ข่าว:

SMF - Just Installed!

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Topics - AdminSu

#1
ฮะดีษที่รุชดี วาฮาบี ยกมาอ้างเล่นงานชีอะฮ์

กิตาบ ตักรีรอต อัลฮูดู๊ด วัต ตะอ์ซีรอต เล่ม 2 หน้า 74 - 75 ผู้แต่งคือ อยาตุลลอฮ์ สัยยิด กุลบัยกานี
นี่คือตัวบท ภาษาอาหรับ
คำอธิบายสำหรับฮะดีษบทนี้จากอุละมาอ์ชีอะฮ์
อายาตุลลอฮ์ สัยยิดมุฮัมมัด ริฎอ กุ้ลบัยกานี(ตายฮ.ศ.144) กล่าวว่า

لا فرق في ذلك في كلا المرتدين(المرتد الفطري والمرتد الملى). ثم إن الظاهر هو حصول الارتداد بانكار أحد أصول الشيعة لمن كان هو من الشيعة بأن أنكر أمامة أمير المؤمنين أو امامة أحد الائمة المعصومين صلوات الله عليه وعليهم أجمعين مع علمه بأنهم الائمة الهداة المهديين أو أنكر حلية المتعة أو حلية متعة الحج ونحو ذلك فانه بانكار أحد الامور الضرورية في الشيعة يصير مرتدا.
ففى الرواية المروية عن محمد بن مسلم أنه قال: قلت لابي جعفر عليه السلام: أَرَأَيْتَ مَنْ جَحَدَ الْإِمَامَ مِنْكُمْ مَا حَالُهُ ؟ فَقَالَ مَنْ جَحَدَ إِمَاماً من الائمة وَبَرِئَ مِنْهُ وَ مِنْ دِينِهِ فَهُوَ كَافِرٌ مُرْتَدٌّ عَنِ الْإِسْلَامِ لِأَنَّ الْإِمَامَ مِنَ اللَّهِ وَ دِينَهُ دِينُه
وَ مَنْ بَرِئَ مِنْ دِينِ اللَّهِ فَدَمُهُ مُبَاحٌ فِي تِلْكَ الْحَالة إِلَّا أَنْ يَرْجِعَ وَ يَتُوبَ إِلَى اللَّهِ مما قال
(وسائل‏الشيعة ج 28 ص 323 ح 34863 من أبواب حد المرتد)

وأَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ مُطَهَّرٍ قَالَ كَتَبَ بَعْضُ أَصْحَابِنَا إِلَى أَبِي مُحَمَّدٍ عليه السلام يَسْأَلُهُ عَمَّنْ وَقَفَ عَلَى أَبِي الْحَسَنِ مُوسَى عليه السلام فَكَتَبَ لا تقرهم على عمل وَ تَبَرَّأْ مِنْهُ أَنَا إِلَى اللَّهِ مِنْهُ بَرِي‏ءٌ فَلَا تَتَوَلَّهُمْ وَلَا تَعُدْ مَرْضَاهُمْ وَلَا تَشْهَدْ جَنَائِزَهُمْ وَلَا تُصَلِّ عَلَى أَحَدٍ مِنْهُمْ مَاتَ أَبَداً مَنْ جَحَدَ إِمَاماً مِنَ اللَّهِ أَوْ زَادَ إِمَاماً لَيْسَتْ إِمَامَتُهُ مِنَ اللَّهِ كَانَ كَمَنْ قَالَ إِنَّ اللَّهَ ثالِثُ ثَلاثَةٍ (المائدة : 73) إِنَّ الْجَاحِدَ أَمْرَ أَوَّلِنَا جَاحِدٌ أَمْرَ آخِرِنَا
 (وسائل‏الشيعة ج 28  ص 352 ح 34943 من أبواب حد المرتد الحديث). الى غير ذلك من الروايات،

ولكن يمكن حمل الروايتين ونظائرهما على من اعتقد بامامة الائمة الاثنى عشر صلوات الله عليهم أجمعين ثم أنكر أحدهم عنادا، وأما من لم يكن كذلك بأن لم يكن من أول الامر معتقدا الامامتهم فان انكاره لاحدهم عليهم السلام لا يكون موجبا لكفره، فلا يرتد الا إذا علم بامامتهم و ان لم يكن من الشيعة الاثنى عشرية ثم أنكر واحدا منهم (ع) فانه يصير حينئذ انكاره من انكار الضرورى الموجب لكفره 

อ้างอิงจากหนังสือ

كتاب  تقريرات الحدود والتعزيرات - السيد الگلپايگاني ج 2  ص  73 – 74

เรามาดู สรุปเนื้อหากันดีกว่า คับ
อยาตุลลออฮ์ สัยยิด กุลบัยกานี กล่าวว่า ไม่มีความแตกแต่งระหว่างมุรตัดฟิตตะรีกับมุรตัดมิลลี สิ่งที่ชัดเจนคือ เกิดการตกมุรตัด เพราะการปฏิเสธหลักศรัทธาชีอะฮ์ข้อหนึ่งข้อใด สำหรับผู้ที่เป็นชีอะฮ์ เช่น เขาปฏิเสธการเป็นผู้นำของอิมามอะลี หรืออิมามคนหนึ่งคนใดจากสิบสองอิมาม ทั้งๆที่เขารู้เข้าใจดีว่า สิบสองคนนั้นคือ อิมามผู้นำ หรือเขาได้ปฏิเสธเรื่องสำคัญข้อหนึ่งข้อใดก็ตามในมัซฮับชีอะฮ์ เขาก็จะกลายเป็นมุรตัด
(จากนั้นอยาตุลลอฮ์ได้ยกฮะดีษสองบทมาแสดง หนึ่งในสองบทก็คือฮะดีษที่รุชดี วาฮาบี ยกมาอ้างเล่นงานชีอะฮ์นั่นเอง)

แล้วอยาตุลลอฮ์ กุลบัยกานี อธิบายว่า
เราสามารถให้ความหมายฮะดีษสองบทนี้หรือฮะดีษที่มีเนื้อหาคล้ายกับสองบทนี้ว่า
ผู้ใดได้มีความเชื่อศรัทธาต่อสิบสองอิมามแห่งอะฮ์ลุลเบต แล้วต่อมาเขาได้ปฏิเสธอิมามคนหนึ่งคนใดจากพวกเขา(ทั้งสิบสอง)ด้วยความดื้อดึง คือคือกาฟิร มุรตัด

ส่วนมุสลิมที่ไม่เคยเป็นชีอะฮ์ยอมรับสิบสองอิมามมาก่อนนั้น กล่าวคือแต่เดิมเขาไม่ได้มีความเชื่อต่ออิมามสิบสองมาก่อน ดังนั้นการปฏิเสธไม่ศรัทธาต่ออิมามคนหนึ่งคนใดจากสิบสองอิม่ามนั้น ไม่ได้ทำให้เขาต้องตกเป็นกาฟิร และไม่ได้ตกมุรตัดด้วย
#2
วาฮาบี ไม่มีวันที่จะแสดงความรักต่ออิมามอาลี ได้ ตอนที่ 3 ตอนจบ

อิบนุตัยมียะฮ์ ยกย่องผู้สังหารอิม่ามอะลีว่าเป็นคนดีมีอีหม่านทำไปเพราะรักอัลลอฮ์และรอซูล 

หนังสือมินฮาญุซซุนนะห์  เล่ม 4: 155 (7:153)

 وَالَّذِي قَتَلَ عَلِيًّا كَانَ يُصَلِّي وَيَصُومُ وَيَقْرَأُ الْقُرْآنَ، وَقَتَلَهُ مُعْتَقِدًا أَنَّ اللَّهَ وَرَسُولَهُ يُحِبُّ قَتْلَ عَلِيٍّ، وَفَعَلَ ذَلِكَ مَحَبَّةً لِلَّهِ وَرَسُولِهِ 

คนที่ลงมือสังหารท่านอะลี เขาคือคนทำละหมาด ถือศีลอด อ่านอัลกุรอ่าน ที่เขา(อิบนุมุลญิม)ได้สังหารท่านอะลี เพราะเขาเชื่อว่า อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์รักชอบการสังหารท่านอะลี เขาจึงลงมือทำสิ่งนั้นเพราะความรักอัลลอฮ์และรอซูล

อิบนิตัยมียะฮ์ ยกย่องอิบนุมุลญิม คนที่ลอบสังหารอิม่ามอะลี โดยให้เหตุผลว่า
อิบนุมุลญิมฆ่าอิม่ามอะลีเพราะรักอัลลอฮ์และรอซูล  ทัศนะของอิบนิตัยมียะฮ์ถือว่าขัดแย้งต่อคำพูดของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) ที่ท่านได้กล่าวกับท่านอะลี(อ)ว่าคนชั่วช้าที่สุดยุคก่อนคือใคร ท่านอะลีตอบว่า คือคนที่ฆ่าอูฐของนบีซอและห์ ท่านรอซูลได้ถามอีกว่า คนชั่วที่สุดยุคหลังคือใคร ท่านอะลีตอบว่า  อัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์เท่านั้นที่รู้ดียิ่ง  ท่านรอซูลตอบว่าคือ ผู้ที่ลงมือสังหารเจ้า

วิเคราะห์เมื่อ – ผู้ฆ่าชั่วช้าที่สุด (เพราะฉะนั้น) ผู้ถูกฆ่าจึงประเสริฐที่สุด ท่านสะอัด บิน อบีวักกอศ เล่าว่า
ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวในวันค็อยบัรว่า

لأُعْطِيَنَّ الرَّايَةَ رَجُلاً يُحِبُّ اللَّهَ وَرَسُولَهُ وَيُحِبُّهُ اللَّهُ وَرَسُولُهُ  قَالَ فَتَطَاوَلْنَا لَهَا فَقَالَ ادْعُوا لِى عَلِيًّا

(พรุ่งนี้เช้า) ฉันจะมอบธงแม่ทัพให้บุรุษหนึ่ง เขารักอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ และอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ก็รักเขา ท่านสะอัดเล่าว่า (เช้าวันนั้น) เราพยายามยืนเขย่งตัวเพื่อจะได้รับธงนั้น แล้วท่านรอซูลกล่าวว่า พวกเจ้าจงไปเรียกอะลีมาหาฉันที
ซอฮิฮ์มุสลิม ฮะดีษที่  6373

วิเคราะห์
ท่านอะลีคือบุคคลที่อัลลอฮ์และรอซูลรัก เพราะฉะนั้นอิบนิมุลญิมจึงไม่ใช่มุอ์มินแต่เป็นมุนาฟิก เป็นคนชั่วที่สุด เพราะเขาสังหารบุคคลที่อัลลอฮ์และรอซูลรัก แม้ท่านนบี(ศ)จะกล่าวถึงขนาดนี้ก็ แต่อิบนิตัยมียะฮ์กลับยกย่องอิบนุมุลญิม

คำถามคือ
พวกท่านคิดว่า คนที่อ่านตำราอิบนิตัยมียะฮ์ คนที่ศึกษาตำราอิบนิตัยมียะฮ์ คนที่ยึดถือตำราอิบนิตัยมียะฮ์ จะมีความรักต่ออะฮ์ลุลบัยต์นบี อย่างท่าน อะลี อะลัยฮิสสลาม ได้อย่างไร (ไม่มีทาง)
#3
วาฮาบี ไม่มีวันที่จะแสดงความรักต่ออิมามอาลี ได้
ตอนที่2

ท่านซูเฮบ อัลรูมี ได้เล่าว่า วันหนึ่งท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวกับท่านอะลีว่า

مَنْ أَشْقَى الْأَوَّلِينَ؟ قَالَ: الَّذِي عَقَرَ النَّاقَةَ يَا رَسُولَ اللهِ. قَالَ: صَدَقْتَ

คนชั่วช้าที่สุดในยุคก่อนคือใคร ท่านอะลีตอบว่าคือคนที่ฆ่าอูฐของนบีซอและห์ครับ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ท่านกล่าวว่า เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว

فَمَنْ أَشْقَى الْآخَرِينَ؟ قَالَ: لَا عَلِمَ لِي يَا رَسُولَ اللهِ. قَالَ: الَّذِي يَضْرِبُكَ عَلَى هَذِهِ وَأَشَارَ النَّبِيُّ صَلَّى الله عَلَيْهِ وَسَلَّمْ بِيَدِهِ إِلَى يَافُوخِهِ

แล้วคนชั่วช้าที่สุดในยุคหลังคือใคร ท่านอะลีตอบว่า ผมไม่รู้ครับ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ท่านกล่าวว่า คือคนที่ฟันเจ้าตรงนี้ แล้วท่านนบี(ศ)ได้ชี้ด้วยมือของท่านไปที่กระหม่องของอะลี
เรื่องนี้ แม้มีอยู่ในตำราซุนนี่ คำถามคือ เชื่อถือได้จริงหรือ ถ้าพิจารณาที่ สายรายงานฮะดีษ?????
หนังสือฟัตฮุลบารี เล่ม 11: 5 ฮะดีษที่ 3430 

อิบนุฮะญัร อัลอัสกอลานี กล่าวว่า สายรายงานฮะดีษนี้ ดี (เชื่อถือได้)
ท่านตอบรอนีได้รายงานมัน ซึ่งฮะดีษนี้มีพยานยืนยันจากรายงานฮะดีษของท่านอัมมาร บินยาซิรของท่านอะหมัด(ในมุสนัด) และรายงานฮะดีษของท่านซุเฮบอัลรูมีของท่านตอบรอนี และรายงานฮะดีษมาจากตัวของท่านอะลีเองของท่านอบียะอืลา ด้วยสายรายงานที่ไม่แข็งแรง แต่ของอัลบัซซารด้วยสายรายงานที่ดี เชื่อถือได้
หนังสือ อัซ ซอวาอิก อัลมุห์ริเกาะฮ์ หน้า 362

