Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 02:29:21 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,699
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 102
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 80
Total: 80

อับดุลเลาะฮ์ บินสะบะอ์ ตัวละครที่วาฮาบีโปรดปราน

เริ่มโดย L-umar, กันยายน 25, 2009, 01:59:45 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


อับดุลเลาะฮ์ บินสะบะอ์ ตัวละครที่วาฮาบีโปรดปราน

หากเรากล่าวว่า  ลัทธิวาฮาบีมีที่มาจาก มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ  เขาจะรีบตอบว่าไม่ใช่ แต่แนวทางของพวกเขามาจาก " สะลัฟ  " คือ ซอฮาบะฮ์

แต่วาฮาบีกลับพยายามยัดเหยียดว่า อับดุลเลาะฮ์ บินสะบะอ์ คือผู้ก่อตั้งแนวทาง " ชีอะฮ์ " ทั้งๆที่ผู้ก่อตั้งคือท่าน " อะลี บินอบีตอลิบ "



คำถามคือ

อับดุลลอฮ์ อิบนุซะบา เกี่ยวอะไรกับชีอะฮ์หรือ ?



ผู้รู้ที่รับใช้อำนาจรัฐของราชวงศ์อุมัยยะฮ์จำนวนหนึ่ง ปั้นเรื่องตลกขึ้นมาเรื่องหนึ่งว่า พวกชีอะฮ์เป็นคนโง่เขลาและหลงผิดในเรื่องศาสนา เพราะคลั่งไคล้กับคำสอนของชายคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ที่ชื่อว่า อับดุลลอฮ์ อิบนุซะบาอ์ พวกเขามักจะให้ความรู้ในทำนองว่า.....
ประวัติศาสตร์อิสลามได้ยืนยันไว้โดยนักปราชญ์ผู้คงแก่เรียน ว่าหลังจากนบีเจ้าของคัมภีร์ทุกๆท่านได้วายชนม์ไป แล้ว ศัตรูของท่านจะรวมตัวกันบิดเบือนคำสอนของศาสดานั้นๆ และจะทำการดัดแปลงแก้ไขคัมภีร์ของอัลลอฮ์ เช่น คัมภีร์เตารอต และคัมภีร์อินญีล กล่าวคือ พวกเขาจะลบบางเรื่องและต่อเติมบางเรื่อง พวกเขาทำการแก้ไขและเปลี่ยนแปลง จนกระทั่งศาสนาและคัมภีร์ของพวกเขาบกพร่องไปจากมาตรฐานเดิม
แต่ทว่า ศัตรูของอิสลามหลังยุคสมัยท่านศาสดามุฮัมมัด ไม่สามารถแก้ไขดัดแปลงคัมภีร์อัล-กุรอาน อันทรงวิทยปัญญาของอัลลอฮ์ได้ พวกเขาจึงคิดค้นหาหนทางเพื่อจัดการกับศาสนานี้ด้วยวิธีอื่น
นั่นคือ มีพวกยะฮูดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสลาม พวกเขาแกล้งเข้ามาทำทีนับถือศาสนาอิสลาม โดยมีแผนการณ์และกลลวงซ่อนอยู่ เช่น อับดุลลอฮ์ บิน ซาบะอ์, กะอับ อัล-อะห์บาร, วะฮับ  บิน มินบะฮ์ และฯลฯ คนเหล่านี้ได้แสดงตนว่านับถือศาสนาอิสลาม แต่แล้วพวกเขาก็เริ่มเผยแพร่และแทรกหลักความเชื่อที่ผิดพลาดของพวกเขาในท่ามกลางชาวมุสลิม
ทั้งนี้โดยอาศัยการปลอมแปลงรายงานฮะดีษต่างๆของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) ขึ้นมาเผยแพร่มากมาย
คอลีฟะฮ์ที่สามคือ ท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน ต้องการจะจับกุมตัวคนเหล่านั้นมาลงโทษ แต่แล้วพวกเขาก็หลบหนีไปยังประเทศอียิปต์แล้วพำนักอาศัยที่นั่นทำให้ยากในการนำตัวกลับมาลงโทษ(คล้ายๆกับยากที่ตามตัวทักษินกลับมารับโทษน่ะแหละ)
ได้มีบรรดาพวกไร้อารยธรรมกลุ่มหนึ่ง(พวกญาฮิลียะฮ์)ได้รวมตัวกันเข้ามาอยู่ศึกษากับคนเหล่านั้น พวกเขาได้รับการหล่อหลอมโดยหลักความเชื่อ(อะกีดะฮ์)อดีตยิวเหล่านั้น ต่อมาคนพวกนั้นก็ได้จัดประกายความคิดหนึ่งขึ้นมา  จนกลายเป็นพรรคการเมืองพรรคหนึ่งชื่อว่า "ชีอะฮ์"
นโยบายของพรรคนี้ มีหลายข้อ แต่หลักๆก็คือ  พวกเขาประกาศตำแหน่งอิมามให้แก่อะลี บิน บี ฏอลิบ ในสมัยของอุษมาน บิน อัฟฟาน (ร.ฎ)ทั้งๆเป็นเรื่องที่ไม่ได้สร้างความยินดีปรีดาอันใดแก่อะลี (อัลลอฮ์ทรงให้เกียรติแก่ใบหน้าของท่าน)เลย พวกเขาได้เขียนฮะดีษปลอมขึ้นมากมายเพื่อสนับสนุนแนวทางของพวกเขา เช่น
"ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวว่า "อะลี คือ คอลีฟะฮ์ของฉันและเป็นอิมามของบรรดามุสลิม ภายหลังจากฉัน"
คนเหล่านี้แหละ ที่เป็นต้นเหตุของการหลั่งเลือดระหว่างมุสลิมด้วยกันเอง ในสมรภูมิหลายแห่ง เช่น สงครามศิฟฟีน สงครามญะมัล และอื่นๆ อย่างสมประสงค์ นับจากเริ่มภารกิจสำคัญด้วยการสังหารอุษมาน คอลีฟะฮ์ผู้มีสองรัศมี และต่อมา พวกเขาก็ยกย่องท่านอะลี ให้สัตยาบันรับรองท่านอะลี เป็นคอลีฟะฮ์ ครั้นแล้ว ก็บังเกิดพวกที่ต้องการจะแก้แค้นให้ท่านอุษมานรวมตัวกันต่อต้านท่านอะลี และคนเหล่านี้ก็ได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือท่านอะลี  ในช่วงวลายามนั้นเอง พรรคชีอะฮ์ ก็ได้ปรากฏโฉมหน้าขึ้น
แต่พอมาถึงสมัยรัฐบาลบะนีอุมัยยะฮ์ เมื่อพวกเขาดำเนินการสังหารวงศ์วานและมิตรสหายของท่านอะลี เช่น ฆ่าท่านฮะซัน ท่านฮุเซน และฯลฯคนในพรรคชีอะฮ์ก็จำเป็นต้องมุด ต้องหลบซ่อนตัวไป(คล้ายกับพวกณัฐวุฒิ อดิศร จักรภพ จตุพรอะไรเทือกนั้น)
ต่อมาได้มีสาวกของท่านนบีจำนวนหนึ่ง เช่น ซัลมาน อัล-ฟาริซีย์ ,อบูซัร อัล-ฆ็อฟฟารีย์,อัมมาร บิน ยาซิร, คนเหล่านี้ในช่วงหลังจากสิ้นท่านนบี(ศ)แล้ว ก็ได้เข้าไปเป็นแกนนำของพรรค ประกาศเชิญชวนให้ผู้คนมาสวามิภักดิ์ต่อท่านอะลี (อัลลอฮ์ทรงให้เกียรติแก่ใบหน้าของท่าน) แต่ทว่าท่านอะลีไม่พึงพอใจกับการกระทำเช่นนี้
พรรคชีอะฮ์ จึงได้หลบซ่อนตัวในช่วงสมัยของบะนีอุมัยยะฮ์ แต่พอช่วงต้นๆสมัยรัฐบาลของบะนีอับบาส หลังจากฮารูน รอชีด ขึ้นเป็นผู้ปกครอง พรรคชีอะฮ์ ก็มีโอกาสเผยโฉมอีกครั้งหนึ่ง
 
