Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 07:36:07 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,701
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 102
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 71
Total: 71

ฟารีด เฟ็นดี้โง่เรื่องเงื่อนไขการเป็นมุสลิม 1

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 01, 2010, 11:18:10 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

ขอให้ท่านพิจารณาโองการที่อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

َيا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُواْ أَطِيعُواْ اللّهَ وَأَطِيعُواْ الرَّسُولَ وَأُوْلِي الأَمْرِ مِنكُمْ فَإِن تَنَازَعْتُمْ فِي شَيْءٍ فَرُدُّوهُ إِلَى اللّهِ وَالرَّسُولِ إِن كُنتُمْ تُؤْمِنُونَ بِاللّهِ وَالْيَوْمِ الآخِرِ ذَلِكَ خَيْرٌ وَأَحْسَنُ تَأْوِيلاً

โอ้ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงเชื่อฟังอัลลอฮ์และจงเชื่อฟังรอซูลและ(จงเชื่อฟัง)ผู้ปกครองในหมู่พวกเจ้าด้วย

ถ้าพวกเจ้าขัดแย้งกันในสิ่งใด จงนำสิ่งนั่นกลับไปยังอัลลอฮ์และรอซูล หากพวกเจ้าศรัทธาต่ออัลลอฮ์และวันปรโลก นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งและเป็นการกลับไป ที่สวยยิ่ง    

บทที่  4 : 59



ในเมื่อเราขัดแย้งกันในเรื่องผู้นำ  เราก็ไปตรวจสอบดูในตัฟสีรกุรอ่านและหะดีษว่าได้บันทึกไว้อย่างไร  จากนั้นเราก็ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหลักฐานให้แน่ชัดเช่น   หะดีษบทนั้นเป็นหะดีษที่อยู่ในสถานะซอฮิ๊ฮ์หรือไม่


คำถามสำหรับวาฮาบี

มีกุรอ่านสักอายัตหนึ่งไหมที่บ่งชี้ว่า ท่านอะบูบักรคือผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์

มีรายงานหะดีษจากท่านนะบี(ศ)สักบทหนึ่งไหมที่ระบุว่า ท่านนะบี(ศ)ได้ประกาศว่า อะบูบักรคือคอลีฟะฮ์สืบต่อหลังจากฉัน


หากวาฮาบีให้คำตอบด้วยกิตาบและซุนนะฮ์ไม่ได้    ทีนี้สมมุติว่าวาฮาบีหันมาย้อนถามชีอะฮ์บ้างว่า

มีกุรอ่านสักอายัตหนึ่งไหมที่บ่งชี้ว่า ท่านอาลีคือผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์

มีรายงานหะดีษจากท่านนะบี(ศ)สักบทหนึ่งไหมที่ระบุว่า ท่านนะบี(ศ)ได้ประกาศว่า อาลีคือคอลีฟะฮ์สืบต่อหลังจากฉัน

อันนี้ชีอะฮ์ตอบได้แน่นอน
  •  

L-umar

ชีอะฮ์มีหลักฐานระบุชัดเจนว่า  

ท่านอาลี บินอะบีตอลิบคือ คอลีฟะฮ์ สืบต่อจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)

หลักฐาน

โดยท่านอาลี บินอะลีตอลิบได้เล่าว่า  ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :


อิม่ามผู้นำภายหลังจากฉันมี 12 คน  คนแรกของพวกเขาคือเจ้า โอ้อาลี
และคนสุดท้ายของพวกเขาคืออัลกออิม(อัลมะฮ์ดี)
ผู้ที่อัลลอฮ์อัซซะวะญัลจะประทานชัยชนะให้อยู่ในมือทั้งสองของเขา ทั้งโลกตะวันออกและโลกตะวันตก


สถานะหะดีษซอฮิ๊ฮ์  
ดูหนังสือกะมาลุดดีน  วะตะมามุนนิอ์มะฮ์โดยเชคศอดูก(มรณะฮ.ศ.381)  หน้า  33 หะดีษที่ 35  




► ขอให้ท่านตรวจสอบความซอฮิ๊ฮ์ของหะดีษบทนี้ได้ที่นี่
http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1833