อิบนุฮะญัร อัลมักกี กล่าวว่า

وروى الطبراني وأبو يعلى بسند رجاله ثقات إلا واحدا منهم فإنه موثق أيضا

ท่านตอบรอนีและท่านอบูยะอ์ลาได้รายงานฮะดีษนี้ด้วยสายรายงานที่เชื่อถือได้
เชคอัลบานีกล่าวว่า ฮะดีษนี้ ซอฮิฮ์

ซอฮิฮ์ อัลญามุซ-ซอฆีร วะซิยาดะตุฮู เล่ม 2 หน้า 505 ฮะดีษที่ 2590

عَنْ عَمَّارِ بْنِ يَاسِرٍ : أَلَا أُحَدِّثُكُمَا بِأَشْقَى النَّاسِ رَجُلَيْنِ ؟ أُحَيْمِرُ ثَمُودَ الَّذِي عَقَرَ النَّاقَةَ وَالَّذِي يَضْرِبُكَ يَا عَلِيُّ عَلَى هَذِهِ حَتَّى تُبَلَّ مِنْها هَذِهِ

ท่านอัมมาร บินยาซิรรายงาน ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า
ฉันจะเล่าให้เจ้าทั้งสองฟังเอาไหม ถึงคนชั่วช้าที่สุดสองคน
คนหนึ่งคือกุดดาร บินซาลิฟที่ฆ่าอูฐ
ส่วนอีกคนคือ(อิบนุมุลญิม)ที่จะฟันเจ้า โอ้อะลี(ด้วยดาบ)ลงตรงนี้(กระหม่อม) จนเคราจะชุ่มไปด้วยเลือด

เอาล่ะ ผมได้พิสูจน์ ให้ ท่านผู้อ่าน ได้ทราบแล้วว่า เรื่องนี้ คือเรื่อง จริง ถูกต้องเชื่อถือได้ มีการรับรองจากอุละมาอ์ซุนนี่และอุละมาอ์วาฮาบี ว่า สายรายงาน ฮะดีษนี้ ซอฮิฮ์

สรุปสั้นๆว่า อิบุนมุลยิม คือคนชั่วช้าที่สุด  สาเหตุเพราะเขาลงมือสังหารอิมามอาลี อะลัยฮิสสลาม
ทีนี้ พี่น้องลองมาฟัง ว่า อิบนุ ตัยมียะฮ์ (คนที่วาฮาบีทั้งโลกยกย่อง และปฏิบัติตาม) กล่าวอย่างไรต่อ อิบนิ มุลยิม
ในตอนที่ 3 นะครับ 
#4
วาฮาบี ไม่มีวันที่จะแสดงความรักต่ออิมามอาลี ได้
ตอนที่ 1

เรามาวิเคราะห์กันว่า  พวกที่นิยมแนวคิดวาฮาบี ไม่มีวันที่จะแสดงความรักต่ออิมามอาลี ได้อย่างไร
?????????
หนังสือ ตักรีบุต-ตะฮ์ซีบ อันดับที่ 4753 

อิบนุฮะญัร อัลอัสก่อลานี กล่าวว่า
อะลี บุตรอบูตอลิบ บุตรอับดุลมุตตอลิบ บุตรฮาชิม ตระกูลฮาชิม เขาคือบุตรชายของลุงของศาสดามุฮัมมัด ท่านนบีได้สมรสฟาติมะฮ์บุตรีของท่านกับอะลี

من السابقين الأولين ورجح جمع أنه أول من أسلم وهو أحد العشرة مات في رمضان سنة أربعين وهو يومئذ أفضل الأحياء من بني آدم بالأرض بإجماع أهل السنة

เขาคือซาบิกูนเอาวะลูน นักวิชาการกลุ่มหนึ่งให้น้ำหนักว่า เขาคือชายคนแรกที่รับอิสลาม และคือหนึ่งในสิบที่ได้รับแจ้งข่าวดี ตายฮ.ศ.40 และเวลานั้นเขาคือมนุษย์ประเสริฐที่สุดบนหน้าแผ่นดิน ด้วยมติของอะฮ์ลุซซุนนะฮ์
สาเหตุการเสียชีวิต
เช้าวันที่ 19 รอมฎอน อับดุลเราะห์มาน อิบนิมุลยิม คอวาริจญ์ ใช้ดาบอาบยาพิษลอบฟันศรีษะของท่านตรงหน้ามิห์รอบ มัสยิดกูฟะฮ์ ขณะนำละหมาด ในท่าสุหยูดต่ออัลลอฮ์ และในสภาพถือศีลอด ร่างท่านถูกฝังไว้ที่เมือง นะยัฟ อัชรัฟ ประเทศอิรัก

เสียชีวิต  วันที่ 21 รอมฎอน ฮ.ศ. 40 รวมอายุได้ 63 ปี
กุดดาร บินซาลิฟแห่งชนชนชาติษะมู๊ด กับ อิบนุมุลยิมแห่ง มุรอดี

เรื่องราวของพวกษะมูดฆ่าอูฐของอัลเลาะฮ์ ซูเราะฮ์อัชชัมสุ  : 11 – 15

كَذَّبَتْ ثَمُودُ بِطَغْوَاهَا (11) إِذِ انْبَعَثَ أَشْقَاهَا (12) فَقَالَ لَهُمْ رَسُولُ اللَّهِ نَاقَةَ اللَّهِ وَسُقْيَاهَا (13) فَكَذَّبُوهُ فَعَقَرُوهَا فَدَمْدَمَ عَلَيْهِمْ رَبُّهُمْ بِذَنْبِهِمْ فَسَوَّاهَا (14)

[11] พวกษะมูดได้ปฏิเสธด้วยการละเมิดขอบเขตของพวกเขา
[12] เมื่อคนชั่วช้าที่สุดของพวกษะมูดได้รีบรุดไป (ฆ่าอูฐ)
[13] แล้วรอซูลของอัลลอฮ์ (นบีซอและห์) จึงกล่าวแก่พวกษะมูดว่า (อย่าทำร้าย)อูฐของอัลลอฮ์ และ(อย่าขัดขวาง) การดื่มน้ำของมัน
[14] แต่พวกษะมูดไม่เชื่อนบี แล้วพวกเขาได้ฆ่าอูฐ (อย่างโหดเหี้ยม) ดังนั้นพระเจ้าของพวกเขาจึงได้ทำลายล้างพวกเขา เพราะความผิดของพวกเขา แล้วพระองค์ทรงลงโทษพวกเขาอย่างถ้วนหน้ากัน

 (ซากโบราณสถานเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ล้ำค่าอย่างหนึ่งซึ่งชาติต่างๆนำมาเป็นจุดขายทางการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่มีซากโบราณสถานบางแห่งในโลกนี้ที่เจ้าของประเทศไม่เต็มใจเปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วไปได้เข้าไปทัศนะศึกษาหาความรู้ หนึ่งในโบราณสถานดังกล่าวก็คือ "มะดาอิน ซอลิฮ์" ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดิอาระเบีย)
มีรายงานถึงการอธิบายความหมายโองการที่ 12 นี้ด้วยฮะดีษมากมาย
เนื้อหาของมันคือ อัชก็อลเอาวะลีนคือผู้ฆ่าอูฐนบีซอและห์ / อัชก็อลอาคิรีนคือผู้ฆ่าอิมามอะลี
คำพยากรณ์ของท่านนบีมุฮัมมัด(ศ) คนชั่วที่สุดคือผู้สังหารท่านอะลี

ตัฟซีรอิบนุกะษีร ตาย ฮ.ศ. 774 เล่ม 5 หน้า 509

ท่านอัมมาร บินยาสิร รายงาน ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้กล่าวกับท่านอะลีว่า

أَلَا أُحَدِّثُكَ بِأَشْقَى النَّاسِ قَالَ بَلَى: قَالَ رَجُلانِ أُحَيْمِرُ ثَمُودَ الَّذِي عَقَرَ النَّاقَةَ وَالَّذِي يَضْرِبُكَ يَا عَلِيُّ عَلَى هَذا يَعْنِي قَرْنَهُ حَتَّى تُبتلَّ مِنْهُ هَذِهِ يَعْنِي لِحْيَتَهُ

ฉันจะเล่าให้ท่านฟังเอาไหม ถึงคนชั่วช้าที่สุด เขาตอบว่า เอาครับ
ท่านรอซูลกล่าวว่าคือชายสองคน คนหนึ่งคือกุดดาร บินซาลิฟที่ฆ่าอูฐ
ส่วนอีกคนคือ(อิบนุมุลญิม)ที่จะฟันเจ้า โอ้อะลี(ด้วยดาบ)ลงตรงนี้
หมายถึงกระหม่อมของอะลี จนกระทั่งเคราของเขาชุ่มไปด้วยเลือด
ท่านตอบรอนีได้บันทึกไว้ใน มุอ์ญัม กะบีร เล่ม 8: 38 ฮะดีษที่ 7311
[
#5
ซอฮาบะฮ์ตำหนิการแต่งตั้งอุซามะฮ์ของท่านนบีฯ(ศ.)

วันเสาร์  ก่อนที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ.) จะวะฟาตประมาณสองถึงสามวัน  ท่านนบี(ศ.)ได้แต่งตั้งอุซามะฮ์เป็นแม่ทัพ ให้คุมทัพไปปราบพวกโรมที่เมืองชาม

ทหารภายใต้การนำทัพของอุซามะฮ์มีทั้ง ชาว "มุฮาญิรีนและชาวอันศ็อรระดับอาวุโส" รวมอยู่ด้วยอาทิเช่น ท่านอบูบักร อุมัร ...

ปรากฏว่า ซอฮาบะฮ์ไม่พอใจที่อุซามะฮ์ได้เป็นแม่ทัพ พวกเขาจึงตำหนิอุซามะฮ์ว่าไม่มีความเหมาะสม 
บุคอรี มุหัดดิษวะห์บีรายงานว่า

عَنِ ابْنِ عُمَرَ - رضى الله عنهما – قَالَ :  أَمَّرَ رَسُولُ اللَّهِ - صلى الله عليه وسلم - أُسَامَةَ عَلَى قَوْمٍ ، فَطَعَنُوا فِى إِمَارَتِهِ ، فَقَالَ « إِنْ تَطْعَنُوا فِى إِمَارَتِهِ ، فَقَدْ طَعَنْتُمْ فِى إِمَارَةِ أَبِيهِ مِنْ قَبْلِهِ ، وَايْمُ اللَّهِ لَقَدْ كَانَ خَلِيقًا لِلإِمَارَةِ ، وَإِنْ كَانَ مِنْ أَحَبِّ النَّاسِ إِلَىَّ ، وَإِنَّ هَذَا لَمِنْ أَحَبِّ النَّاسِ إِلَىَّ بَعْدَهُ » . صحيح البخاري  ح : 4250

ท่านอิบนุอุมัรรายงานว่า  :
"ท่านรอซูลุลเลาะฮ์ได้แต่งตั้งอุซามะฮ์เป็นแม่ทัพเหนือกลุ่มชนหนึ่ง  แล้วพวกเขา(เศาะหาบะฮ์)ได้ "ตำหนิ" ในการเป็นแม่ทัพของเขา 
(ท่านนบีได้ออกมาปราศัยว่า) หากพวกเจ้าตำหนิการเป็นแม่ทัพของเขา แน่นอนพวกเจ้าเคยตำหนิการเป็นแม่ทัพของบิดาเขามาแล้วก่อนหน้าเขา ขอสาบานต่ออัลเลาะฮ์ว่า เขาเหมาะสมสำหรับตำแหน่งแม่ทัพนี้ และเขาเป็นที่รักยิ่งสำหรับฉัน และชายคนนี้ (อุสามะฮ์บุตรเซด) เป็นที่รักยิ่งของฉันภายหลังจากเขา (ที่จะนำทัพไปรบ)"
เศาะหี๊หฺบุคอรีย์ หะดีษที่ 4250

อ่านกันชัดๆอีกทีนะ

فَطَعَنُوا فِى إِمَارَتِهِ

พวกเขา(คือซอฮาบะฮ์)ได้ตำหนิในการเป็นแม่ทัพของเขา 
เท่ากับซอฮาบะฮ์ตำหนิท่านนบีมุฮัมมัด(ศ.)เพราะท่านคือผู้แต่งตั้งอุซามะฮ์ ใช่หรือไม่

ชะฮ์ร็อสตานี ยังบันทึกไว้ในหนังสืออัลมิลัลวันนิหัลของเขาว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ.)ได้ออกมากำชับซอฮาบะฮ์ว่า จงออกไปกับรวมกับกองทัพและกล่าวว่า

لَعَنَ اللهُ عَلَي مَنْ تَخَلَّفَ عَنْ جَيْشِ أُسَامَة

"ขออัลเลาะฮ์ทรงละนัตผู้ที่ยังไม่ไปเข้าร่วมกับกองทัพอุซามะฮ์"
แต่ ฮาดีษนี้เป็น ฮาดีษดออีฟ ใช้อ้างอิงไม่ได้

เหตุเพราะ ฮาดีษบทนี้ ไม่มีสะนัด

لَعَنَ اللهُ عَلَي مَنْ تَخَلَّفَ عَنْ جَيْشِ أُسَامَة

ตามทัศนะวะห์บีจึงถือว่า ดออีฟ อ้างอิงไม่ได้

คำถาม
ทำไมซอฮาบะฮ์ถึงตำหนิการแต่งตั้งของท่านนบีฯ(ศ.)
ท่านคิดว่า อย่างไรในเรื่องนี้  คือซอฮาบะฮ์ตำหนิท่านนบี(ศ.) หรือบุคอรีใส่ร้ายพวกเขา
#6
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่  10 ตอนอวสาน

นักปราชญ์ซุนนี่ชื่อ อัลลามะฮ์ ซอวีย์ กล่าวว่า พวกวาฮาบีย์ คือ พรรคพวกของชัยตอน

อัลลามะฮ์ อัศศอวี  ในฮาชียะฮ์ของท่าน ในตัฟสีรอัลญะลาลัยน์ กิตาบ ฮาชียะตุลอัลลามะตุศ-ศอวี อะลา ตัฟสีริลญะลาลัยน์ ของท่านเชคอะหมัด บินมุฮัมมัด อัศศอวี อัลมาลีกี มรณะฮ.ศ.1241 คือประมาณ 170 ปี เล่มที่ 5 หน้า 78 ตรงการตัฟสีรพระดำรัสอัลลอฮ์ ตะอาลา :

( إِنَّ الشَّيْطَانَ لَكُمْ عَدُوٌّ فَاتَّخِذُوْهُ عَدُوًّا إِنَّمَا يَدْعُوْ حِزْبَهُ (فاطر الآية 6).

