Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

ธันวาคม 22, 2024, 12:00:44 หลังเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
  • สมาชิกทั้งหมด: 1,718
  • Latest: Haroldsmolo
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 3,699
  • หัวข้อทั้งหมด: 778
  • Online today: 54
  • Online ever: 200
  • (กันยายน 14, 2024, 01:02:03 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 1
Guests: 31
Total: 32

มุบาฮะละฮ์

เริ่มโดย q4wahabi-admin, ตุลาคม 05, 2024, 09:26:23 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

q4wahabi-admin


فَمَنْ حَآجَّكَ فِيهِ مِن بَعْدِ مَا جَاءكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ وَنِسَاءنَا وَنِسَاءكُمْ وَأَنفُسَنَا وأَنفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَل لَّعْنَةَ اللّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ

ซุลฮิจญะฮ์เป็นเดือนที่มีเหตุการณ์มากมาย หนึ่งในนั้นคือมุบาฮะละฮ์   เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 ซุลฮิจญะฮ์  ฮ.ศ.  9

1-เกร็ดประวัติศาสตร์
ท่านนบีมุฮัมมัดได้ส่งสารไปยังกษัตริย์ในดินแดนต่างๆเพื่อเชิญชวนสู่อิสลาม  มีสารฉบับหนึ่งส่งมาที่เมืองนัจญ์รอน(ซาอุฯ) เป็นที่อยู่อาศัยของชาวนะซอรอและยะฮูดี
อบูฮาริษะฮ์ (ดำรงตำแหน่ง اُسْقُف พระสังฆนายก)แห่งเมืองนัจญ์รอนได้รับสารจากท่านนบี
หลังจากอุสกุฟได้อ่านสาร เขาสั่งประชุมทันที มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้นำศาสนา,นักการเมืองและผู้สูงศักดิ์ มติในที่ประชุมมีว่า ให้ส่งคณะทูตไปที่เมืองมะดีนะฮ์ เพื่อตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับการเป็นศาสดาของท่านนบี  ที่ประชุมคัดเลือกตัวแทนได้ 60 คนโดยมี 3 บุคคลต่อไปนี้เป็นหัวหน้าคณะ
1- สังฆราชอุสกุฟ (อบู ฮาริษะฮ์)  2-อัลอากิ๊บ(อับดุลมะซีห์) กุนซือเจ้าความคิด  3-อัลอัยฮัม ผู้อาวุโสทั้งอายุและสมณศักดิ์
คณะทูตเดินทางมาถึงมะดีนะฮ์ และได้เข้าพบท่านรอซูลที่มัสญิด ขณะนั้นท่านพึ่งนมาซอัศริเสร็จ  ชาวคริสต์ทุกคนสวมชุดนักบุญ ทอจากไหม(ดีบาจญ์และหะรีร) สวมแหวนทอง พาดไม้กางเขนไว้ที่บ่า งดงามตระการตา พวกเขาให้สลามท่านนบี ท่านตอบรับสลามและให้การต้อนรับพวกเขาอย่างสมเกียรติ 
อัศริเป็นเวลาสวดมนต์ของชาวคริสต์  พวกเขาจึงขออนุญาติท่านนบีสวดมนต์ในมัสญิด   ซอฮาบะฮ์ต้องการขัดขวาง แต่ท่านนบีอนุญาติให้สวดได้  ท่านบอกกับมุสลิมว่า ปล่อยให้พวกเขาสวดเถิด  หลังจากสวดเสร็จ  การสนทนาจึงเริ่มขึ้น
นบีกล่าวกับอุสกุฟและอากิ๊บว่า : أَسْلِمَا       ทั้งสองตอบว่า :  قَدْ أَسْلَمْنَا قَبْلَكَ
นบี  : มีบางสิ่งที่ขัดขวางท่านทั้งสองมิให้เข้ารับอิสลาม  พวกท่านอ้างว่าพระเจ้ามีบุตร  พวกท่านกราบไหว้ไม้กางเขน  และทานเนื้อสุกร   
อุสกุฟถามท่านนบีว่า – ท่านจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับพระเยซู   
นบี – เป็นบ่าวคนหนึ่งของอัลลอฮ์ พระองค์ทรงคัดเลือกเขาเป็นนบี 
อุสกุฟ -  เยซูมีบิดาหรือไม่ ?
นบี -  มารดาเขาไม่เคยสมรสกับใครแล้วจะมีบิดาได้อย่างไร ?
อุสกุฟ -  แล้วท่านบอกว่า เขาเป็นบ่าวคนหนึ่งได้อย่างไร  ท่านเคยเห็นมนุษย์คนใดที่เกิดมาโดยไม่มีบิดาบ้างไหม
ท่านบีนิ่งไม่ตอบ จนอัลลอฮ์ทรงประทานโองการลงมาว่า