เมื่อบรรดารอวี หะดีษบทนี้ถูกวิจารณ์ว่า เชื่อถือได้ในการรายงาน นั่นก็แสดงว่า หะดีษถูกต้อง  
ดังนั้นการเชื่อว่า ท่านอาลีคือผู้นำคนแรกคือ ความเชื่อที่ถูกต้อง


ซึ่งตรงนี้เราทราบดีว่า  พวกอันธพาลจะบอกว่า  หะดีษชีอะฮ์บทนี้กุขึ้น ทั้งๆที่เราเปิดเผยการวิเคราะห์หะดีษอย่างละเอียดให้ได้อ่านแล้วก็ตาม  

สรุปคือพวกวาฮาบีไม่ยอมรับหลักฐานที่ถูกต้องของฝ่ายชีอะฮ์  


แต่พวกวาฮาบีจะบังคับให้ชีอะฮ์ยอมรับหลักฐานของวาฮาบี ซึ่งนี่คือนิสัยของพวกโลกแคบเขาทำกัน

พอฝ่ายชีอะฮ์ถามหาหลักฐานการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอะบูบักรจากพวกวาฮาบีว่าท่านนะบี(ศ)ได้บอกกล่าวไว้หรือไม่   พวกวาฮาบีกลับเล่นลิ้นประณามชีอะฮ์ว่า  พวกชีอะฮ์ด่าว่าซอฮาบะฮ์  ซึ่งแน่นอนคนจนตรอกหลักฐานย่อมทำได้แค่นี้คือ  เถียงแบบข้างๆคูคู  หรือหาเรื่องด่าทอใส่ร้ายชีอะฮ์ให้พี่น้องซุนนี่ตาดำๆหลงตามปากอันโสโครกของอาเล่มชั่ว

ทำต่อไปเถิด วาฮาบีเอ๋ยถ้าพวกท่านไร้ยางอายและความยำเกรงอัลลอฮ์
  •  

L-umar

ทุกครั้งที่เราพูดถึงเรื่องผู้นำที่สืบทอดหน้าที่ต่อจากท่านนะบี(ศ)

วาฮาบีจะเล่นลิ้นว่า   พวกชีอะฮ์พูดถึงเรื่องอิหม่าม  แต่เราพูดถึงเรื่อง คอลีฟะฮ์


ที่นี้ขอให้ท่านมาอ่านหะดีษที่มีสายรายงานซอฮิ๊ฮ์ซึ่งท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)ได้ประกาศต่อหน้าชาวมุฮาญิรีนและอันศ็อรว่า  ท่านอาลี บินอะบีตอลิบคือ คอลีฟะฮ์สืบต่อจากท่าน


رَوَي الشَّيْخُ الطُّوْسِيُّ : ◄ أَخْبَرَنَا مُحَمَّدُ بْنُ مُحَمَّدٍ، قَالَ أَخْبَرَنَا أَبُو بَكْرٍ مُحَمَّدُ بْنُ عُمَرَ الْجِعاَبِيُّ، قَالَ حَدَّثَنَا أَبُو الْحَسَنِ عَلِىُّ بْنُ سَعِيدٍ الْمُقْرِئُ ، قاَلَ حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّحْمَنِ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِى هَاشِمٍ ، قال حَدَّثَنِى يَحْيَى بْنُ الْحُسَيْنِ ، عَنْ سَعْدِ بْنِ طَرِيفٍ ، عَنِ الأَصْبَغِ بْنِ نُبَاتَةَ، عَنْ سَلْمَانَ الْفَارِسِيِّ (رضي الله عنه) قاَلَ سَمِعْتُ رَسُوَلَ اللهِ (صلى الله عليه و آله) يَقُوْلُ :

يَا مَعْشَرَ الْمُهَاجِرِينَ وَالْأَنْصَارِ ، أَلَا أَدُلُّكُمْ عَلَى ماَ إِنْ تَمَسَّكْتُمْ بِهِ لَنْ تَضِلُّوْا بَعْدِيْ أَبَداً

قاَلُوْا بَلَى، ياَ رَسُوْلَ اللهِ  

قاَلَ هَذاَ عَلِيٌّ أَخِيْ وَ وَزِيْرِيْ وَ وَارِثِيْ وَ خَلِيْفَتِيْ إِماَمُكُمْ،

