Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

เมษายน 27, 2024, 02:08:06 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,625
  • หัวข้อทั้งหมด: 650
  • Online today: 103
  • Online ever: 153
  • (เมษายน 26, 2024, 05:40:09 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 41
Total: 41

วิจัย มะตั่นและสะนัด วะซียะฮ์ของนบีมุฮัมมัด (ศ)

เริ่มโดย L-umar, ตุลาคม 21, 2009, 01:49:31 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar



( ( วิจัย มะตั่นและสะนัด วะซียะฮ์ของนบีมุฮัมมัด (ศ) ))


สืบเนื่องต่อจากกระทู้นี้



คิลาฟะฮ์ อิมามะฮ์ เป็นปัญหาของอัลเลาะฮ์หรือมนุษย์


ท่านใดสนใจอ่านเชิญได้ที่ หัวข้อด้านล่างนี้


http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1082
  •  

L-umar



นักวิชาการฝ่ายชีอะฮ์


ได้ทำการยืนยันและให้การพิสูจน์ถึงสัจธรรมของมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์  อีกทั้งตอบโต้ข้อคลุมเครือต่อฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ฯให้เข้าใจเสมอ

อุละมาอ์ชีอะฮ์จะยึดหลักการหนึ่งสำหรับตัวพวกเขาเองเสมอว่า

ชีอะฮ์จะไม่ยอมยกหลักฐานใดออกไปโต้แย้งกับฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์  ยกเว้น  สิ่งนั้นต้องมีรายงานกล่าวเอาไว้ในตำราของฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ฯ และพวกเขาได้ให้การยอมรับว่าหลักฐานนั้นมีความถูกต้อง

จากนั้นชีอะฮ์จึงจะนำหลักฐานของฝ่ายชีอะฮ์เองออกมายืนยัน ผนวกกับหลักฐานที่มาจากฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ฯ


ท่านจะเห็นได้ว่า  

ชีอะฮ์พยายามอย่างยิ่งที่จะทำการโต้แย้งหลักฐานต่อฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์   ในสิ่งที่มีรายงานมาจากซอฮีฮุลบุคอรี และซอฮีฮุลมุสลิม รวมทั้งตำราต่างๆที่พวกเขายึดถือ(มุอ์ตะบัร)เป็นหลักฐาน
ตลอดจนทัศนะหรือคำพูดจากบรรดาอุละมาอ์ของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์เอง เท่าที่จะนำมาเสนอได้



คำถามคือ

ทำไมฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ฯ  ไม่เคยนำวิธีการดังกล่าวมาใช้กับฝ่ายชีอะฮ์บ้าง


ท่านจะเห็นได้ว่า

ฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์  ตั้งแต่อุละมาอ์จนถึงรากหญ้า ได้พิสูจน์กับฝ่ายชีอะฮ์ว่า  

" มัซฮับอะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ "   มีความถูกต้องด้วยหะดีษต่างๆที่รายงานจากตำราอะฮ์ลุสสุนนะฮ์เอง  

ทั้งๆที่หลักฐานนั้นๆ  มิได้เป็นที่ยอมรับของฝ่ายตรงข้ามเลย

อะฮ์ลุสสุนนะฮ์จะโต้แย้งต่อฝ่ายชีอะฮ์ ด้วยหนังสือซอฮีฮุลบุคอรี  มุสลิม และตำราต่างๆของพวกเขาเอง  
รวมไปถึงทัศนะคำพูดของท่านอิม่ามอะหมัด บินฮัมบัล  ท่านชาฟิอี  ท่านมาลิก  ท่านอบุลฮาซัน อัชอะรี ท่านอิบนิตัยมียะฮ์ และคนอื่นๆ

เป็นเรื่องที่เราทุกคนต่างตระหนักดีว่า  
การนำหลักฐานมาโต้แย้งกับคู่กรณีที่ถูกต้องนั้น   ควรจะต้องเป็นหลักฐานที่ฝ่ายตรงข้ามให้การยอมรับต่อสิ่งนั้นด้วยถึงจะเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย

แต่ที่เราพบเห็นเป็นประจำคือ   หลักฐานทั้งหมดของพวกเขา กลับไม่เป็นเช่นนั้น

มีอุละมาอ์ฝ่ายอะฮ์ลุสสุนนะฮ์บางคน
ทำถึงขั้นที่ว่า กล้า   ฮุก่ม(ตัดสิน)หะดีษ " เศาะหิ๊หฺ " บางบทในตำราของฝ่ายตนเอง
ให้กลายเป็นหะดีษ " ดออีฟ "    เพียงเพื่อปกป้องมัซฮับของตนเอาไว้   และเพื่อสกัดกั้นมิให้ฝ่ายชีอะฮ์เอามาหะดีษนั้นมาเป็นหลักฐานโต้แย้งกับพวกเขา  เช่น

หะดีษ  ษะเกาะลัยน์  / หะดีษเฆาะดีรคุม    /  หะดีษ  ฏ็อยร์(นก)  

ทั้งๆที่หะดีษเหล่านี้มีสายรายงานมากมายหลายกระแสจนถึงขั้น " มุตะวาติร "  
กล่าวคือสายรายงานของมันเกินกว่าที่คนเราจะคาดคิดได้ว่า บรรดานักรายงานเหล่านั้นร่วมหัวกันโกหก

มันมีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ส่งผลทำให้พวกเขาต้องกระทำเช่นนั้นคือ

อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ไม่มีหลักฐานจากตำราของชีอะฮ์ ที่จะเอามาพิสูจน์ถึงความถูกต้องใน " มัซฮับ " ที่พวกตนยึดถือ  นอกจาก ตำราของตนเองเท่านั้น

ต่อจากนั้น
ท่านจะเห็นได้ว่า  อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ไม่รู้จะค้นหาวิธีการใดมาตอบโต้กับฝ่ายชีอะฮ์  นอกจาก วิธีด่า วิธีประณามและวิธีดูหมิ่นเหยียดหยามต่อฝ่ายชีอะฮ์

ในขณะเดียวกันชาวที่อ้างตัวว่า พวกเขาดำเนินชีวิตตามกิตาบุลเลาะฮ์  ก็ไม่เคยให้ความสำคัญต่อพระพจนารถของอัลเลาะฮ์ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ตรัสว่า

اُدْعُ إِلَى سَبِيلِ رَبِّكَ بِالْحِكْمَةِ وَالْمَوْعِظَةِ الْحَسَنَةِ وَجَادِلْهُمْ بِالَّتِي هِيَ أَحْسَنُ

จงเรียกร้องเชิญชวนสู่ แนวทางแห่งพระเจ้าของสูเจ้าโดยสุขุม และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งกับพวกเขาด้วยสิ่งที่ดีกว่า

ซูเราะฮ์อันนะห์ลุ  บท 16 : 125

ท่านลองไปอ่านสิ่งที่เขียนอยู่ในตำราต่างๆของพวกเขาเช่น

1.   อัศ ซ่อวาอิกุล มุห์ริเกาะฮ์   ของอิบนิหะญัร อัลฮัยตะมี
2.   อัลมิลัล วัลอะฮ์วาอฺ วัลนิฮัล  ของอิบนิหัซมิน
3.   มินฮาญุส-สุนนะฮ์  ของอิบนิตัยมียะฮ์


