Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 23, 2024, 05:15:17 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,703
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 72
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 18
Total: 18

รู้ทันชีอะฮ์แค่นี้เองหรือ ?

เริ่มโดย L-umar, กันยายน 23, 2009, 03:15:22 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


รู้ทันชีอะฮ์แค่นี้เองหรือ ?

 

ลุเข้ามาถึงปลายปีพ.ศ 2552เข้าให้แล้ว ทีมงานในฟากของเจ้าของหนังสือ  "รู้ทันชีอะฮ์" ที่โด่งดังก็ยังงมโข่งอยู่กับประเด็นข้างเคียง บางเรื่องก็สัพเพเหระจนเกินไป แล้วป่าวประกาศ ตะโกนก้องไปทั่วเมืองให้ฟังน่าตกใจว่า สามารถจับผิดชีอะฮ์ได้อีกแล้ว

น่าเสียดายภูมิปัญญาของพวกเขาเหล่านี้ ที่ทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะตลอดมา

พวกเขายังคงวนว่ายอยู่กับการฟื้นฝอยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง มาตัดพ้อต่อว่า ถากถาง โจมตี และเหยียบย่ำทำลายชีอะฮ์

ทำจนดูราวประหนึ่งหมายว่า แต่ละเรื่องที่หยิบยกมาอ้างนั้น เป็นหมัดเด็ดทางวิชาการ ชนิดโป้งเดียวจอด

หรือเชือดเฉือนชีอะฮ์แบบนิ่มๆให้ด่าวดิ้นไป อย่าได้มีอันได้ผุดได้เกิดกันเลย


เท่าที่ผมได้ทำการสำรวจตรวจสอบเนื้อหาข้อมูลทางด้านวิชาการของคนพวกนี้ และพยายามให้ความเป็นธรรมกับการเสาะหาข้อมูลของพวกเขาตลอดมา

ก็พบว่า แก่นแท้ของเนื้อหาวิชาการที่เป็นหลักแหล่งจริงๆของพวกเขานั้น ไม่มีที่มาจากตำราที่ได้มาตรฐานในแวดวงของพวกเขาเองแต่อย่างใดเลย


จริงอยู่ ถึงแม้ว่าในแวดวงวิชาการของอะฮ์ลิซซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์เองนั้น จะมีตำราที่ทรงคุณค่าอยู่มากมายหลายเล่มด้วยกัน

แต่คนเหล่านี้ก็มิได้ยึดถือเอาเนื้อหาวิชาการจากตำราเหล่านั้นมาเป็นมาตรฐานของตนเองในยามแสดงหลักฐาน หากแต่กลับไปคุ้ยเขี่ย ค่อนแคะเอาสิ่งอันพันละน้อย มาฉายซ้ำจนน่าเบื่อ

 โดยเฉพาะการหยิบยกประเด็นข้างเคียง มาเป็นประเด็นหลักในการโต้แย้งกับชีอะฮ์

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผลที่ได้รับก็คือ ความฮือฮาเพียงชั่วครู่ แต่ไม่สามารถปิดเกม หรือโค่นล้มชีอะฮ์ดังคาดหวังได้

ในทางตรงข้าม พวกเขาลืมไปว่า คนมีปัญญาจำนวนมากจะยิ่งจับกระแส จับชีพจรของพวกเขาได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และได้แห่กันเข้ามาศึกษาค้นหาความจริง และยอมรับแนวทางชีอะฮ์เพิ่มมากยิ่งขึ้นอย่างมากมาย

ทำไมพวกเขาไม่วิเคราะห์ดูผลลัพท์ย้อนหลังดูบ้างว่า แทบทุกครั้งที่พวกเขานำเสนอข้อมูลเท็จที่แสดงให้เห็นว่าชีอะฮ์น่าเกลียดน่ากลัว น่าขยะแขยงในความหลงผิดและงมงายอย่างมากมาย แต่ทำไมปัญญาชน ผู้บริสุทธิ์ใจ กลับเข้ามาเลื่อมไสศรัทธาในแนวทางชีอะฮ์อิมามียะฮ์ เพิ่มมากขึ้น