فَأَحِبُّوهُ لِحُبِّيْ، وَ أَكْرِمُوْهُ لِكَراَمَتِيْ، فَإِنَّ جِبْرَئِيلَ أَمَرَنِيْ أَنْ أَقُوْلَ لَكُمْ ماَ قُلْتُ

كتاب : الأمالي للطوسي  ج 1  ص 251  ح 36


เชคมุฮัมมัด บินอัลฮาซัน อัตตูซี่(385 - 460 ฮ.ศ.) รายงานจาก →

มุฮัมมัด บินมุฮัมมัด(เชคมุฟีด)เล่าให้เราฟัง  เขากล่าวว่า อะบูบักร มุฮัมมัด บินอุมัร อัลญิอาบีเล่าให้เราฟัง  เขากล่าวว่า  อะบุลฮาซัน  อาลี บินสะอีด อัลมุกริอ์ เล่าให้เราฟัง  เขากล่าวว่า  อับดุลเราะห์มาน บินมุฮัมมัด บินอะบีฮาชิม เล่าให้เราฟัง  เขากล่าวว่า  ยะห์ยา บินอัลฮูเซนเล่าให้ฉันฟัง  จากสะอัด บินเตาะรีฟ  จากอัศบัฆ บินนุบาตะฮ์  จากท่านซัลมาน อัลฟาริซีเล่าว่า  :

ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า   :

โอ้ชาวมุฮาญิรีนและชาวอันศ็อรเอ๋ย ! เอาไหม ฉันจะบอกกับพวกท่านถึงสิ่งหนึ่ง หากพวกท่านจับยึดมันเอาไว้ พวกท่านก็จะไม่หลังทางหลังจากฉันไปตลอดกาลเลย    

พวกเขากล่าวว่า เอาครับ โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  

ท่าน(รอซูลฯ)กล่าวว่า :  นี่คืออาลี เขาเป็นน้องชายของฉัน   เป็นที่ปรึกษาของฉัน เป็นผู้สืบทายาทของฉัน

และเป็น << คอลีฟะฮ์(ผู้สืบตำแหน่ง)ของฉัน  เป็นอิหม่ามผู้นำของพวกท่าน  >>  

ดังนั้นพวกท่านมีมีความรักต่อเขาเพราะรักฉัน และพวกท่านจงยกย่องเขาเพราะยกย่องฉัน   เพราะแท้จริงท่านญิบรออีลได้กำชับต่อฉันให้ฉันพูดกับพวกท่านตามสิ่งที่ฉันได้พูดไปแล้ว


ดูหนังสืออัลอะมาลี  โดยเชคตูซี่   หน้า   251 หะดีษที่  36




ท่านลองตรองดูเถิดว่า หะดีษวรรคนี้
 
<< คอลีฟะฮ์(ผู้สืบตำแหน่ง)ของฉัน  เป็นอิหม่ามผู้นำของพวกท่าน  >>  

ได้สอนให้ชีอะฮ์เข้าใจว่า  คำ  << คอลีฟะฮ์ และอิหม่ามผู้นำ  >>  มันคนละคำก้จริง แต่มีความหมายเดียวกัน
ในเมื่อท่านรอซูล(ศ)ประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า  ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ต่อจากท่านคือ  ท่านอาลี บินอะลีตอลิบ  และเขาคืออิหม่ามผู้นำของชาวมุฮาญิรีนและอันศ็อร

ด้วยเหตุนี้หลังจากท่านรอซูล(ศ)วะฟาต ท่านอาลีและซอฮาบะฮ์ส่วนหนึ่งจึงไม่ยอมรับการเป็นคอลีฟะฮ์ของท่านอะบูบักร

และที่บรรดาชีอะฮ์ไม่ยอมรับว่าท่านอะบูบักรคือคอลีฟะฮ์ก็เพราะหะดีษทำนองนี้ที่ถูกบันทึกถ่ายทอดมาสู่พวกเราในยุคปัจจุบัน