แนวทางของคนอ่อนแอ คนไร้ความสามารถคือ ใช้วิธีทะเลาะวิวาทมาใช้แทนการใช้หลักฐานใช้เหตุผล

เหมือนที่เราต่างทราบดี
  •  

L-umar



ตำราหะดีษของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ได้บันทึกหะดีษไว้บทหนึ่ง  

ซึ่งหะดีษบทนี้ได้กล่าวถึงเรื่องสำคัญเอาไว้หลายประการในหะดีษนี้เพียงบทเดียวคือ

1.   เล่าถึงเหตุการณ์หลังฮัจญะตุลวิดาอ์
2.   มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นที่เฆาะดีรคุม
3.   กล่าวถึงวะซียัตของท่านนบี(ศ)สั่งเสียให้ปฏิบัติตามกิตาบุลเลาะฮ์และอะฮ์ลุลบัยต์
4.   กล่าวถึงเรื่องที่ท่านนบี(ศ)ประกาศแต่งตั้งท่านอะลีเป็นผู้ปกครองต่อจากท่าน


สุนันกุบรอ  โดยอัน นะซาอี  หะดีษที่  8148


أَخْبَرَناَ مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى قاَلَ ثَناَ يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ قاَلَ ثَناَ أَبُو عَوَانَةَ عَنْ سُلَيْمَانَ قاَلَ ثَناَ حَبِيبُ بْنُ أَبِي ثَابِتٍ عَنْ أَبِي الطُّفَيْلِ عَنْ زَيْدِ بْنِ أَرْقَمَ قَالَ لَمَّا رَجَعَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ حَجَّةِ الْوَدَاعِ وَنَزَلَ غَدِيْرَ خُمٍّ أَمَرَ بِدَوْحَاتٍ فَقُمِمْنَ ثُمَّ قَالَ : كَأَنِّيْ دُعِيْتُ فَأَجِبْتُ وَإِنِّيْ تَرِكْتُ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ أَحَدَهُمَا أَكْبَرُ مِنَ الْآخَرِ : كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ أَهْلُ بَيْتِيْ فَانْظُرُوْا كَيْفَ تُخْلِفُوْنِيْ فِيْهِمَا  فَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَقَا حَتَّي يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ  ثُمَّ قَالَ : إِنَّ اللهَ مَوْلاَيَ وَأَنَا وَلِيُّ كُلِّ مُؤْمِنٍ  ثُمَّ إِنَّهُ أَخَذَ بِيَدِ عَلِيٍّ فَقَالَ : مَنْ كُنْتُ وَلِيَّهُ فَهَذَا وَلِيَّهُ  اللّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالاَهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ
فَقُلْتُ لِزَيْدٍ سَمِعْتَهُ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قاَلَ ماَ كاَنَ فِي الدَّوْحاَتِ رَجُلٌ إِلاَّ رَآهُ بِعَيْنِهِ وَسَمِعَ بِأُذُنِهِ
السنن الكبرى للنسائي   ج 5 / ص 45


มุฮัมมัด บินอัลมุษันนาเล่าให้เราฟัง  เขากล่าวว่า  ยะห์ยา บินหัมมาดเล่าให้เราฟัง เขากล่าวว่า อบูอิวานะฮ์เล่าให้เราฟัง จากสุลัยมานกล่าวว่า  หะบีบ บินอบีษาบิตเล่าให้เราฟัง จากอบิต-ตุฟัยล์ จากเซดบินอัรก็อมเล่าว่า :  

เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ


(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  

ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)

จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :


บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา
 
โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา



ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง  
  •  

L-umar


ท่านนะซาอี ได้บันทึกไว้อีหนึ่งบทคือ  


أَخْبَرَناَ مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى قاَلَ حَدَّثَنِيْ يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ قاَلَ حَدَّثَناَ أَبُو عَوَانَةَ عَنْ سُلَيْمَانَ قاَلَ حَدَّثَناَ حَبِيبُ بْنُ أَبِي ثَابِتٍ عَنْ أَبِي الطُّفَيْلِ عَنْ زَيْدِ بْنِ أَرْقَمَ قَالَ :


لَمَّا رَجَعَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ حَجَّةِ الْوَدَاعِ وَنَزَلَ غَدِيْرَ خُمٍّ أَمَرَ بِدَوْحَاتٍ فَقُمِمْنَ
 
ثُمَّ قَالَ : كَأَنِّيْ دُعِيْتُ فَأَجِبْتُ وَإِنِّيْ تَرِكْتُ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ أَحَدَهُمَا أَكْبَرُ مِنَ الْآخَرِ :

كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ أَهْلُ بَيْتِيْ فَانْظُرُوْا كَيْفَ تُخْلِفُوْنِيْ فِيْهِمَا  فَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَقَا حَتَّي يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ  
ثُمَّ قَالَ : إِنَّ اللهَ مَوْلاَيَ وَأَنَا وَلِيُّ كُلِّ مُؤْمِنٍ  ثُمَّ أَخَذَ بِيَدِ عَلِيٍّ فَقَالَ :

مَنْ كُنْتُ وَلِيَّهُ فَهَذَا وَلِيَّهُ  اللّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالاَهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ
 
فَقُلْتُ لِزَيْدٍ سَمِعْتَهُ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقاَلَ ماَ كاَنَ فِي الدَّوْحاَتِ أَحَدٌ إِلاَّ رَآهُ بِعَيْنَيْهِ وَسَمِعَهُ بِأُذُنَيْهِ
السنن الكبرى للنسائي  ج 5 / ص 130




มุฮัมมัด บินอัลมุษันนาเล่าให้เราฟัง  เขากล่าวว่า  ยะห์ยา บินหัมมาดเล่าให้เราฟัง เขากล่าวว่า อบูอิวานะฮ์เล่าให้เราฟัง จากสุลัยมานกล่าวว่า  หะบีบ บินอบีษาบิตเล่าให้เราฟัง จากอบิต-ตุฟัยล์ จากเซดบินอัรก็อมเล่าว่า :  

เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  

ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ

(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  


ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)

จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :
 
บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  

โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา


ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง  

ดูสุนันกุบรอ  โดยอัน นะซาอี  หะดีษที่  8464


ถ้าท่านอ่านดีๆ จะพบว่าหะดีษบทที่สองนี้มีรายละเอียดในตัวบทอาหรับค่อนข้างสมบูรณ์กว่า หะดีษบทแรก  ด้วยเหตุนี้ท่านนะซาอีจึงต้องบันทึกเอาไว้อีกหนึ่งบท
  •  

L-umar



ท่านนะซาอียังได้บันทึกหะดีษนี้ไว้ในหนังสือของเขาชื่อ  


ค่อซออิซ อมีรุลมุอ์มินีน  หรือค่อซออิซ อะลี    

 
أَخْبَرَناَ مُحَمَّدُ بْنُ الْمُثَنَّى قاَلَ حَدَّثَنِيْ يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ قاَلَ حَدَّثَناَ أَبُو عَوَانَةَ عَنْ سُلَيْمَانَ قاَلَ حَدَّثَناَ حَبِيبُ بْنُ أَبِي ثَابِتٍ عَنْ أَبِي الطُّفَيْلِ عَنْ زَيْدِ بْنِ أَرْقَمَ قَالَ :