"แท้จริง มารชัยฏอนนั้นเป็นศัตรูกับพวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจงถือว่ามันเป็นศัตรู (1) แท้จริง มันเรียกร้องพลพรรคของมัน เพื่อให้พวกมันเป็นสหายแห่งไฟลุกโชติช่วง"   
(ซูเราะฮ์ ฟาฏิร  : 6 )

(1)  มันเป็นศัตรูตัวฉกาจ การเป็นศัตรูของมันมีมาแต่ดึกดำบรรพ์ จะหมดสิ้นไปไม่ได้ ฉะนั้นจงเป็นศัตรูกับมัน เหมือนกับที่มันเป็นศัตรูกับพวกเจ้า และอย่าได้เชื่อฟังมันเป็นอันขาด

http://alquran-thai.com/ShowSurah.asp

يَقُوْلُ : وَقِيْلَ هَذِهِ الْآيَةُ نُزِلَتْ فِي الْخَواَرِج الَّذِيْنَ يُحَرِّفُوْنَ تَأْوِيْلَ الْكِتاَبِ وَالسُّنَّةِ وَيَسْتَحِلُّوْنَ بِذَلِكَ دِمَاءَ الْمُسْلِمِيْنَ وَأَمْوَالَهُمْ

อัลลามะฮ์ศอวี อัลมาลีกี ได้อธิบายว่า  บางคนกล่าวว่า "โองการนี้ถูกประทานลงมาเกี่ยวกับพวกค่อวาริจญ์ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่บิดเบือนการตะอ์วีลอัลกิตาบและซุนนะฮ์ และพวกเขาถือว่าการหลั่งเลือดบรรดามุสลิมและทรัพย์สินของพวกเขาเป็นที่ฮะล้าล"

كَماَ هُوَ مُشَاهَدٌ الْآن فِي نَظَائِرِهِمْ وَهُمْ فِرْقَةٌ بِأَرْضِ الْحِجاَزِ يُقاَلُ لَهُمُ الْوَهابِيَّة يَحْسَبُوْنَ أَنَّهُمْ عَلَى شَيْءٍ أَلاَ إِنَّهُمْ هُمُ الْكاَذِبُوْنَ

"ดั่งที่มันเป็นที่ประจักษ์ในปัจจุบันในสายตาของพวกเขา และพวกคนกลุ่มนี้อยู่ที่แผ่นดินฮิญาซ(ซาอุดิอารเบีย) พวกเขามีชื่อเรียกกันว่า "อัลวาฮาบียะฮ์" พวกเขาคิดว่า พวกเขานั้นอยู่บนสิ่งหนึ่ง พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกเขานั้นคือ พวกคนโกหก"

اسْتَحْوَذَ عَلَيْهِمُ الشَّيْطَانُ فَأَنْسَاهُمْ ذِكْرَ اللَّهِ أُولَئِكَ حِزْبُ الشَّيْطَانِ أَلَا إِنَّ حِزْبَ الشَّيْطَانِ هُمُ الْخَاسِرُونَ

"ชัยฎอนมารร้ายได้เข้าไปครอบงำพวกเขาเสียแล้ว มันจึงทำให้พวกเขาลืมการรำลึกถึงอัลลอฮ ชนเหล่านั้นคือพรรคพวกของชัยฏอน พึงทราบเถิดว่า แท้จริงพรรคของชัยฏอนนั้น พวกเขาเป็นผู้ขาดทุน"

نسأل الله الكريم أن يقطع دابرهم : انتهي كلام الشيخ الصاوي المالكي.

"เราขอวิงวอนต่ออัลลอฮ์ ผู้ทรงการีมยิ่ง โปรดตัดขาดเส้นทางของพวกเขาด้วยเถิด."

จบคำพูดของเชคอัศศอวี อัลมาลีกี.

อ้างอิงจากเวบ ซูฟี
http://www.soufia.org/vb/showthread.php?t=6878

หมายเหตุ : พวกวาฮาบีได้พิมพ์ตัฟสีรนี้ขึ้นใหม่ โดยได้ตัดทอนคำพูดของเชคศอวีอัลมาลีกีวรรคนี้ออกไปคือ

كَماَ هُوَ مُشَاهَدٌ الْآن فِي نَظَائِرِهِمْ وَهُمْ فِرْقَةٌ بِأَرْضِ الْحِجاَزِ يُقاَلُ لَهُمُ الْوَهابِيَّة يَحْسَبُوْنَ أَنَّهُمْ عَلَى شَيْءٍ أَلاَ إِنَّهُمْ هُمُ الْكاَذِبُوْنَ

"ดั่งที่มันเป็นที่ประจักษ์เห็นในปัจจุบันในสายตาของพวกเขา และพวกคนกลุ่มนี้อยู่ที่แผ่นดินฮิญาซ(ซาอุดิอารเบีย) พวกเขามีชื่อเรียกกันว่า "อัลวะฮาบียะฮ์" พวกเขาคิดว่า พวกเขานั้นอยู่บนสิ่งหนึ่ง พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกเขานั้นคือ พวกคนโกหก"
#7
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่ 9

คำสอนของนักวิชาการ "ซาอุฯ" คือ มุสลิมทุกคนที่ไม่ดำเนินตามแนวทาง "ชัยค์มุหัมมัด บินอับดุลวะฮาบ" มุสลิมคนนั้นได้เดินอยู่บนทางของ "ชาวนรก"

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

หลักฐาน

หนังสือรวบรวมคำฟัตวาของชัยค์มุหัมมัด บินอับดุลวะฮาบ รวมทั้งนักวิชาการซาอุดิอารเบียจนปัจจุบันชื่อ

กิตาบ อัดดุร็อร อัส สะนียะฮ์ เล่ม 14 หน้า 375 ได้กล่าวว่า

ولا ينبغي لأحد من الناس العدول عن طريقة آل الشيخ، رحمة الله عليهم، ومخالفة ما استمروا عليه في أصول الدين، فإنه الصراط المستقيم، الذي من حاد عنه فقد سلك طريق أصحاب الجحيم

"ไม่สมควรแก่บุคคลใดจากมนุษย์ ที่จะหันเหออกจากแนวทางของลูกหลานชัยค์(มุหัมมัด บินอับดุลวะฮาบ) และขัดแย้งกับสิ่งที่เขา(ชัยค์มุหัมมัดบินอับดุลวะฮาบ)ดำเนินอยู่บนมันในเรื่องรากฐานศาสนา(อิสลาม) เพราะมันคือทางที่เที่ยงตรง ซึ่งบุคคลใดต่อต้านเขา(ชัยค์มุหัมมัดบินอับดุลวะฮาบ) เท่ากับเขา(คนนั้น)ได้ดำเนินบนเส้นทางของชาวนรกเสียแล้ว"

เพราะคำสอนของผู้รู้ "ซาอุฯ" แบบนี้ใช่ไหม ที่ผู้ยึดถือแนวทางของ "ชัยค์มุหัมมัด บินอับดุลวะฮาบ" (เรียกว่า แนวทางวะฮาบีย์)จึง มองว่า มุสลิมกลุ่มอื่นๆบนโลกเป็น "ชาวนรก"
#8
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่ 8

ท่านอาจมีคำถามว่า

ทำไมเราจึงไปปรักปรำว่า พวกไอซิส ก็คือ พวกวาฮาบี หรือ ทำไมเราจึงไปปรักปรำว่า พวกวาฮาบี คือพวก นิยมไอสิส เชียร์ไอสิส

คำตอบ
   เราไม่ได้ปรักปรำวาฮาบีเลย แต่หลักฐานเรื่องนี้มีมากมายทั้งตำรา คลิปบรรยายโดยนักวิชาการวาฮาบีทั่วโลกและในไทย
และหนึ่งในหลักฐานนั้นคือ
   พวกไอซิส ได้แจกจ่าย หนังสือ กิตาบ อัตเตาฮีด ของชัยค์มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ แก่ประชาชนในบ้านเมืองที่พวกเขาเข้าไปมีอำนาจยึดครอง เพื่อให้ประชาชนเชื่อถือตามแนวคิดชัยค์มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ
และตำรานั้นคือ ตำรา "เตาฮีด" ของ ชัยค์ มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ ที่พวกไอสิสแจกจ่ายกับประชาชนในเขตแดนที่พวกเขายึดครอง
#9
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่ 7

วาทะกรรมลวงโลกที่ว่า วาฮาบีนิยมไอสิสกับอะชาอิเราะฮ์มีอะกีดะฮ์เดียวกัน

   ประเด็นสำคัญที่เราไม่ควรมองข้ามคือ วาฮาบี(คณะใหม่)กับพี่น้องซุนนี่คณะเก่า มีหลักอะกีดะฮ์ขัดแย้งกันในเรื่องซีฟัตของอัลเลาะฮ์(ซ.บ.) อย่างรุนแรงมาก ถึงขั้นที่นักวิชาการของทั้งสองฝ่ายต่างฮุก่มใส่กันเป็นกาฟิร

   เชค ด็อกเตอร์ ซอและห์ อัลเฟาซาน  เกิดฮ.ศ. 1354 อายุ 84 ปี ปราชญ์วาฮาบีกล่าวว่า
"ตัวบทซีฟาต(ของอัลลอฮ์)มาจาก มุห์กัม(ชัดเจน)ไม่ใช่มาจาก มุตะชาบิฮ์(คลุมเครือ) มุสลิมูนได้อ่านมัน เรียนมัน เข้าใจความหมายของมัน และพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธสิ่งใดจากมัน ท่านวะกิ๊อ์กล่าวว่า เราอยู่ทันท่านอัลอะอ์มัชกับท่านสุฟยาน พวกเขาได้รายงานฮะดีษเหล่านี้(หมายถึงฮะดีษเกียวกับซีฟาตของอัลลอฮ์) และพวกเขาไม่ได้ปฏิเสธมัน จบ. แท้จริงผู้ที่ปฏิเสธมันคือพวกสร้างบิดอะฮ์จากพวกญะฮ์มียะฮ์ พวกมุอ์ตะซิละฮ์และพวกอะชาอิเราะฮ์ พวกเขาดำเนินตามแนวทางของพวกตั้งภาคีกุเรช พวกเขาคือพวกที่ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์ และพวกเขาที่เบี่ยงเบนในพระนามของอัลลอฮ์"
ดูหนังสือ อัลอิรช๊าด อิลา ซอฮิ๊ฮ์ อัลเอี๊ยะอ์ติกอด วัลร็อดดุ อะลา อะฮ์ลิช-ชิรกิ วัลอิลฮ๊าด หน้า 144

เชคซอและห์เฟาซานกล่าวชัดว่า "อะชาอิเราะฮ์(ซุนนี่คณะเก่า)ดำเนินตามแนวทางของมุชริกีน คือพวกปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์"

   แล้ววาฮาบีจะลวงโลกว่า วาฮาบีกับซุนนี่คณะเก่ามีอะกีดะฮ์เดียวกัน อีกหรือ หากเชื่อเหมือนกันจริงๆ นักปราชญ์วาฮาบีแห่งซาอุฯคงไม่ตักฟีรซุนนี่คณะเก่าเป็นกาฟิรหรอก จริงหรือไม่

อิหม่าม อบุลฮาซัน อัลอัชอะรี ตาย ฮ.ศ. 324 กล่าวว่า

مَنِ اعْقَتَدَ أنَّ اللهَ جِسْمٌ فَهُوَ غَيْرُ عاَرِفٍ بِرَبِّهِ وَإنَّهُ كاَفِرٌ بِهِ

"ผู้ใดก็ตามที่มีหลักความเชื่อว่า อัลลอฮ์มีเรือนร่าง เขาคือผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าของเขา และเขาคือผู้ปฏิเสธต่อพระองค์"
หนังสือ อิชารอตุล มะรอม ผู้แต่ง กอฎี อัลบายาฎี อัลฮานาฟี หน้า 168

   เป็นที่รู้กันดีว่า ตำราของอิบนุตัยมียะฮ์และตำราของชัยค์ มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ ล้วนอธิบายซีฟัตคุณลักษณะของอัลลอฮ์(ซ.บ.)ในแนวตัจญ์ซีมและตัชบียะห์(เปรียบว่าอัลลอฮ์มีเรือนร่างมีลักษณะคล้ายมนุษย์)ทั้งสิ้น แม้จะอ้างว่า อัลลอฮ์ไม่เหมือนสิ่งใดก็ตาม
   เมื่อวาฮาบีมีหลักอะกีดะฮ์ว่า อัลลอฮ์มีเรือนร่าง อุละมาอ์ซุนนี่คณะเก่าจึงอาศัยคำพูดของผู้ก่อตั้งมัซฮับอะชาอิเราะฮ์ข้างต้นฟันธงว่า วาฮาบี มุญัซซิมะฮ์ คือ กาฟิร แล้วแบบนี้เหมือนกันหรือ