إِنَّ مَثَلَ عِيسَى عِنْدَ اللَّهِ كَمَثَلِ آَدَمَ خَلَقَهُ مِنْ تُرَابٍ ثُمَّ قَالَ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ (59) الْحَقُّ مِنْ رَبِّكَ فَلَا تَكُنْ مِنَ الْمُمْتَرِينَ (60) فَمَنْ حَاجَّكَ فِيهِ مِنْ بَعْدِ مَا جَاءَكَ مِنَ الْعِلْمِ فَقُلْ تَعَالَوْا نَدْعُ أَبْنَاءَنَا وَأَبْنَاءَكُمْ وَنِسَاءَنَا وَنِسَاءَكُمْ وَأَنْفُسَنَا وَأَنْفُسَكُمْ ثُمَّ نَبْتَهِلْ فَنَجْعَلْ لَعْنَةَ اللَّهِ عَلَى الْكَاذِبِينَ (61)

แท้จริงอุปมาเรื่องอีซาณ.อัลลอฮ์ เปรียบดั่งอาดัม  พระองค์ทรงสร้างเขามาจากดิน แล้วทรงตรัสกับเขาว่า  จงเป็นแล้วเขาก็เป็นขึ้นมา อันสัจธรรมนั้นมาจากองค์อภิบาลของเจ้า ดังนั้นจงอย่างเป็นหนึ่งจากบรรดาผู้สงสัย
ดังนั้นผู้ใดที่โต้เถียงเจ้า(มุฮัมมัด)ในเรื่องของอีซา(ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า) หลังจากที่ได้มีความรู้มายังเจ้าแล้ว จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ท่านทั้งหลาย(ชาวคริสต์)จงมาเถิด เราก็จะเรียกลูกๆของเรา และลูกของพวกท่านและเรียกบรรดาผู้หญิงของเรา และบรรดาผู้หญิงของพวกท่านและตัวของเรา และตัวของพวกท่าน    และเราจะมาวิงวอน (ต่อพระเจ้า)กัน ด้วยความนอบน้อม โดยที่เราจะขอให้อัลลอฮ์ทรงลงโทษทัณฑ์แก่บรรดาผู้โกหก  (3: 59 – 61)
ท่านนบีได้อ่านโองการดังกล่าวให้ชาวคริสต์ฟัง และได้ท้าพวกเขาให้ทำมุบาฮะละฮ์
ท่านนบี - อัลลอฮ์ทรงแจ้งแก่ฉันว่า อะซาบจะลงมายังผู้อยู่กับความเท็จหลังจากทำมุบาฮะละฮ์  เพื่อจะได้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายใดถูกและฝ่ายใดผิด
ชาวคริสต์ได้ขอเลื่อนทำมุบาฮะละฮ์ไปวันพรุ่งนี้  จากนั้นพวกเขาได้กลับไปปรึกษาหารือกัน   อุสกุฟ กล่าวกับชาวคริสต์ว่า – พวกเจ้าจงดูว่าพรุ่งนี้  หากมุฮัมมัดพาอะฮ์ลุลบัยต์ของเขาออกมามุบาฮะละฮ์  ก็อย่ามุบาฮะละฮ์กับเขา 
รุ่งเช้าท่านนบีจูงมือท่านอะลีมา  มีท่านฮาซันและฮูเซนเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนท่านหญิงฟาติมะฮ์เดินอยู่ข้างหลัง
อุสกุฟเดินนำหน้าคณะมา พอเห็นท่านนบีเดินตรงมาหา เขาจึงถามว่า   -  ท่านพาใครมามุบาฮะละฮ์ ?
ท่านตอบว่า -  นี่อะลี ลูกของลุงและเป็นบุตรเขยฉัน  เขาเป็นบิดาของหลานชายทั้งสองของฉัน เขาคือคนที่ฉันรักมากที่สุด  เด็กสองคนนี้เป็นบุตรของลูกสาวฉันที่เกิดจากอะลี ทั้งสองเป็นที่รักยิ่งของฉัน   ส่วนสตรีคนนี้ชื่อฟาติมะฮ์ นางเป็นสตรีที่มีเกียรติมากที่สุดและเป็นญาติสนิทที่สุดของฉัน
อุสกุฟหันมามองอากิบกับพวกพลางกล่าวว่า : ดูเถิด มุฮัมมัดพาอะฮ์ลุลบัยต์ออกมามุบาฮะละฮ์กับเราเพื่อปกป้องสัจธรรมของเขา   
ชาวคริสต์จึงหวั่นว่าจะเกิดเพทภัยกับพวกเขา เลยไม่กล้ามุบาฮะละฮ์ด้วย แต่ขอจ่ายญิซยะฮ์แทน   
ท่านนบียอมรับข้อเสนอของฝ่ายคริสต์จากนั้นชาวคริสต์จึงได้ลากลับไป

