ข่าว:

SMF - Just Installed!

Main Menu
Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - sandee

#1
อะกีดะฮ์ / Re:วิธีถกกับ วาฮาบี
กรกฎาคม 21, 2009, 11:29:53 หลังเที่ยง


ข้อสังเกตที่สำคัญคือ


พวกวาฮาบี สามารถยกหะดีษมาประณาม มาฮุก่มมุสลิมมัซฮับต่างๆได้สนุกปากเช่น



ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)กล่าวว่า  

الْخَوَارِجُ هُمْ كِلَابُ النَّارِ

พวกค่อวาริจญ์นั้นคือ  สุนัขนรก

มุสนัดอะหมัด  หะดีษที่  18342

ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) กล่าวว่า  

الْقَدَرِيَّةُ مَجُوسُ هَذِهِ الأُمَّةِ

พวกก็อดรียะฮ์คือ  มะยูซีแห่งประชาชาตินี้
สุนันอบีดาวูด  หะดีษที่  4693

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  

صِنْفَانِ مِنْ أُمَّتِى لَيْسَ لَهُمَا فِى الإِسْلاَمِ نَصِيبٌ الْمُرْجِئَةُ وَالْقَدَرِيَّةُ

มีคนสองกลุ่มจากอุมมะฮ์ของฉัน  สำหรับสองกลุ่มนี้ ไม่มีส่วนได้รับสิ่งใดในอิสลาม นั่นคือ พวกมุรญิอะฮ์กับพวกก็อดรียะฮ์

สุนัน ติรมิซี  หะดีษที่  2301

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  

لِكُلِّ أُمَّةٍ مَجُوْس ، وَلِكُلِّ أُمَّة نَصَارَى ، وَلِكُلِّ أُمَّة يَهُوْد ، وَإِنَّ مَجُوْسَ أُمَّتِيْ القدرية ، ونصاراهم الْخَشَبِيَّة ، ويهودهم المرجئة »

สำหรับทุกประชาชาตินั้นมีมะยูซี...มีนะซอรอและ...มียะฮูดี

แท้จริงมะยูซีแห่งอุมมัตของฉันคือ พวกก็อดรียะฮ์  

นะซอรอของพวกเขา(อุมมัตของฉัน) คืออัลค่อชะบียะฮ์  

และยะฮูดีของพวกเขา(อุมมัตของฉัน)คือพวกมุรญิอะฮ์



อัลมุอ์ญะมุลเอาซัฏ  โดยอัต-ต็อบรอนี  หะดีษที่  11279

ท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) กล่าวว่า

لُعِنَتِ الْمُرْجِئَةُ عَلَى لِسَانِ سَبْعِيْنَ نَبِيًّا » ، قيل : يا رسول الله : وما المرجئة ؟ قال : « قوم يزعمون أن الإيمان قول بلا عمل »

พวกมุรญิอะฮ์ถูกละอ์นัดบนลิ้นของ 70 นบี  


มีคนกล่าวว่า  โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์    พวกมุรญิอะฮ์เป็นอะไร   ท่านตอบว่า  คือคนกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่า แท้จริงอีหม่านคือคำพูด โดยปราศจากอามั้ล  

ตะฮ์ซีบุลอาษ้าร  โดยอัฏฏ็อบรี  หะดีษที่  1970



ทำไมท่านรอซูล(ศ)  ไม่ฟันธงชัดๆไปเลยว่า   " อะฮ์ลุสสุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์  " คือมัซฮับอันถูกต้องที่สุด  ที่ประชาชาติอิสลามจะต้องยึดถือปฏิบัติตามและเป็นชาวสวรรค์   ซึ่งง่ายกว่าด้วยซ้ำ