ดังนั้นอย่าให้วาฮาบีนิยมไอสิส มาล่อลวงพวกท่านว่า เราคือ ซุนนี่เหมือนกัน ไม่ต่างกันเลยในเรื่องอะกีดะฮ์ความเชื่อ 
เอาแค่อะกีดะฮ์ ก็คนละ พระเจ้าแล้ว คงไม่ต้องเอ่ยถึง ข้อปฏิบัติในเรื่องปลีกย่อยนะ
#10
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่ 6

   วาฮาบีนิยมไอสิสพยายามใส่ร้ายมุสลิมชีอะฮ์ ให้ชาวซุนนี่ชิงชังเรื่องซอฮาบะฮ์ ทั้งๆที่ฝ่ายชีอะฮ์ได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้หลายครั้งหลายหน แต่วาฮาบีก็ไม่ยอมยุติ

ทีนี้เรามาดูว่า อิบนุตัยมียะฮ์และชัยค์มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ เสาหลักของวะฮาบีใส่ร้ายตำหนิซอฮาบะฮ์ อย่างไร

1.อิบนุตัยมียะฮ์ กล่าวว่า "เป็นที่รู้กันดีว่า อัลลอฮ์ทรงใส่ความรักแก่ซอฮาบะฮ์ไว้ในหัวใจของมุสลิมทุกคน โดยเฉพาะบรรดาคุละฟาอ์ โดยเฉพาะท่านอบูบักรและท่านอุมัร เพราะบรรดาซอฮาบะฮ์และตาบิอีนล้วนรักชอบบุคคลทั้งสอง พวกเขาคือคนประเสริฐสุดแห่งศตวรรษทั้งหลาย"

وَلَمْ يَكُنْ كَذَلِكَ عَلِيٌّ، فَإِنَّ كَثِيرًا مِنَ الصَّحَابَةِ وَالتَّابِعِينَ كَانُوا يُبْغِضُونَهُ وَ يَسُبُّوْنَهُ وَ يُقاَتِلُوْنَهُ

"แต่สำหรับท่านอะลีกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะ ซอฮาบะฮ์และตาบิอีนส่วนมาก ชิงชังท่านอะลี ด่าทอท่านอะลี และสู้รบกับท่านอะลี" 
ดูหนังสือ มินฮาญุซซุนนะฮ์  เล่ม 4 หน้า 145 

คำพูดของอิบนุตัยมียะฮ์นี้ ได้ใส่ร้ายซอฮาบะฮ์และตาบิอีนส่วนมาก ว่า พวกเขามีความชิงชัง ด่าทอ สู้รบกับท่านอะลี ทั้งๆที่ท่านนาบี(ศ)กล่าวกับอาลี(อ.)ว่า "จะไม่มีใครรักเจ้านอกจากมุอ์มิน และจะไม่มีใครชิงชังเจ้านอกจากมุนาฟิก" รายงานโดยมุสลิม

2.ชัยค์ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ ได้ตำหนิซอฮาบะฮ์ว่า หลงผิด โง่เขลา ชั่วร้าย
หนังสือของเขาชื่อ  มุคตะศ็อร ซีเราะติลรอซูล  หน้าที่  314

ชัยค์ มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ กล่าวถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 33 ว่า
"ชาวอิรักได้กล่าวถึงท่านอุษมานด้วยความไม่ดี พวกเขาได้สนทนาเกี่ยวกับท่านอุษมานด้วยคำพูดที่หยาบคายในที่ประชุมของท่านสะอีด บิน อามิร เขาจึงได้เขียนจดหมายในเรื่องของชาวอิรักส่งไปหาท่านอุษมาน ท่านอุษมานจึงออกคำสั่งกับเขาว่าให้ขับพวกอิรัก(กลุ่มนี้)ไปเมืองชาม เมื่อพวกเขา(ชาวอิรักกลุ่มนี้)เดินทางเข้ามาพบท่านมุอาวียะฮ์(เจ้าเมืองชาม) เขาได้ให้เกียรติพวกอิรัก ต้อนรับพวกเขาและตักเตือนพวกเขา ตัวแทนชาวอิรักได้ตอบต่อมุอาวียะฮ์ด้วยคำพูดที่รุนแรง จากนั้นท่านมุอาวียะฮ์ได้ตักเตือนพวกเขา"

فَتَماَدَوْا فِي غَيِّهِمْ وَجَهاَلَتِهِمْ وَشَرِّهِمْ  فَنَفاَهُمْ مُعاَوِيَّةُ عَنِ الشاَّم ، وَكاَنُوْا عَشَرَة

"ชาวอิรักได้แสดงความเลยเถิดในความหลงผิดของพวกเขา ในความโง่เขลาของพวกเขา และในความชั่วร้ายของพวกเขา ดังนั้นท่านมุอาวียะฮ์จึงเนรเทศพวกเขาออกจากเมืองช่าม พวกเขามีสิบคนคือ กุเมล บิน ซิยาด ,อัลอัชตัร อันนะคออี(คือมาลิก บิน ยะซีด) ,อัลกอมะฮ์ บินก็อยส์ อันนะคออี ,ษาบิต บิน ก็อยส์ อันนะคออี, ญุนดุบ บินซูเฮร อัลอามิรี, (ญุนดุบ บิน กะอับ) อัลอะซะดี, อุรวะฮ์ บิน อัลญุอ์ดิ, (อัมรูว์ บิน อัลหะมั๊ก) อัลคุซาอี, เศาะซ่ออะฮ์ บิน ซูฮาน, น้องชายของเขา เซด บิน ซูฮาน, อิบนุลเกาวาอ์"

ชาวอิรักเหล่านี้ มี ซอฮาบะฮ์อยู่ด้วยสองท่าน

1.  ญุนดุบ บิน กะอับ อัลอะซะดี ถูกพวกช่ามสังหารในสงครามซิฟฟีน   
อัซซะฮะบี กล่าวใน สิยัร อะอ์ลามุน-นุบะลาอ์ เล่ม 3 : 175 อันดับที่ 31

ญุนดุบ อัลอะซะดี นั่นคือญุนดุบ บินอับดุลลอฮ์ เรียกกันว่า ญุนดุบ บินกะอับ อบูอับดุลลอฮ์ อัลอะซะดี ซอฮาบะฮ์ของท่านนบี(ศ) เขารายงานจากท่านนบี(ศ.) จากท่านอะลี(อ.) และท่านซัลมาน(ร.ฏ.)
อิบนุฮะญัร กล่าวใน อัลอิซอบะฮ์ ฟี ตัมยีซิซ-ซอฮาบะฮ์ อันดับที่ 1229 ว่า อิบนุฮิบบานกล่าวว่า ญุนดุบ บินกะอับ อัลอะซะดี เขาคือซอฮาบะฮ์ของท่านนบี (ศ)

2. อัมรูว์ บิน อัลหะมั๊ก ถูกพวกช่ามสังหารในสงครามซิฟฟีน   
อิบนุฮะญัร กล่าวใน ตักรีบ อัตตะฮ์ซีบ เล่ม 1: 420 อันดับที่ 5017

    อัมรูว์ บิน อัลหะมะกิ บินหะบีบ อัลคุซาอี ซอฮาบะฮ์นบี อาศัยที่กูฟะฮ์ ต่อมาที่อียิปต์ ถูกสังหารในสมัยการปกครองของมุอาวียะฮ์
อิบนุฮะญัร กล่าวใน อัลอิซอบะฮ์ ฟี ตัมยีซิซ-ซอฮาบะฮ์ อันดับที่ 5822 ว่า
    อัมรู บินอัลหะมั๊ก อิบนุสสะกันกล่าวว่า เขาคือ ซอฮาบะฮ์นบี
ชัยค์ มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ ผู้นี้ได้ตำหนิซอฮาบะฮ์นบีถึงสองท่านว่า หลงผิด โง่เขลา และชั่วร้าย
   
    เราจึงขอถามว่า วาฮาบีนิยมไอสิส จะตัดสินอิบนุตัยมียะฮ์ และชัยค์ มุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ อย่างไร
วาฮาบีอ้างว่า  ท่านอบู ซุรอะฮ์ อัลรอซี กล่าวว่า

إذاَ رَأَيْتَ الرّجُلَ يَنْتَقِصُ أَحَداً مِنْ أَصْحاَبِ رَسُوْلِ اللَّه (ص) فاَعْلَمْ أَنَّهُ زِنْدِيْقٌ

"เมื่อคุณพบเห็นบุคคลใดตำหนิให้ร้ายซอฮาบะฮ์คนหนึ่งคนใดก็ตาม จงรู้เถิดว่าเขาคนนั้นคือ ซินดี๊ก(ผู้ที่สิ้นสภาพจากผู้ศรัทธา)"
ดูหนังสืออัลอิซอบะฮ์ ฟี ตัมยีซิซ-ซอฮาบะฮ์ เล่ม  1 : 22

คำถามคือ : อิบนุตัยมียะฮ์และมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ เป็นซินดี๊กมานานแล้ว ทำไมวาฮาบีจึงนับถือศาสนาอิสลามตามแนวทางของ ซินดี๊กสองคนนี้ ???
บรรดาวาฮาบีนิยมไอสิสทั้งหลายกรุณาชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วย
#11
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่ 5

หนทางแก้ไขปัญหาฟิตนะฮ์ของวาฮาบี นิยมไอสิส

     อุละมาอ์มุสลิมทุกมัซฮับในโลกอิสลาม รวมทั้งสังคมมุสลิมในประเทศไทย ปัญญาชนมุสลิมทุกกลุ่มควรปรึกษาหารือวางแผนการอย่างเป็นระบบในการรับมือแนวคิดวาฮาบีนิยมไอสิสอย่างเอาจริงเอาจัง ไม่ควรปล่อยปละละเลยหรือมองข้ามโดยคิดว่าไม่สำคัญ
     เหตุเพราะคิดแบบนี้มานานจนปัจจุบันวาฮาบีนิยมไอสิสคือปัญหาสำคัญของมุสลิมทุกกลุ่ม บางคนมองเห็นฟิตนะฮ์ของวาฮาบี แต่พูดกับพวกตนเองว่า เราอย่าไปสนใจ อย่าไปเต้นตาม เพราะคนที่พูดแบบนี้ไม่คิดจะรับมือให้เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง ผลคือเยาวชนหนุ่มสาวของเราถูกหลอกลวงไปเป็นวาฮาบีที่ล่อลวงพวกเขาว่า พวกเราคือผู้ตาม "กิตาบและซุนนะฮ์" ตัวจริง ทั้งๆที่พวกวาฮาบีโกหกเอามาอ้าง

หากต้องการแก้ไขปัญหาแนวคิดวาฮาบีนิยมไอสิสอย่างจริงจัง จำเป็นต้องดำเนินตามแผนการนี้

1.จัดทำตำรา ชี้แจงให้มุสลิมเข้าใจแนวคิดวาฮาบีนิยมไอสิสว่าขัดแย้งต่ออุละมาอ์อิสลามโดยส่วนมาก วาฮาบีนำความเสื่อมเสียมาให้กับโลกมุสลิมเช่น พวกไอสิส

2.จัดทำตำรา ตอบโต้ชี้แจงของชุบฮะฮ์ของวาฮาบี ตอบโต้อะกีดะฮ์บาติลของวาฮาบี ต้องค้นคว้าหาตำราวาฮาบีมาให้มุสลิมได้ประจักษ์ว่า วาฮาบีมีทัศนะอย่างไรต่ออัลลอฮ์(ซ.บ.) ต่อนาบี(ศ.) ต่อบรรดามุสลิมกลุ่มอื่น

3.ต้องสร้างตำราหลักศรัทธาที่ถูกต้อง ตำราฟิกฮ์ ตำราอัคล๊าก ตะเซาวุฟขึ้นมาแทนที่ตำราวาฮาบี

4.สร้างห้องสมุดตามมุมมัสยิด บาแล ฮูซัยนียะฮ์ แน่นอนในขั้นตอนนี้ต้องได้รับการสนับสนุนงบประมาณเพราะต้องบรรจุหนังสือเข้าไปตามสถานที่ต่างๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชนนั้นๆ

4.ส่งเสริมลูกหลานให้ไปเรียนศาสนาอย่างมีอุดมการณ์รับใช้อิสลาม จนจบหลักสูตรทั้งในและต่างประเทศ เป็นการผลิตผู้รู้นักวิชาการออกมาเพื่อรองรับสังคมที่ขยายตัวตามกาลเวลา สร้างสถาบันสอนศาสนาให้มากขึ้น เพราะถ้าชุมชนไหนรู้จักธาตุแท้ของวาฮาบีนิยมไอสิส เขาก็จะไม่เป็นวาฮาบี

5.สร้างบุคลากรทางศาสนาให้มากขึ้น ให้มีคุณภาพ เช่นต้องมีอิหม่าม มีคอเตบ มุอัซซิน เป็นกรรมการมัสยิดหรือมีส่วนร่วมในองค์กรมุสลิม เพื่อเข้าไปดูแลมัสยิดและชุมชนที่ตนอาศัยอยู่

6.สร้างนักวิชาการสายสามัญ หรือนักวิชาการสายศาสนา เข้าไปสอน ไปบรรยายตามโรงเรียนและมหาลัยต่างๆ เพื่อชี้แจงการใส่ร้ายของวาฮาบีนิยมไอสิสที่มีต่อมุสลิมกลุ่มอื่นอย่างอธรรม

7.ฉกฉวยโอกาศในยุคโซเชี่ยลมีเดีย ช่วยแชร์ข้อมูลภัยของวาฮาบีนิยมไอสิสไปยังกลุ่มไลน์และเฟสบุคห้องต่างๆ ให้พวกเขาได้อ่าน ได้รับรู้

8.พยายามสร้างความสัมพันธ์ ความสมานฉันท์ระหว่างกลุ่มมุสลิมด้วยกัน อย่าให้วาฮาบีนิยมไอสิสเข้ามายุยงในสังคมและชุมชนมุสลิม ให้แตกแยกเพียงเพราะมีความเชื่อต่าง คิดต่าง ทำต่างในเรื่องขนบธรรม วัฒนธรรมที่ไม่ขัดต่อหลักการอิสลาม แต่ไปขัดต่อแนวคิดวาฮาบีนิยมไอสิส
#12
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่ 4

อัตลักษณ์ของวาฮาบี นิยมไอสิส

1.พวกวาฮาบีนิยมไอสิส มักสวมใส่กางเกงหรือโต๊ฟ สั้นเต่อถึงหน้าแข้ง ไว้เครายาวรุงรังไม่เรียบร้อย

2.ไม่ใช้สติปัญญากับความเข้าใจตัวบทศาสนา ยึดถือความหมายซอเฮ็ร (แปลตรงตัวตามเปลือกนอกของภาษา) ไม่สังกัดอยู่ในสี่มัซฮับซุนนี่ ตะอัซซุบมีความคลั่งหนักมากต่ออุละมาอ์วาฮาบี จะปฏิบัติตามคำฟัตวาของบรรดาเชควาฮาบี โดยไม่ทำความเข้าใจเหตุผลของฟัตวา

3.ไม่มีมารยาทอัคล๊ากในอิสลามในการพูดการสนทนา จะปฏิบัติต่อคนต่างมัซฮับด้วยความต่ำช้า ใช้วาจาหยาบไม่สุภาพ ไม่ให้เกียรติ ตรงกันข้ามกับซุนนะฮ์นบี(ศ.)