คิดดูแล้ว ช่างน่าสมเพชเวทนากับแนวทางอะฮ์ลิซซุนนะฮ์ ฯเป็นยิ่งนัก ที่ได้คนเหล่านี้อาสาก้าวออกมายืนเป็นหัวหอกในการประมือกับแนวทางอันยิ่งใหญ่อย่าง ชีอะฮ์อิมามียะฮ์


เพราะไม่ว่าจะด้วยวิธีนำภาพของผู้รู้ชีอะฮ์ไปตัดต่อทางเทคนิค เพื่อให้ภาพออกมาดูน่าเกลียดน่ากลัว น่าขยะแขยง น่าชิงชังรังเกียจชีอะฮ์ เพียงใด

เพราะไม่ว่าจะนำเสนอภาพฝูงชนกลุ่มหนึ่งเชือดเฉือนศีรษะตัวเองจนเลือดอาบ ชุ่มโชกไปทั้งตัว เพื่อให้ผู้คนเกลียดกลัวพวกชีอะฮ์ ที่กรีดหัวลุยไฟ นานมาแล้วเท่าไหร่

เพราะไม่ว่าเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศของคนกลุ่มนี้ จะได้ทุ่มทุนและลงทุนถ่ายทำผู้คนคลุกสิ่งปฏิกูลจำนวนหนึ่ง เพื่อนำเสนอออกมาเป็นภาพคนคลุกขี้ฯลฯ เพื่อต้องการให้คนรังเกียจ สะอิดสะเอียน เกลียดชังชีอะฮ์ อิมามียะฮ์

แต่แล้วความพยายามเหล่านี้ก็มิได้ส่งผลในทางบวกแม้แต่ประการใดให้กับพวกเขาเลย

เพราะพวกเขาไม่เชื่อถือในกฎแห่งสัจธรรม พวกเขาไม่เชื่อว่าความเท็จย่อมต้องมลายสาปสูญ และธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่อย่างน้อย ถ้าหัวใจของพวกเขาไม่มืดบอด และไม่กระด้างจนเกินไป ก็คงจะเห็นแล้วว่า ทองแท้ย่อมทนต่อการพิสูจน์

ผลสรุปที่ปรากฏออกมา บ่งบอกว่า กระบวนการด้านทีมงานฟากเจ้าของหนังสือรู้ทันชีอะฮ์ประสบความล้มเหลวทุกกระบวนท่า ในการต่อกรกับชีอะฮ์ ตั้งแต่ท่าแรก จนกระทั่งท่าสุดท้าย

แผนภูมิแสดงสายสัมพันธ์ระหว่างอะบูบักร์กับอิมามญะอ์ฟัร(อ) ก็เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคนในค่ายเดียวกับหนังสือ รู้ทันชีอะฮ์ แต่ก็นั่นแหละ นี่คือ สิ่งสะท้อนความตื้นเขินในการเข้าถึงข้อมูล และวิชาการของชีอะฮ์อิมามียะฮ์


 เป็นอีกหนึ่งประการที่ทำให้ชีอะฮ์มองทะลุปรุโปร่งว่า พวกเขายังอ่อนเยาว์ในคุณวุฒิทางวิชาการ อ่อนด้อยเกินไปในการแสวงหาวิชาความรู้ที่เป็นแก่นสาร เพราะชีอะฮ์ได้เผยแพร่วิชาการในประเทศนี้นานเกินพอ จนกระทั่ง ทำให้พวกเขาไม่สามารถมาทำอะไรแบบกระต่ายตื่นตูมกับชีอะฮ์ในบ้านเมืองนี้ได้