แต่เราก็เชื่อว่า  หลังจากวาฮาบีอย่างนายและฟารีดและพวกพ้องของเขาได้อ่านหะดีษนี้  ยังไม่ทันที่พวกเขาจะทำการตรวจสอบสะนัดหะดีษนี้ว่า  มีความน่าเชื่อถือหรือไม่   พวกเขาก็จะรีบบอกว่า  นี่มันเป็นหะดีษเก๊  ซึ่งนั่นแหล่ะคือนิสัยของพวกโลกแคบอันเป็นมรดกตกทอดมาจากสายพันธ์ของพวกเขาในอดีตนั่นเอง  แต่อย่างไรก็ตามเราก็จำต้องอธิบายให้ผู้อ่านได้ใช้พิจารณญาณอย่างเป็นธรรมว่า  ชีอะฮ์ก็มีเหตุผลและมีหลักฐานถูกต้องแสดง  เพราะฉะนั้นการที่ฝ่ายตรงข้ามจะมาประณามพวกชีอะฮ์ย่อมถือว่า เป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม

เราสรุปสั้นๆก่อนว่า  การที่ชีอะฮ์ว่าอิม่ามอาลีคือคอลีฟะฮ์หนึ่งเพราะมีหะดีษซอฮิ๊ฮ์กำกับไว้อย่างชัดเจน  

หากชีอะฮ์ไม่มีหะดีษซอฮิ๊ฮ์เป็นข้ออ้างอิง นั่นแสดงว่าพวกชีอะฮ์โกหก  


۩  คำถามสำหรับวาฮาบี

ทำไมท่านจึงกล้าใส่ร้ายว่า พวกชีอะฮ์ยึดท่านอาลีเป็นคอลีฟะฮ์ที่หนึ่งอย่างไร้หลักฐาน

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

فَلِمَ تُحَاجُّونَ فِيمَا لَيْسَ لَكُمْ بِهِ عِلْمٌ وَاللَّهُ يَعْلَمُ وَأَنْتُمْ لَا تَعْلَمُونَ

แล้วเหตุไฉนเล่า  พวกเจ้าจึงโต้เถียงกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้   และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ แต่พวกเจ้าไม่รู้
บทที่  3 : 66

และ

وَتَقُولُونَ بِأَفْوَاهِكُمْ مَا لَيْسَ لَكُمْ بِهِ عِلْمٌ وَتَحْسَبُونَهُ هَيِّنًا وَهُوَ عِنْدَ اللَّهِ عَظِيمٌ

และพวกเจ้าพูดกันในสิ่งที่พวกเจ้าไม่มีความรู้ และพวกเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็ก แต่ ณ ที่อัลลอฮ์นั้นมันเป็นเรื่องใหญ่   บทที่  24 : 15

ฉะนั้นคนอย่างนายฟารีดเฟ็นดี้จึงต่ำทรามใช่ไหม  เพราะเขากล่าวว่าเรื่องนี้พวกชีอะฮ์ไม่มีหลักฐานแสดง
  •  

L-umar

ห้า -  มะอ๊าด    =  ชีอะฮ์กับความเชื่อเรื่องการฟื้นคืนชีพหลังความตาย



อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَالْمَوْتَى يَبْعَثُهُمُ اللَّهُ
และบรรดาผู้ที่ตายนั้น  อัลลอฮ์จะทรงให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ

บทที่  6 : 36




เชคกุลัยนีได้รายงานหะดีษไว้ในหนังสืออัลกาฟีดังนี้

อิม่ามญะอ์ฟัร อัศศอดิก(อ)เล่าว่า


قَالَ رَسُولُ اللَّهِ (ص) : مَنْ لَمْ يُحْسِنْ وَصِيَّتَهُ عِنْدَ الْمَوْتِ كَانَ نَقْصاً فِي مُرُوءَتِهِ وَ عَقْلِهِ قِيلَ يَا رَسُولَ اللَّهِ وَ كَيْفَ يُوصِي الْمَيِّتُ قَالَ إِذَا حَضَرَتْهُ وَفَاتُهُ وَ اجْتَمَعَ النَّاسُ إِلَيْهِ قَالَ اللَّهُمَّ فَاطِرَ السَّمَاوَاتِ وَ الْأَرْضِ عَالِمَ الْغَيْبِ وَ الشَّهَادَةِ الرَّحْمَنَ الرَّحِيمَ اللَّهُمَّ إِنِّي أَعْهَدُ إِلَيْكَ فِي دَارِ الدُّنْيَا أَنِّي أَشْهَدُ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا أَنْتَ وَحْدَكَ لَا شَرِيكَ لَكَ وَ أَنَّ مُحَمَّداً عَبْدُكَ وَ رَسُولُكَ وَ أَنَّ الْجَنَّةَ حَقٌّ وَ أَنَّ النَّارَ حَقٌّ وَ أَنَّ الْبَعْثَ حَقٌّ

