชคอัลบานี  หะดีษที่ 3090



อัน-นะซาอี รายงาน


أَخْبَرَناَ مُحَمَّدُ بْنُ بَشَّارٍ قاَلَ حَدَّثَنَا عَفَّانُ وَعَبْدُ الصَّمَدِ قَالَا حَدَّثَنَا حَمَّادُ بْنُ سَلَمَةَ عَنْ سِمَاكِ بْنِ حَرْبٍ عَنْ أَنَسِ قَالَ : بَعَثَ النَّبِيُّ صلى الله عليه وسلم بِبَرَاءَةٌ مَعَ أَبِي بَكْرٍ ثُمَّ دَعاَهُ فَقاَلَ لاَ يَنْبَغِي أَن يُبَلِّغَ هَذاَ عَنِّيْ إِلاَّ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِيْ فَدَعاَ عَلِياًّ فَأَعْطاَهُ إِياَّهُ


มุฮัมมัด บินบัชช้ารจาก→ อัฟฟาน บินมุสลิมและอับดุลซ่อมัดจาก→ฮัมมาด บินสะละมะฮ์จาก →สิม๊าก บินหัรบ์จาก→ท่านอะนัสเล่าว่า :

ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้ส่งซูเราะฮ์บะรออะฮ์ไป(ประกาศที่นครมักกะฮ์)พร้อมกับท่านอบูบักร ต่อมาท่านนบีเรียกท่านอบูบักรกลับมา ท่านกล่าวว่า : ไม่ควรที่ใครคนใดจะทำหน้าที่ประกาศซูเราะฮ์บะรออะฮ์แทนฉัน นอกจากชายที่มาจากครอบครัวของฉัน แล้วท่านนบีได้เรียกท่านอะลีมาหา  ดังนั้นท่านได้มอบซูเราะฮ์บะรออะฮ์ให้อะลี(นำไปประกาศแก่บรรดาฮุจญ๊าจญ์)

ดูสุนันอัลกุบรอ โดยอันนะซาอี  หะดีษ  8460

เป็นสายรายงานเดียวกันกับที่ท่านติรมิซีและเชคอัลบานีให้การรับรองว่า ฮาซัน(ดี)



อิหม่ามอะหมัด บันทึกว่า

حَدَّثَنَا عَبْدُ الصَّمَدِ وَعَفَّانُ قَالَا حَدَّثَنَا حَمَّادٌ الْمَعْنَى عَنْ سِمَاكٍ عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ
أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بَعَثَ بِبَرَاءَةٌ مَعَ أَبِي بَكْرٍ الصِّدِّيقِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ فَلَمَّا بَلَغَ ذَا الْحُلَيْفَةِ قَالَ عَفَّانُ لَا يُبَلِّغُهَا إِلَّا أَنَا أَوْ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي فَبَعَثَ بِهَا مَعَ عَلِيٍّ

อับดุลซ่อมัดและอัฟฟานจาก→ฮัมมาด บินสะละมะฮ์จาก →สิม๊าก บินหัรบ์จาก→ท่านอะนัสบิมาลิกเล่าว่า :

ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้ส่งซูเราะฮ์บะรออะฮ์ไป(ประกาศที่นครมักกะฮ์)พร้อมกับท่านอบูบักร อัศศิดดีก เมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ซุลหุลัยฟะฮ์  
อัฟฟานเล่าว่า  ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า : ไม่มีใครจะทำหน้าที่ประกาศซูเราะฮ์นั้นแทนฉันได้ นอกจากตัวฉัน หรือชายที่มาจากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน
แล้วท่านได้ส่งซูเราะฮ์บะรออะฮ์ไป(ประกาศที่นครมักกะฮ์)พร้อมกับท่านอะลี (เพื่อนำไปประกาศแก่บรรดาฮุจญาจญ์)

حَدَّثَنَا عَفَّانُ حَدَّثَنَا حَمَّادٌ قَالَ أَخْبَرَنَا سِمَاكُ بْنُ حَرْبٍ عَنْ أَنَسِ بْنِ مَالِكٍ
أَنَّ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بَعَثَ بِبَرَاءَةٌ مَعَ أَبِي بَكْرٍ إِلَى أَهْلِ مَكَّةَ قَالَ ثُمَّ دَعَاهُ فَبَعَثَ بِهَا عَلِيًّا قَالَ لَا يُبَلِّغُهَا إِلَّا رَجُلٌ مِنْ أَهْلِي

อัฟฟานจาก→ฮัมมาด บินสะละมะฮ์จาก →สิม๊าก บินหัรบ์จาก→ท่านอะนัสบิมาลิกเล่าว่า :

ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้ส่งซูเราะฮ์บะรออะฮ์ไปพร้อมกับท่านอบูบักร(เอาไปประกาศ)แก่ชาวเมืองมักกะฮ์  
ต่อมาท่านนบี(ศ)เรียกเขากลับมา แล้วส่งซูเราะฮ์บะรออะฮ์ไปกับท่านอะลี  ท่านกล่าวว่า ไม่มีใครจะทำหน้าที่ประกาศซูเราะฮ์นั้นได้ นอกจากชายที่มาจากครอบครัวของฉัน

