Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 04:19:45 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,699
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 102
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 28
Total: 28

สนทนาเรื่อง ประโยชน์ของการไม่ปรากฏตัวของอัลมะฮ์ดี

เริ่มโดย L-umar, กรกฎาคม 14, 2010, 03:48:25 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

สนทนาเรื่อง      ประโยชน์ในช่วงการไม่ปรากฏตัวของอิม่ามอัลมะฮ์ดี  คืออะไร  ?
  •  

L-umar

ประโยชน์ของอิม่ามฆออิบคืออะไร ?



หลายคนต่างตั้งคำถามนี้ขึ้นมาในใจหลายครั้งหลายครา

ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย

ตำแหน่งหน้าที่ของอิม่ามผู้นำ ก็เปรียบคล้ายๆกับตำแหน่งหน้าที่ของนะบี(ศาสดา)  เราถือว่ามันคือความโปรดปรานประการหนึ่งจากอัลลอฮ์ตะอาลาที่มีต่อปวงบ่าวทั้งหลาย

นะบีและอิม่ามถูกส่งมาเพื่อเรียกร้องเชิญชวนปวงชนสู่หนทางที่ถูกต้อง  และพวกเขามาเพื่อเป็นฮุจญัตหลักฐานสำหรับปวงชนต่อหน้าอัลลอฮ์  

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

قُلْ فَلِلَّهِ الْحُجَّةُ الْبَالِغَةُ فَلَوْ شَاءَ لَهَدَاكُمْ أَجْمَعِينَ

จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮ์นั้นทรงมีหลักฐานอันทั่วถึง หากว่าพระองค์ทรงประสงค์แล้ว แน่นอนพระองค์ก็ย่อมแนะนำพวกท่านแล้วทั้งหมด
 

บทที่  6 : 149

นี่เป็นเรื่องระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

ส่วนเรื่องระหว่างนะบี / อิม่าม กับมนุษย์คือทำหน้าที่เผยแพร่หลักธรรมอันเป็นสารของพระเจ้า  สอนวิชาความรู้
เชิดชูพระดำรัสของอัลลอฮ์และเชิญชวนมนุษย์ไปยังการมีเตาฮีดและการอิบาดัตต่อพระองค์เท่านั้น

ซึ่งหลังจากปวงมนุษย์ให้การยอมรับต่อความเป็นนะบีและอิม่ามแล้ว  สิ่งที่ต้องทำคือ

เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำพูดและคำชี้แนะของพวกเขา
ต้องรับเอาความรู้จากพวกเขา และต้องดำเนินชีวิตไปตามคครลองที่พวกเขาวางไว้ให้

เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ต่อต้านนะบีหรืออิม่าม  โดยไม่ยอมทำตามคำสั่งใช้ คำสั่งห้าของพวกเขา   มันจึงเป็นเหตุทำให้พวกเขาจำต้องปลีกตัวเองออกไปจากสังคมสักพักหนึ่ง หรือระยะหนึ่ง ด้วยเหตุที่มนุษย์ฝ่าฝืนต่อคำชี้นำของพวกเขา

ซึ่งนะบีและอิม่ามก็คงมีหน้าที่เพียงเผยแพร่เท่านั้น  ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَمَا عَلَى الرَّسُولِ إِلَّا الْبَلَاغُ الْمُبِينُ

และหน้าที่ของร่อซูล(ศาสนทูต)ไม่มีอื่นใด นอกจากการเผยแพร่อันชัดแจ้ง


บทที่  24 : 54

การต่อต้านต่อขัดขวางแนวทางของนะบีและอิม่าม  คำตำหนิก้จะตกหนักแก่มนุษษ์คนนั้น และภาระหน้าที่ความรับผิดชอบก็ตกอยู่บนบ่าของพวกเขาเอง

ดังนั้นการมีอยู่ของอิม่ามมะฮ์ดีในยุคนี้  จึงทำให้บางคนมองว่าไร้ประโยชน์ในการมีอะฮ์ลุลบัยต์อยู่แต่ไม่ปรากฏตัวตน