 บทบาทของพรรคชีอะฮ์ชัดเจนมากขึ้นในสมัยคอลีฟะฮ์มะมูน เพราะด้วยการสนับสนุนของชาวอิหร่าน ทำให้เขาสามารถเอาชนะอะมีน พี่ชายของตัวเอง ซึ่งพวกชีอะฮ์ได้เข้ามาจัดการสังหารเสีย แล้วมะมูนก็ตั้งตนเองขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ดังนั้นอิทธิพลของเขาต่อชาวอิหร่านจึงแข็งแรงมาก
 
ในขณะที่พวกอิหร่านให้เกียรติยกย่องท่านอะลี บินอะบี ฏอลิบ เหนือกว่าบรรดาคอลีฟะฮ์รอชิดีนคนอื่นๆ พวกอิหร่านจึงได้ชักจูงบรรดามุสลิมไปสู่หลักความเชื่อที่ผิดพลาดอันนี้มากมาย  เรื่องราวทุกประการเหล่านั้น เป็นจุดมุ่งหมายของนโยบายการเมือง และความป่วยไข้ทางจิตใจมากกว่าความศรัทธา
 
ชาวอิหร่านเองนั้นเล่า ก็เป็นพวกที่แค้นเคืองกับชาวอาหรับอยู่ ทั้งนี้ด้วยเหตุว่า อาณาจักรของพวกเขา ล่มสลายลง และความเป็นใหญ่ของพวกเขาจบสิ้นลง ก็เนื่องด้วยคมดาบของชาวอาหรับ
 
พวกเขาจึงสนับสนุนในการประดิษฐ์แนวทางศาสนาใหม่ ที่ขัดกับศาสนาและแนวทางต่างๆทางศาสนาของชาวอาหรับ ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับพรรคชีอะฮ์และหลักความเชื่อของพวกชีอะฮ์ พวกอิหร่านก็ให้การยอมรับและขวนขวายในการเผยแพร่ทันที
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัฐบาลของวงศ์วานแห่งบะวียะฮ์ ในอิหร่าน ถือได้ว่า เป็นช่วงที่อิทธิพลของพวกชีอะฮ์เข้มแข็งและเข้าครอบครองประเทศอิสลามได้เป็นจำนวนมาก
 
ยิ่งในสมัยของรัฐบาลศอฟฟาวีย์นั้น ยังได้ประกาศให้ชีอะฮ์ เป็นแนวทางศาสนาอย่างเป็นทางการของประเทศอิหร่าน ทั้งๆที่ในความเป็นจริง แนวทางศาสนาเดิมของพวกเขา คือ "มะญูซีย์" แต่ที่ต้องทำอย่างนั้น ก็เพราะเป็นนโยบายการเมืองของพวกเขาที่ดำเนินอยู่ตลอดมา ดังจะเห็นได้ว่า แม้กระทั่งทุกวันนี้ พวกเขาก็ยังถือปฏิบัติแตกต่างกับชาวมุสลิมทั้งมวลในโลกนี้ โดยพวกเขากล่าวว่า เราคือ ชีอะฮ์
 
สรุปความได้ว่า ชีอะฮ์เป็นแค่ลัทธิการเมืองลัทธิหนึ่ง ที่เพิ่งเกิดขึ้นโดยอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ ชาวยะฮูดได้ก่อตั้งพรรคนี้ขึ้นมา และแนวทางนี้ไม่มีชื่อปรากฏในอิสลาม ศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องกับแนวทางนี้ และชื่อนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะว่า มันขัดแย้งกับแบบฉบับ(ซุนนะฮ์)และบทบัญญัติของท่าน ยิ่งกว่านั้น แนวทางนี้ คือ สาขาหนึ่งมาจากศาสนายิวและลัทธิความเชื่อของยิว
 
ขอถามย้ำอีกครั้งว่า ท่านเชื่ออย่างนี้ จริงหรือ ?


       ลองมาศึกษา และมาฟังเรื่องนี้จากทางชีอะฮ์ดูบ้าง เพื่อจะรู้ว่า  ชีอะฮ์ กล่าวถึง และรู้จักอับดุลลอฮ์ อิบนุซะบาอ์อย่างไร ? ชีอะฮ์กล่าวถึงอับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ ไว้ในตำราของพวกเขาโดยได้สาปแช่งและถือว่า คนผู้นี้ แน่นอนต้องเป็นคนกลับกลอก(มุนาฟิก) และเป็นคนปฏิเสธศาสนา(กาฟิร)เอาใจเขาใส่ใจเรา กับคนพรรค์นี้ ความเห็นผมถือว่า ถ้ามีตัวตนจริง ก็น่าจะเป็นคนอุบาทว์คนหนึ่ง
 
แต่ก็อยากให้ความเป็นธรรม สมมติว่า อิบนุซะบะอ์ เป็นผู้สวามิภักดิ์ และจงรักภักดีต่ออะลี บิน อะบี ฏอลิบจริง แต่มีแผนทางการเมือง การสวามิภักดิ์ของเขาก็ยังไม่ขัดแย้งกับอิสลาม ในกรณีที่สมมติว่า ชีอะฮ์แห่งวงศ์วานของมุฮัมมัด(ศ)เป็นผู้ศรัทธาที่บริสุทธิ์ใจ และถูกต้อง?
 
เพราะถ้าหากว่า มีคนสวมชุดผู้รู้ ขึ้นนั่งแท่นเทศนา(มิมบัร)และนำคนนมาซ ครั้นเมื่อบรรดาคนมุสลิมเชื่อมั่นว่าเขาเป็นคนหลอกลวงบรรดามุสลิม และขโมยทรัพย์สินของคนมุสลิม จะถือว่าถูกต้องกระนั้นหรือ   ถ้าเราจะกล่าวว่า ผู้รู้ทุกคน เป็นโจร และเป็นขโมย ?
 
คำจำกัดความคำว่าชีอะฮ์ ที่ว่า เป็นสาวกผู้ปฏิบัติตามอิบนุซะบะอ์ ผู้ถูกสาปแช่งนั้น ห่างไกลจากความถูกต้อง และขัดกับความเป็นจริง ที่มีอยู่อย่างสิ้นเชิง
 
ทัศนะที่เชื่อว่าแนวทางชีอะฮ์ เป็นพรรคการเมืองที่อิบนุซะบะอ์ ผู้เป็นยิวก่อตั้งขึ้นในสมัยอุษมาน เป็นทัศนะที่เหลวไหล เป็นไปได้อย่างไร ว่าเมื่อท่านได้อ่านเรื่องโกหกที่ผ่านมา แล้วเชื่อถือ โดยไม่ได้อ่านคำบอกเล่าที่ถูกต้องและบทรายงานต่างๆที่ชัดเจนเกี่ยวกับชีอะฮ์ ในตำราของพี่น้องหรือเพื่อนๆซุนนีเอง ที่ระบุว่าท่านนี(ศ) เป็นผู้วางพื้นฐานและรากฐานของชีอะฮ์
 
แน่นอนคำว่า \\\"ชีอะฮ์อะลี\\\" เป็นคำที่แพร่สะพัด และค่อนข้างจะหนาหูในวงการของบรรดาสาวก จากวาจาของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)เอง ขณะเดียวกันนักปราชญ์ซุนนีก็ได้อ้างถึงและรายงานถ่ายทอดไว้ในตำราฮะดีษและตัฟซีรของพวกเขา
 
ระหว่างคำอธิบายจากปากคำของพวกคอวาริจญ์ และคำใส่ไคล้ของพวกนอกศาสนา(นะวาศิบกับหลักฐานอ้างอิงในอัล-กุรอานอันทรงวิทยปัญญา และรายงานบอกเล่าที่ถูกบันทึกไว้ในตำราของพี่น้องซุนนีเอง อันไหนจะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่ากัน ?
 