หลักฐานความสัมพันธ์ทางสายตระกูล ที่ทางค่ายผู้รู้ทันชีอะฮ์อุตส่าห์ค้นหามา แม้จะมีส่วนจริง แต่ก็มิใช่หลักฐานบ่งชี้ว่า บรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ)ต้องยึดถือศาสนาตามแนวทางของอะบูบักร์ ในฐานะเป็นบรรพบุรุษ

เพราะผู้เป็นศาสดาของศาสนานี้ คือท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) หาใช่อะบูบักร์ไม่ การถือศาสนาอิสลาม ต้องนับถือตามที่ท่านศาสดา(ศ)สอน มิได้ให้นับถือเพราะด้วยเหตุว่า เป็นแนวทางที่อะบูบักร์นับถือ

ถึงแม้อะบูบักร์จะมีฐานะเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของบรรดาอิมาม(อ)ก็ตาม แต่ในอัลกุรอานมีหลายโองการที่ห้ามมิให้ยึดถือแนวทางศาสนาตามประเพณีที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ  มิให้ถือเอาบรรพบุรุษหรือสายสัมพันธ์ทางสายตระกูลเป็นใหญ่นอกเหนือจากที่เป็นหลักการของอัลลอฮ์ และคำสั่งของศาสดา

ไม่เช่นนั้น แล้วทำไมท่านบุคอรี ท่านมุสลิม และนักฮะดีษเจ้าของตำราฮะดีษที่นำศาสนามาให้พี่น้องฝ่ายซุนนะฮ์ จึงไม่นับถือศาสนาบูชาไฟเหมือนดั่งบรรพบุรุษด้วยเล่า ?

มนุษย์ทุกคนในโลก รวมถึงตัวเราที่สืบทอดมาจากอาดัม(อ)ถ้าจะยึดเอาบรรพบุรุษเป็นใหญ่ เราก็มีทั้งบรรพบุรุษที่เป็นคนดี มีคุณธรรม และที่เป็นคนไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น

ผมรู้สึกสะท้อนใจมากหลาย เพราะจนกระทั่งบัดนี้ ฝ่ายผู้ประกาศตนว่ารู้ทันชีอะฮ์ ก็ยังสับสนอยู่เหมือนเดิม ความรู้ของพวกเขายังเหมือนพายเรือในอ่าง วกเข้าเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที น่าเสียดายเวลาการศึกษาของพวกเขาในเรื่องราวของชีอะฮ์ เพราะจนถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็ยังจับประเด็นไม่ถูกว่าชีอะอะฮ์กับซุนนี มีปัญหาขัดแย้งกันตรงไหน

ชีอะฮ์กับซุนนีมิได้ขัดแย้งกันตรงที่ว่า ใครแต่งงานกับใคร หรือไม่ได้แต่งงานกับใคร ใครเป็นเขย เป็นสะใภ้ของใคร ใครเป็นญาติหรือไม่เป็นญาติกับใคร ระหว่างบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ)กับฝ่ายบิดเบือน

แต่เราขัดแย้งกันในปัญหาที่ว่า ตำแหน่งอิมามทั้ง๑๒ เป็นคำสั่งจากวจนะของท่านศาสดา(ศ)หรือไม่ ? การที่อะบูบักร์ อาอิชะฮ์ อุมัร อุษมานและตระกูลอุมัยยะฮ์ เข้ามามีบทบาทพัวพันกับระเบียบกฎเกณฑ์ในศาสนานี้ โดยอิทธิพลบารมีส่วนตัวอย่างที่ประจักษ์อยู่ในประวัติศาสตร์นั้น เป็นความชอบธรรมหรือไม่ ?

บุคคลเหล่านี้ยังรักษารูปรอยเดิมของศาสนาไว้ หรือว่าได้ฉ้อฉล บิดเบือน กดขี่เบียดเบียน เข่นฆ่าบรรดาสาวกด้วยกัน และบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์(อ)ขอท่านศาสดา ตลอดจนประชาชนผู้บริสุทธิ์บ้างหรือไม่ ?