ความจริงหากจะพิจารณากันให้ดีๆ   การไม่ปรากฏตัวของอิม่ามมะฮ์ดีในยุคนี้มีทั้งผลดีแก่มนุษย์และประโยชน์สำหรับพี่น้องมุสลิมมากมาย   แต่ปัญญาของเราต่างหากที่เข้าไม่ถึงเหตุผลอันลึกซึ้งของมัน

เชคศอดูกได้เล่าหะดีษบทหนึ่งว่า

رواه الشيخ الصدوق :
حدثنا محمد بن همام ( ولد 258 ـ المتوفي 336هـ) ، عن جعفر بن  محمد بن مالك الفرازي قال: حدثني الحسن بن محمد بن سماعة، عن أحمدبن الحارث قال: حدثني المفضل بن عمر، عن يونس بن ظبيان، عن جابر بن يزيد الجعفي قال: سَمِعْتُ جابر بن عبدالله الانصاري يقول :....

قال جابر: فقلت له: يارسول الله فهل يقع لشيعته الانتفاع به في غيبته كانتفاع الناس بالشمس وإن تجللها سحاب، ياجابر هذا من مكنون سر الله

ท่านญาบิร (บินอับดุลลอฮ์ อัลอันศอรี)กล่าวว่า  โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  สำหรับชีอะฮ์ของเขา(อิม่ามมะฮ์ดี) จะได้รับประโยชน์ต่อเขาไหม   ในช่วงที่เขาไม่ปรากฏตัวก็เปรียบเสมือนกับมนุษย์ที่ได้รับคุณของดวงอาทิตย์ถึงแม้ว่าจะมีเมฆมาบดบังแสงของมันไว้ก็ตาม   โอ้ญาบิรสิ่งนี้เป็นความเร้นลับประการหนึ่งของอัลลอฮ์

อ้างอิงจากหนังสือกะมาลุดดีน   โดยเชคศอดูก  เล่ม  1 : 316  หะดีษที่  3  
  •  

L-umar

แต่ธรรมชาติของมนุษย์คืออยากรู้อยากเห็น

เพราะฉะนั้น อย่างน้อยเราก็ควรรับรู้ว่า  ประโยชน์ของการไม่ปรากฏตัวของอิม่ามมะฮ์ดีในยุคนี้นั้นคืออะไรบ้าง  


 


หนึ่ง -  

การหายตัวของบรรดานะบีไปจากชุมชนของพวกเขา  มักจะมีคุณต่ออุมมัตนั้นๆต่อมาเมื่อนะบีได้กลับมายังพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง

สอง -  

ปวงมุสลิมล้วนทราบดีว่า   นะบีคิเฎ็รยังมีชีวิตอยู่ยืนยาวมาหลายศตวรรษแล้ว  และเราก็รู้ไม่รู้ถึงประโยชน์ในเรื่องนี้ด้วย  เพราะเนื่องจากมีเรื่องราวทางศาสนามากมายเป็นเรื่องที่เรียกว่า ตะอับบุดีย์อาทิ   พิธีกรรมต่างๆในการประกอบพิธีฮัจญ์เช่น

การครองผ้าอิห์รอม ,  การเดินเวียนรอบวิหารกะอ์บะฮ์, การจูบหินดำ, การเดินซะแอระหว่างภูเขาซ่อฟาและมัรวะฮ์ , การโกนผมหรือตัดผมบางส่วน, การขว้างเสาหิน การเชือดสัตว์และอื่นๆ

การกระทำสิ่งเหล่านี้เราเชื่อว่าล้วนมีฮิกมัตทั้งสิ้นแต่มันเป็นเรื่องฆ็อยบียะฮ์  คือเร้นลับที่เราเข้าไม่ถึงมันเอง

สาม  -  

เป็นการทดสอบอีหม่านของมุสลิม  ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