4.ไม่ให้ความเคารพต่ออะฮ์ลุลบัยต์ วงศ์วานของท่านศาสดา เราคงเคยได้ยินวาฮาบีบางคนเรียก อะฮ์ลุลบัยต์ว่า "อะฮ์ลุนเปรต" เป็นการไม่ให้เกียรติกับผู้สืบเชื้อสายอะฮ์ลุลบัยต์ คือบรรดาสัยยิด ไม่ว่าจะเป็นสัยยิดชีอะฮ์หรือสัยยิดซุนนี่ วาฮาบีจะตำหนิว่าไม่ใช่สัยยิดจริง เช่น ท่านฮะบีบอัลญุฟรี สัยยิดซุนนี่ก็โดนดูถูก การแสดงหลักฐานความเป็นสัยยิดไม่มีประโยชน์ พวกเขาจะดูหมิ่นเหยียดหยามสัยยิดด้วยคำพูดต่างๆนานา เพราะพวกเขารู้ดีว่าบรรดาสัยยิดมีสถานะสำคัญทางจิตใจของพี่น้องมุสลิม

5.ประนามขัดขวางการปฏิบัติศาสนกิจของมุสลิมมัซฮับอื่น เพราะสิ่งเหล่านั้นขัดแย้งต่ออะกีดะฮ์วาฮาบีนิยมไอสิสเช่น ตำหนิชาวซุนนี่นั่งซิกรุลเลาะฮ์เป็นกลุ่มเป็นวง ต่อต้านการจัดงานเมาลิดนาบี(ศ.) ต่อต้านการอ่านซอลาวาตนาบี(ศ.) หลังอะซาน ต่อต้านการจัดมัจลิสอาชูรอเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของฮูเซน หลานรักของท่านศาสดา เป็นต้น
#13
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่ 3

วาฮาบีนิยมไอสิส สกัดกั้นพวกตนไม่หลุดออกจากแนวคิดพวกเขาอย่างไร

1.อุละมาอ์วาฮาบีจะสอนคนของเขาว่า มุสลิมทุกมัซฮับคือ พวกบิดอะฮ์ เดาะลาละฮ์ มุชริก ดังนั้นห้ามคบ ห้ามคุย ห้ามอ่านตำรา ห้ามรับฟังเหตุผล ห้ามพิจารณาหลักฐานของฝ่ายตรงข้ามเด็ดขาด การปิดหูปิดตาอะวามวาฮาบีนี้คือความขี้ขลาด เป็นวิธีเดียวกันกับพวกมุชริกมักกะฮ์ที่ปฏิบัติกับท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) มาก่อน

2.สกัดกั้นวาฮาบีระดับธรรมดาไม่ให้เครดิตกับฝ่ายตรงข้าม ด้วยการให้ร้ายป้ายสีมุสลิมฝ่ายอื่นว่า เป็นอะฮ์ลุลบิดอะฮ์ เดาะลาละฮ์ มุชริก ญะฮ์มียะฮ์ มุอัตติละฮ์ เป็นศัตรูต่อเตาฮีด ศัตรูต่อซุนนะฮ์นบี(ศ.) ยัดข้อหาให้เป็นยิว สุดท้ายก็ตักฟีรพี่น้องมุสลิม นี่คืออัตลักษณ์ของวาฮาบีที่รู้กันดีในโลกมุสลิม

3.หากพวกวาฮาบีมีอำนาจมีอิทธิพลในท้องถิ่นที่ตนอยู่ ก็จะก่อการวิวาท ก่อเรื่องทำร้าย และทำลายฝ่ายตรงข้าม สุดท้ายลงมือสังหารฝ่ายตรงข้าม ทั้งที่ปัจจุบันคือยุคแห่งอารยธรรม ยุควิชาการ ไม่ใช่ยุคอนารยชน ที่ทารุณ, โหดร้าย, นิยมความรุนแรง นิยมสงคราม เช่นพวกไอสิส เข่นฆ่าผู้คนเหมือนผักเหมือนปลา จนทำให้ชาวโลกชิงชังมุสลิมและอิสลาม

4.แก้ไขตำราอิสลามที่เป็นมรดกอ้างอิง เพื่อให้เข้ากับอะกีดะฮ์ของตน เช่นหนังสือ ชื่อ อัลอัซการ อิหม่ามนะวาวี กล่าวว่า หัวข้อเรื่อง การไปซิยาเราะฮ์ "กุโบร์" ของท่านรอซูลุ (ศ) / พวกวาฮาบีแก้ไขใหม่และพิมพ์ใหม่เป็น / หัวข้อเรื่อง การไปซิยาเราะฮ์ "มัสยิด" ของท่านรอซูล (ศ)


#14
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่  2

วิธีส่งออกแนวคิดวาฮาบี นิยมไอสิส

การส่งออกแนวคิดของกลุ่มวาฮาบีนิยมไอสิสนั้นมีหลายเส้นทาง อย่างมีความสัมพันธ์กัน มีการวางแผนไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ายซุนนี่เคยมองข้ามการขับเคลื่อนของคนกลุ่มนี้ ไม่ได้เตรียมแผนรับมืออย่างเป็นระบบ จนในที่สุดซุนนี่เก่าบางส่วนได้ให้ความสนใจ จนกลายเป็นวาฮาบีไปในที่สุด 

เรามาดูกันว่า กลุ่มวาฮาบีดำเนินการอย่างไร

1.ส่งบรรดานักดาอีย์ออกเชิญชวนสู่แนวคิดวาฮาบี ซึ่งแบ่งออกเป็นสองชนิดคือ
1.1.โต๊ะอิหม่ามมัสยิดและคอเตบ จะมีเจ้าหน้าที่ของวาฮาบีเดินทางไปเยี่ยมเยียนโน้มน้าวให้เข้าร่วมกับพวกเขา พร้อมทั้งมีงบจากประเทศแม่เช่นซาอุฯจ่ายให้ สร้างห้องสมุดให้ ส่งตำราวาฮาบีมาให้ใช้คุตบะฮ์ ใช้บรรยาย ใช้สอนคนในชุมชนนั้นๆ
1.2.ผลิตนักศึกษา โดยส่งคนทั่วโลกไปศึกษาที่มหาลัยวาฮาบี โดยเฉพาะที่นครมะดีนะฮ์ เมื่อเรียนจบตั้งแต่ระดับ ป.ตรี / โท / เอก(ด็อกเตอร์) ก็พกพาเอาแนวคิดวาฮาบีและตำราอิบนุวะฮาบ ตำราอบินุตัยมียะฮ์ มาสอนที่บ้านเกิดทั้งในชุมชนมุสลิม ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในนามนักวิชาการอิสลาม ในบ้านเรามีด็อกเต็อร์จบจากมหาลัยมุฮัมมัด บินซะอูด เป็นอธิการบดี เผยแพร่แนวคิดวาฮาบีอยู่ทางใต้ ส่วนด็อกเตอร์อีกคนก็จบจากซาอุฯเผยแพร่แนวคิดวาฮาบีในมหาลัยในก.ท.ม. และยังทำงานอยู่สำนักจุฬาฯ หมายความว่าวันนี้วาฮาบีได้เข้าไปมีอิทธิพลในสถาบันของซุนนี่เก่าโดยปริยาย ผู้ที่เรียนจบจากมหาลัยวาฮาบียังกระจายสอนแนวคิดวาฮาบีอยู่ทั่วไทย

2.จัดตั้งกลุ่มต่างๆขึ้นมาโดยอ้างว่า เชิญชวนสู่กิตาบและซุนนะฮ์ เช่น กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ซาบิกูน ซอดิกูน สะลาฟียูน มูลนิธิอนุรักษ์มรดกอิสลาม เป็นต้น กลุ่มเหล่านี้เข้าไปยังชุมชนซุนนี่เก่าที่ไหน ก็จะสร้างความแตกแยกที่นั่น จนต้องแยกสุเหร่า แยกบาแล

3.แจกจ่ายตำราแนวคิดวาฮาบี ที่อุละมาอ์วาฮาบีทั้งในอดีตและปัจจุบันแต่งขึ้น นำเสนอแนวคิดของพวกเขาด้วยสำนวนที่เข้าใจง่าย พร้อมทั้งแปลเป็นภาษาต่างๆทั่วโลก
ส่วนตำราอ้างอิงของอะฮ์ลุซซุนนะฮ์ วาฮาบีจะให้อุละมาอ์พวกตนตรวจทานและเขียนคำอธิบายเสริมไปกับตำราเหล่านั้นให้เข้ากับแนวคิดวาฮาบี ถ้าจำเป็นต้องแก้ไขใหม่ก็จะแก้ไขและจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ ฮะดีษบทใดในตำราอ้างอิงเหล่านั้น ถ้าขัดกับแนวคิดวาฮาบีก็จะถูกวิจารณ์ว่าดออีฟ ฮะดีษบทใดเข้ากับแนวคิดของพวกเขาก็จะถูกวิจารณ์ว่าซอฮิฮ์
อุละมาอ์ซุนนี่รุ่นเก่า/รุ่นใหม่คนใดที่ขัดแย้งต่อแนวคิดวาฮาบี จะถูกวาฮาบีตำหนิหรือวิจารณ์พวกเขาด้วยรูปแบบต่างๆ เพื่อดิสเครดิตสถานภาพทางวิชาการ

4.แปลตำราหลักๆในแนวคิดวาฮาบีเป็นภาษาต่างๆเช่น หนังสือของอิบนุตัยมียะฮ์ อิบนุก็อยยิม เชคมุฮัมมัดบินอับดุลวะฮาบ เชคอัลบานี เป็นต้น สร้าง ส.น.พ วาฮาบีขึ้นในประเทศต่างๆโดยเฉพาะประเทศที่มีมุสลิมอยู่จำนวนมากเช่น อินโดนีเซีย

5.แจกจ่ายสื่อวิดีทัศน์ ในรูปแบบ MP3 หรือ VCD DVD ประกอบไปด้วยคำสอน คำบรรยายและบทเรียนต่างๆของอุละมาอ์วาฮาบี

6.เผยแพร่ วิธีตอบโต้ วิธีถก วิธีหักล้างฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดวาฮาบี พยายามทำลายและสร้างความเสื่อมเสียให้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยคำพูดที่ไม่เหมาะสม ปราศจากอัคล๊ากอิสลาม ทั้งๆที่อ้างว่ากลุ่มตนคือผู้เผยแพร่กิตาบและซุนนะฮ์

7.จัดตั้งบุคลากรวาฮาบี โดยแบ่งกันทำหน้าที่ควบคุมดูแล เวบไซต์ ไลน์ เฟสบุ๊ค  รายการทีวี เพื่อเผยแพร่แนวคิดวาฮาบีทั้งเรื่องศาสนา สังคม การเมือง และคอยตอบโต้ให้ร้ายแนวทางอื่นๆ มีการสะสมข้อมูลอย่างเป็นระบบ

8.มีสื่อเพื่อเผยแพร่เช่น จานดาวเทียม รายการทีวี สถานีวิทยุ มีนักวิชาการเผยแพร่แนวคิดวาฮาบีออกสื่อเหล่านี้อยู่ตลอด 24 ช.ม.
#15
วิเคราะห์แนวคิดวาฮาบี ตอนที่ 1