لَمَّا رَجَعَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ حَجَّةِ الْوَدَاعِ وَنَزَلَ غَدِيْرَ خُمٍّ أَمَرَ بِدَوْحَاتٍ فَقُمِمْنَ
 
ثُمَّ قَالَ : كَأَنِّيْ دُعِيْتُ فَأَجِبْتُ وَإِنِّيْ تَرِكْتُ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ أَحَدَهُمَا أَكْبَرُ مِنَ الْآخَرِ :

كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ أَهْلُ بَيْتِيْ فَانْظُرُوْا كَيْفَ تُخْلِفُوْنِيْ فِيْهِمَا  فَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَقَا حَتَّي يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ  
ثُمَّ قَالَ : إِنَّ اللهَ مَوْلاَيَ وَأَنَا وَلِيُّ كُلِّ مُؤْمِنٍ  ثُمَّ أَخَذَ بِيَدِ عَلِيٍّ فَقَالَ :

مَنْ كُنْتُ وَلِيَّهُ فَهَذَا وَلِيَّهُ  اللّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالاَهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ
 
فَقُلْتُ لِزَيْدٍ سَمِعْتَهُ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقاَلَ ماَ كاَنَ فِي الدَّوْحاَتِ أَحَدٌ إِلاَّ رَآهُ بِعَيْنَيْهِ وَسَمِعَهُ بِأُذُنَيْهِ
السنن
خصائص علي  ج 1 / ص 96    باب قول النبي من كنت وليه فعلي وليه


มุฮัมมัด บินอัลมุษันนาเล่าให้เราฟัง  เขากล่าวว่า  ยะห์ยา บินหัมมาดเล่าให้เราฟัง เขากล่าวว่า อบูอิวานะฮ์เล่าให้เราฟัง จากสุลัยมานกล่าวว่า  หะบีบ บินอบีษาบิตเล่าให้เราฟัง จากอบิต-ตุฟัยล์ จากเซดบินอัรก็อมเล่าว่า :  


เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ
(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  
ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)
จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :
บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  
โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา

ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง  


อ้างอิงจากหนังสือ

ค่อซออิซ อะลี  โดยนะซาอี  เล่ม 1 : 96 หะดีษที่  79




อะหมัด บินชุเอบ อัน-นะซาอี(ฮ.ศ. 215 - 303 )

ผู้นี้ถือมัซฮับชาฟิอี ท่านตาญุดดีนอัซซุบกีได้จัดลำดับเขาไว้ในชั้นที่สามของอุละมาอ์สังกัดมัซฮับชาฟิอี ดูฏ็อบกอตุช ชาฟิอี อัลกุบรอ เล่ม 2 : 73  

มีอุละมาอ์ซุนนี่บางคนใส่ร้ายท่านนะซาอีว่าเป็น  ชีอะฮ์ (ตะชัยยุ๊อฺ) หรือนิยมฝักใฝ่ในมัซฮับชีอะฮ์  

ทำไมกล่าวหาว่า ท่านนะซาอีเป็นชีอะฮ์  สาเหตุเพราะเขาได้แต่งหนังสือค่อซออิซนี้ขึ้นมานั่นเอง   เรามาฟังเหตุผลของเจ้าตัวกันดีกว่า ว่าทำไมเขาจึงแต่งหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา

قال النسائي : دخلت دمشق والمنحرف عن علي بها كثير ، فأردت أن يهديهم الله تعالى بهذا الكتاب.

อันนะซาอีเล่าว่า :  

ผมเข้ามาที่เมืองดามัสกัส (ซีเรีย)  ที่นี่มีผู้คนมากมายที่มุนฮะริฟออกไปจากท่านอะลี (คือไม่ยกย่องไม่ให้การยอมรับฐานะของท่านอะลีตามที่อัลลอฮ์และรอซูลกล่าวไว้ ผู้แปล.) ดังนั้นผมจึงต้องการที่จะให้อัลลออ์ทรงนำทางพวกเขาด้วยหนังสือเล่มนี้



อบูอับดุลลอฮ์ บินมุนดะฮ์ จากฮัมซะฮ์ อัลอุกบา อัลมิศรี่และท่านอัดดาร่อกุฏนีเล่าว่า :

ท่านนะซาอี เป็นผู้มีความรู้มากที่สุดในบรรดาเชคทั้งหลายแห่งเมืองมิศรี่(อียิปต์)ในยุคของเขา  และเขายังมีความรู้มากที่สุดต่อเรื่องหะดีษเศาะหิ๊หฺและไม่เศาะห์   เขายังเชี่ยวชาญมากที่สุดต่อเรื่องริญาล(นักรายงานหะดีษ)
เมื่อความรู้ของนะซาอีบรรลุถึงขั้นนี้  ชาวเมืองมิศร์ได้มีความอิจฉาเขา ดังนั้นเขาในวัยชราอายุ80ปีกว่า จึงตัดสินใจออกจากเมืองมิศรี่ เขาตั้งใจจะไปทำหัจญ์ที่เมืองมักกะฮ์
อัน-นะซาอีได้เดินทางผ่านเข้ามาที่เมืองดามัสกัส    เขาถูกชาวเมืองซีเรียถามถึงเรื่องมุอาวียะฮ์ และหะดีษที่รายงานถึงความประเสริฐของมุอาวียะฮ์  แต่ท่านนะซาอีได้ตอบว่า ฉันไม่พอใจการเป็นผู้นำของหัวหน้าคนนี้  แล้วจะให้เขาเล่าถึงหะดีษที่ยกย่องมุอาวียะฮ์ได้อย่างไร    ชาวเมืองจึงรุมทุบตีเขาที่ลูกอัณฑะทั้งสอง แล้วก็ขับเขาออกจากมัสญิด  จากนั้นมีคนนำเขาในสภาพเจ็บหนักไปยังเมืองมักกะฮ์  และเขาได้เสียชีวิตที่นั่นด้วยการเป็นชะฮีด ร่างเขาถูกฝังอยู่ที่ระหว่างภูเขาซ่อฟาและมัรวะฮ์  

ดูเวบอัลอีหม่านประกอบ
http://www.al-eman.com/monwat/Ozamaa/Nesaey.asp#5



ท่านจะเห็นได้ว่า  


ความโหดร้ายป่าเถื่อนของชาวซุนนี่ในยุคนั้นเป็นอย่างไร  ขนาดอุละมาอ์ซุนนี่ระดับสูงของพวกเขาเอง ยังถูกรุมทำร้ายจนตายได้  ด้วยความผิดฐานที่ อันนะซาอีเขียนหนังสือรวบรวมสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวถึงฟะดีลัตของท่านอะลี

ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ท่านผู้อ่านฟัง ก็เพื่อให้เราและท่านได้เปรียบเทียบกับนักวิชาการอะฮ์ลุสสุนนะฮ์บางคนในยุคปัจจุบันที่ขาดคุณธรรม พยายามทุกวิถีทางที่จะลบล้างความประเสริฐของท่านอะลี ด้วยการฮุก่มหะดีษเศาะหิ๊หฺมากมายเกี่ยวกับท่านอะลีว่า  ดออีฟ  