الم  أَحَسِبَ النَّاسُ أَنْ يُتْرَكُوا أَنْ يَقُولُوا آَمَنَّا وَهُمْ لَا يُفْتَنُونَ  
وَلَقَدْ فَتَنَّا الَّذِينَ مِنْ قَبْلِهِمْ فَلَيَعْلَمَنَّ اللَّهُ الَّذِينَ صَدَقُوا وَلَيَعْلَمَنَّ الْكَاذِبِينَ

อลิฟ ลามมีม   มนุษย์คิดหรือว่า พวกเขาจะถูกทอดทิ้งเพียงแต่พวกเขากล่าวว่า  เราศรัทธา และพวกเขาจะไม่ถูกทดสอบ กระนั้นหรือ     และโดยแน่นอน เราได้ทดสอบบรรดาก่อนหน้าพวกเขาแล้ว ดังนั้นอัลลอฮ์จะทรงจำแนกให้รู้แจ้งถึงบรรดาผู้สัตว์จริงและจะทรงจำแนกให้รู้แจ้งถึงบรรดาผู้กล่าวเท็จ

บทที่  29  : 1- 3

และพระองค์ทรงตรัสว่า

مَا كَانَ اللَّهُ لِيَذَرَ الْمُؤْمِنِينَ عَلَى مَا أَنْتُمْ عَلَيْهِ حَتَّى يَمِيزَ الْخَبِيثَ مِنَ الطَّيِّبِ وَمَا كَانَ اللَّهُ لِيُطْلِعَكُمْ عَلَى الْغَيْبِ وَلَكِنَّ اللَّهَ يَجْتَبِي مِنْ رُسُلِهِ مَنْ يَشَاءُ فَآَمِنُوا بِاللَّهِ وَرُسُلِهِ وَإِنْ تُؤْمِنُوا وَتَتَّقُوا فَلَكُمْ أَجْرٌ عَظِيمٌ

ใช่ว่าอัลลอฮ์จะทรงทอดทิ้งบรรดาผู้ศรัทธาไว้ในสภาพที่พวกเจ้ากำลังเป็นอยู่ก็หาไม่  จนกว่าพระองค์จะทรงจำแนกผู้ที่เลวออกจากผู้ที่ดีเท่านั้น และใช่ว่าอัลลอฮ์จะทรงให้พวกเจ้ามองเห็นสิ่งเร้นลับก็หาไม่ แต่ทว่าอัลลอฮ์นั้นจะทรงคัดเลือกจากบรรดาร่อซูลของพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์  ดังนั้นพวกเจ้าจงศรัทธาต่ออัลออฮ์ และบรรดาร่อซูลของพระองค์เถิด และหากพวกเจ้าศรัทธาและยำเกรงแล้ว สำหรับพวกเจ้าก็คือ รางวัลอันยิ่งใหญ่

บทที่  3  : 179

มีหะดีษได้เข้ามาตัฟสีรโองการข้างต้นว่า

عن النبي صلى الله عليه وآله انه لما نزلت هذه الآية قال لا بد من فتنة تبتلى بها الامة بعد نبيها ليتعين الصادق من الكاذب لأن الوحي قد انقطع وبقي السيف وافتراق الكلمة الى يوم القيامة

เมื่อโองการนี้ได้ถูกประทานลงมา  ท่านนะบี(ศ)ได้กล่าวว่า  มันจำเป็นต้องมีการทดสอบ  ประชาชาตินี้จะต้องถูกทดสอบด้วยกับมัน  เพื่อจะได้แยกแยะคนสัตย์จริงออกจากคนมดเท็จ  เพราะว่าแท้จริงวะฮี(วิวรณ์จากพระเจ้า)นั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว  และคงเหลืออยู่เพียงดาบ(การต่อสู้) และการแตกแยกของถ้อยคำ ตราบจนถึงวันสิ้นโลก