จะทำความเข้าใจความจริงและจุดเริ่มต้นของชีอะฮ์ จำเป็นต้องเข้าใจความหมายคำว่า \\\"ชีอะฮ์\\\" ก่อน ชีอะฮ์ หมายถึง พวกปฏิบัติตาม และพวกสนับสนุน ช่วยเหลือ
 
  •  

L-umar


\\\"ท่านฟัยรูซ อาบาดีย์\\\"  กล่าวไว้ใน\\\"กอมุส\\\"(พจนานุกรมอาหรับ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เล่มหนึ่ง)ในคำว่า \\\"ชาอ์\\\"  ว่าหมายถึง  ชีอะฮ์ของคนใดคนหนึ่ง นั่นคือ หมายถึง ผู้ปฏิบัติตาม และช่วยเหลือคนๆนั้น และเป็นคนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ ตามหลักภาษาใช้คำนี้ได้เสมอ ไม่ว่ากับคนๆเดียว (เอกพจน์) กับสองคน หรือกับจำนวนมากกว่านั้น(พหูพจน์) จะใช้กับเพศชาย หรือเพศหญิงก็ได้ ส่วนใหญ่คำนามนี้จะหมายถึงผู้จงรักภักดีต่อท่านอะลี และอะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน จนกระทั่งได้กลายเป็นชื่อเรียกขานพวกเขาโดยเฉพาะ นี่คือ ความหมายของคำว่า \\\"ชีอะฮ์\\\" ดังนั้น หลังจากวันนี้แล้ว ขอร้องท่าน อย่าได้เคลือบแคลงสงสัยในความหมายของคำนี้อีกเลย
 
นอกจากนี้ ถ้าเราจะสังเกตสำนวนภาษาของอัล-กุรอาน เราจะพบว่า ถ้าจะกล่าวถึงใครว่า เป็นคนของนบีท่านใด อัล-กุรอานจะเรียกคนนั้นๆด้วย คำว่า ชีอะฮ์ของนบีท่านนั้นๆ
คำพูดที่ว่าชีอะฮ์เป็นพรรคที่อิบนุซาบะอ์ตั้งขึ้น ขัดแย้งกับความจริงที่ปรากฏ เพราะคำว่า \\\"ชีอะฮ์\\\" ถูกนำมาใช้เรียกบรรดาผู้ปฏิบัติตามท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ และผู้ช่วยเหลือท่านตั้งแต่สมัยท่านนบี(ศ) และผู้ที่นำคำนี้มาใช้ เพื่อเป็นที่รู้สำหรับพวกเขา ก็คือ ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)เอง ซึ่งท่านนบี(ศ) คือ ผู้ที่อัลลอฮ์ ผู้ทรงอานุภาพสูงสุด ตรัสถึงท่านว่า\\\"และเขามิได้พูดจากอารมณ์ มันมิใช่อื่นใด  นอกจากวะห์ยูที่ถูกเผยแก่เขาเท่านั้น\\\"
 
ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวว่า \\\"ชีอะฮ์ของอะลีนั้นคือผู้มีชัยชนะ\\\" บรรดานักปราชญ์ของพวกท่านได้บันทึกฮะดีษ นี้ และที่คล้ายคลึงกันนี้ ไว้ในตำราฮะดีษและตัฟซีรของพวกเขา
 
ไม่ประหลาดใจสำหรับท่านที่ไม่ใช่นักเรียนฮะดีษ ไม่เคยเรียนวิชาตัฟซีร จากภาษาอาหรับ ถ้าหากท่านไม่เคยพบฮะดีษนี้และฮะดีษอื่นๆทำนองนี้ ในตำราของพวกท่าน แต่สำหรับท่านที่เคยเป็นนักเรียนฮะดีษ เรียนตัฟซีร จากตำราภาษาอาหรับชั้นสูงๆ ผมรู้สึกแปลกใจอยู่เสมอมา หรือว่าท่านแกล้งปฏิเสธการยอมรับ แกล้งทำเมินเฉย และผลักไส ?ว่าคำๆนี้ ไม่มีที่มาจากท่านนบี(ศ)
 
ฮาฟิซ อะบูนะอีม ได้บันทึกไว้ในตำราของท่าน \\\"ฮุลลียะตุล เอาลิยาอ์\\\" โดยสารบบการรายงานของท่านจาก อิบนุอับบาส ที่ได้กล่าวว่า เมื่อโองการ อันทรงเกียรติตอนหนึ่งถูกประทานลงมาว่า \\\"แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการงานที่ดี เขาเหล่านั้น คือ มนุษย์ที่ประเสริฐยิ่ง\\\"ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ได้บอกท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ ว่า  \\\"โอ้อะลี เขาเหล่านั้นคือเจ้า และชีอะฮ์ของเจ้า ในวันฟื้นคืนชีพ ทั้งเจ้าและชีอะฮ์ของเจ้าจะมาในฐานะผู้พึงพอใจที่ได้รับความพึงพอพระทัย\\\"
 
อะบูมุอัยยัด มุวัฟฟัก บิน อะห์มัด อัล-คอวาริซมีย์ ได้บันทึกรายงานนี้ไว้ในภาคที่ 17 กิตาบ อัล-มุนากิบ หนังสือ ตัซกิเราะตุลคอวาศุลอุมมะฮ์และท่านซิบฏุล เญาซีย์ก็บันทึกไว้ด้วย โดยไม่ระบุถึงโองการ
 
ฮากิม อุบัยดิลลาฮ์ อัลฮัสกานีย์ ในฐานะเป็นนักตัฟซีรคนสำคัญคนหนึ่งของพวกท่าน ก็ได้บันทึกไว้ในหนังสือของเขา (ชะวาฮิดุตตันซีล) รายงานจาก ฮากิม อะบี อับดุลลอฮ์ อัลฮาฟิซ โดยสารบบการรายงาน ที่ถูกอ้างยังยะซีด บิน ชะรอฮีล อัล-อันศอรีย์ ที่ได้กล่าวว่า \\\"ฉันได้ยินท่านอะลี (ขอความสันติสุขพึงมีแด่ท่าน)กล่าวว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ได้บอกกับฉัน ในขณะที่ฉันดึงท่านเข้าแนบที่ทรวงอกของฉันว่า อะไรกัน อะลี เจ้ายังไม่ได้ยินโองการของอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงสุดดอกหรือ \\\"แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการงานที่ดี เขาเหล่านั้น คือ มนุษย์ที่ประเสริฐยิ่ง\\\"
 
เขาเหล่านั้น คือ เจ้าและชีอะฮ์ของเจ้า ที่นัดหมายของฉันกับพวกเจ้า คือ สระอัล-เฮาฎ์ เมื่อถึงเวลาที่ประชาชาติทั้งมวลถูกนำไปพิพากษา พวกเขาจะเรียกร้อง มิ่งขวัญของบรรดาผู้เคร่งครัดศาสนา
 
