หนึ่งวัน หนึ่งอายัต 7

[L-umar]

3- เราได้อะไรจากเรื่องมุบาฮะละฮ์ :


1- พิสูจน์ว่านบีมุฮัมมัดเป็นศาสดาของอัลลอฮฺจริง  เพราะทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมบันทึกว่า ชาวคริสต์ไม่ยอมทำมุบาฮะละฮ์ด้วย  



2-ท่านฮาซันและฮูเซนเป็นบุตรชายของรอซูลในทางเชื้อสาย( نَسَبٌ ) แม้ว่าตามจริงทั้งสองจะเป็นบุตรของท่านหญิงฟาติมะฮ์  เพราะท่านรอซูล(ศ)ได้กล่าวกับหลานชายทั้งสองของท่านว่า

 اِبْنَايَ هَذَانِ : اَلْحَسَنُ وَ الْحُسَيْنُ : سَيِّدَا شَبَابِ أَهْلِ الْجَنَّةِ وَ أَبُوْهُمَا خَيْرٌ مِنْهُمَا
 
ลูกชายของฉันสองคนนี้ อัลฮาซันและอัลฮูเซนคือ หัวหน้าของชายหนุ่มแห่งสวรรค์ และบิดาของเขาทั้งสองนั้นประเสริฐกว่าเขาทั้งสอง

สถานะหะดีษ เศาะหิ๊หฺ  ดูซอฮีฮุลญามิอิซ-ซอฆีร วะซิยาดะฮ์ หะดีษที่  47  
ตรวจทานโดยเชคอัลบานี


3- อายัตมุบาฮะละฮ์นับเป็นอีกฟะฎีลัตหนึ่งของอะฮ์ลุลบัยต์ ที่มิอาจมองข้ามหรือปฏิเสธได้เลย  
เพราะการที่ท่านนบีพาอะฮ์ลุลบัยต์ออกไปมุบาฮะละฮ์ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ท่านนบี(ศ)จะพาใครไปก็ได้   แต่อัลลอฮ์ทรงมีเจตนาที่ได้คัดเลือกบุคคลทั้งสี่เพื่อเป็นตัวแทนของบรรดามุสลิม


4- กล่าวได้ว่า  ท่านอะลีคือมนุษย์ أفضل   ที่ประเสริฐสุดหลังจากท่านนบี(ศ)วะฟาต


5- อายัตนี้บอกให้รู้ว่า  การถ่ายทอดความรู้อิสลาม การดูแลเรื่องการเมืองการปกครอง ตกเป็นภารกิจของอะฮ์ลุลบัยต์ที่ทำหน้าที่สืบต่อจากท่านนบี ไม่ใช่ในฐานะญาติสนิท แต่ในฐานะที่อัลลอฮ์ทรงเลือกพวกเขาให้มาทำหน้าที่สำคัญนี้ ดังที่ท่านรอซูลกล่าวกับท่านอะลีว่า


أَمَا تَرْضَى أَنْ تَكُونَ مِنِّى بِمَنْزِلَةِ هَارُونَ مِنْ مُوسَى إِلاَّ أَنَّهُ لاَ نُبُوَّةَ بَعْدِى

เจ้าไม่พอใจหรือที่เจ้ากับฉันนั้นมีตำแหน่งเหมือนนบีฮารูนกับนบีมูซา ยกเว้นว่าหลังจากฉันจะไม่มีนบีอีกต่อไปแล้ว
ท่านกับฉันมีฐานะเหมือนฮารูนกับมูซา  ยกเว้นจะไม่มีนบีหลังจากฉันอีกแล้ว  
 