หากถามว่า  พวกเขาทำเพื่ออะไร  ตอบเพื่อชีอะฮ์จะได้เสียเวลาไปกับการตรวจสอบหาความถูกต้องของสายรายงานหะดีษ   ชีอะฮ์จะได้ไม่มีเวลาเอาหะดีษเหล่านั้นมาอ้างอิงเป็นหลักฐานตอบโต้กับฝ่ายซุนนี่ได้ง่ายๆไงครับ  
พอชีอะฮ์พบว่า สะนัดเชื่อถือได้  พวกเขาก็จะไปเล่นลิ้นต่ออีกที่มะตั่น(ความหมายหะดีษ)

พูดกันง่ายๆว่า   ทั้งๆที่หะดีษษะก่อลัยน์และหะดีษมันกุนตุเมาลาฮุ ฟะฮาซาอะลียุนเมาลาฮุ นั้นมีความหมายชัดเจนดียิ่งกว่าแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงตรง โดยไม่ต้องอาศัยการตีความอะไรอีก  แต่สุดท้ายก็อย่างว่าครับ  บังเอิญหะดีษบทนี้มันดันไปขัดกับความเชื่อของพวกเขาเข้า  เขาก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อเบียดหะดีษบทนี้ออกไปจากเส้นทางอะกีดะฮ์ที่พวกเขาได้วางเอาไว้

والحمد لله  وصلي الله علي محمد وآله وسلم


มีต่อ...  
  •  

L-umar


มุฮัมมัด บินอับดุลลอฮ์  อัลฮากิม อัน –นัยซาบูรี  (เกิด ฮ.ศ. 321 – 405 ) รายงานว่า


حدثنا أبو الحسين محمد بن أحمد بن تميم الحنظلي ، ببغداد ، ثنا أبو قلابة عبد الملك بن محمد الرقاشي ، ثنا يحيى بن حماد ، وحدثني أبو بكر محمد بن بالويه ، وأبو بكر أحمد بن جعفر البزار قالا : ثنا عبد الله بن أحمد بن حنبل ، حدثني أبي ، ثنا يحيى بن حماد ، وثنا أبو نصر أحمد بن سهل الفقيه ، ببخارى ، ثنا صالح بن محمد الحافظ البغدادي ، ثنا خلف بن سالم المخرمي ، ثنا يحيى بن حماد ، ثنا أبو عوانة ، عن سليمان الأعمش قال : ثنا حبيب بن أبي ثابت ، عن أبي الطفيل ، عن زيد بن أرقم رضي الله عنه قال :
لَمَّا رَجَعَ رَسُولُ اللهِ صلى الله عليه وسلم مِنْ حَجَّةِ الْوَدَاعِ ، وَنَزَلَ غَدِيرَ خُمٍّ ، أَمَرَ بِدَوْحَاتٍ فَقُمنَ ، فَقَالَ : كَأَنِّي قَدْ دُعِيتُ فَأَجَبْتُ ، إِنِّي قَدْ تَرَكْتُ فِيكُمُ الثَّقَلَيْنِ ، أَحَدُهُمَا أَكْبَرُ مِنَ الآخَرِ : كِتَابُ اللهِ ، وَعِتْرَتِي أَهْلُ بَيْتِي ، فَانْظُرُوا كَيْفَ تَخْلُفُونِي فِيهِمَا ، فَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَّقَا ، حَتَى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ ،
المستدرك على الصحيحين للحاكم  ج 10 / ص 377

ثُمَّ قَالَ : إِنَّ اللهَ عَزَّوَجَلَّ مَوْلاَيَ ، وَأَنَا مَوْلي كُلِّ مُؤْمِنٍ ، ثُمَّ أَخَذَ بِيَدِ عَلِيٍّ رضي الله عنه، فَقَالَ : مَنْ كُنْتُ مَوْلاَهُ ، فَهَذَا وَلِيُّهُ ، اللَّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالاهُ ، وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ.
« وذكر الحديث بطوله . هذا حديث صحيح على شرط الشيخين ، ولم يخرجاه بطوله ، شاهده حديث سلمة بن كهيل ، عن أبي الطفيل أيضا صحيح على شرطهما »

المستدرك على الصحيحين للحاكم  ج 10 / ص 377

อบุลฮูเซน มุฮัมมัด บินอะหมัด บินตะมีม อัลฮันซ่อลีเล่าให้เราฟัง ที่เมืองแบกแดด
อบูกิลาบะฮ์ อับดุลมะลิก บินมุฮัมมัด อัลเราะกอชี เล่าให้เราฟัง
ยะห์ยา บินฮัมมาด เล่าให้เราฟัง  อบูบักร  มุฮัมมัด บินบาละวัยฮฺ กับอบูบักร อะหมัด บินญะอ์ฟัร อัลบัซซ้าร ทั้งสอง ได้เล่าให้ฉันฟัง
อับดุลลอฮ์ บินอะหมัด บินฮัมบัล เล่าให้เราฟังว่า บิดาฉัน(อิม่ามอะหมัด) เล่าให้ฉันฟังว่า
ยะห์ยา บินฮัมมาด เล่าให้เราฟัง  และอบูนัศร์ อะหมัด บินสะฮ์ลฺ อัลฟะกีฮฺ เล่าให้เราฟัง ที่เมืองบุคอรอ    ศอและห์ บินมุฮัมมัด อัลฮาฟิซ อัลบัฆดาดี เล่าให้เราฟัง  เคาะลัฟ บินสาลิม อัลมัคร่อมี เล่าให้เราฟัง ยะห์ยา บินฮัมมาด เล่าให้เราฟัง  อบูอิวานะฮ์เล่าให้เราฟัง  จากสุลัยมาน อัลอะอ์มัช เขากล่าวว่า หะบีบ บินอบีษาบิต เล่าให้เราฟัง


จากท่านอบิต ตุฟัยล์ จาก ท่านเซดบินอัรก็อมเล่าว่า :  

เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ

(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  

ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)
จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :

บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  

โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา



ดูหนังสือ

อัลมุสตัดร็อก อะลัซ ซ่อฮีฮัยนิ  เล่ม 10 : 377 หะดีษที่ 4553  , 4554




อัลฮากิมได้กล่าวว่า :

หะดีษนี้  เศาะหิ๊หฺ บนเงื่อนไขของเชคทั้งสอง (คือบุคอรีและมุสลิม)


والحمد لله وصلي الله علي محمد وآله وسلم
  •  

L-umar



อบุลกอสิม อัฏ ฏ็อบรอนี  ( เกิด ฮ.ศ. 260 - 360) รายงานว่า


حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ حَياَّنَ الْماَزِنِيُّ حَدَّثَناَ كَثِيرُ بْنُ يَحْيَى ثَناَ أَبُو كَثِيرُ بْنُ يَحْيَى ثَناَ أَبُو عَوَانَةَ وَ سَعِيدُ بْنُ عَبْدِ الْكَرِيمِ بْنِ سُلَيْطٍ الحنفي عَنِ الْأَعْمَشِ عَنْ حَبِيبِ بْنِ أَبِي ثَابِتٍ عَنْ عَامِرِ بْنِ وَاثِلَةَ عن زيد بن أرقم قال :
لَماَّ رَجَعَ رَسولُ الله صلى الله عليه و سلم مِنْ حَجَّةِ الوِداَعِ وَنَزَلَ غَدِيرَ خُم أَمَرَ بِدَوحاَت فَقَمَتَّ ثُمَّ قاَلَ فَقاَلَ : كَأَنِّي قَد دُعِيتُ فَأَجِبتُ إِنِّي تاَرِكٌ فِيكُمُ الثَّقَلَيْنِ أَحَدُهُمَا أَكْبَرُ مِنَ الآخَرِ كِتَابُ اللهِ ، وَعِتْرَتِي أَهْلُ بَيْتِي فَانْظُرُوا كَيْفَ تَخْلُفُونِي فِيهِمَا ؟ فَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَّعاَ حَتَى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ ثُمَّ قاَلَ : إِنَّ اللهَ مَوْلاَيَ ، وَأَنَا وَلِيُّ كُلِّ مُؤْمِنٍ ثُمَّ أَخَذَ بِيَدِ عَلِيٍّ ، فَقَالَ: مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَهَذَا مَوْلَاهُ اللَّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالَاهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ

فَقُلْتُ لِزَيْدٍ سَمِعْتَهُ مِنْ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فَقاَلَ ماَ كاَنَ فِي الدَّوْحاَتِ أَحَدٌ إِلاَّ رَآهُ بِعَيْنَيْهِ وَسَمِعَهُ بِأُذُنَيْهِ
المعجم الكبير  للطبراني   ج 5 / ص 166


มุฮัมมัด บินฮัยยาน อัลมาซินี เล่าให้เราฟัง  กะษีร บินยะห์ยาเล่าให้เราฟัง อบูอิวานะฮ์ เล่าให้เราฟัง  และสะอีด บินอับดุลกะรีม บินสะลีฏ อัลฮะนะฟี  จาก(สุลัยมาน) อัลอะอ์มัช จากหะบีบ  บินอบีษาบิต  จากอามิร บินวาษิละฮ์(อบูตุฟัยล์) จาก

ท่านเซด บินอัรก็อม เล่าว่า :


เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ

(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  

ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)
จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :

บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  

โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา



ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง  


ดูหนังสือ

อัลมุอ์ญัม อัลกะบีร  โดยอัฏ ฏ็อบรอนี  หะดีษที่ 4969




วิจารณ์สะนัดหะดีษ

อุละมาอ์ซุนนี่ ได้ตรวจสอบสะนัดหะดีษบทที่ 4969 และวิจารณ์ไว้ดังนี้คือ

وفي رواية : لما رجع رسول الله صلى الله عليه و سلم من حجة الوداع ونزل غدير خم أمر بدوحات فقممن ثم قام فقال : \\\" كأني قد دعيت فأجبت \\\"
 وقال في آخره : فقلت لزيد : أنت سمعته من رسول الله صلى الله عليه و سلم ؟ فقال : ما كان في الدوحات أحد إلا رآه بعينيه وسمعه بأذنيه صلى الله عليه و سلم
 
قُلْتُ : فِي الصحيح طرف منه وفي الترمذي منه : \\\" من كنت مولاه فعلي مولاه \\\"
رواه الطبراني . وفي سند الأول والثاني : حَكِيمُ بْنُ جُبَيْرٍ وهو ضعيف
مجمع الزوائد ومنبع الفوائد  لنور الدين علي بن أبي بكر الهيثمي  ج 9  ص 258 ح 14965


อัลฮัยษะมีกล่าวในหนังสือมัจญ์มะอุซ-ซะวาอิด เล่ม 9 : 258 หะดีษ 14965 ว่า

رواه الطبراني . وفي سند الأول والثاني : حَكِيمُ بْنُ جُبَيْرٍ وهو ضعيف

อัฏ ฏ็อบรอนีรายงานหะดีษนี้ และในสะนัดของหะดีษที่หนึ่ง(คือที่ 4969 ) และหะดีษที่สอง มันมีสถานะ  " ดออีฟ "

เพราะ ฮะกีม บินญูเบร  เขามีสถานะ ดออีฟ (ในการรายงาน)



เรามาทบทวนด้วยการอ่านสะนัดหะดีษที่ 4969 พร้อมกันอีกครั้งหนึ่งดังนี้

มุฮัมมัด บินฮัยยาน อัลมาซินี เล่าให้เราฟัง  กะษีร บินยะห์ยาเล่าให้เราฟัง อบูอิวานะฮ์ เล่าให้เราฟัง  

และสะอีด บินอับดุลกะรีม บินสะลีฏ อัลฮะนะฟี  จาก(สุลัยมาน) อัลอะอ์มัช จากหะบีบ  บินอบีษาบิต  จากอามิร บินวาษิละฮ์(อบูตุฟัยล์)

จาก ท่านเซด บินอัรก็อม เล่าว่า :



สะนัดข้างบนนี้ ไม่มีนักรายงานชื่อ  " ฮะกีม บินญุบัยร์ -  حَكِيمُ بْنُ جُبَيْرٍ "  ใช่ไหมครับ ?



แต่นักรายงานชื่อ ฮะกีม บินญุเบร คนนี้ไปปรากฏอยู่ในหะดีษที่ 4971 นี้

حدثنا محمد بن عبد الله الحضرمي ثنا جعفر بن حميد ( ح ) وحدثنا محمد بن عثمان بن أبي شيبة حدثنا النضر بن سعيد أبو صهيب قالا ثنا عبد الله بن بكير عن حَكِيمِ بْنِ جُبَيْرٍ عن أبي الطفيل عن زيد بن أرقم قال : نزل النبي صلى الله عليه و سلم يوم الجحفة...
المعجم الكبير  ج 5 / ص 166

มุฮัมมัด บินอับดุลลอฮ์ อัลฮัฎร่อมีเล่าให้เราฟัง  ญะอ์ฟัร บินหุมัยดฺเล่าให้เราฟัง  มุฮัมมัด บินอุษมาน บินอบีชัยบะฮ์เล่าให้เราฟัง  

อันนัฎรุ บินสะอีด อบูศุฮัยบฺ ทั้งสองเล่าว่า  อับดุลลอฮ์ บินบุกัยรฺเล่าให้เราฟัง  จาก " ฮะกีม บินญุเบร "  

จากอบิต ตุฟัยลฺ จากเซด บินอัรก็อม เล่าว่า...




เราจึงพอจับใจความได้ว่า

เหตุผลเดียวที่อัลฮัยษะมี ตัดสินว่า  หะดีษที่ 4969  มีสถานะ " ดออีฟ "

เพราะมีนักรายชื่อ " ฮะกีม บินญุเบร "    



แต่ว่าในหะดีษที่ 4969  ไม่มีคนชื่อ " ฮะกีม "  ดังนั้นหะดีษที่ 4969 จึงไม่อยู่ในสถานะ ดออีฟ  

แล้วทำไมอัลฮัยษะมีจึงบอกว่า ดออีฟ  เรามองได้สองด้านคือ

1.   อัลฮัยษะมี  ตรวจพลาด
2.   อัลฮัยษะมี  คงเข้าใจผิดคิดว่าสะนัดหะดีษที่ 4969 นั้นเป็นสะนัดเดียวกันกลับหะดีษที่ 4971


บทสรุปคือ  

หะดีษที่ 4969 ในหนังสืออัลมุอ์ญัม อัลกะบีร ที่ท่านฏ็อบรอนีบันทึกนั้น  " ไม่ดออีฟ "