อะบู มุอัยยัด มุวัฟฟัก อะห์มัด อัล-คอวาริซมีย์ ได้บันทึกไว้ในมุนากิบ ภาคที่ 9 รายงานจากท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ อัล-อันศอรีย์ กล่าวว่า พวกเราเคยอยู่กับท่านนบี(ศ) แล้วท่านได้ลุกขึ้นต้อนรับท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวว่า \\\"แน่นอน พี่น้องของฉัน ได้มายังพวกท่านแล้ว หลังจากนั้น ท่านได้หันหน้าไปยังอัล-กะอ์บะฮ์ แล้วใช้มือของท่านตีที่อัล-กะอ์บะฮ์ แล้วกล่าวว่า \\\"ขอสาบานต่อพระองค์ ซึ่งชีวิตของฉัน อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แท้จริง เขาผู้นี้ และชีอะฮ์ของเขา คือเหล่าบรดาผู้มีชัยชนะในวันฟื้นคืนชีพ หลังจาก นั้น ท่านได้กล่าวอีกว่า เขาคือ ผู้ศรัทธาคนแรกในหมู่พวกท่าน เขาคือ ผู้ทำตามสัญญาต่ออัลลอฮ์ครบถ้วนที่สุดในหมู่พวกท่าน เขาคือ ผู้ดำรงรักษากฎเกณฑ์ของอัลลอฮ์ได้ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน เขาคือ ผู้เลี้ยงดูที่เที่ยงธรรมที่สุดในหมู่พวกท่าน เขาคือ ผู้แบ่งปันที่ เท่าเทียมที่สุดในหมู่พวกท่าน และเขาคือบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกท่านตามทัศนะของอัลลอฮ์\\\"
ท่านได้กล่าวว่า \\\"แล้วโองการหนึ่งได้ถูกประทานลงมา ความว่า \\\"แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการงานที่ดี เขาเหล่านั้น คือ มนุษย์ที่ประเสริฐยิ่ง\\\" ตลอดไปจนจบ
 
ท่นได้กล่าวว่า ปรากฏว่า บรรดาสาวกของศาสดามุฮัมมัด(ศ)นั้น เมื่อพบกับท่านอะลี (ขอความสันติ     สุขพึงมีแด่ท่าน)ต่างพากันพูดว่า \\\"แน่นอน มนุษย์ที่ประเสริฐยิ่ง ได้มาแล้ว\\\"
 
ญะลาลุดดีน ซะยูฏีย์ ก็ได้บันทึกไว้ ท่านคือนักปราชญ์อาวุโสที่สุด และมีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของพวกท่าน ก็ได้บันทึกเอาไว้ จนกระทั่งบรรดานักปราชญ์เคยกล่าวถึงท่านว่า เป็นผู้ฟื้นฟู(มุญัดดิด)ซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ในศตวรรษที่ 9 แห่งฮิจเราะฮ์ศักราช ดังมีปรากฏในหนังสือ \\\"ฟัตฮุลมะกอล\\\"
 
ท่านได้บันทึกไว้ในตัฟซีร\\\"อัดดุรรุลมันซูร\\\"จากอิบนุอะซากิร อัดดะมัชชะกีย์รายงานว่า เขาได้รับรายงานมาจากญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ อัล-อันศอรีย์ ที่ท่านได้กล่าวว่า \\\"พวกเราเคยอยู่กับท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) ขณะนั้น ท่านได้เข้าไปหาท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ(อ) แล้วท่านนบี(ศ)ได้กล่าวว่าว่า \\\"ขอสาบานต่อพระองค์ ซึ่งชีวิตของฉัน อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แท้จริง เขาผู้นี้ และชีอะฮ์ของเขา คือเหล่าบรรดาผู้มีชัยชนะในวันฟื้นคืนชีพ\\\" แล้วมีโองการหนึ่งถูกประทานลงมา ว่า \\\"แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการงานที่ดี เขาเหล่านั้น คือ มนุษย์ที่ประเสริฐยิ่ง\\\"
 
ทำนองเดียวกัน ได้มีบันทึกในหนังสือ \\\"อัดดุรรุลมันซูร\\\" ตอนตัฟซีร โองการอันทรงเกียรตินี้ จากรายงานของอิบนุ อะดีย์ ที่ได้รับรางานจากอิบนุอับบาส ว่า \\\"เมื่อโองการดังกล่าวได้ถูกประทานลงมา ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวกับท่านอะลีว่า \\\"ทั้งเจ้าและชีอะฮ์ของเจ้า จะมาในวันฟิ้นคืนชีพ(กิยามะฮ์)อย่างผู้พึงพอใจที่ได้รับความพึงพอพระทัย\\\"
 
อิบนุศิบาฆ อัลมาลิกีย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ \\\"อัล-ฟุศูลุลมุฮิมมะฮ์\\\" หน้า  122รายงานจาก อิบนุอับบาส ที่ได้กล่าวว่า \\\"เมื่อโองการนี้ถูกประทานลงมา (\\\"แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและประกอบการงานที่ดี เขาเหล่านั้น คือ มนุษย์ที่ประเสริฐยิ่ง\\\")ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวกับท่านอะลีว่า \\\"ทั้งเจ้าและชีอะฮ์ของเจ้า จะมาในวันฟิ้นคืนชีพ(กิยามะฮ์)อย่างผู้พึงพอใจที่ได้รับความพึงพอพระทัย ส่วนศัตรูของเจ้าจะมาอย่างโกรธกริ้วและหัวเงยเติ่ง\\\"
 
อิบนุฮะญัร ได้บันทึกไว้ใน อัศศอวาอิก บทที่ 11 จากฮาฟิซ ญะมาลุดดีน มุฮัมมัด บิน ยูซุฟ อัซซะร็อนดี อัลมะดะนีย์ และเขาได้บันทึกเพิ่มเติมว่า \\\"ท่านอะลี(อ) ได้กล่าวว่า ใครคือ ศัตรูของฉัน ? ท่านนบี(ศ)ตอบว่า \\\"คนที่ปลีกตัวพ้นจากเจ้าและแช่งด่าเจ้า\\\"
 
อัลลามะฮ์ อัซซัมฮูดีย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ \\\"ญะวาฮิรุลอุกดัยน์\\\" รายงานจาก ฮาฟิซ ญะมาลุดดีนอัซซะร็อนดี อัลมะดะนีย์ อีกเช่นกัน
 
อัลมิร ซัยยิด อะลี อัลฮัมดานี อัชชาฟิอีย์ ในฐานะเป็นนักปราชญ์อาวุโสที่สุดคนหนึ่งของพวกท่าน ก็ได้บันทึกไว้ในหนังสือ\\\"มะวัดดะตุลกุรบา\\\"รายงานจากอุมมุ ซะละมะฮ์ มารดาแห่งศรัทธาชน ภรรยาของท่านนบี ผู้ทรงเกียรติ(ศ) นางได้กล่าวว่า \\\"ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ)ได้กล่าวว่า \\\"โอ้อะลี เจ้าและสหายของเจ้า จะได้อยู่ในสวรรค์ เจ้าและชีอะฮ์ของเจ้าจะได้อยู่ในสวรรค์\\\"
 
อิบนุฮะญัร ได้บันทึกเรื่องนั้น จากรายงานของท่านหญิงอุมมุซะลมะฮ์ ไว้ในหนังสือ อัศศอวาอิก เช่นกัน
ท่านฮาฟิซ อิบนุ อัลมะฆอซาลีย์ อัชชาฟิอีย์ อัลวาซิฏีย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือของท่านชื่อ มะนากิบ อะลี บิน  อะบีฏอลิบ\\\" โดยสารบบการรายงานของเขาจากญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า
 