2-ทำมุบาฮะละฮ์ที่ไหน
นอกเมืองมะดีนะฮ์กลางทะเลทราย นบีพาไปเพียงสี่คนเท่านั้น โดยไม่มีผู้ใดมีส่วนร่วมในการไปมุบาฮะละฮ์ครั้งนี้
 
عَنْ سَعْدِ بْنِ أَبِيْ وَقَّاص قَالَ : لَمَّا نَزَلَتْ هذِهِ الْآيَةُ : { .. فَقُلْ تَعَالَوْاْ نَدْعُ أَبْنَاءنَا وَأَبْنَاءكُمْ .. }
 دَعَا رَسُوْلُ الله ( ص ) عَلِيًّا وَ فَاطِمَةَ وَ حَسَنًا وَ حُسَيْنَا فَقَالَ : " اللّهُمَّ هؤُلاَءِ أَهْلِيْ (صحيح مسلم : 4420)

3- เราได้อะไรจากมุบาฮะละฮ์ :
1-พิสูจน์ว่ามุฮัมมัดเป็นนบีจริง  เพราะทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมบันทึกว่าชาวคริสต์ไม่ยอมทำมุบาฮะละฮ์ด้วย 
2-ท่านฮาซันและฮูเซนเป็นบุตรชายของรอซูลในทาง( نَسَبٌ ) แม้ว่าตามจริงทั้งสองจะเป็นบุตรของท่านหญิงฟาติมะฮ์  เพราะท่านรอซูลกล่าวว่า

 اِبْنَايَ هَذَانِ : اَلْحَسَنُ وَ الْحُسَيْنُ : سَيِّدَا شَبَابِ أَهْلِ الْجَنَّةِ وَ أَبُوْهُمَا خَيْرٌ مِنْهُمَا
 
(ซอฮีฮุลญามิอิซ-ซอฆีร วะซิยาดะฮ์ หะดีษที่  47  โดยเชคอัลบานี)
3-อายัตมุบาฮะละฮ์นับเป็นอีกฟะฎีลัตหนึ่งของอะฮ์ลุลบัยต์ ที่มิอาจมองข้ามหรือปฏิเสธได้เลย 
การที่ท่านนบีพาอะฮ์ลุลบัยต์ออกไปมุบาฮะละฮ์ครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่นบีจะพาใครไปก็ได้   แต่เป็นการคัดเลือกของอัลลอฮ์อย่างมีอิรอดัตและฮิกมัต
4- กล่าวได้ว่าท่านอะลีคือมนุษย์ أفضل ที่สุดหลังนบีวะฟาต
5- อายัตนี้บอกให้รู้ว่า  การตับลีฆดีน การดูแลเรื่องซิยาซี่ ยังตกเป็นภารกิจของอะฮ์ลุลบัยต์ที่ทำหน้าที่สืบต่อจากท่านนบี ไม่ใช่ในฐานะญาติสนิท แต่ในฐานะที่อัลลอฮ์ทรงเลือกพวกเขาให้มาทำหน้าที่สำคัญนี้ ดังที่ท่านรอซูลกล่าวกับท่านอะลีว่า

أَنْتَ مِنِّى بِمَنْزِلَةِ هَارُونَ مِنْ مُوسَى إِلاَّ أَنَّهُ لاَ نَبِىَّ بَعْدِى (صحيح مسلم : 6370)