والحمد لله وصلي الله علي محمد وآله وسلم
  •  

L-umar


อัลอาญุรรี  คนหมู่บ้านอาญูรแห่งเมืองแบกแดด  มรณะฮ.ศ. 360  ได้บันทึกว่า


حَدَّثَنَا أَبُو بَكْرِ بْنُ أبي داود قال : حَدَّثَنِي عَمِّي مُحَمَّدُ بْنُ الْأَشْعَثِ قاَلَ : حدثنا زَيْدُ بْن عَوْف قال : حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ ، عَنِ الْأَعْمَشِ قَالَ: حَدَّثَنَا حَبِيبُ بْنُ أَبِي ثَابِتٍ ، عَنْ عَامِرِ بْنِ وَاثِلَةَ ، عَنْ زَيْدِ بْنِ أَرْقَمَ قاَلَ :
لما رجع رسول الله صلى الله عليه وسلم من حجة الوداع ونزل غدير خم ، وأمر بدوحات فقممن ، ثم قام فقال : « كأني قد دعيت فأجبت ، وإني قد تركت فيكم الثقلين ، أحدهما كتاب الله عز وجل ، وعترتي أهل بيتي ، انظروا كيف تخلفونني فيهما ، إنهما لن يفترقا حتى يردا علي الحوض » ثم قال : « إن الله عز وجل مولاي ، وأنا مولى كل مؤمن » ثم أخذ بيد علي بن أبي طالب رضي الله عنه فقال : « من كنت وليه فهذا وليه اللهم وال من والاه وعاد من عاداه » قال : فقلت لزيد بن أرقم : أنت سمعت هذا من رسول الله صلى الله عليه وسلم ؟ قال : ما كان في الدوحات أحد إلا قد رآه بعينه وسمعه بأذنه
الشريعة للآجري   ج 4 / ص 393


อบูบักร บินอบีดาวูด เล่าให้เราฟัง เขากล่าวว่า มุฮัมมัด บินอัลอัชอัษ ลุงของฉันเล่าให้ฉันฟัง เขากล่าวว่า เซด บินเอาฟ์ เล่าให้เราฟัง เขากล่าวว่า อบูอิวานะฮ์เล่าให้เราฟัง จาก(สุลัยมาน)อัลอะอ์มัช เขากล่าวว่า  หะบีบ บินอบีษาบิต เล่าให้เราฟัง  จากอามิร บินวาษิละฮ์(อบูตุฟัยล์) จากท่านเซด บินอัรก็อม เล่าว่า :

เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ

(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  
ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)
จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :

บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  

โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา



ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง  

ดูกิตาบ อัช ชะรีอะฮ์  โดยอัลอาญุรรี  เล่ม 4 : 393  หะดีษ 1659


อัลอาญุรรี อาเล่มแห่งอะฮ์ลุสสุสนะฮ์คนนี้ยังกล่าวในตอนท้ายๆหะดีษนี้ว่า

فيدل على أن خطبة النبي صلى الله عليه وسلم في حجة الوداع بمنى ، وأمر أمته بالتمسك بكتاب الله عز وجل وبسنته صلى الله عليه وسلم ، وفي رجوعه من هذه الحجة بغدير خم فأمر أمته بكتاب الله والتمسك به وبمحبة أهل بيته ، وبموالاة علي بن أبي طالب رضي الله عنه ،
الشريعة للآجري  ج 4 / ص 393


[color=](หะดีษนี้)แสดงว่า แท้จริงคำปราศรัยของท่านนบี(ศ)ในหัจญะตุลวิดาอ์ที่มินาคือ  ท่านได้สั่งประชาชาติของท่าน ด้วยการยึดมั่นต่อกิตาบุลเลาะฮ์  และต่อซุนนะฮ์ของท่าน
และในตอนขากลับของท่านจากการประกอบพิธีหัจญ์ครั้งนี้  ณ.ที่เฆาะดีรคุม  ท่านก็ได้สั่งประชาชาติของท่านต่อกิตาบุลเลาะฮ์ และให้ยึดมั่นต่อคัมภีร์นั้น และให้มีความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน และมีมุวาล๊าต(มีความรัก)ต่อท่านอะลี บินอบีตอลิบ

อ้างอิงจากหนังสือ
อัช ชะรีอะฮ์  โดยอัลอาญุรรี  เล่ม 4 : 393  [/color]


วิจารณ์

หนึ่ง-
ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง...
(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  
จงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน

ผมแปลกใจคำอธิบายของท่านอาญุรรีจริงๆ  หะดีษระบุว่า " สองสิ่งคือกิตาบกับอะฮ์ลุลบัยต์จะไม่แยกจากกันเด็ดขาด "  แต่ท่านอาญุรรีแยกออกเฉยเลยคือ
ท่านอธิบายว่า
ให้ยึดมั่นปฏิบัติตามกิตาบุลเลาะฮ์
แต่ให้แสดงความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์

ทั้งๆที่ท่านรอซูล(ศ)อุตส่าห์ย้ำว่า สองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน  
ท่านทราบไหมว่า ทำไมอุละมาอ์ซุนนี่ต้องอธิบายความหมายออกมาแบบนี้  ?
คำตอบคือ หากอธิบายว่า จำเป็นต้องปฏิบัติตามกิตาบและอะฮ์ลุลบัยต์  ก็คงไม่มีมัซฮับอะฮ์ลุลสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ โผล่ออกมาหรอกครับ

คงจะมีก็แต่มัซฮับกิตาบวะอะฮ์ลุลบัยต์เท่านั้น...

สอง-
]อัลอาญุรรี ไม่ได้วิจารณ์ว่า หะดีษนี้ ดออีฟ แต่กลับนำมันมาอ้างอิง เพียงแค่นี้ก็พอแล้วครับ

والحمد لله وصلي الله علي محمد وآله وسلم
  •  

L-umar



ตอนต่อไป  เราจะนำเสนอหะดีษนี้จาก



ตัฟสีรของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์


หนังสือประวัติศาสตร์ของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์


และปิดท้ายด้วยการสรุปถึง  คำวิจารณ์ต่างๆของบรรดาอุละมาอ์ซุนนี่   ที่ระบุว่า



หะดีษ  กิตาบวะอะฮ์ลุลบัยต์  + หะดีษมันกุนตุเมาลาฮุ ฟะอะลียุนเมาลาฮุ  เป็นหะดีษ เศาะหิ๊ห์


อินชาอัลลอฮ์....
  •  

L-umar


อัลอะลูซี

ท่านอะลูซี มุฟัสสิรซุนนี่เจ้าของตัฟสีรรูฮุลมะอานี ได้ยกหะดีษเฆาะดีรมากล่าวในวาระที่เขาอรรถาธิบายอายะฮ์นี้

يَا أَيُّهَا الرَّسُولُ بَلِّغْ مَا أُنْزِلَ إِلَيْكَ مِنْ رَبِّكَ وَإِنْ لَمْ تَفْعَلْ فَمَا بَلَّغْتَ رِسَالَتَهُ وَاللَّهُ يَعْصِمُكَ مِنَ النَّاسِ إِنَّ اللَّهَ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الْكَافِرِينَ

ซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ อายะฮ์  67 หะดีษที่ว่าคือ

قاَلَ الذَّهَبِيُّ : إِنَّهُ صَحِيْحٌ عَنْ زَيْدِ بْنِ أَرْقَمَ قاَلَ :

لَمَّا رَجَعَ رَسُولُ اللهِ صلى الله عليه وسلم مِنْ حَجَّةِ الْوَدَاعِ ، وَنَزَلَ غَدِيرَ خُمٍّ ، أَمَرَ بِدَوْحَاتٍ فَقُمِمْنَ ، ثُمَّ قاَلَ :\\\" كأني قد دعيت فأجبت إني قد تركت فيكم الثقلين كتاب الله تعالى وعترتي أهل بيتي ، فانظروا كيف تخلفوني فيهما فإنهما لن يفترقا حتى يردا عليَّ الحوض ، الله تعالى مولاي وأنا ولي كل مؤمن ، ثم أخذ بيد علي كرم الله تعالى وجهه فقال : من كنت مولاه فهذا وليه اللهم وال من والاه وعاد من عاداه \\\" ،

فما كان في الدوحات أحد إلا رآه بعينيه وسمعه بأذنيه .