เมื่ออะลี บิน อะบี ฏอลิบ ได้มาในสงครามบะดัร ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวกับเขาว่า \\\"โอ้อะลี หากมิใช่เพราะคนพวกหนึ่งในประชาชาติของฉันจะกล่าวถึงเจ้า เช่นเดียวกับที่พวกนะศอรอกล่าวถึงอีซา บุตร มัรยัม แล้วไซร้ แน่อน ฉันจะกล่าวถึงเจ้า สักประโยคหนึ่ง ซึ่งไม่มีครั้งใดที่เจ้าจะเดินผ่านพวกหัวหน้าของบรรดามุสลิมไปเฉยๆ นอกจากพวกเขาจะเก็บเอาดินใต้รองเท้าของเจ้า และส่วนเหลือจากที่ทำความสะอาดของเจ้า ไปทำยาบำบัดโรค แต่ทว่า เพียงพอแก่เจ้าแล้ว ที่ได้มีตำแหน่งเป็นฮารูนของมูซา สำหรับฉัน เพียงแต่จะไม่มีนบีคนใดภายหลังจากฉันอีกแล้ว เจ้า คือผู้ปลดเปลื้องความมลทินของฉันและปิดบังอวัยวะพึงสงวนของฉัน เจ้าต่อสู้เพื่อแบบฉบับของฉัน ในวันปรโลก เจ้าจะใกล้ชิดกับฉันยิ่งกว่ามนุษย์คนใด และเจ้าคือคอลีฟะฮ์ของฉัน ณ อัล-เหาฎ์ และบรรดาชีอะฮ์ของเจ้าจะอยู่บนแท่นเทศนาต่างๆ ที่มาจากรัศมี ใบหน้าของพวกเขาผ่องใส อยู่รายล้อมใกล้ฉัน ฉันจะช่วยอนุเคราะห์พวกเขา และพวกเขาจะอยู่ในสวรรค์ฐานะเป็นญาติสนิทของฉัน และผู้ใดสู้รบกับเจ้า  จะเท่ากับสู้รบต่อฉัน  และผู้ใดให้ความสันติแก่เจ้า ก็เท่ากับให้ความสันติแก่ฉัน
 
หวังว่า ถ้าคนเราใช้สติปัญญา ก็คงจะไม่พูดเรื่องไร้สาระตามจินตนาการของคนเพ้อเจ้อเช่นนั้นซ้ำๆ ว่า ผู้ก่อตั้งแนวทางชีอะฮ์ คืออับดุลลอฮ์ บิน ซะบะอ์ผู้เป็นชาวยิว
 
เป็นที่น่าเสียใจอยู่ว่า ...นักปราชญ์ซุนนี เจ้าของตำราอีกส่วนหนึ่งเองได้ถ่ายทอดเรื่องเหลวไหลเหล่านั้นให้แก่สานุศิษย์ของพวกท่านในหมู่ประชาชนทั่วไป พวกเขาได้ปิดบังสัจธรรมและความจริงในศาสนาจะโดยที่ พวกท่านเจตนาหรือไม่ก็ตามที
 
บัดนี้ เราได้ตระหนักแล้วว่า ชีอะฮ์ คือ พวกพ้องของมุฮัมมัด ไม่ใช่พวกยิว และแท้จริงคำว่า \\\"ชีอะฮ์\\\" ได้แก่ ผู้จงรักภักดี รักและสนับสนุน ช่วยเหลือท่านอะลี เป็นคำที่ถูกเผยมาจากศาสดาของอิสลาม ผู้นำมนุษยชาติ มุฮัมมัด(ศ) แน่นอนท่านได้ประกาศคำนี้ซ้ำซาก ท่ามกลางบรรดาสาวกของท่าน จนกระทั่งได้กลายเป็นสามัญนามของผู้สวามิภักดิ์ต่ออะลี(อ)และผู้สนับสนุนเขา ดังที่ท่านได้ยินได้ฟังรายงานฮะดีษต่างๆที่ข้าพเจ้าได้อ้างต่อพวกท่านมาแล้ว
มีการบันทึกอยู่ในหนังสือ \\\"อัซซีนะฮ์\\\" ของอะบี ฮาติม อัรรอซีย์ ซึ่งเป็นผู้รู้ในหมู่พวกท่าน เขากล่าวว่า ชื่อแรกที่ถูกนำมาใช้ในอิสลาม จนเป็นสามัญนามของคนกลุ่มหนึ่งในสมัยท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์ ก็คือ ชื่อ    \\\"ชีอะฮ์\\\" มีสาวก 4 ท่านถูกรู้จักอย่างแพร่หลายด้วยชื่อนี้ ในสมัยท่านนบี ผู้ทรงเกียรติ (ศ)ยังมีชีวิต พวกเขาคือ
1.อะบูซัร อัลฆ็อฟฟารีย์  2.ซัลมาน อัล-ฟาริซีย์ 3.มิกดาด บิน อัสวัด อัลกินดีย์ 4.อัมมาร บิน ยาซิร
ดังนั้น ข้าพเจ้าขอร้องให้พวกท่านคิดใคร่ครวญดูให้ดีว่า เป็นไปได้อย่างไร สาวกผู้ใกล้ชิด และผู้ช่วยเหลือท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) ได้ถูกรู้จักแพร่หลายโดยสมญานาม หรือโดยชื่อเรียกว่า\\\"ชีอะฮ์\\\"ซึ่งได้ประจักษ์       แก่สายตา และการได้ยินได้ฟังของท่านนบี(ศ) ซึ่งท่านก็มิได้ห้ามพวกเขาว่าอย่าได้อุตริ ใช้คำว่า ชีอะฮ์ ดังที่คน         บางส่วนแอบอ้าง ?
  •  

L-umar


สถานะของสาวกทั้งสี่(ซัลมาน, อะบูซัร, มิกดาด, ยาซิร)ในอิสลาม
เพื่อให้เรารู้จักฐานภาพของบุคคลเหล่านั้นทั้งสี่ท่านในทัศนะของอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงสุด และศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) จะขออ้างรายงานฮะดีษบางตอน จากสายรายงานของนักปราชญ์ซุนนีเอง เกี่ยวกับสิทธิของบุคคลเหล่านั้น
1-ฮาฟิซ อะบูนาอีม ได้บันทึกไว้ใน เล่ม 1 หนังสือฮุลลียะตุลเอาลิยาอ์ หน้า 172 อิบนุฮะญัร อัล-มักกีย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือ อัศศอวาอิกุล มุฮัรรอเกาะฮ์ ในฮะดีษที่ 5 จาก 40ฮะดีษ ที่อ้างถึงเกียรติคุณของอะลี บิน อะบี ฏอลิบ (อ) เขากล่าวว่า รายงานจากติรมิซีย์ และฮากิม โดยรายงานจาก บุร็อยดะฮ์ กล่าวว่า ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ ทรงบัญชามายังฉันว่า ให้รักคนทั้งสี่ และทรงแจ้งว่า พระองค์ทรงรักพวกเขา มีคนถามว่า พวกเขาเป็นใครบ้าง ? ท่านนบี(ศ)ตอบว่า อะลี บิน อะบี ฏอลิบ ,อะบูซัร ,มิกดาด และซัลมาน
 
2-อิบนุฮะญัรอีกเช่นกัน ในฮะดีษที่ 39 เขาได้อ้างจากติรมิซีย์ และฮากิมจากท่านอะนัส บินมาลิก กล่าวว่า ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวว่า สวรรค์มีความถวิลหา 3 บุคคลเป็นพิเศษ คือ อะลี อัมมาร และซัลมาน
 