6- หากเราสร้างความเข้าใจคำ   أَنْفُسَنَا    
ในอายัตมุบาฮะละฮ์ ย่อมตระหนักได้ว่า อายัตนี้ได้พิสูจน์ถึงการเป็นผู้นำของท่านอะลี  เพราะศัพท์คำนี้นับว่า ท่านอะลีคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพสมบูรณ์แบบเหมือนท่านนบีทุกประการ  ยกเว้นตำแหน่งนุบูวะฮ์เท่านั้น
ท่านอะลีได้แสดงความคิด จิตวิญญาณ การกระทำทุกอย่างซึ่งคล้ายคลึงกับท่านนบีมุฮัมมัดทั้งในยามที่ท่านมีชีวิตหรือยามที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้วได้ใกล้เคียงที่สุด


7- ถ้าสังเกตคำ نِسَاءَنَا    

ให้ดี เราจะพบว่าท่านนบีไม่ได้พาสตรีนางใดในมะดีนะฮ์ไปทั้งสิ้น  ยกเว้นบุตรีท่านเพียงคนเดียว  นับได้ว่านี่คือคุซูซียัตหนึ่งของท่านหญิงฟาติมะฮ์   อายัตมุบาฮะละฮ์จึงเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ว่า  ท่านอะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนคืออะฮ์ลุลบัยต์พิเศษ


3- พวกวาฮาบีได้สร้างความอธรรมต่ออะฮ์ลุลบัยต์
 
แม้ว่าอัลลอฮ์ ตะอาลาจะทรงให้การยกย่องอะฮ์ลุลบัยต์ไว้ในอัลกุรอานหลายโองการ แต่อะฮ์ลุลบัยต์นบีก็ยังถูกพวกวาฮาบีกดขี่พวกเขามาโดยตลอด  

ที่เมืองมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอารเบีย นับได้ว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)และอะฮ์ลุลบัยต์(อ) ในเมืองนี้มีปูชนียสถานเป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึงสถานภาพอันสูงส่งของอะฮ์ลุลบัยต์นบี
ปรากฏว่าเมื่อพวกวาฮะบีได้ยึดครองดินแดนฮิญาซแห่งนี้ พวกวาฮาบีได้รื้อทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์อิสลามไปมากมาย  จนทำให้ความรู้เหล่านี้สูญหายไป
หากเราค้นดูแผนผังเมืองมะดีนะฮ์ฉบับเก่าๆ จะพบว่าในแผนที่ฉบับเก่าได้บอกตำแหน่งว่า มัสญิดมุบาฮะละฮ์อยู่ตรงไหนในแผนที่
 
แต่แผนที่เมืองมะดีนะฮฺฉบับใหม่ ได้เปลี่ยนชื่อมัสญิดมุบาฮะละฮ์แห่งนี้ใหม่เป็นมัสญิดอิญาบะฮ์ หรือมัสญิดบนีมุอาวียะฮ์   มัสญิดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของบาเกี๊ยะอ์ ที่ถนนมาลิกฟัยซ็อล  
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ พวกวาฮาบีได้ประกาศห้ามผู้คนเข้าไปเยือนสถานที่แห่งนี้ ยกเว้นเวลานมาซเท่านั้น  ทางราชการซาอุฯได้อ้างว่า เหตุที่ต้องห้ามเพราะมีคนเข้ามาทำชีรีกในสถานที่แห่งนี้ต่างๆนานา
พฤติกรรมของพวกวาฮะบี ที่ปิดบังสถานที่ ที่อัลลอฮ์ตะอาลาทรงให้ท่านนบีมุฮัมมัดกับอะฮ์ลุลบัยต์ได้สำแดงสัจธรรมอิสลามให้ชาวคริสต์เป็นฝ่ายโมฆะ   มันคงไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากความตะอัศซุบและมีใจอคตินั่นเอง จึงไม่ต้องการเปิดเผยให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงความสูงส่งของอะฮ์ลุลบัยต์นบี ผู้บริสุทธิ์  


และอาจารย์ฟารีดก็คือ ขี้ข้ารับใช้คนหนึ่งของพวกวาฮาบีที่บอกว่าเรื่องมุบาฮะละฮฺไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่นบี(ศ)พาญาติออกไปสาบาน   จบ.