تفسير الألوسي  ج 5 ص 68 انظر سورة المائدة  الآية 67


ท่านเซด บินอัรก็อมเล่าว่า :

เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ
(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  
ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)
จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :
บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  
โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา

ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง  


อ้างอิงจาก

ตัฟสีรรูฮุลบะยาน  เล่ม 5 : 68 ดูซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์  อายะฮ์ 67



ท่านอะลูซีได้ถ่ายทอดคำพูดของท่านซะฮะบีที่รับรองว่า หะดีษนี้ " เศาะหิ๊หฺ "  

ปัญหาของนักตัฟสีรซุนนี่คนนี้คือ  เขาไม่ยอมรับว่าคำ " เมาลา " ในหะดีษนี้แปลว่า ผู้ปกครอง

ซึ่งเราจะได้อธิบายกันต่อไป  
  •  

L-umar


อิบนุกะษีร

เขาได้เล่าว่า อันนะซาอีได้รายงานไว้ในตำราสุนันของเขา  (อันมีสายรายงานมา)จาก มุฮัมมัด บินอัลมุษันนา จากยะห์ยา บินหัมมาด จากอบีมุอาวียะฮ์ จากอัลอะอ์มัช จากหะบีบ บินอบีษาบิต จากอบิต ตุฟัยล์

وقد روى النسائي في سننه عن محمد بن المثنى عن يحيى بن حماد عن أبي معاوية عن الأعمش عن حبيب بن ابي ثابت عن أبي الطفيل

عن زيد بن ارقم قال : لما رجع رسول الله من حجة الوداع ونزل غدير حم أمر بدوحات فقممن
ثم قال كأني قد دعيت فأجبت اني قد تركت فيكم الثقلين كتاب الله وعترتي أهل بيتي فانظروا كيف تخلفوني فيهما فانهما لن يفترقا حتى يردا علي الحوض ثم قال الله مولاي وأنا ولي كل مؤمن ثم أخذ بيد علي فقال من كنت مولاه فهذا وليه اللهم وال من والاه وعاد من عاداه فقلت لزيد سمعته من رسول الله صلى الله عليه و سلم

فقال ما كان في الدوحات أحد إلا رآه بعينيه وسمعه بأذنيه تفرد به النسائي من هذا الوجه

قال شيخنا أبو عبد الله الذهبي وهذا حديث صحيح

كتاب : البداية والنهاية لابن كثير  ج 5  ص 209


จากท่านเซด บินอัรก็อมเล่าว่า :

เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ

(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  

ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)
จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :

บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  
โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา

ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง  


อ้างอิงจาก

อัลบิดายะฮ์ วันนิฮายะฮ์ เล่ม 5 : 209



อิบนุกะษีรยังได้กล่าวว่า
 
قال شيخنا أبو عبد الله الذهبي وهذا حديث صحيح

ท่านเชคของเรา คืออบูอับดุลลอฮ์ อัซ ซะฮะบีได้กล่าวว่า หะดีษนี้ " เศาะหิ๊หฺ "
  •  

L-umar


อัซ – ซะฮะบี กับหะดีษษะเกาะลัยน์ + หะดีษเฆาะดีร  

عن زيد بن أرقم قال : لمّا رجع رسول الله صلّى الله عليه وسلّم من حجّة الوداع، ونزل غدير خمّ، أمر بدوحات فقممن، ثم قال :كأنّي دعيت فأجبت، إنّي قد تركت فيكم الثقلين : كتاب الله وعترتي أهل بيتي، فانظروا كيف تخلفوني فيهما، فإنّهما لن يفترقا حتّى يردا عليَّ الحوض.
ثم قال : إنّ الله مولاي وأنا وليّ كلّ مؤمن، ثم أخذ بيد عليّ فقال : من كنت مولاه فهذا وليه، اللّهم وال من والاه، وعاد من عاداه.
فقلت لزيد بن أرقم : سمعته من رسول الله ؟! فقال : ما كان في الدوحات أحد الاّ رآه بعينيه وسمعه باُذنيه.
(قال الذهبي) هذا إسناد قوي،

رسالة طرق حديث من كنت مولاه فهذا علي مولاه للإمام الذهبي  ج 1 ص 15 ح 65


ท่านอบุต ตุฟัยล์เล่าว่า :

เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ
(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  
ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)
จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :
บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  
โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา

ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง  


อ้างอิงจาก

ริซาละฮ์  ตุรุก หะดีษ มันกุนตุเมาลาฮุ ฟะฮาซาอะลียุน เมาลาฮุ  

โดยอัซซะฮะบี  เล่ม 1 : 15 หะดีษ 65



และหะดีษที่  66  อัซ ซะฮะบีกล่าวว่า เป็นหะดีษ ฮาซัน (ดี)

عن زيد بن أرقم قال : قام فينا رسول الله صلّى الله عليه وسلّم، فحمد الله وأثنى عليه، ثم قال : ألستم تعلمون «أنّي» أولى بكم بكل مؤمن ومؤمنة من نفسه ؟ فأي من كنت مولاه فهذا مولاه، وأخذ بيد عليّ.
زاد شعبة، عن ميمون قال : فحدّثني بعض القوم، عن زيد أنّ رسول الله صلّى الله عليه وسلّم قال : اللّهم وال من والاه وعاد من عاداه.
هذا حديث حسن.
رسالة طرق حديث من كنت مولاه فهذا علي مولاه للإمام الذهبي  ج 1 ص 16 ح 66

อบุต ตุฟัยล์เล่าว่า :
เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ
(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  
ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)
จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :
บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  
โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา

ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง.