มนุษย์ทุกคนโดยเฉพาะมุสลิมผุ้ศรัทธาจะต้องโดนทดสอบด้วยทรัพย์สินเงินทอง  มุสลิมบางส่วนจะทวงบุญคุณในการนับถือศาสนาของวพวกเขากับอัลลอฮ์  ทั้งๆที่อัลลอฮ์ประทานความเมตตาแก่พวกเขาอย่างมากมาย    มุสลิมบางคนจะทำเรื่องฮะร่ามให้เป็นเรื่องฮะล้าลด้วยชุบฮะฮ์ข้อคลุมเครือมดเท็จต่างๆ   การยึดติดกับอารมณ์นัฟซู    ดื่มสุรา  ดื่มเบียร์  เล่นการพนัน  กินดอกเบี้ยในการค้าขาย

แต่หลักการอิสลามถือว่า  การกระทำเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้มุสลิมผู้ก่อกรรมนั้นต้องตกศาสนา  แต่มันเป็นเพียงเรื่องของการถูกทดสอบ


มนุษย์จะต้องถูกทดสอบด้วยการต่อสู้หลากหลายรูปแบบที่พวกเขาไม่พึงปรารถนา ตามที่อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสไว้ว่า ((มนุษย์คิดหรือว่า พวกเขาจะถูกทอดทิ้งเพียงแต่พวกเขากล่าวว่า  เราศรัทธา และพวกเขาจะไม่ถูกทดสอบ กระนั้นหรือ    ))

มุสลิมรุ่นแรกโดนทดสอบด้วยการอพยพทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนอันเป็นที่รักของพวกเขา  ถูกทดสอบด้วยการสู้รบ บางครั้งก็ชนะบางครั้งก็แพ้และสูญเสียคนรักไป

อัลลอฮ์ตะอาลาเป็นผู้ทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง   หากพระองค์ประสงค์จะให้มุสลิมมีชัยชนะเลยก็ทรงทำได้อย่างแน่นอนเสียยิ่งกว่าแน่นอน  แต่พระองค์ไม่กระทำเช่นนั้นเพราะอะไร  ก็เพราะพระองค์ต้องการทดสอบความศรัทธาของมุสลิม

ชีอะฮ์ผู้ดำเนินตามอิม่ามอะฮ์ลุลบัยต์นะบี(อ)ทุกยุค  ล้วนถูกทดสอบ  พวกเขาถูกขับไล่  ถูกเนรเทศ ถูกตามล่า  ถูกขัง  ถูกทรมานและถูกสังหาร  ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  เพราะขนาดลูกหลานนะบีก็ถูกจับขัง ถูกสังหารมาแล้ว นับประสาอะไรกับผู้ตามอย่างเราๆ

ดังนั้นถือว่า  อัลลอฮ์ตะอาลาทรงทำการทดสอบมุสลิม ด้วยการไม่ปรากฏตัวของอิม่ามแห่งยุคอาคิริสซะมาน(ยุคสุดท้าย)    มุสลิมต้องอยู่อย่างการขาดผุ้นำอย่างแท้จริง   เพื่ออะไรหรือ ?
เพื่อจะได้แยกแยะว่า  เรามีความมั่นคงขนาดไหนในการยึดต่ออิสลามในสายธารอะฮ์ลุลบัยต์นะบี

สี่ –

บททดสอบแห่งความทุกข์ยากทุกรูปแบบที่ถั่งโถมเข้ามาในชีวิตเราอย่างมากมาย  มันมิใช่หมายความว่า    ชีวิตของเราทำไมมีแต่ความซวย  ซวยซ้ำแล้วซ้อนเล่าอยู่เช่นนั้น

มันมิใช่อื่นใดเลย  นอกจาก มันคือการเติมจิตวิญญาญของเราให้สมบูรณ์  ยึดมั่นต่ออัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้น

มุซีบัตของเราในช่วงที่อิม่ามมะฮ์ดีไม่ปรากฏกายอาจกล่าวได้ว่า  มันคือการทดสอบประการหนึ่งถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่มุซีบัตที่หนักที่สุดก็ตาม