ดูมุสนัดอิหม่ามอะหมัด  หะดีษ 12737 , 13508

เป็นสายรายงานเดียวกันกับที่ท่านติรมิซีและเชคอัลบานีให้การรับรองว่า ฮาซัน(ดี)





เชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี วิจารณ์หะดีษสองบทในมุสนัดอะหมัดว่า ดออีฟ


قال الشيخ شعيب الأرنؤوط : إسنادُهُ ضَعِيْفٌ لنكارة متنه سماك بن حرب ليس بذاك القوي

เชคชุเอบกล่าวว่า สายรายงานของมัน  ดออีฟ เพราะตัวบทหะดีษนั้นมุงกัร (และนักรายงานที่ชื่อ) สิม๊าก บินหัรบ์นั้นไม่แข็งแรงในการรายงาน


วิจารณ์ทัศนะของเชคชุเอบ

การที่เชคชุเอบออกมาวิจารณ์ว่า หะดีษทั้งสองที่อิหม่ามอะหมัดบันทึกนั้น ดออีฟ  ต้องถือผิดพลาดมากๆเพราะว่า


1.ท่านติรมิซีกับเชคอัลบานีวิจารณ์ว่า สะนัดหะดีษนี้ " ฮาซัน (ดี) " เพราะฉะนั้นสองคะแนนเสียง ย่อมมีน้ำหนักกว่าเชคชุเอบเพียงคนเดียว

2.อิบนุหะญัร รับรองว่า สะนัดหะดีษที่อิหม่ามอะหมัดบันทึกนั้น ฮาซัน  

وَأَخْرَجَ أَحْمَدُ بِسَنَدٍ حَسَن عَنْ أَنَس \\\" أَنَّ النَّبِيّ صَلَّى اللَّه عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بَعَثَ بِبَرَاءَةٍ مَعَ أَبِي بَكْر ، فَلَمَّا بَلَغَ ذَا الْحُلَيْفَةِ قَالَ : لَا يُبَلِّغُهَا إِلَّا أَنَا أَوْ رَجُل مِنْ أَهْل بَيْتِي ، فَبَعَثَ بِهَا مَعَ عَلِيّ
فتح الباري لابن حجر ج 13 ص 88 ح 4289

อิบนุหะญัรกล่าวว่า ท่านอะหมัดได้นำออกรายงานด้วยสายรายงานที่ฮาซัน(ดี) รายงานจากท่านอะนัสว่า  ท่านนบี(ศ)ได้ส่งซูเราะฮ์บะรออะฮ์ไปพร้อมกับท่านอบูบักร เมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ซุลหุลัยฟะฮ์  ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า : ไม่มีใครจะทำหน้าที่ประกาศซูเราะฮ์นั้น นอกจากตัวฉันหรือชายที่มาจากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน แล้วท่านได้ส่งซูเราะฮ์บะรออะฮ์ไปพร้อมกับท่านอะลี ( ดูฟัตฮุลบานี เล่ม 13 : 88 หะดีษ 4289 ) ฉะนั้นคำวิจารณ์ของเชคชุเอบก็ค้านกับทัศนะของท่านอิบนุหะญัรอีกคนหนึ่งรวมเป็นสามคนแล้ว

3.มุสลิมบินหัจญ๊าจ ยอมรับว่า รายงานของสิม๊าก เศาะหิ๊หฺ  รายงานหะดีษของสิม๊ากบินหัรบ์ถูกบันทึกไว้ในเศาะหิ๊หฺมุสลิมประมาณ 37 บท
เช่นหะดีษที่  557,558,1007,1055,1140,1400,1435,1557,2041,2282   เป็นต้น  ซึ่งนักวิชาการโดยส่วนมากยอมรับว่า เศาะหิ๊หฺมุสลิมเป็นตำราหะดีษที่มีสายรายงานถูกต้อง
แต่เชคชุเอบกลับกล่าวว่า " สิม๊าก บินหัรบ์" มีสถานะไม่แข็งแรง  ซึ่งคำวิจารณ์ของเขาถือว่า ขัดแย้งกับท่านมุสลิมและทัศนะของอุละมาอ์โดยส่วนมาก

4.หะดีษที่ท่านนบี(ศ)มอบหน้าที่ให้ท่านอะลีนำซูเราะฮ์เตาบะฮ์ไปประกาศแก่ชาวมักกะฮ์ในปีฮ.ศ.ที่ 9 นี้มีบรรดามุหัดดิษได้บันทึกไว้ในตำราของพวกเขามากมายจนถึงขั้น " มุตะวาติร "  เพราะฉะนั้นทำไมเชคชุเอบจึงมองข้ามตำราอื่นๆที่เล่าว่าท่านนบี(ศ)มอบหน้าที่ให้ท่านอะลีนำซูเราะฮ์เตาบะฮ์ไปประกาศที่มักกะฮ์