1.มีหลักความเชื่อโดยกล่าวว่า อัลเลาะฮ์ ตะอาลา มีอวัยวะ เรือนร่าง และมีคุณลักษณะคล้ายมนุษย์
2.ไม่ให้เกียรติท่านศาสดามุหัมมัด(ศ.) และมีอคติชิงชังต่ออะฮ์ลุลบัยต์ของท่านศาสดา(อ.)
3.บังคับข่มขู่ทางความคิดต่อมุสลิมกลุ่มอื่นที่เห็นต่างด้วยคำ บิดอะฮ์ เดาะลาละฮ์ ชิรีก กุฟร์
4.ไม่ยอมรับมุสลิมกลุ่มอื่น แสดงความอคติชิงชังต่อกลุ่ม มุอ์ตะซีละฮ์, อะชาอีเราะฮ์, ชีอะฮ์, ซัยดียะฮ์, อิบาดียะฮ์ และต่อต้านแนวคิดการประสานความใกล้ชิดระหว่างมัซฮับต่างๆในอิสลาม
5.แอนตี้กลุ่มตอรีกัต ต่อต้านการปฏิบัติของชาวซูฟีเช่น การซิกรุลเลาะฮ์เป็นกลุ่ม, การจัดงานเมาลิดนาบี, การไปซิยาเราะฮ์กุโบร์อัมบียา, ซอฮาบะฮ์และเอาลียา เป็นต้น วาฮาบีถือว่าสิ่งเหล่านี้คือ บิดอะฮ์ ชีรีก
6.ไม่ยอมรับอุละมาอ์ตัฟซีรและตัฟซีรเล่มใด หากขัดแย้งต่อแนวคิดวาฮาบี ต่อต้านการตะอ์วีลกุรอ่านและคำมะญ๊าซ(อุปมาอุปมัย)ในกุรอ่าน ทั้งๆที่การตะอ์วีลและมะญาซคือรากฐานความเข้าใจภาษาอรับและสำนวนอรับ
7.มักอ้างเหตุผลของตนด้วยฮะดีษบางส่วนเช่น สร้างโลก 7 วัน ทั้งๆที่ฮะดีษมันขัดแย้งต่ออัลกุรอ่าน
8.เล่นกับฮะดีษนบี มีแนวคิดขัดแย้งกันในการวิจารณ์ฮะดีษเช่น ความขัดแย้งของเชคอัลบานี

(تناقضات الالباني)

ในการวิจารณ์ฮะดีษว่าซอฮิฮ์หรือดออีฟ โดยขึ้นอยู่กับแนวคิดวาฮาบี
9.ไม่ยอมรับเรื่องที่อุละมาอ์ลงมติไว้โดยอ้างว่า"ผู้ใดอ้างอิจญ์ติมาอ์ ผู้นั้นคือคนโกหก"
10.ต่อต้านการใช้สติปัญญา ต่อต้านผู้ใช้สติปัญญาทำความเข้าใจอิสลาม และต่อต้านการสนทนาปัญหาในอิสลามด้วยสันติวิธี
11.ยืนกรานอยู่บนความผิด(خَطَّأ) ไม่ยอมรับความจริง(حَقٌّ) หากความจริงปรากฏบนความคำพูดของมุสลิมกลุ่มอื่น
#16
เชคมุฮัมมัด บิน อับดุลวาฮาบ มีแนวคิดต่อบรรดามุสลิมอย่างไร
เชคสุลัยมาน บิน อับดุลวะฮาบ(พี่ชายของเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ)ได้กล่าวถึงแนวคิดของพวกวาฮาบีว่า

แท้จริงวันนี้ผู้คนกำลังถูกทดสอบกับคนที่อ้างว่าปฎิบัติตามกิตาบและซุนนะห์ และเขาได้วิเคราะห์(บทบัญญัติศาสนา)มาจากความรู้ของทั้งสองสิ่งนั้น โดยเขาไม่สนใจผู้ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับเขา และเมื่อท่านร้องขอจากเขาให้นำเสนอทัศนะของเขาบนอะฮ์ลุลอิลมิ เขาก็ไม่ทำ ยิ่งกว่านั้นเขาจะบังคับให้ผู้คนยึดถือคำพูดของเขาและความเข้าใจของเขา และผู้ใดที่ขัดแย้งกับเขา(เชคมุฮัมมัดบินอับดุลวะฮาบ) ตามทัศนะของเขา บุคคลนั้นเป็น กาเฟ็ร
หนังสือ อัศ–เศาะวาอิก อัลอิลาฮียะฮ์ ฟิล ร็อดดิ อะลัล วะฮาบียะฮ์ หน้าที่ 4
#17
คำสอนของนักวิชาการซาอุฯคือ มุสลิมทุกคนที่ไม่ดำเนินตามแนวทางชัยค์มุหัมมัด บินอับดุลวะฮาบ มุสลิมคนนั้นได้เดินอยู่บนทางของชาวนรก

@@@@@@@@@@

หลักฐาน หนังสือรวบรวมคำฟัตวาของชัยค์มุหัมมัด บินอับดุลวะฮาบ รวมทั้งนักวิชาการซาอุดิอารเบียจนปัจจุบันชื่อ กิตาบ อัดดุร็อร อัส สะนียะฮ์ เล่ม 14 หน้า 375 ได้กล่าวว่า

ولا ينبغي لأحد من الناس العدول عن طريقة آل الشيخ، رحمة الله عليهم، ومخالفة ما استمروا عليه في أصول الدين، فإنه الصراط المستقيم، الذي من حاد عنه فقد سلك طريق أصحاب الجحيم

ไม่สมควรแก่บุคคลใดจากมนุษย์ ที่จะหันเหออกจากแนวทางของลูกหลานชัยค์(มุหัมมัด บินอับดุลวะฮาบ) และขัดแย้งกับสิ่งที่เขา(ชัยค์มุหัมมัดบินอับดุลวะฮาบ)ดำเนินอยู่บนมันในเรื่องรากฐานศาสนา(อิสลาม) เพราะมันคือทางที่เที่ยงตรง ซึ่งบุคคลใดต่อต้านเขา(ชัยค์มุหัมมัดบินอับดุลวะฮาบ) เท่ากับเขา(คนนั้น)ได้ดำเนินบนเส้นทางของชาวนรกเสียแล้ว ---------------------------

เพราะคำสอนของผู้รู้ซาอุฯแบบนี้ใช่ไหม ที่ผู้ยึดถือแนวทางของชัยค์มุหัมมัด บินอับดุลวะฮาบ(เรียกว่า แนวทางวะฮาบีย์)จึง มองว่า มุสลิมกลุ่มอื่นๆบนโลกเป็น ชาวนรก
#18
อิมรอน บิน ฮุซ็อยน์

عَنْ عِمْرَانَ بْنِ حُصَيْنٍ قَالَ أُنْزِلَتْ آيَةُ الْمُتْعَةِ فِى كِتَابِ اللَّهِ فَفَعَلْنَاهَا مَعَ رَسُولِ اللَّهِ (ص) وَلَمْ يُنْزَلْ قُرْآنٌ يُحَرِّمُهُ ، وَلَمْ يَنْهَ عَنْهَا حَتَّى مَاتَ قَالَ رَجُلٌ بِرَأْيِهِ مَا شَاءَ
قاَلَ مُحَمَّدٌ : يُقاَلُ إِنَّهُ عُمَرُ 

อิมรอน บิน ฮุซ็อยน์ เล่าว่า  อายะฮ์มุตอะฮ์ถูกลงมาในคัมภีร์ของอัลลอฮ์  แล้วพวกเราได้ทำมันพร้อมกับท่านรอซูล(ศ) และอัลกุรอานไม่เคยลงมาสั่งฮะร่ามมันเลย และท่านรอซูลก็ไม่เคยสั่งห้ามมันด้วยจนท่านตาย มีชายคนหนึ่งได้พูดตามความคิดเห็นของเขาเองตามที่เขาต้องการ อัลบุคอรีกล่าวว่า เขาคือ ท่านอุมัร
ดูซอฮิฮ์บุคอรี  ฮะดีษที่  4518

คุณอาจแย้งว่า ซอฮิฮ์บุคอรีฮะดีษที่ 4518 ท่านอิมรอนอาจหมายถึง มุตอะฮ์ฮัจญ์ ขอตอบว่า

قَالَ عِمْرَانُ بْنُ حُصَيْنٍ نَزَلَتْ آيَةُ الْمُتْعَةِ فِى كِتَابِ اللَّهِ (يَعْنِى مُتْعَةَ الْحَجِّ) وَأَمَرَنَا بِهَا رَسُولُ اللَّهِ (ص) ثُمَّ لَمْ تَنْزِلْ آيَةٌ تَنْسَخُ آيَةَ مُتْعَةِ الْحَجِّ وَلَمْ يَنْهَ عَنْهَا رَسُولُ اللَّهِ (ص) حَتَّى مَاتَ. قَالَ رَجُلٌ بِرَأْيِهِ بَعْدُ مَا شَاءَ.

อิมรอน บิน ฮุซ็อยน์ เล่าว่า อายะฮ์เรื่องมุตอะฮ์ในคัมภีร์ของอัลลอฮ์ (หมายถึง มุตอะตุ้ลฮัจญ์)ได้ถูกประทานลงมา และท่านรอซูล(ศ)ก็สั่งให้พวกเราปฏิบัติ แล้วไม่มีอายะฮ์ใดถูกประทานลงมาเพื่อยกเลิกโองการเกี่ยวกับมุตอะตุ้ลฮัจญ์เลย และท่านรอซูล(ศ)ก็ไม่เคยห้ามการทำฮัจญ์แบบตะมัตตัวอ์จนท่านตาย ชายคนหนึ่งได้พูดตามความคิดของเขาหลังจากสิ่งที่ประสงค์
ซอฮิฮ์มุสลิม ฮะดีษที่ 2158

ในซอฮิฮ์มุสลิม ฮะดีษที่ 2158 ท่านอิมรอนบอกชัดแล้วว่า อัลลอฮ์รอซูลไม่ได้สั่งห้ามมุตอะฮ์ฮัจญ์
ดังนั้นดังในซอฮิฮ์บุคอรีฮะดีษที่ 4518 จะหมายถึงมุตอะฮ์ฮัจญ์ไม่ได้แน่นอน

ท่านฟัครุดดีน อัลรอซี ได้แสดงเหตุผลว่า นิกะห์มุตอะฮ์ คือสิ่งฮะล้าล

ท่านฟัครุดดีน อัลรอซี ได้กล่าวว่า

الحجة الثالثة * على جواز نكاح المتعة * ماروى أن عمر (رض) قال على المنبر:

หลักฐานที่สาม เรื่องอนุญาติให้นิกะห์มุตอะฮ์ได้ ได้มีรายงานว่า ท่านอุมัรได้ปราศรัยบนมิมบัรว่า

متعتان كانتا مشروعتين في عهد رسول الله صلى الله عليه وسلم، وأنا أنهي عنهما: متعة الحج، ومتعة النساء

มีสองมุตอะฮ์ที่เดิมเคยถูกตราไว้ในสมัยท่านรอซูล(ศ) และฉันคือคนสั่งห้ามมันทั้งสองเอง คือ มุตอะฮ์ฮัจญ์ กับมุตอะฮ์สตรี

وهذا منه تنصيص على أن متعة النكاح كانت موجودة في عهد رسول الله صلى الله عليه وسلم وقوله: وأنا أنهي عنهما.

นี่คือหลักฐานการระบุว่านิกะห์มุตอะฮ์นั้นเดิมเคยมีในสมัยท่านรอซูล(ศ) และคำพูดของเขา(อุมัร)คือและฉันคือคนสั่งห้ามมันทั้งสองเอง

يدل على أن رسول الله صلى الله عليه وسلم، ما نسخه، وإنما عمر هو الذي نسخه،

นั่นแสดงว่า ท่านรอซูล(ศ)มิได้ยกเลิกมัน แต่อุมัรคือคนที่สั่งยกเลิกมัน

وإذا ثبت هذا فنقول: هذا الكلام يدل على أن حل المتعة كان ثابتا في عهد الرسول صلى الله عليه وسلم،

เมื่อสิ่งนี้ได้พิสูจน์ยืนยัน เราขอกล่าวว่า คำพูดนี้บ่งบอกว่า การฮะล้าลของนิกะห์มุตอะฮ์นั้นเคยมีอยู่ในสมัยท่านรอซูล(ศ)

وأنه عليه السلام ما نسخه، وأنه ليس ناسخ إلا عمر، وإذا ثبت هذا وجب أن لا يصير منسوخا،

และท่านรอซูล(ศ)มิเคยยกเลิกมัน และไม่มีผู้ใดยกเลิกมันนอกจากท่านอุมัร และเมื่อนี่คือข้อพิสูจน์แล้ว ก็จำเป็นที่มันจะต้องไม่ถูกยกเลิก

لان ما كان ثابتا في زمن الرسول صلى الله عليه وسلم، وما نسخه الرسول، يمتنع أن يصير منسوخا بنسخ عمر.

เพราะสิ่งใดก็ตามที่เคยมีอยู่ในสมัยท่านรอซูล(ศ)และท่านรอซูลก็ไม่ได้ยกเลิกมัน มันจึงมิอาจจะเป็นสิ่งที่ถูกยกเลิกได้ด้วยการยกเลิกของท่านอุมัร

وهذا هو الحجة التي احتج بها عمران بن الحصين حيث قال: إن الله أنزل في المتعة آية، وما نسخه بآية اخرى، وأمرنا رسول الله صلى الله عليه وسلم بالمتعة، وما نهانا عنها.