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า
ผู้ใดมิได้จัดแจงเรื่องวะซียะฮ์(คำสั่งเสีย)ของเขาเอาไว้ให้ดีขณะจะสิ้นใจ มันเป้นความบกพร่องในบุคลิกภาพของเขาและในปัญญาของเขา  มีคนถามว่า โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  คนใกล้ตายจะต้องสั่งเสียอย่างไร   ท่านกล่าวว่า เมื่อความตายของเขามาถึงเขาแล้ว และผู้คนได้มารวมตัวกันที่เขา  (ให้)เขาได้กล่าวว่า  ข้าแต่อัลลอฮ์ พระผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน พระผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับและสิ่งเปิดเผย  ผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงปราณี  โอ้อัลลอฮ์ข้าพเจ้าขอทำสัญญาต่อพระองค์ในโลกดุนยานี้ว่า  

أَنِّي أَشْهَدُ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا أَنْتَ وَحْدَكَ لَا شَرِيكَ لَكَ وَ أَنَّ مُحَمَّداً عَبْدُكَ وَ رَسُولُكَ
وَ أَنَّ الْجَنَّةَ حَقٌّ وَ أَنَّ النَّارَ حَقٌّ وَ أَنَّ الْبَعْثَ حَقٌّ

ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่า  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นไม่มีภาคีใดๆต่อพระองค์ทั้งสิ้น และแท้จริงมุฮัมมัดคือบ่าวของพระองค์และเป็นศาสนทูตของพระองค์  แท้จริงสวรรค์มีจริง  นรกมีจริง  และการฟื้นคืนชีพนั้น มีจริง

ดูอัลกาฟี  เล่ม  7 : 3  หะดีษที่ 1

ท่านจะเห็นได้ว่า  อิม่ามศอดิก(อ)ได้สอนสั่งชีอะฮ์ของเขาด้วยวจนะของท่านรอซูล(ศ)ว่า  ให้ชีอะฮ์ปฎิบัติอย่างไรเมื่อความตายมาถึงและสอนให้ชีอะฮ์ยอมรับสัจธรรมว่า  เมื่อตายแล้วเขาก็จะต้องถูกให้ฟื้นขึ้นอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  


คำถามสำหรับวาฮาบี

หนึ่ง - หากท่านคิดว่า  ความเชื่อของชีอะฮ์ในเรื่องมะอ๊าดนี้ เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง
นั่นหมายความว่า  นายฟารีดเฟ็นดี้และพวกพ้องของเขาไม่เชื่อว่า  วันสิ้นโลกมีจริงหรือ  และไม่เชื่อว่า คนตายจะต้องฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งกระนั้นหรือ

สอง -  ถ้าท่านเชื่อเหมือนชีอะฮ์  แล้วท่านมานั่งวิพากษ์วิจารณ์ชีอะฮ์ทำไมในเรื่องอะกีดะฮ์ทั้งห้านี้
  •  

L-umar

۞  บทสรุป

ศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้กำหนดเงื่อนไขการเป็นมุสลิมไว้ชัดเจนดังนี้




1. ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า


أُمِرْتُ أَنْ أُقَاتِلَ النَّاسَ حَتَّى يَشْهَدُوا أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ ، وَيُقِيمُوا الصَّلاَةَ ، وَيُؤْتُوا الزَّكَاةَ ، فَإِذَا فَعَلُوا ذَلِكَ عَصَمُوْا مِنِّيْ دِمَاءَ هُمْ وَأَمْوَالَهُمْ إِلاَّ بِحَقِّ الإِسْلاَمِ، وَحِسَابُهُمْ عَلَى اللَّه