เป็นไปได้อย่างไร ที่ผู้รู้ซุนนีไม่พิจารณาบุคคลทั้งสี่ให้ถ่องแท้ ทั้งๆที่พวกเขาเป็นสาวกคนพิเศษของท่านนบี(ศ) ที่อัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์รัก และเป็นชาวสวรรค์ แต่ผู้รู้ซุนนีกลับสอนให้พิจารณาเรื่องอับดุลลอฮ์ อิบนุซะบะอ์ สอนพี่น้องเราให้ขัดแย้งกับท่านทั้งสี่  เพราะฉะนั้นหลักคิดและการถือปฏิบัติใดๆของท่านทั้งสี่ จึงไม่ได้เป็นหลักฐานสำหรับพวกเขาเลย ?
ไม่เสียใจกันบ้างหรือไร ต่อการที่ผู้รู้ซุนนีจำกัดบรรดาสาวกของท่านนบี(ศ)ให้เรารู้คารวะเฉพาะแต่บรรดาผู้อยู่เบื้องหลังเหตุก่อการเสียหาย ที่รีบรุดพากันไปเลือกคอลีฟะฮ์ที่ซะกีฟะฮ์ในวันที่ท่านศาสดาวายชนม์ แทนที่จะอยู่กับสมาชิกครอบครัวท่านศาสดา(อะฮ์ลุลบัยต์) เพื่อร่วมจัดศพของท่านศาสดาของอิสลาม(ศ)ตามวิสัยของประชาชาติที่ดีของศาสดา แต่กลับไปร่วมบทบาทในการเล่นเกมเดิมๆของพวกญาฮีลียะฮ์ นั่นคือการเลือกคอลีฟะฮ์ของอิสลามด้วยการลงมติตามความคิดความเห็นของพวกเขาด้วยกันเอง แทนที่จะยึดตามคำสอนของศาสดาผู้ค้ำจุลสากลโลก ?
ส่วนสาวกผู้ซื่อสัตย์ แต่ขัดแย้งกับกระแสของบรรดาผู้ทรงอิทธิพลประจำเผ่าต่างๆในยามนั้น  และต่อต้านการลงมติเลือกคอลีฟะฮ์กันเอง เพราะเห็นว่า เป็นการกระทำที่บิดพริ้วและขัดแย้งกับข้อบัญญัติของพระองค์ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงพลานุภาพ และต้องการจะให้การปกครองอยู่ในเส้นทางที่ท่านนบี ได้(ศ)ขีดเส้นไว้ให้ เพื่อความผาสุกของบรดาผู้ศรัทธา ผู้รักอิสระเสรี ผู้มีคุณธรรม แต่ผู้รู้ซุนนีกลับสอนพี่น้อง มิให้ยึดถือสาวกเหล่านั้นเป็นแบบอย่าง และไม่ยอมให้ทำตามพวกเขาเหล่านั้น
 
การเป็นชีอะฮ์ มิใช่การเป็นพรรคการเมือง
ส่วนคำพูดของผู้รู้ซุนนีที่มักจะสอนว่า แนวทางชีอะฮ์ คือ นโยบายทางการเมืองของชาวอิหร่าน ที่เป็นมะญูซีย์(พวกบูชาไฟ) พวกเขารับเอาอะกีดะฮ์ของชีอะฮ์มาถือ ก็เพื่อหวังเอาตัวรอดจากการครอบครองของอาหรับนั้น เป็นคำพูดที่ไม่มีหลักฐานและเป็นการใส่ไคล้จากบรรพชนของผู้รู้เหล่านั้น เพราะมีหลักฐานยืนยันว่า การเป็นชีอะฮ์ คือ แนวทางที่ชัดเจนของอิสลาม และเป็นบทบัญญัติของท่านนบีคนสุดท้าย และเป็นเนื้อหน่วยเดียวกับศาสนาอิสลาม
ท่านนบี(ศ)ได้สั่งประชาชาติให้ปฏิบัติตามท่านอะลี และเดินตามแนวทางท่านอะลีในกิจการทั้งหลาย โดยถือว่าคำสั่งท่านนบี(ศ) คือคำสั่งอัลลอฮ์ มหาบริสุทธิ์แด่พระองค์ ผู้ทรงสูงสุด พวกชีอะฮ์ปฏิบัติตามท่านอะลี อะมีรุลมุมินีน และลูกหลานของท่านผู้บริสุทธิ์(อ) และปฏิบัติตามแนวทางการปฏิบัติของสาวกทั้งสี่ ตามที่ท่าน นบี ผู้ซื่อสัตย์ (ศ)สั่งไว้ และนี่คือทางเดียวที่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า เป็นทางรอด
หากเราพิจารณาประวัติศาสตร์ และวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆหลังจากท่านนบี(ศ)สิ้นชีวิต เราจะพบว่า การเล่นเกมการเมืองที่ท้าทายคำสั่งของอัลลอฮ์ที่สุด ได้แก่ การก่อกบฏทางศาสนา นั่นคือ การร่วมกันวางแผนเลือกคอลีฟะฮ์คนแรกที่ซะกีฟะฮ์ ในวันที่ท่านศาสดาวายชนม์  แต่ผู้รู้ซุนนีก็ไม่ได้เรียกบรรดาผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ซะกีฟะฮ์ในวันนั้น และไม่ได้เรียกผู้ที่ทำตามคนเหล่านั้นด้วยคำว่า \\\"สมาชิกพรรคการเมือง\\\" แต่กลับกล่าวหาชีอะฮ์ ผู้ศรัทธา ผู้บริสุทธิ์ใจ ว่าเป็น สมาชิกพรรคการเมืองของอับดุลลอฮ์ อิบนุซะบะอ์ !!
มีฮะดีษจากตำราซุนนีมากมายเหลือเกินที่บันทึกว่า ท่านนบี(ศ) สั่งให้ประชาชนปฏิบัติตามท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบและสมาชิกครอบครัวผู้ทรงเกียรติของท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภารกิจที่อาจเกิดความสับสน และในยามที่ความเห็นไม่ตรงกัน แต่รับรองได้เลยว่า ไม่มีผู้รู้ของอิสลามคนใดในโลกไม่ว่าซุนนีหรือชีอะฮ์ จะเคยพบแม้สักฮะดีษเดียวจากท่านศาสนทูต(ศ)ว่าท่านได้สั่งประชาชนให้จัดประชุมที่ซะกีฟะฮ์และให้จัดการคัดเลือกตั้งคอลีฟะฮ์กันเองภายหลังจากท่านวายชนม์
 
    ซึ่งถ้าหากว่า เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องจัดการกันเอง ท่านนบี(ศ)จะไม่วางข้อบัญญัติไว้แก่ท่านอะลี (อ)ผู้เป็นพี่น้องและญาติสนิทของท่าน ท่านจะไม่แต่งตั้งท่านอะลี ให้เป็นคอลีฟะฮ์ตามคำบัญชาของอัลลอฮ์(ผู้ทรงอานุภาพสูงสุด) ทั้งในวาระการตักเตือนครั้งแรก และในวันก่อนอำลาที่ฆอดีรคุม และวาระอื่นๆในระหว่างนั้นอีกนับครั้งไม่ถ้วนอย่างแน่นอน
 