5. ที่เรากล่าวว่า หะดีษนี้มีสถานะมุ " ตะวาติร "  เพราะเราพบว่ามีซอฮาบะฮ์ 12 คนได้รายงานว่า ท่านนบี(ศ)ได้มอบหน้าที่ให้ท่านอะลีนำซูเราะฮ์เตาบะฮ์ไปประกาศไม่ใช่ท่านอบูบักร   รายชื่อซอฮาบะฮ์ดังกล่าวคือ :
1.   อะลี บินอบีตอลิบ
2.   อบูบักร
3.   อิบนุอับบาส
4.   ญาบิร บินอับดุลลอฮ์อัลอันศอรี
5.   อะนัสบินมาลิก
6.   อบู สะอีดอัลคุดรี
7.   สะอัด บินอบีวักกอศ
8.   อบูฮุร็อยเราะฮ์
9.   อับดุลลอฮ์ บินอุมัร
10.   ฮับชี บินญุนาดะฮ์
11.   อิมรอน บินฮุศ็อยนฺ
12.   อบูซัร อัลฆ็อฟฟารี


ส่วนตัวบทหะดีษทั้งสิบที่ซอฮาบะฮ์เล่า ท่านสามารถเปิดอ่านได้ที่เวบนี้
http://www.haydarya.com/maktaba_moktasah/3/book_15/sorat_baraaha.html


ส่วนเหตุผลต่างๆเกี่ยวกับหะดีษนี้ท่านสามารถศึกษาวิจัยได้ที่เวบนี้
http://www.rafed.net/books/olom-quran/mafahim-al-quran-7/48.html


สรุปหะดีษนี้จึงอยู่ในระดับ" มุตะวาติร " เพราะมีซอฮาบะฮ์มากกว่าเกิน 9 คนรายงาน

เพราะฉะนั้นคำวิจารณ์ของเชคชุเอบอัรนะอูฏีจึงตกไป

แต่ถ้าถามว่าทำไมเชคชุเอบต้องออกมาวิจารณ์เหะดีษมุตะวาติรว่าดออีฟ ?

คำตอบคือ มันคงเป็นเหตุผลเดียวกันกับกลุ่มชนเก้ากลุ่มที่มาด่าทอท่านอะลีให้ท่านอิบนุอับบาสฟัง ด้วยความอคติที่มีต่อฟะดีลัตของท่านอิม่ามอะลีแค่นั้นเอง


คำถาม  ทำไมท่านอิบนุอับบาสจึงนับว่าเรื่องนี้คือฟะดีลัตประการหนึ่งของอิม่ามอะลี  ?

ตอบ
หนึ่ง- เพราะญิบรออีลลงมาบอกท่านนบี(ศ)ว่า ถ้าท่านนบี(ศ)ไม่ไปประกาศซูเราะฮ์เตาบะฮ์ด้วยตัวเอง  คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำหน้าที่ประกาศซูเราะฮืนี้แทนท่านได้คือ อะลี  

สอง- คำพูดของท่านนบี(ศ)ได้ทิ่มแทงใจดำคนในยุคนั้นจนมาถึงคนในยุคนี้ว่า

لَا يُبَلِّغُهَا إِلَّا أَنَا أَوْ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي فَبَعَثَ بِهَا مَعَ عَلِيٍّ

ไม่มีใครจะทำหน้าที่ประกาศซูเราะฮ์นั้น นอกจากตัวฉันหรือชายที่มาจากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน แล้วท่านได้ส่งซูเราะฮ์บะรออะฮ์ไปพร้อมกับท่านอะลี

หรือ

لاَ يَنْبَغِى لأَحَدٍ أَنْ يُبَلِّغَ هَذَا إِلاَّ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِى  فَدَعَا عَلِيًّا فَأَعْطَاهُ إِيَّاهَا.

ไม่สมควรที่ใครคนใดจะทำหน้าที่ประกาศซูเราะฮ์นี้ นอกจากชายที่มาจากครอบครัวของฉัน แล้วท่านได้เรียกอะลีมาหา ดังนั้นท่านอบูบักรได้มอบซูเราะฮ์บะรออะฮ์ให้ท่านอะลี(นำไปประกาศ)


อย่างไรก็ตามท่านต้องทราบว่า ท่านนบี(ศ)ไม่เคยพูดหรือทำสิ่งใดตามนัฟซูตัวเอง แต่ท่านทำตามวะห์ยูเท่านั้น ดังที่อัลลอฮ์ ตะอาลาตรัสว่า

وَمَا يَنْطِقُ عَنِ الْهَوَى  إِنْ هُوَ إِلَّا وَحْيٌ يُوحَى

และเขา(มุฮัมมัด)มิได้พูดตามอารมณ์  มิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะห์ยูที่ถูกประทานลงมา
บท 53 : 3 -4

มีต่อ
  •  

11 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้