ฉันถูกบัญชาให้ต่อสู้กับมนุษย์  จนกว่าพวกเขาจะกล่าว(ปฏิญาณตน)ว่า  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์และมุฮัมมัดคือศาสนทูตของอัลลอฮ์  และพวกเขาทำนมาซ จ่ายทานซะกาต   เมื่อพวกเขาได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นแล้ว  ชีวิตของพวกเขา  ทรัพย์สินของพวกเขาย่อมได้รับการพิทักษ์จากฉัน ยกเว้นตามสิทธิแห่งอิสลาม และการพิพากษาพวกเขาเป็นสิทธิของอัลลอฮ์
อ้างอิงจากหนังสือ
อุยูนุอัคบาริลริฎอ โดยเชคศอดูกเล่ม 1 : 69 หะดีษ 280 และซอฮิ๊ฮ์บุคอรี หะดีษ 25

 
2. ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

مَنْ صَلَّى صَلاَتَنَا ، وَاسْتَقْبَلَ قِبْلَتَنَا ، وَأَكَلَ ذَبِيحَتَنَا ، فَذَلِكَ الْمُسْلِمُ

บุคคลใดได้ทำนมาซตามการนมาซของเรา  และเขาหันหน้าสู่กิบละฮ์ของเรา  ,เขาทานอาหารตามการเชือดของเรา  เขาผู้นั้นคือมุสลิม

อ้างอิงจากหนังสือ
บิฮารุลอันวาร โดยอัลลามะฮ์มัจญ์ลิซี เล่ม 26 : 42 หะดีษ 74 และซอฮิ๊ฮ์บุคอรี หะดีษ 391



สรุป  ความเป็นมุสลิมคือ

1.      กล่าวคำปฏิญาณตนว่า ลาอิลาฮะอิลลัลเลาะฮ์  มุฮัมมัดรอซูลุลลอฮ์

2.      นมาซวายิบประจำวันและจ่ายซะกาตตามที่อิสลามกำหนด

3.      หันหน้าสู่ทิศที่ตั้งของกะอ์บะฮ์เวลาปฏิบัตินมาซ

4.      ทานเนื้อสัตว์ที่เชือดตามหลักการอิสลาม



กลับมาที่หัวข้อกระทู้ที่เราได้ตั้งไว้คือ  ฟารีดเฟ็นดี้โง่ เรื่องเงื่อนไขการเป็นมุสลิม

ทำไม  ?  เราจึงกล่าวเช่นนั้น  เพราะหะดีษสองบทข้างต้นคือหลักฐานที่ใช้พิสูจน์ถึงความเป็นมุสลิมของคน   ดังนั้นสำหรับผู้ที่กล่าวปฏิญาณตนด้วยกะลิมะฮ์ ชะฮาดะตัยนิ   ไม่ว่ามุสลิมคนนั้นจะเชื่อว่าอาลีคือคอลีฟะฮ์คนแรก หรือเชื่อว่าอะบูบักรเป็นคอลีฟะฮ์คนแรกก็ตาม อุละมาอ์อิสลามจะไม่ไปติเตียนเขาหรือฮุก่มเขาว่าเป็นกาเฟ็ร  



ท่านอิบนุหัซมิน อัลอันดูลิซี (384 - 456 ฮ.ศ.)ได้กล่าวว่า


وذَهَبَتْ طاَئِفَةٌ إلى أنَّهُ لاَ يُكَفَّرُ وَلاَ يُفَسَّقُ مُسْلِمٌ بِقَوْلٍ قاَلَهُ فِي اعْتِقاَدٍ أَوْ فَتْيا وَإنَّ كُلَّ مَنِ اجْتَهَدَ فِيْ شَيْءٍ مِنْ ذَلِكَ فَداَنَ بِماَ رَأَى أَنَّهُ الْحَقَّ فَإِنَّهُ مَأْجُوْرٌ عَلَى حاَلٍ إنْ أَصاَبَ الْحَقَّ فَأَجْرَانِ وَإِنْ أَخْطَأَ فَأَجْرٌ وَاحِدٌ وَهَذاَ قَوْلُ ابْنِ أَبِيْ لَيْلَي وَأَبِي حَنِيْفَة وَالشاَّفِعِيّ وَسُفْياَنَ الثَّوْرِيّ وَداَوُدَ بْنِ عَلِيٍّ رَضِيَ اللهُ عَنْ جَمِيْعِهِمْ وَهُوَ قَوْلُ كُلِّ مَنْ عَرفنا لَهُ قَوْلاً فِي هَذِهِ الْمَسْأَلَةِ مِنَ الصَّحاَبَةِ رَضِيَ اللهُ عَنْهُمْ لاَ نَعْلَمُ مِنْهُمْ فِي ذَلِكَ خِلاَفاً