นี่คือหลักฐานที่ท่านอิมรอน บินฮุศ็อยน์ ได้อาศัยนำมันในการอ้างอิงตามที่เขากล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮ์ได้ประทานอายัตเกี่ยวกับนิกะห์มุตอะฮ์มาหนึ่งอายัต และมันไม่เคยถูกยกเลิกด้วยอายัตอื่น และท่านรอซูล(ศ)ได้สั่งพวกเราให้กระทำนิกะห์มุตอะฮ์ และท่านไม่เคยห้ามปรามพวกเรามิให้ทำนิกะห์มุตอะฮ์เลย

ثم قال رجل برأيه ما شاء. يرد أن عمر نهى عنها. فهذا جملة وجوه القائلين بجواز المتعة

จากนั้น มีชายคนหนึ่งเขาได้กล่าว(ยกเลิก) ด้วยความคิดของเขาเองตามที่เขาต้องการ ซึ่งมีรายงานว่า แท้จริงท่านอุมัรนั้นคือผู้สั่งยกเลิกนิกะห์มุตอะฮ์ นี่คือคำพูดส่วนหนึ่งของเหตุผลในแง่ของบรรดาผุ้ที่กล่าวว่า อนุญาตให้นิกะห์มุตอะฮ์ได้

อ้างอิงจาก
ตัฟซีร อัลกะบีร หรือกิตาบ มะฟาตีฮุลเฆบ ดูซูเราะฮ์ที่ 4 อายัตที่ 24 เล่ม 5 หน้า 158

التفسير الكبير أو مفاتيح الغيب المؤلف : فخر الدين الرازي

۩۩۩۩۩۩۩۩۩۩۩۩

สี่ – อับดุลลอฮ์  อิบนิ มัสอู๊ด

8 - وروى عبد الله بن مسعود قال : " كنا نغزو مع رسول الله - ص - ليس معنا نساء ، قلنا ألا نستخصي ؟
فنهانا عن ذلك ، ثم رخص لنا أن ننكح المرأة بالثوب إلى أجل ، ثم قرأ
عبد الله :
" يا أيها الذين آمنوا لا تحرموا ما أحل الله لكم ولا
تعتدوا إن الله لا يحب المعتدين 5 : 87 " ( 1 ) .
أقول : إن قراءة عبد الله الاية صريحة في أن تحريم المتعة لم يكن من الله
ولا من رسوله ، وإنما هو أمر حدث بعد رسول الله صلى الله عليه وآله .
( 1 ) صحيح مسلم ج 4 ص 130 . انظر التعليقة رقم ( 7 ) لمعرفة تحريفها في البخاري .

เก้า

9 - وروى شعبة عن الحكم بن عيينة قال :
" سألته عن هذه الاية - آية المتعة - أمنسوخة هي ؟ قال لا . قال الحكم :
قال علي لولا أن عمر نهى عن المتعة مازنى إلا شقي " ( 2 ) . وروى القرطبي ذلك
عن عطاء عن ابن عباس ( 3 ) .
أقول : لعل المراد بالشقي - في هذه الرواية - هو ما فسر به هذا اللفظ
في رواية أبي هريرة ، قال : " قال رسول الله صلى الله عليه وآله : لا يدخل النار إلا شقي ،
قيل : ومن الشقي ؟ قال : الذي لا يعمل بطاعة ، ولا يترك لله معصية " ( 4 ) .
( 2 ) تفسير الطبري عند تفسيره الاية المباركة ج 5 ص 9 .
( 3 ) تفسير القرطبي ج 5 ص 130 .
( 4 ) مسند أحمد ج 2 ص 349 . ( * )

สิบ

10 - وروى عطاء قال :
" سمعت ابن عباس يقول : رحم الله عمر ، ما كانت المتعة إلا رحمة من الله  تعالى رحم الله بها أمة محمد - ص - ولولا نهيه لما احتاج إلى الزنا إلا شفا " ( 1 ) .
( 1 ) أحكام القرآن للجصاص ج 2 ص 147 . الشفا : القليل .

สิบเอ็ด

28319- عن سليمان بن يسار : أن أم عبد الله ابنة أبى خيثمة حدثته أن رجلا قدم من الشام فنزل عليها ، فقال إن العزبة قد اشتدت على فابغينى امرأة أتمتع معها ، قالت : فدللته على امرأة فشارطها فاشهدوا على ذلك عدولا ، فمكث معها ما شاء الله أن يمكث ، ثم إنه خرج ، فأخبر عن ذلك عمر بن الخطاب فأرسل إلى فسألنى : أحق ما حدثت قلت : نعم ، قال : فإذا قدم فآذنينى به ، فلما قدم أخبرته ، فأرسل إليه فقال : ما حملك على الذى فعلته قال : فعلته مع رسول الله  - صلى الله عليه وسلم -  ثم لم ينهنا عنه حتى قبضه الله ، ثم مع أبى بكر فلم ينهنا عنه حتى قبضه الله ، ثم معك فلم تحدث لنا فيه نهيا فقال عمر : أما والذى نفسى بيده لو كنت تقدمت فى نهى لرجمنك ، بينوا حتى يعرف النكاح من السفاح (ابن جرير) [كنز العمال 45726]

สิบสอง

وهنا إيراد آخر على السنة الذين أخذوا يقول عمر في مسألة متعة النساء
ما هو ؟
إن عمر، نهى عن (متعة النساء) وعن (متعة الحج) فما السبب في أن السنة يجوزون (متعة الحج) ولا يجوزون (متعة النساء
فإن كان قول عمر صحيحاً.. كان اللازم حرمة كلتا المتعتين
وإن كان قول عمر باطلاً .. كان اللازم حلية كلتا المتعتين

وكيف يصح ذلك ولم يحرم أبو بكر المتعة أيام خلافته ، ولم يحرمها عمر في
شطر كبير من أيامه ، وإنما حرمها في أواخر أمره .
ان ناسخ جواز المتعة الثابت بالكتاب والسنة هو الاجماع على تحريمها .
والجواب عن ذلك :
أن الاجماع لا حجية له إذا لم يكن كاشفا عن قول المعصوم وقد عرفت أن تحريم المتعة لم يكن في عهد النبي صلى الله عليه واله وسلم ولا بعده إلى مضي مدة من خلافة عمر ،
أفهل يجوز في حكم العقل أن يرفض كتاب الله وسنة نبيه بفتوى جماعة لم يعصموا
من الخطأ ؟ ولو صح ذلك لامكن نسخ جميع الاحكام التي نطق بها الكتاب ، أو
أثبتتها السنة القطعية ، ومعنى ذلك أن يلتزم بجواز نسخ وجوب الصلاة ، أو
الصيام ، أو الحج بآراء المجتهدين ، وهذا مما لا يرضى به مسلم .
أضف إلى ذلك : أن الاجماع لم يتم في مسألة تحريم المتعة ، وكيف يدعي
الاجماع على ذلك ، مع مخالفة جمع من المسلمين من أصحاب النبي صلى الله عليه واله وسلم ومن بعده
ولا سيما أن قول هؤلاء بجواز المتعة موافق لقول أهل البيت الذين أذهب الله عنهم
الرجس وطهرهم تطهيرا ، وإذن فلم يبقل إلا تحريم عمر .
ومن البين أن كتاب الله وسنة نبيه أحق بالاتباع من غيرهما ، ومن أجل
ذلك أفتى عبد الله بن عمر بالرخصة بالتمتع في الحج ، فقال له ناس :
" كيف تخالف أباك وقد نهى عن ذلك ، فقال لهم : ويلكم ألا تتقون . . . أفرسول الله صلى الله عليه واله وسلم أحق أن
تتبعوا سنته أم سنة عمر ؟ " ( 1 ) .
( 1 ) مسند أحمد ج 2 ص 95 .
وخلاصة ما تقدم : أن جميع ما تمسك به القائلون بالنسخ لا يصلح أن يكون
ناسخا لحكم الاية المباركة ، الذي ثبت - قطعا - تشريعه في الاسلام .
#19
เราขอให้ท่านมาพิจารณา ท่านอาลีได้คัดค้านท่านอุมัรเรื่องสั่งห้ามมุตอะฮ์สตรีในฮะดีษต่อไป...

เราควรทราบสาเหตุเสียก่อนว่า  ยุคที่ท่านอุมัรเป็นคอลีฟะฮ์ มีปัจจัยเหตุอะไรทำให้ท่านอุมัรออกคำสั่งห้ามทำมุตอะฮ์สตรี

ในซอฮิฮ์มุสลิม ฮะดีษที่ 3482  บันทึกว่า

حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّزَّاقِ أَخْبَرَنَا ابْنُ جُرَيْجٍ أَخْبَرَنِى أَبُو الزُّبَيْرِ قَالَ سَمِعْتُ جَابِرَ بْنَ عَبْدِ اللَّهِ يَقُولُ كُنَّا نَسْتَمْتِعُ بِالْقُبْضَةِ مِنَ التَّمْرِ وَالدَّقِيقِ الأَيَّامَ عَلَى عَهْدِ رَسُولِ اللَّهِ (ص) وَأَبِى بَكْرٍ حَتَّى نَهَى عَنْهُ عُمَرُ فِى شَأْنِ عَمْرِو بْنِ حُرَيْثٍ

1.อับดุลรอซซาก จาก 2. อิบนุญุเรจ จาก 3. อบูซูเบร เล่าว่า 4. เขาได้ยินท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ กล่าวว่า
พวกเราทำมุตอะฮ์สตรีด้วยอินทผลัมหรือแป้งกำมือหนึ่ง เป็นเวลาหลายวันในสมัยท่านรอซูล(ศ)และในสมัยท่านอบูบักรด้วย จนมาถึง(สมัย)ท่านอุมัรนั้นได้สั่งห้ามทำมัน เพราะเรื่องของท่านอัมรู บิน ฮุร็อยษ์

************

ซอฮิฮ์มุสลิมไม่ได้ให้รายละเอียดแก่เราว่า ท่านอัมรู บิน ฮุร็อยษ์ ได้ทำอะไร แต่เรามาพบหนังสืออัลมุศ็อนนัฟของอับดุลรอซซาก ได้ให้รายละเอียดไว้ดังนี้ 

۩۩۩۩۩۩۩۩۩۩۩

ฮะดีษที่ - สอง

عَبْدُ الرَّزَّاقِ عَنِ بْنِ جُرَيْجٍ قَالَ أَخْبَرَنِي أَبُو الزُّبَيْرِ أَنَّهُ سَمِعَ جَابِرَ بْنَ عَبْدِ اللَّهِ يَقُولُ قَدِمَ عَمْرُو بْنُ حُرَيْثٍ مِنَ الْكُوْفَةِ فاَسْتَمْتَعَ بِمَوْلاَةٍ فَأُتِيَ بِهَا عُمَرُ وَهِيَ حُبْلَى فَسَأَلَهاَ فَقاَلَت اِسْتَمْتَعَ بِيْ عَمْرُو بْنُ حُرَيْثٍ فَسَأَلَهُ فَأَخْبَرَهُ بِذَلِكَ أَمْراً ظاَهِراً قَالَ فَهَلاَّ غَيْرُهاَ فَذَلِكَ حِيْنَ نَهَى عَنْهاَ قاَلَ بْنُ جُرَيْجٍ وَأَخْبَرَنِيْ مَنْ أَصْدَقُ أَنَّ عَلِياًّ قاَلَ بِالْكُوْفَةِ لَوْلاَ ماَ سَبَقَ مِنْ رَأْيِ عمر بن الخطاب لَأَمَرْتُ بِالْمُتْعَةِ ثُمَّ ماَ زَناَ إِلاَّ شَقِيٌّ

1.อับดุลรอซซาก จาก 2. อิบนุญุเรจ จาก 3. อบูซูเบร เล่าว่า 4. เขาได้ยินท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ กล่าวว่า
ท่านอัมรู บิน ฮุร็อยษ์ เข้ามาที่เมืองกูฟะฮ์ แล้วเขาได้ทำมุตอะฮ์กับสาวใช้คนหนึ่ง
แล้วนางถูกนำตัวมาพบคอลีฟะฮ์อุมัรในสภาพตั้งท้อง  ท่านอุมัรได้สอบถามนาง นางได้บอกว่า อัมรู บิน ฮุร็อยษ์ ได้ทำมุตอะฮ์กับฉัน
ท่านอุมัรจึงได้สอบถามกับอัมรู  ท่านอัมรูได้บอกกับท่านอุมัรว่า นั่นคือเรื่องที่ชัดเจน(คือจริง)
ท่านอุมัรจึงกล่าวว่า คนอื่นจากนางจะไม่มีอีกหรือ  ณ.บัดนั้นเองท่านอุมัรจึงสั่งห้ามทำมุตอะฮ์
ท่านอิบนิญุเรจกล่าวว่า 
เจ้าจงบอกฉันสิว่า ผู้พูดสัตย์จริงที่สุดคือใคร แท้จริงท่านอาลีได้กล่าวที่เมืองกูฟะฮ์ว่า

لَوْلاَ ماَ سَبَقَ مِنْ رَأْيِ عُمَرَ بْنِ الْخَطاَّبِ لَأَمَرْتُ بِالْمُتْعَةِ ثُمَّ ماَ زَناَ إِلاَّ شَقِيٌّ

ถ้าหาก ทัศนะของอุมัรไม่ผ่านไปก่อนแล้วละก้อ  ฉันจะสั่งให้ทำมุตอะฮ์สตรีต่อไปอย่างแน่นอน แล้วจากนั้นจะไม่มีใครจำเป็นต้องไปทำซีนา นอกจากคนเลวจริงๆ

สถานะฮะดีษ ซอฮิฮ์  ดู มุศศ็อนนัฟ อับดุลรอซซาก  ฮะดีษที่ 14029

۩۩۩۩۩۩۩۩۩۩۩

ขอให้สังเกตุสารบบสายรายงานสี่คนนี้ให้ดี

************

عبد الرزاق ←عن بن جريج قال ←أخبرني أبو الزبير أنه سمع← جابر بن عبد الله

1.อับดุลรอซซาก  2. อิบนุญุเรจ  3. อะบู ซูเบร  4. ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์

************

1.1.ต่อจากนั้นขอให้ท่านอ่านสายรายงานฮะดีษซอฮิฮ์ดังต่อไปนี้

وَقَالَ أَبُو الزُّبَيْرِ عَنْ جَابِرٍ كُنَّا مَعَ النَّبِىِّ (ص) بِنَخْلٍ فَصَلَّى الْخَوْفَ