การเป็นชีอะฮ์ของชาวอิหร่าน
 ที่ผู้รู้ซุนนีหลงประเด็น แล้วทำให้ผู้คนจำนวนมากหลงผิดตามอีกประการหนึ่ง ก็คือโฆษณาชวนเชื่อจากพวกอำมาตย์ราชครูในราชวงศ์อุมัยยะฮ์ที่อ้างว่า พวกอิหร่านเข้ารับแนวทางชีอะฮ์เพราะเหตุผลทางการเมือง  ก็ขอเรียนว่า ใครก็ตามที่ได้ศึกษาค้นคว้าอย่างถ่องแท้ในเรื่องทางการเมืองก็จะรู้ว่า  ชนกลุ่มใด หากจะยึดแนวทางศาสนาใดมาปฏิบัติ เพียงเพื่อเป็นสื่อนำไปสู่เป้าหมาย และจุดประสงค์ทางการเมืองของตนแล้ว เขาจะละทิ้งแนวทางนั้นๆและจะไม่แยแสกับแนวทางนั้นอีกต่อไป หลังจากได้บรรลุสู่จุดมุ่งหมายของพวกเขาแล้ว
 
แต่การณ์กลับเป็นว่า ประวัติศาสตร์ได้ยืนยันความจริงของชาวอิหร่านว่า พวกเขาได้ยึดถือแนวทางชีอะฮ์และปฏิบัติตามวงศ์วานของมุฮัมมัด(ศ) ทั้งรัก ช่วยเหลือ และยอมพลีเสียสละอย่างสุดใจขาดดิ้นเพื่อท่านเหล่านั้นมานานกว่าพันปีมาแล้ว จนกระทั่งปัจจุบัน พวกเขาก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ คือยังต่อสู้เสียสละเพื่อเชิดชู ผดุงคำสอนแห่งสัจธรรม ยุติธรรม และโบกสะบัดธง\\\"ลา อิลาฮะ อิลลัล ลอฮ์ มุฮัมมัด รอซูลุล ลอฮ์(ศ) อะลี วะลียุล ลอฮ์\\\"
    การถือปฏิบัติกันอย่างยาวนานพันกว่าปีเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ หรือเป็นกุศโลบายเพื่อหวังผลทางการเมือง หรือเพื่อผลประโยชน์อื่นใดจากใครในโลก จะมีก็เพียงเป้าหมายทางด้านจิตวิญญาณและผลตอบแทนแห่งปรโลกเท่านั้น การเป็นชีอะฮ์ของใครก็ตามไม่ว่าที่เป็นชาวอิหร่านและไม่ใช่อิหร่าน เป็นเรื่องของเป้าหมายทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องของการเสแสร้ง
 
สาเหตุที่ชาวอิหร่านเป็นชีอะฮ์
 
ส่วนสาเหตุที่ชาวอิหร่านยอมรับแนวทางชีอะฮ์และยึดมั่นในหลักความจงรักภักดีต่ออะฮ์ลุลบัยต์ และต่อบรรดาสานุศิษย์ของอะฮ์ลุลบัยต์  มีวิถีชีวิตตามแบบแผนของท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ และลูกหลาน ผู้ประเสริฐของท่านนั้น แน่นอน ต้องมาจากแรงจูงใจเป็นส่วนประกอบอยู่บ้าง อย่างน้อย ก็คือ
1-ชาวอิหร่านไม่คลั่งไคล้ในชาติพันธุ์ ไม่มีความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า และไม่มีการโอ้อวดในเรื่องของ               ชาติตระกูล  เพราะเหตุว่า พวกเขามิได้เจริญเติบโตมาจากตระกูลใดของชนเผ่ากุเรช หรือเผ่าอื่นใดในคาบสมุทรอาหรับ ชาวอิหร่านจึงห่างไกลจากเรื่องเหล่านี้ทุกประการอย่างสิ้นเชิง  เมื่อพวกเขาพบว่า สัจธรรม อยู่ที่ท่านอะลี บิน อะบี ฏอลิบ (ขอความสันติสุขพึงมีแด่ท่าน) พวกเขาจึงเทใจให้ท่านอะลีอย่างเต็มที่ โดยมิได้ยึดติดอย่างคลั่งไคล้หรือขัดแย้งในชาติพันธุ์  จนสะกัดกั้นพวกเขาจากแนวทางของอะฮ์ลุลบัยต์(อ)เหมือนอย่างหลายๆชาติตระกูลในพวกอาหรับ
 
2-ความเฉลียวฉลาด ในการใช้สติปัญญาของชาวอิหร่าน สิ่งนี้สามารถยับยั้งพวกเขามิให้ยึดติดกับแนวทางของศาสนาที่ผิดพลาด และไม่ให้คล้อยตามประเพณีโบราณอย่างหลับหูหลับตา พวกเขาคือนักวิเคราะห์ และใช้วิจารณาญาณอย่างละเอียดในเรื่องศาสนาและการเคารพภักดี ด้วยเหตุนี้ ศาสนามะยูซีย์ สำหรับพวกเขาจึงอ่อนแอและสั่นคลอน                    
 
คนอิหร่านในหลายๆเมืองได้เข้ารับศาสนาอิสลาม โดยสันติ ปราศจากการสงคราม และหลายเมืองถูกเปิดประตูต้อนรับอิสลามโดยไม่ขัดขืน และหลังจากพวกเขาเปิดเมืองแล้ว ก็ละทิ้งศาสนามะญูซีย์โดยมิได้ถูกบีบบังคับ พวกเขายอมรับศาสนาอิสลามโดยเสรีและตัดสินใจอย่างอิสระ เพราะพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับบรรดามุสลิมและเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาอิสลามอย่างถ่องแท้ พวกเขาเข้าใจในเบื้องลึกของอิสลาม แล้วยึดถือทันที  ต่อมาศาสนาอิสลาม ก็ได้กลายเป็นศาสนาของพวกเขา ซึ่งพวกเขาถือว่าต้องอุทิศชีวิตเป็นพลี พวกเขาจึงทุ่มเทชีวิตจิตใจ ให้แก่อิสลามอย่างสุดใจขาดดิ้น พวกเขาต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ ภายใต้ธงอิสลามร่วมกับชาวอาหรับ และมุสลิมชาติอื่นที่ไม่ใช่อาหรับอย่างสนิทชิดเชื้อในแถวเดียวกัน
 
หลังจากได้เข้านับถือศาสนาอิสลามแล้ว มัซฮับต่างๆก็ปรากฏโฉมหน้า ทุกหมู่เหล่าต่างอ้างความถูกต้องชอบธรรม ขณะเดียวกับถือว่าแนวทางอื่น หลงผิด  ชาวอิหร่านจึงใช้วิจารณาญานโดยละเอียด เสวนาและถกเถียงกันเพื่อแสวงหาสัจธรรม พวกเขาตรวจสอบ วิเคราะห์วิจัย เกี่ยวกับสัจธรรมและความเป็นจริง จึงได้พบว่า สิ่งนี้มีอยู่ในแนวทางชีอะฮ์ อิมามสิบสอง
 
ชาวอิหร่านจึงยึดถือ และผูกมัดหลักคำสอนของแนวทางนี้ไว้ด้วยหัวใจของพวกเขา นั่นคือปฏิบัติตามท่านอะลี และลูกหลานของท่าน ผู้ถูกปกป้องให้พ้นบาป(มะอ์ศูม)พวกเขาพึงพอใจที่ท่านเหล่านั้น เป็นอิมาม เป็นผู้นำ และเป็นเจ้านาย เพราะอัลลอฮ์ ผู้ทรงสูงสุด ทรงแต่งตั้งท่านเหล่านั้น
 