จะเห็นได้ว่า อัซ-ซะฮะบี รับรองว่า หะดีษษะเกาะลัยน์กับหะดีษเฆาะดีรนั้น ถูกต้อง

เพราะฉะนั้นปัญหาเหลืออยู่ที่คำ " เมาลา " ว่าควรแปลว่าอะไร ?
ซึ่งเราจะได้อธิบายกันต่อไป  
  •  

L-umar

เชคมุฮัมมัด นาศิรุดดีนอัลบานี  กับหะดีษษะเกาะลัยน์ + หะดีษเฆาะดีร

 
عَنْ أَبِي الطُّفَيْلِ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قَالَ :
لَمَّا دَفَعَ النَّبِيُّ صَلَّي اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّم مِنْ حَجَّةِ الْوِدَاعِ وَنَزَلَ غَدِيْرَ خُمٍّ أَمَرَ بِدَوْحَاتٍ فَقُمِمْنَ ثُمَّ قَالَ : كَأَنِّيْ دُعِيْتُ فَأَجِبْتُ وَإِنِّيْ تَارِكٌ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ أَحَدَهُمَا أَكْبَرُ مِنَ الْآخَرِ : كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ أَهْلُ بَيْتِيْ فَانْظُرُوْا كَيْفَ تُخْلِفُوْنِيْ فِيْهِمَا  فَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَقَا حَتَّي يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ     ثُمَّ قَالَ : إِنَّ اللهَ مَوْلاَيَ وَأَنَا وَلِيُّ كُلِّ مُؤْمِنٍ  ثُمَّ إِنَّهُ أَخَذَ بِيَدِ عَلِيٍّ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ فَقَالَ : مَنْ كُنْتُ وَلِيَّهُ فَهَذَا وَلِيَّهُ  اللّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالاَهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ

كتاب : سِلْسِلَةُ الْأَحَادِيْثِ الصَّحِيْحَةِ
 
ج : 4 ص: 330  ح : 1750  

مُحَمَّد نَاصِرُ الدِّيْنِ الأَلْبَانِيّ نَوْعُ الْحَدِيْثِ : صَحِيْح


อบุต ตุฟัยล์เล่าว่า :

เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า :  ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือ

(1) กิตาบุลเลาะฮ์ (อัลกุรอาน) และ (2) อิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  

ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)
จากนั้นท่าน (ศ)ได้กล่าวว่า :  แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองของฉัน  และฉันเป็นผู้ปกครองของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้น ท่าน(ศ)ได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :

บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  

โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา


ฉัน(อบีตุฟัยล์)จึงพูดกับเซดว่า ท่านได้ยินมันจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)หรือ  เขากล่าวว่า ไม่มีคนใดอยู่ในบริเวณต้นไม้นั้น นอกจากเขาได้เห็นมันด้วยตาของเขาและได้ยินด้วยหูของเขาเอง  


สถานะหะดีษ : ซอฮี๊ฮฺ  

ดูซิลซิละตุลอะฮาดีษิซ-ซอฮีฮะฮ์ เล่ม 4 : 330  

หะดีษที่ 1750   ตรวจทานโดยเชคอัลบานี



เชคอัลบานีก็ให้การรับรองว่า หะดีษบทนี้  ถูกต้อง  

แต่ปัญหาของเขาคือคำ  \\\"  เมาลา \\\" ไม่ได้แปลว่า  ผู้ปกครอง

ซึ่งเราจะได้อธิบายกันต่อไป
  •  

L-umar


ในปีฮ.ศ.ที่ 35

ช่วงที่ท่านอมีรุลมุอ์มีนีน อะลี บินอบีตอลิบ อะลัยฮิสสลามเข้ารับตำแหน่งคอลีฟะฮ์ใหม่ๆนั้น

มีวันหนึ่ง ประชาชนได้รวมตัวกันมาแสดงความยินดีกับท่านในมัสญิดกูฟะฮ์ ซึ่งท่านอะลีได้ยืนอยู่บนมิมบัร  โดยมีซอฮาบะฮ์ส่วนหนึ่งรวมอยู่ด้วย

ท่านอะลีได้ขอให้ซอฮาบะฮ์เหล่านั้นให้คำสาบานต่ออัลลอฮ์โดยช่วยเป็นพยานว่า  พวกเขาเคยได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวถึงการแต่งตั้งท่านเป็นอะลีเป็นคอลีฟะฮ์ในวันที่อยู่กันณ.เฆาะดีรคุม ปรากฏว่ามีซอฮาบะฮ์ 12 คนลุกขึ้นเป็นพยานว่า พวกเขาได้ยินเรื่องนั้นจริงๆ  

รายชื่อซอฮาบะฮ์ที่เป็นพยานในมัสญิดคือ


1.   อบูอัยยูบ อัลอันศอรี
2.   อบูอัมเราะฮ์ บินอัมรฺ บินมิ๊หฺศิน
3.   อบูซัยนับ อิบนิ เอาฟ์
4.   สะฮัล บินหุนัยฟ์
5.   คุษัยมะฮ์ บินษาบิต
6.   อับดุลลอฮ์ บินษาบิต อัลอันศอรี
7.   หุบชี บินญุนาดะฮ์ อัลส สะลูลี
8.   อุบัยดฺ บินอาซิบ อัลอันศอรี
9.   อัน นุอ์มาน บินอัจญ์ลาน อัลอันศอรี
10.   ษาบิต บินวะดีอะฮ์ อัลอันศอรี
11.   อบู ฟะดอละฮ์ อัลอันศอรี
12.   อับดุลเราะห์มาน บินอับดุ ร็อบ อัลอันศอรี



บรรดาซอฮาบะฮ์เหล่านี้ได้กล่าวว่า พวกเราเคยได้ยินท่านรอซูลุลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา  


มีซอฮาบะฮ์อีกส่วนหนึ่งในมัสญิดกูฟะฮ์ ที่อยู่ในเหตุการณ์วันเฆาะดีรคุม  แต่พวกเขานั่งนิ่งไม่ยอมลุกขึ้นเป็นพยาน ดังรายชื่อต่อไปนี้

1.   อะนัส บินมาลิก เขาอ้างว่าเขาแก่แล้ว จำไม่ค่อยได้
2.   เซด บินอัรก็อม ต่อมาในช่วงวัยชราตาบอดเขาก็รายงานหะดีษนี้อย่างละเอียด
3.   อัลบัรรอ บินอาซิบ ซึ่งต่อมาก็ได้รายงาน
4.   ญะรีร บินอับดุลลอฮ์ อัลบะญะลี
5.   อับดุลเราะห์มาน บินมุดลิจญ์
6.   ยะซีด บินวะดีอะฮ์
  •  

L-umar


อิหม่ามอะหมัด บินฮัมบัล
 
ได้บันทึกไว้ในตำรามุสนัดของเขาดังนี้

عَنْ زَاذَانَ أَبِي عُمَرَ قَالَ سَمِعْتُ عَلِيًّا فِي الرَّحْبَةِ وَهُوَ يَنْشُدُ النَّاسَ مَنْ شَهِدَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَوْمَ غَدِيرِ خُمٍّ وَهُوَ يَقُولُ مَا قَالَ فَقَامَ ثَلَاثَةَ عَشَرَ رَجُلًا فَشَهِدُوا أَنَّهُمْ سَمِعُوا رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَهُوَ يَقُولُ مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَعَلِيٌّ مَوْلَاهُ
تعليق شعيب الأرنؤوط : صحيح لغيره

ซาซาน อบีอุมัรเล่าว่า  :

ฉันได้ยินท่านอะลีในวันเราะห์บะฮ์ (แสดงความยินดีต่อท่านอะลีในการเข้าดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์)  ท่านอะลีให้ประชาชนสาบาน ผู้ที่อยู่เห็นท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ในวันเฆาะดีรคุม และท่านกล่าวในสิ่งที่เขากล่าว   มีชาย 13 คนยืนขึ้น  แล้วพวกเขาได้ให้การเป็นพยานว่า แท้จริงพวกเขาได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครองของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นผู้ปกครองของเขา


สถานะหะดีษ  : เศาะหิ๊หฺ ลิฆ็อยริฮี ดูมุสนัดอะหมัด  หะดีษที่  641

ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี
  •  

41 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้