الكتاب : الفصل في الملل والأهواء والنحل  المؤلف : ابن حزم   ج 1 ص 385

Φ คำแปล

นักปราชญ์อิสลามกลุ่มหนึ่งมีทัศนะว่า  มุสลิมคนหนึ่งจะต้องไม่ถูกฮุก่มเป็นกาเฟ็รหรือฟาซิก เพราะด้วยคำพูดหนึ่งที่เขาได้กล่าวมันออกมาเกี่ยวกับความเชื่อ(อะกีดะฮ์หนึ่ง)หรือคำฟัตวา(หนึ่ง)

และแท้จริงทุกคนที่ได้ทำการอิจญ์ติฮ๊าด(พากเพียรด้านศาสนา)ในสิ่งหนึ่ง จากนั้นแล้วเขาก็ดำเนินตามสิ่งที่เขาเห็นว่ามันคือความถูกต้อง  เขาก็จะได้รับรางวัลตอบแทนไปตามสภาพ
หากเขาทำถูกก็ได้รับสองรางวัล  และหากเขาทำผิดก็ได้รับหนึ่งรางวัล  
และนี่คือทัศนะของ →
1.   ท่าน(อับดุลเราะห์มาน)อิบนิอะบีลัยลา(มุฟตีแห่งกูฟะฮ์)
2.   อิหม่ามอะบี ฮะนีฟะฮ์ (หัวหน้ามัซฮับฮานาฟี)
3.   อิหม่ามชาฟิอี
4.   ท่านซุฟยาน  อัษเษารี
5.   ท่านดาวูด บินอาลี  (หัวหน้ามัซฮับซอฮิรี)    ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาพวกเขาทั้งหมดด้วย
และมันคือทัศนะของทุกคนที่เราได้รู้จักคำพูด สำหรับเขา ในเรื่องนี้ที่มาจากซอฮาบะฮ์ (ร.ฎ.) เราไม่รู้ว่าจากในหมู่พวกเขาจะมีความขักแย้งกันในเรื่องนั้น


ดูกิตาบ อัลฟัศล์  ฟิลมิลัล  วัลอะฮ์วาอิ วันนิฮัล   โดยอิบนิหัซมิน  เล่ม  1 หน้า 385
  •  

L-umar

ด้วยหะดีษสองบทและทัศนะของนักปราชญ์ซุนนี่เหล่านี้ เราจึงวิเคราะห์ได้ว่า


หนึ่ง – ชี้ให้เห็นความโง่นายฟารีดเฟ็นดี้อย่างชัดเจน ที่เที่ยวทำตัวไปฮุก่มชีอะฮ์เป็นกาเฟ็ร

สอง – หรือนายฟารีดรู้เรื่องนี้ดี แต่ทำเป็นแกล้งโง่ เพราะห้ามนัฟซูตัวเองไม่อยู่ จึงต้องคล้อยตามมันไป

สาม -  เราคาดเดาว่า  อีกไม่ช้านายฟารีดจะพยายามสรรหาคำฟัตวาของอุละมาอ์ชนิดตะอัซซุบมาฮุก่มชีอะฮ์อยู่ดี  

เพราะการทำแบบนี้มันติดเป็นสันดานกันทั้งเผ่าพันธุ์วาฮาบี  ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปสนใจอะไรต่อ  พวกที่ชอบทำตัวเป็นพระเจ้าในคราบมนุษย์อันโสมม



<<<  จบ  >>>
  •  

L-umar

อ้างอิงจากนายฟารีดเฟ็นดี้

กระทู้ชื่อ   ►  ข้อแตกต่างด้านโครงสร้างศาสนาระหว่างซุนนะห์และชีอะฮ์


สำหรับกระทู้ปัญญาอ่อนของนายฟารีดเฟ็นดี้ ด้านล่างนี้

http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=110


ท่านสามารถอ่านคำตอบของเราได้ที่นี่

http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1871
  •  

71 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้