โดยหลักฐานตามตัวบทฮะดีษจากตำราที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย ชีอะฮ์และซุนนะฮ์ และในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ มีปรากฏหลักฐานเรื่องการแต่งตั้งอิมาม ตามที่พวกชีอะฮ์อ้างจริงหรือไม่ ?

เหล่านี้ต่างหากครับคือ ประเด็นปัญหาที่ขัดแย้ง และสมควรจะนำมาซักถาม เสวนากันฉันพี่น้อง อย่างเป็นวิชาการ อย่างวิญญูชน คนมีสติปัญญาและสุภาพชนแสวงหา ทั้งนี้ก็เพื่อการเข้าถึงสัจธรรมอย่างแท้จริง ว่าอยู่ที่ใดกันแน่

จะให้ยึดถือแนวทางศาสนากันแบบสะเปะสะปะ ไม่ลงร่องลงรอยกันสักวันระหว่าง ๔ มัซฮับ


หรือว่าจะให้ยึดถือกันแบบฟาดฟันอย่างสะบั้นหั่นแหลกอย่างแนวทางวะฮาบีย์ที่พวกเขายึดถือกันอยู่ หรือตามรูปแบบที่เป็นครรลองของบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ)    

ตราบใดที่พวกเขายังถูกครอบงำอยู่กับความรู้ที่มาจากอุละมาอ์ผู้โง่เขลา และความไม่เที่ยงธรรมในจิตใจ อย่างเช่นบุรพาจารย์ของพวกเขา ชิฮาบุดดีน อะบู อุมัร อะห์มัด บิน มุฮัมมัด บิน อับดุ ร็อบบะฮ์ อัล-กุรฏุบีย์ อัลมาลิกีย์ เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ 328 เจ้าของหนังสือ "อุกดุลฟะรีด"เจ้าของสโลแกน : ชีอะฮ์ไม่มีหลักการ ฏอลาก(การหย่า)สามวาระ เช่นเดียวกับพวกยะฮูด....ชีอะฮ์กล่าวหา ญิบรออีลนำวะห์ยูลงมาผิดตัว

ชีอะฮ์ไม่ปฏิบัติตามซุนนะฮ์ของท่านนบี(ศ) พวกชีอะฮ์จะไม่ให้สลามคนมุสลิม แต่จะกล่าวว่า "อัซซาม อะลัยกุม"(ขอความตายจงมีแด่ท่าน)

นี่คือ อิบนุอับดุร็อบบะฮ์ จอมใส่ร้ายป้ายสีชีอะฮ์แห่งวงศ์วานมุฮัมมัด(ศ)ที่กล่าวว่า : ชีอะฮ์นั้น เหมือนกับพวกยะฮูด เพราะชีอะฮ์ อนุญาตให้ฆ่าคนมุสลิมและริบทรัพย์สินของมุสลิมได้

นี่แหละครับ อุละมาต้นตำรับ ยุคพันกว่าปีก่อน ค่ายเดียวกับทีมงานเจ้าของหนังสือ รู้ทันชีอะฮ์

อะบูมุฮัมมัด อะลี บิน อะห์มัด บิน ซะอีด บิน ฮิซัม อัลอันดุลุซีย์ เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ 456 คนเคียดแค้นชิงชังและเป็นศัตรูกับชีอะฮ์ เจ้าของหนังสือ"อัลฟัศลุ ฟิล มิลัล วันนะฮัล"ในเล่ม ๔ ของหนังสือเล่มนั้น หน้า ๑๘๒ เขากล่าวว่า : ชีอะฮ์อนุญาตให้นิกาห์กับสตรี ๙ นางได้ !