3-ท่านอะลี(อ)เป็นผู้เคารพในสิทธิมนุษยชนและสิทธิของเชลยสงคราม เพราะท่านนบี(ศ)ได้สั่งเสียชาวมุสลิมในเรื่องของเชลยไว้ว่า \\\"จงให้อาหารแก่พวกเขา เช่นเดียวกับอาหารที่พวกเจ้ารับประทาน และจงให้พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าชนิดเดียวกับที่พวกเจ้าสวมใส่  และจงอย่าทำร้ายพวกเขา...\\\" เมื่อครั้งที่ชาวอิหร่านถูกกองทัพอิสลามกวาดต้อนเป็นเชลยไปยังเมืองมะดีนะฮ์ในสมัยคอลีฟะฮ์อุมัร บิน ค็อฏฏอบ ท่านอะลี(อ) ถือปฏิบัติในหลักการว่าด้วยสิทธิเหล่านี้อย่างเคร่งครัด ในขณะที่คนอื่นๆแม้กระทั่งคอลีฟะฮ์เอง ก็ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ และถึงแม้ว่าจะรู้  ก็มิได้นำพามาปฏิบัติ
จะเห็นได้ว่าคราวนั้น มีมุสลิมบางคนได้ปฏิบัติต่อเชลยเหล่านั้นอย่างไม่เหมาะสม ท่านอะลี(อ)ได้ลุกขึ้นปกป้องทันที  มีประวัติเล่าว่า ราชธิดาสองพระองค์ของอดีตกษัตริย์เปอร์เซียถูกจับเป็นเชลยมาในครั้งนั้นด้วย และคอลีฟะฮ์ผู้เป็นบิดาของหัฟศ์ ออกคำสั่งให้นำพวกนางไปขายทอดตลาดเสีย เพื่อเป็นการประจานราชวงศ์แห่งเปอร์เซีย แต่ทว่าท่านอะลี(อ) ได้ยับยั้งไว้ แล้วสั่งว่า ให้ปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์(ศ) ที่ห้ามมิให้ขายโอรสธิดาของกษัตริย์และพวกราชวงศ์  ท่านสั่งให้คัดเลือกชายมุสลิมออกมา แล้วเสนอให้ราชธิดาทั้งสอง เลือกแต่งงานด้วย"
ในการเลือกคู่ครั้งนี้ ราชธิดาองค์โต "ชาห์ซะนาน" ได้เลือกแต่งงานกับมุฮัมมัด บุตรของอะบูบักร์ ส่วน "ชะฮ์รอบานู" ได้เลือกแต่งงานกับอิมามฮุเซน(อ)
ทั้งสองชายได้นำภรรยาของตนไปทำพิธีอักด์นิกาห์ ตามหลักการศาสนาอิสลามที่บ้านของตัวเอง ชะห์ซานานนั้นต่อมาได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่มุฮัมมัด ชื่อ\\\"กอซิม\\\" นักประวัติศาสตร์ได้ให้ความรู้ว่า เขาผู้นี้ต่อมาก็คือ บิดา ของ\\\"อุมมุฟัรวะฮ์\\\" มารดาของอิมามญะอ์ฟัร บิน มุฮัมมัด ศอดิก(อ)ส่วนชะฮ์รอบานูนั้น ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่ อิมามฮุเซน เช่นกัน ชื่อ อิมามอะลี บุตรของฮุเซน ซัยนุลอาบิดีน (อ)
เมื่อชาวอิหร่านบางคนได้รู้เห็นและชาวเมืองอื่นได้ยินข่าวการแต่งงานของสองธิดาแห่งกษัตริย์ยาซัด ญะรัด และเรื่องราวการให้เกียรติที่อิมามอะลี(อ)มีต่อนางทั้งสอง ก็พากันยกย่องสรรเสริญในปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์และการแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของท่านอะมีรุลมุมินีน อะลี บิน อะบี ฏอลิบ(อ)
นี่คือ สาเหตุสำคัญที่สุดที่ผลักดันให้ชาวอิหร่านต้องวิเคราะห์กันอย่างมาก เกี่ยวกับบุคลิกภาพของ             อะบูฮะซัน(อิมามอะลี อ.)ท่านจึงมีบุญบารมี ซึ่งคนใดรู้จักท่านมาก ก็จะยิ่งรัก และให้เกียรติท่านมาก
 
4-ชาวอิหร่านมีความผูกพันกับซัลมาน อัล-ฟาริซีย์ ไม่เพียงแต่ซัลมานเป็นชาวอิหร่านชาติเดียวกับพวกเขาเท่านั้น แต่เพราะท่านซัลมานเป็นผู้มีเกียรติประวัติดีเด่น เป็นบุคคลระดับแนวหน้าที่ภาคภูมิใจของอิสลาม  ฐานภาพซัลมานถูกยกย่องเชิดชูจากท่าน นบี(ศ) จนกระทั่ง ซัลมานได้เป็นอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านคนหนึ่ง ตามฮะดีษอันลือเลื่อง ที่บันทึกอยู่ในตำราต่างๆทั้งของชีอะฮ์และซุนนี ว่า ท่านนบี(ศ)ได้กล่าวว่า \\\"ซัลมาน เป็นส่วนหนึ่งของเรา แห่งอะฮ์ลุลบัยต์\\\" นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ท่านนบี(ศ)เรียกซัลมานว่า \\\"ซัลมาน มุฮัมมาดีย์\\\"
เกียรติและความดีของซัลมาน เป็นศูนย์รวมใจของชาวอิหร่านและเป็นคนในอุดมคติของพวกเขาทั้งทางโลกและทางศาสนา ครั้นเมื่อซัลมาน เป็นชีอะฮ์ และจงรักภักดีต่ออะฮ์บัยต์ วงศ์วานของศาสดามุฮัมมัด(ศ) และเป็นคนหนึ่งที่ขัดแย้งกับการประชุมเพื่อเลือกตั้งคอลีฟะฮ์ที่ซะกีฟะฮ์ และขัดแย้งกับคอลีฟะฮ์ที่มาจากการเลือกตั้ง ซัลมานได้แนะนำพรรคพวกของเขาเข้าสู่แนวทางชีอะฮ์ และเรียกร้องเชิญชวนคนเหล่านั้นให้ยึดถือสายเชือกของอัลลอฮ์อันมั่นคงและหนทางอันเที่ยงตรง นั่นคือ อำนาจการปกครอง และการเป็นอิมามของ อะบูฮะซัน อะมีรุลมุมินีน
เพราะว่าซัลมานรู้เห็นเหตุการณ์ในวันแต่งตั้งท่านอะลีที่ฆอดีร และได้ให้สัตยาบันรับรองท่านอะลี(อ)เป็นคอลีฟะฮ์ในวันนั้น  อีกทั้งเขายังเคยได้ยินฮะดีษจำนวนมากจากปากของท่านนบี ผู้ทรงเกียรติ(ศ)ว่าด้วยเรื่องราวของอะลี และเคยได้ยินฮะดีษของท่านนบี(ศ)ซ้ำๆหลายครั้งว่า \\\"ผู้ใดเชื่อฟัง ปฏิบัติตามอะลี แน่นอน เท่ากับเขาได้เชื่อฟังปฏิบัติตามฉัน และผู้ใดเชื่อฟังปฏิบัติตามฉัน แน่นอน เท่ากับเขาเชื่อฟังปฏิบัติตามอัลลอฮ์ และผู้ใดขัดแย้งกับอะลี แน่นอนเท่ากับเขาขัดแย้งกับฉัน และผู้ใดขัดแย้งกับฉัน แน่นอน เท่ากับเขาขัดแย้งกับอัลลอฮ์\\\"


อ้างอิงจากเวบ

http://yomyai.igetweb.com/index.php?mo=3&art=347088
  •  

80 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้