แต่อย่างน้อยเราก็มีความเชื่อและความหวังว่า  วันหนึ่งอิม่ามอัลมะฮ์ดีจะปรากฏตัวออกมาเพื่อทำให้ชาวโลกพบความสุขที่แท้จริง


ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

يُرِيدُونَ لِيُطْفِئُوا نُورَ اللهِ بأَفْواهِهِمْ وَاللهُ مُتِمُّ نُورِهِ وَلَوْ كَرِهَ الكَافِرُونَ

พวกเขาต้องการดับรัศมี(ศาสนา)ของอัลลอฮ์ด้วยปากของพวกเขา และอัลลอฮ์จะทรงทำให้รัศมีของพระองค์สมบูรณ์ และแม้นว่าบรรดาผู้ปฏิเสธจะรังเกียจก็ตาม  

 
ซูเราะฮ์อัศ-ศ็อฟ  : 8  

นูรุลเลาะฮ์นั้นหมายถึงอิสลาม อัลลอฮ์ตรัสว่า พระองค์จะเป็นผู้ทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ นี่เป็นการแจ้งข่าวจากอัลลอฮ์ว่า อิสลามจะต้องเจิดจรัสแสงไปทั่วโลกในอนาคต เพราะปัจจุบันประชากรโลก มีห้าพันห้าร้อยกว่าล้านคน ซึ่งยังมิได้เข้ารับอิสลามทั้งหมด ดังนั้นอายะฮ์นี้จึงยังไม่เป็นจริง เพราะประชากรมุสลิมมีประมาณ 1,500 ล้านคน  แต่อัลลอฮ์นั้นทรงตรัสจริงเสมอ จึงจำเป็นจะต้องมีบุรุษผู้หนึ่งมาทำให้อายัตนี้สมบูรณ์ ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่นอนสักวันหนึ่งในอนาคต ความหมายของอายะฮ์นี้ชัดเจนดี ไม่จำเป็นต้องอาศัยฮะดีษใดมาอธิบายขยายความอีก


และอัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَلَقَدْ كَتَبْنَا فِي الزَّبُورِ مِنْ بَعْدِ الذّكْرِ أنَّ الارْضَ يَرِثُهَا عِبَادِي الصَّالِحُون

และโดยแน่นอนเราได้บันทึกไว้ในคัมภีร์ต่างๆ(ในอดีต) หลังจากที่เราได้บันทึกไว้ในเลาฮุลมะห์ฟูซว่า แท้จริงโลกนี้จะมีปวงบ่าวของเราที่ดีมีคุณธรรมจะเป็นผู้สืบมรดกมัน


ซูเราะฮ์อัลอันบิยาอ์ : 105


แผ่นดินในอายัตคือ โลก
จนบัดนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีบ่าวของอัลเลาะฮ์คนใดออกมาสถาปนารัฐแห่งความยุติธรรมเลย ดังนั้นในอนาคตจะต้องมีบุรุษหนึ่งมาทำให้อายัตนี้เป็นจริง   สองอายัตนี้ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับพิสูจน์เรื่องการปรากฏตัวของอิม่ามมะฮ์ดี อะลัยฮิสสสลาม.
     
  •  

L-umar

อิม่ามอาลี อะลัยฮิสสลามกล่าวว่า

اَللَّهُمَّ بَلَى لاَ تَخْلُو اَلْأَرْضُ مِنْ قَائِمٍ لِلَّهِ بِحُجَّةٍ إِمَّا ظَاهِراً مَشْهُوراً وَ إِمَّا خَائِفاً مَغْمُوراً لِئَلاَّ تَبْطُلَ حُجَجُ اَللَّهِ وَ بَيِّنَاتُهُ

โอ้อัลลอฮ์ หามิได้   โลกนี้ย่อมไม่ไร้ซึ่งผู้หน้าที่เพื่ออัลลอฮ์ด้วยหลักฐาน   (อัลมะฮ์ดีผู้นี้เขา)อาจปรากฏตัวอย่างเปิดเผยหรือไม่ก็หลบซ่อนตัว  เพื่อผู้เป็นหลักฐานของอัลลอฮ์และข้อชี้แจงของพระองค์จะได้ไม่สูญเปล่า

นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์   ฮิกมะฮ์ที่  147
  •  

L-umar

ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ (ศ) กล่าวว่า

مَنْ مَاتَ بِغَيْرِ إِمَامٍ مَاتَ مِيتَةً جَاهِلِيَّةً

ผู้ใดตายโดยปราศจากอิหม่าม(ผู้นำในยุคของเขา) ผู้นั้นตายอย่างญาฮิลียะฮ์


มุสนัดอิหม่ามอะหมัด  หะดีษที่  16271

และท่านนะบี(ศ)กล่าวว่า

مَنْ ماَتَ وَلَمْ يَعْرِفْ إِماَمَ زَماَنِهِ ماَتَ مِيْتَةً جاَهِلِيَّةً

ผู้ใดตายและเขาไม่เคยรู้จักอิหม่าม(ผู้นำ)แห่งยุคของเขา  ผู้นั้นตายอย่างญาฮิลียะฮ์


บิฮารุลอันวาร  เล่ม  32  : 331



ประวัติศาสตร์อิสลามบันทึกว่า  :

ในวันที่ท่านอิบนุอุมัรไม่ยอมมอบบัยอะฮ์ให้กับคอลีฟะฮ์อาลี
คืนนั้นเขาเดินไปเคาะประตูบ้านฮัจญ๊าจญ์เพื่อจะมอบบัยอัตให้กับอับดุลมะลิก  เพื่อว่าคืนนั้นเขาจะได้นอนหลับอย่างไม่ต้องปราศจากอิหม่าม   ที่ท่านอิบนุอุมัรกระทำเช่นนั้นก็เพราะเขาดำเนินตามหะดีษดังกล่าวใช่ไหม

และตอนที่กองทัพยาซีดปิดล้อมนครมะดีนะฮ์สามวัน ท่านอิบนุอุมัรก็ได้ไปหาท่านอับดุลลอฮ์บินมุตี๊อ์อีกครั้งและเขาได้รายงานว่า  เขาได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า   ผู้ใดถอดถอนมือหนึ่งออกมาจากการเชื่อฟัง  เขาจะต้องกลับไปพบกับอัลลอฮ์ในวันกิยามะฮ์ในสถาพไร้ฮุจญะฮ์(หลักฐาน)สำหรับตัวเขาและ

وَمَنْ مَاتَ وَلَيْسَ فِى عُنُقِهِ بَيْعَةٌ مَاتَ مِيتَةً جَاهِلِيَّةً
   
ผู้ใดตายโดยในคอของเขาไม่ได้ให้สัตยาบัน(ไว้กับผู้นำของเขา) ผู้นั้นตายในสภาพญาฮิลียะฮ์


ดุซอฮี๊ฮฺมุสลิม หะดีษที่ 4899  

คำถามที่สำคัญคือ

ท่านจะยอมเชื่อฟังบรรดาผู้นำหรือผู้ปกครองที่ไร้คุณสมบัติอิสลามที่แท้จริงกระนั้นหรือ ทั้งๆที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

وَلَا تَرْكَنُوا إِلَى الَّذِينَ ظَلَمُوا

และพวกเจ้าอย่าเห็นชอบไป(ยึดมั่นถือมั่น)กับบรรดาผู้อธรรม    ซูเราะฮ์ ฮูด  : 113

และ

وَلَا تُطِيعُوا أَمْرَ الْمُسْرِفِينَ  الَّذِينَ يُفْسِدُونَ فِي الْأَرْضِ وَلَا يُصْلِحُونَ

และอย่าเชื่อฟังคำสั่งใช้ของพวกฝ่าฝืน  อย่าเชื่อฟังคำสั่งใช้ของพวกหัวหน้าผู้ฝ่าฝืน

ซูเราะฮ์อัชชุอะรอ  : 151 - 152
  •  


28 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้