1. อะบู ซูเบร  2. ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์  เล่าว่า เราอยู่กับท่านนบี(ศ)ที่นัคลิน แล้วท่านได้นมาซ ซ่อลาตุลเคาฟ์    ดูซอฮิฮ์บุคอรี  ฮะดีษที่  4137

************

عَنِ ابْنِ جُرَيْجٍ قَالَ أَخْبَرَنِى أَبُو الزُّبَيْرِ أَنَّهُ سَمِعَ جَابِرَ بْنَ عَبْدِ اللَّهِ يَقُولُ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ (ص)يَقُولُ بَيْنَ الرَّجُلِ وَبَيْنَ الشِّرْكِ وَالْكُفْرِ تَرْكُ الصَّلاَةِ

1. อิบนุญุเรจ  2. อะบู ซูเบร  3. ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์ เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูล(ศ) ชายคนหนึ่งจะอยู่ระหว่างการตั้งภาคีกับการกุโฟ้รนั้นคือ การละทิ้งนมาซ
ดูซอฮิฮ์มุสลิม  ฮะดีษที่  257

************

حَدَّثَنَا عَبْدُ الرَّزَّاقِ أَنْبَأَنَا ابْنُ جُرَيْجٍ حَدَّثَنِي أَبُو الزُّبَيْرِ أَنَّهُ سَمِعَ جَابِرَ بْنَ عَبْدِ اللَّهِ يَقُولُ أَخْبَرَنِي عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ أَنَّهُ سَمِعَ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ لَأُخْرِجَنَّ الْيَهُودَ وَالنَّصَارَى مِنْ جَزِيرَةِ الْعَرَبِ حَتَّى لَا أَدَعَ إِلَّا مُسْلِمًا
تعليق شعيب الأرنؤوط : إسناده صحيح على شرط مسلم رجاله ثقات رجال الشيخين غير أبي الزبير فمن رجال مسلم

1.อับดุลรอซซาก  2. อิบนุญุเรจ  3. อะบู ซูเบร  4. ท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์
เล่าว่า
ท่านอุมัรเล่าว่า เขาได้ยินท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า  ฉันจะขอขับไล่พวกยะฮูดและนะซอรอออกจากญะซีเราะฮ์อาหรับ จนไม่ทิ้งให้เหลือไว้สักคน ยกเว้นมุสลิมเท่านั้น
เชคชุเอบ อัรนะอูฏีได้วิจารณ์ว่า
สายสืบของฮะดีษนี้ ซอฮิฮ์ บนเงื่อนไขของท่านมุสลิม นักรายงานของฮะดีษนี้เชื่อถือได้ทุกคน เป็นนักรายงานของเชคทั้งสอง(คือบุคอรีและมุสลิม)ยกเว้นอบูซูเบรเป็นนักรายงานของท่านมุสลิม
สถานะฮะดีษ ซอฮิฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด  ฮะดีษที่ 201 ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัรนะอูฏี

************

จะเห็นได้ว่าระหว่าง ผู้เล่า(รอวีย์)ของซอฮิฮ์บุคอรี,ซอฮิฮ์มุสลิมและมุสนัดอะหมัด กับ ผู้เล่าฮะดีษในหนังสือมุศ็อนนัฟบทนี้ คือสายรายงานเดียวกันเลย

************

อับดุลรอซซาก บิน ฮัมมาม (เจ้าของหนังสืออัลมุศ็อนนัฟ) มรณะ ฮ.ศ. 126

************

อิบนิฮะญัร ได้วิจารณ์ว่า

عبد الرزاق بن همام بن نافع الحميري مولاهم أبو بكر الصنعاني أحد الأئمة الأعلام الحفاظ عن بن جريج وهشام عنه أحمد وإسحاق وابن المديني

อับดุลรอซซาก บินฮัมมาม บินนาฟิ๊อ์ อัลฮุมัยรี คืออิหม่ามผู้โด่งดังยิ่งคนหนึ่ง  เป็นนักท่องจำฮะดีษ เขารายงานจากท่านอิบนิญุเรจและท่านฮิช่าม  และผู้ที่รายงานฮะดีษจากอับดุลรอซซากคือ อิหม่ามอะหมัด, อิสฮากและอิบนุ อัลมะดีนี
ดูหนังสือ ลิซานุล มีซาน เล่ม 3 หน้า 221

อิหม่ามบุคอรีย์ ได้วิจารณ์ว่า

وقال البخاري : ما حدث عنه عبد الرزاق من كتابه فهو أصح

สิ่งใดที่ท่านอับดุลรอซซาก ได้รายงานมัน อันมาจากหนังสือของเขา(คืออัลมุศศ็อนนัฟ) มันคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
ดูหนังสือ มีซานุล อิอ์ติดาล โดยอัซซะฮะบี  อันดับที่  5044

สรุปความได้ว่า

ФФФФФ

อัมรู บิน ฮุร็อยษ์ ได้ทำมุตอะฮ์กับสาวใช้คนหนึ่งที่เมืองกูฟะฮ์ ในยุคที่ท่านอุมัรเป็นคอลีฟะฮ์
เป็นสาเหตุทำให้ท่านอุมัรประกาศห้ามประชาชนทำมุตอะฮ์สตรี   ท่านอิบนิญุเรจได้เล่าว่า 

ท่านอิม่ามอาลี(อ) ได้กล่าวตำหนิท่านอุมัรเรื่องสั่งห้ามทำมุตอะฮ์สตรีว่า

( ถ้าหาก ทัศนะของอุมัรไม่ผ่านไปก่อนแล้วละก้อ  ฉันจะสั่งให้ทำมุตอะฮ์สตรีต่อไปอย่างแน่นอน แล้วจากนั้นจะไม่มีใครจำเป็นต้องไปทำซีนา นอกจากคนเลวจริงๆ )
#20
เวบไซต์มุรีด ได้กล่าวถึง ฮะดีษมุรซัล
หุก่มของหะดีษมุรสัล
นักวิชาการมีความเห็นเกี่ยวกับการนำหะดีษมุรสัลมาเป็นหลักฐานแตกต่างกันไป
ก.  นักวิชาการหะดีษส่วนใหญ่เห็นว่า หะดีษมุรสัลนำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าผู้รายงานหะดีษที่ตกหล่นนั้นเป็นเศาะหาบะฮฺหรือไม่  ถ้าไม่ใช่เศาะหาบะฮฺแล้วเขาผู้นั้นเชื่อถือได้หรือไม่
ข. ท่านอบูหะนีฟะฮฺ มาลิก อะหฺมัด เห็นว่าหะดีษมุรสัลนำมาเป็นหลักฐานได้ เพราะตาบิอีนเป็นผู้ที่มีคุณธรรมย่อมรายงานจากผู้ที่มีคุณธรรมเช่นกัน และคงไม่มีเจตนาที่จะปกปิดข้อบกพร่องใดๆ
ค.  นักวิชาการสังกัดสำนักคิดหะนะฟีย์บางคนเห็นว่าหะดีษมุรสัลนำมาเป็นหลักฐานได้ ถ้าหากผู้ที่รายงานนั้นอยู่ในยุคฮิจเราะห์ศตวรรษที่ 3
ง.  อิหม่าม อัชชาฟิอีย์ มีทัศนะว่าเห็นว่าหะดีษมุรสัลนำมาเป็นหลักฐานได้ หากหะดีษนั้นมีหะดีษที่สายรายงานติดต่อกัน, ทัศนะของเศาะหาบะฮฺ, มติของนักวิชาการส่วนใหญ่, หรือกียาส มาสนับสนุน

http://www.mureed.com/Hadis/Hadis4.htm

สาม - อัลฮะกัม ได้รายงานฮะดีษจากตาบิอีนสืบถึงซอฮาบะฮ์ ดังต่อไปนี้

************

3.1. ซอฮิฮ์บุคอรี  ฮะดีษที่ 1563  อัลฮะกัม รายงานจาก อาลี บิน ฮูเซน จากมัรวาน ถึงท่านอาลี

حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنِ الْحَكَمِ عَنْ عَلِىِّ بْنِ حُسَيْنٍ عَنْ مَرْوَانَ بْنِ الْحَكَمِ قَالَ شَهِدْتُ عُثْمَانَ وَعَلِيًّا...

3.2. ซอฮิฮ์บุคอรี  ฮะดีษที่ 3705  อัลฮะกัม รายงานจาก อิบนิอบีลัยลา ถึงท่านอาลี

حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنِ الْحَكَمِ سَمِعْتُ ابْنَ أَبِى لَيْلَى قَالَ حَدَّثَنَا عَلِىٌّ أَنَّ فَاطِمَةَ عَلَيْهَا السَّلاَمُ شَكَتْ مَا تَلْقَى مِنْ أَثَرِ الرَّحَا

3.3. ซอฮิฮ์บุคอรี  ฮะดีษที่ 3772 อัลฮะกัม รายงานจาก อบีลัยลา ถึงท่านอาลี

حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنِ الْحَكَمِ سَمِعْتُ أَبَا وَائِلٍ قَالَ لَمَّا بَعَثَ عَلِىٌّ عَمَّارًا وَالْحَسَنَ إِلَى الْكُوفَةِ

3.4. ซอฮิฮ์มุสลิม  ฮะดีษที่ 1456 อัลฮะกัม รายงานจาก ยะห์ยา บินอัลญัซซาร  ถึงท่านอาลี

حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنِ الْحَكَمِ عَنْ يَحْيَى(بْنِ الْجَزَّارِ) سَمِعَ عَلِيًّا يَقُولُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ (ص) يَوْمَ الأَحْزَابِ...

3.5. สุนันอบีดาวูด ฮะดีษที่ 3100 อัลฮะกัม รายงานจาก อับดุลลอฮ์ บิน นาฟิอ์ ถึงท่านอาลี

شُعْبَةُ عَنِ الْحَكَمِ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ نَافِعٍ عَنْ عَلِىٍّ قَالَ مَا مِنْ رَجُلٍ يَعُودُ مَرِيضًا مُمْسِيًا إِلاَّ خَرَجَ مَعَهُ سَبْعُونَ أَلْفَ مَلَكٍ

3.6. มุอ์ญัม ซ่อฆีร ของอัฏฏ็อบรอนี  ฮะดีษที่ 907 อัลฮะกัม รายงานจาก อิบรอฮีม อันนะคออี จากอัลก่อมะฮ์ ถึงท่านอาลี

حدثنا شعبة بن الحجاج ، عن الحكم بن عتيبة ، عن إبراهيم النخعي ، عن علقمة بن قيس ، قال : رأيت علي بن أبي طالب على منبر الكوفة وهو يقول : سمعت رسول الله صلى الله عليه وآله وسلم يقول : « لا يزني الزاني وهو مؤمن ، ولا يسرق السارق وهو مؤمن

3.7. มุสนัดอะหมัด  ฮะดีษที่ 662  อัลฮะกัม รายงานจาก อบีมุฮัมมัด อัลฮุซัลลี ถึงท่านอาลี

عَنْ شُعْبَةَ عَنِ الْحَكَمِ عَنِ أَبِي مُحَمَّدٍ الْهُذَلِيِّ عَنْ عَلِيٍّ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ كَانَ رَسُولُ اللَّهِ (ص)


3.8. สุนัน อัลบัยฮะกี ฮะดีษที่  7314 อัลฮะกัม รายงานจาก อุมัยริน บิน สะอีด ถึงท่านอาลี

حَدَّثَنَا شُعْبَةُ عَنِ الْحَكَمِ عَنْ عُمَيْرِ بْنِ سَعِيدٍ النَّخَعِىِّ قَالَ : شَهِدْتُ عَلِىَّ بْنَ أَبِى طَالِبٍ رَضِىَ اللَّهُ عَنْهُ وَأَدْخَلَ مَيِّتًا فِى قَبْرِهِ فَقَالَ : اللَّهُمَّ عَبْدُكَ ابْنُ عَبْدُكَ نَزَلَ بِكَ وَأَنْتَ خَيْرُ مَنْزُولٍ بِهِ...

3.9. มุสนัดอะหมัด  ฮะดีษที่ 1111  อัลฮะกัม รายงานจาก อบี อัลมุวัรริ๊อ์ ถึงท่านอาลี

عَنْ شُعْبَةَ عَنِ الْحَكَمِ عَنْ أَبِي الْمُوَرِّعِ عَنْ عَلِيٍّ قَالَ

************
อาจเป็นไปได้ที่  อัลฮะกัม ได้รับรายงานฮะดีษมาจากบุคคลเหล่านี้ที่เล่าไปถึงท่านอาลี คือ
1. อาลี บิน ฮูเซน
2. อิบนิอบีลัยลา
3. อบีลัยลา
4. ยะห์ยา บินอัลญัซซาร 
5. อับดุลลอฮ์ บิน นาฟิอ์
6. อิบรอฮีม อันนะคออี จากอัลก่อมะฮ์
7. อบีมุฮัมมัด อัลฮุซัลลี
8. อุมัยริน บิน สะอีด
9. อบี อัลมุวัรริ๊อ์

แต่อย่างไรก็ตามเรารู้ดีว่า ท่านจะไม่ยอมรับฮะดีษมุรซัลนี้ และเราจะไม่เอาฮะดีษที่ขาดตอนนี้มาพิสูจน์ว่า ท่านอาลีคัดค้านท่านอุมัรเรื่องสั่งห้ามมุตอะฮ์สตรี 
เราต้องการแค่ให้ท่านรับรู้ว่า เรื่องท่านอาลีค้านนั้นมีมูลความจริง เพราะอัลฮะกัม บิน อุตัยบะฮ์ได้รับความเชื่อถือ จากบุคอรีและมุสลิม และนักปราชญ์ฮะดีษคนอื่นๆอีกมากมาย

โปรดติดตามตอนที่ 4