นักปราชญ์อีกคนหนึ่งของพวก \\\"รู้ทันชีอะฮ์\\\" คือศัตรูตัวฉกาจของชีอะฮ์นั่นคือ อะห์มัด บิน อับดุลฮะลีม อัลฮัมบะลีย์ หรือที่รู้จักกันในนาม "อิบนุตัยมียะฮ์" เสียชีวิตเมื่อ ฮ.ศ ๗๒๘

หนังสือของอุละมาผู้นี้มีเล่มหนึ่งชื่อว่า "มินฮาญุซซุนนะฮ์ ตลอดทั้งเล่ม จะเขียนปฏิเสธฮะดีษว่าด้วยความดีงามและความประเสริฐของอะลีและบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ทั้งหมด ราวกับว่าเขาจะควบคุมตัวเองไว้มิให้อ้างถึงความดีงามใดๆสักข้อเดียว (จากบรรดาเกียรติยศและความประเสริฐต่างๆ ที่มิอาจคำณวนนับได้ของอะฮ์ลุลบัยต์(อ)) แต่ทว่าคนผู้นี้ จะมีคำตอบโต้และปฏิเสธหรือตั้งข้อสงสัยไว้ทั้งสิ้น !ทั้งๆที่เรื่องเหล่านั้น เป็นบทรายงานฮะดีษศอฮีฮ์จากท่านศาสดา(ศ)

 ในภาคที่ 1 ของหนังสือ "อัลมินฮาญุซซุนนะฮ์" หน้า 15 : มีบันทึกว่า "ไม่มีชนกลุ่มใด จากบรรดาชาวกิบละฮ์ กล่าวเท็จเหมือนพวกชีอะฮ์  ดังนั้นด้วยเหตุนี้เอง เจ้าของตำราศอฮีฮ์ทั้งหลายมิได้ยอมรับการเล่าบทรายงานของพวกเขา และไม่ยอมบันทึก"!

 ในภาคที่ 1 หน้า 131 หนังสือ "มินฮาญุซซุนนะฮ์"เขากล่าวว่า : ชีอะฮ์นั้น ไม่สนใจกับมัสยิด กล่าวคือ มัสยิดของพวกเขาจะว่างเปล่าไม่มีคนนมาซ ไม่มีพิธีนมาซวันศุกร์และญะมาอะฮ์

พวกชีอะฮ์จะมานมาซที่มัสยิดเป็นการส่วนตัว !!: และพวกชีอะฮ์ ไม่มีหลักการทำฮัจญ์ที่บัยตุลลอฮ์ อัลฮะรอม การทำฮัจญ์ของพวกเขาคือ การเยี่ยมเยียนสุสาน และพวกชีอะฮ์ถือว่า มรรคผลจากการเยี่ยมเยียนสุสานของพวกเขา ยิ่งใหญ่กว่า มรรคผลของการทำฮัจญ์ที่บัยตุลลอฮ์ อัลฮะรอม ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังสาปแช่งทุกคน ที่ไม่ไปเยี่ยมเยียนสุสานอีกด้วย !!

เมื่อข้อเขียนของบรมครูของพวกเขาห่างไกลสุดหล้าฟ้าเขียวถึงเพียงนี้ กับความเป็นจริงของชีอะฮ์ แล้วเราจะหวังอะไรเป็นแก่นสารจากเด็กเลี้ยงแกะที่ตะโกนก้องไปทั่วบ้านทั่วเมืองว่า รู้ทันชีอะฮ์

ก็ขอย้ำว่า ต้องขอแสดงความเสียใจไว้ ณ ที่นี่อีกครั้งหนึ่ง สำหรับผู้ที่สำคัญตนว่ารู้ทันชีอะฮ์แล้ว แต่ยังงมงายอยู่กับตำราของผู้ที่เหินห่างชีอะฮ์ที่สุดในโลก อย่างอุละมาผู้โง่เขลาและหลอกลวงเหล่านี้


ฉะนั้น อย่าหวังเลยครับว่า จะได้รู้ทันชีอะฮ์ แม้แต่วันเดียวในชีวิตนี้


อ้างอิงจากเวบ

http://yomyai.igetweb.com/index.php?mo=14&newsid=114618


คำถามสำหรับวาฮาบี


รู้ทันชีอะฮ์แค่นี้เองหรือ ?
  •  

18 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้