ท่านกับฉันมีฐานะเหมือนฮารูนกับมูซา  ยกเว้นจะไม่มีนบีหลังจากฉันอีกแล้ว   
6- หากเราสร้างความเข้าใจคำ أَنْفُسَنَا ในอายัตมุบาฮะละฮ์ ย่อมตระหนักได้ว่า อายัตนี้ได้พิสูจน์ถึงการเป็นผู้นำของท่านอะลี  เพราะศัพท์คำนี้นับว่าท่านอะลีคือบุคคลที่มีบุคลิกภาพสมบูรณ์แบบเหมือนท่านนบีทุกประการ  ยกเว้นตำแหน่งนุบูวะฮ์เท่านั้น
ท่านอะลีได้แสดงความคิด จิตวิญญาณ การกระทำทุกอย่างซึ่งคล้ายคลึงกับท่านนบีมุฮัมมัดทั้งในยามที่ท่านมีชีวิตหรือยามที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้วได้ใกล้เคียงที่สุด
 7- ถ้าสังเกตคำ نِسَاءَنَا ให้ดี เราจะพบว่าท่านนบีไม่ได้พาสตรีนางใดในมะดีนะฮ์ไปทั้งสิ้น  ยกเว้นบุตรีเพียงคนเดียว นับได้ว่านี่คือคุซูซียัตหนึ่งของท่านหญิงฟาติมะฮ์
อายัตมุบาฮะละฮ์เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ว่า  ท่านอะลี ฟาติมะฮ์ ฮาซันและฮูเซนคืออะฮ์ลุลบัยต์พิเศษ

3- มัซลูมียัต อะฮ์ลุลบัยต์
แม้ว่าอัลลอฮ์จะยกย่องอะฮ์ลุลบัยต์ไว้ในอัลกุรอาน แต่พวกเขาก็ยังถูกซอเล็มมาโดยตลอด  เมืองมะดีนะฮ์ นับได้ว่าเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของท่านนบีมุฮัมมัดและอะฮ์ลุลบัยต์ ในเมืองนี้มีปูชนียสถานเป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกถึงสถานภาพอันสูงส่งของอะฮ์ลุลบัยต์
ปรากฏว่าเมื่อพวกวาฮะบีได้ยึดครองดินแดนฮิญาซแห่งนี้ พวกเขาได้ทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไปมากมาย จนทำให้ความรู้เหล่านี้สูญหายไป
หากเราเปิดแผนที่เมืองมะดีนะฮ์ฉบับเก่าๆดู จะพบว่าในแผนที่ฉบับเก่าได้บอกตำแหน่งว่า มัสญิดมุบาฮะละฮ์อยู่ตรงไหน
แต่แผนที่ฉบับใหม่ได้เปลี่ยนชื่อมัสญิดมุบาฮะละฮ์ใหม่เป็นมัสญิดอิญาบะฮ์ หรือมัสญิดบนีมุอาวียะฮ์   มัสญิดแห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของบาเกี๊ยะอ์ ที่ถนนมาลิกฟัยซ็อล 
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ สถานที่นี้ถูกห้ามเข้า ยกเว้นเวลานมาซเท่านั้น ทางราชการซาอุฯได้อ้างว่า เหตุที่ต้องห้ามเพราะมีคนมาทำชีรีกในสถานที่แห่งนี้ต่างๆนานา
พฤติกรรมของวาฮะบีที่ปิดบังสถานที่ๆอัลลอฮ์ทรงให้ท่านนบีกับอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านสำแดงสัจธรรมอิสลาม และทำให้ชาวคริสต์เป็นฝ่ายบาเต้ล   มันคงไม่มีเหตุผลใดดีไปกว่าความตะอัศซุบ ที่ไม่ต้องการเปิดเผยมันซิลัตอันสูงส่งของอะฮ์ลุลบัยต์นบีผู้บริสุทธิ์ออกมาให้ชาวโลกได้รับรู้
สรุป
สุดท้ายนี้ขอกล่าวว่าวันมุบาฮะละฮ์ ตรงกับวันที่ 24  เดือนซุลฮิจญะฮ์  เป็นอีกอีดหนึ่งของมุสลิมที่ควรภูมิใจ  เพราะเป็นวันที่อิสลามได้รับชัยชนะทางจิตวิญญาณ (المعنويّ والرساليّ) เป็นวันที่นบีมุฮัมมัดได้ประกาศวิลายัตอะลีให้ยะฮูดีและนอซอรอได้รับรู้.       
  •  

31 ผู้มาเยือน, 1 ผู้ใช้