แน่นอนพวกวาฮาบีไม่มีปัญญาหาหะดีษแบบนี้มาอ้าง  เพราะท่านรอซูล(ศ)ไม่เคยกล่าว


ในทางตรงกันข้ามท่านรอซูล(ศ)กับบอกประชาชาติของท่านว่า   ชีอะฮ์อะลีคือ  ชาวสวรรค์   ดู

http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=507



แค่นี้  คนมีปัญญาคงเข้าใจแล้วว่า  วาฮาบีนั้น    เห็นแก่ตัวมากขนาดไหน
#2


โอ้วาฮาบีทั้งหลาย   อย่าพูดมาก  โม้มาก  โกหกชาวบ้านมาก



ท่านสัยยิด สุลัยมาน  อัลฮูซัยนี  ยังรอ  เอกสาร จากอาจารย์ ฟารีด เฟ็นดี้  อยู่


เมื่อไหร่จะส่งเทียบมาท้าถก กับท่านสัยยิด


กลับไปถามอาจารย์ฟารีดด้วย    ว่าให้ท่านทำเอกสารส่งมาสักที  ไม่ใช่มาประกาศท้าบนอินเทอร์เน็ตปาวๆลวงชาวบ้าน



หวังว่า คงเข้าใจแล้วนะครับ
#3
L-umar อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง

หนึ่ง –

ท่านยกหะดีษของซุนนี่นี้มาอ้างกับชีอะฮ์

اِقْتَدُوا بِالَّذَيْنِ مِنْ بَعْدِى أَبِي بَكْر وَعُمَرَ

"พวกเจ้าทั้งหลายจงตามบุคคลทั้งสองต่อจากฉัน คือ อบูบักร์และอุมัร" รายงานโดยฮุซัยฟะห์ บันทึกโดยอิหม่ามติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 3539



วิจารณ์

1.   หะดีษนี้ท่านนำมาจากตำราซุนนี่    เพราะฉะนั้นเพื่อความยุติธรรม   ท่านช่วยยกหะดีษแบบนี้จากตำราหะดีษชีอะฮ์ที่เศาะหิ๊หฺมาแสดงด้วย   เพราะถ้าท่านนำมาแสดงได้  นั่นหมายความว่า  พวกท่านเป็นฝ่ายถูก  แต่ถ้าไม่มี  นั่นแสดงว่า    หะดีษนี้ เป็น หุจญัต สำหรับซุนนี่  ไม่ใช่สำหรับชีอะฮ์

เพราะฉะนั้น  ขอสรุปว่า  อย่าเห็นแก่ตัว  ในการนำเสนอหลักฐาน  หัดเป็นผู้มีใจกว้างในการนำเสนอด้วย.[/color]





อ้าว เวลาคุณจะค้นหะดีษของมุสลิมซุนนีมาถามซุนนี ก็ไม่เห็นคุณยกหะดีษของชีอะห์มาอ้างบ้างเลย

เห็นยกแต่ของซุนนีย์อย่างเดียว   แล้วพอเราซุนนีย์ยกของเราเองอย่างเดียวแบบคุณบ้าง

คุณกลับไม่ยอมเฉย? ไม่รู้ใครกันแน่ที่เห็นแก่ตัว

เว็บชีอะห์น่ะ ก็นำเสนอหะดีษชีอะห์สิ ไม่ใช่มาอ้างของซุนนีย์ ด้วยความหมายที่ตัวเองเข้าใจผิดพลาด
#4
อะกีดะฮ์ / สายสัมพันธ์อะห์ลุลบัยต์
กรกฎาคม 07, 2009, 07:35:07 ก่อนเที่ยง
เป็นเรื่องแปลก ถ้ามีใครกล่าวว่า ลัทธิชีอะห์ อิหม่ามสิบสองยกย่องเชิดชู ท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,และท่านอุสมาน, เพราะทั้งสามท่านนี้คือบุคคลที่ชีอะห์อิหม่ามสิบสองเชื่อว่า เป็นผู้อธรรมต่ออะห์ลุ้ลบัยต์ แต่เราได้พิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงมาก่อนหน้านี้แล้วว่า คำโพทนาของพวกเขานั้นห่างไกลจากแนวทางของอะห์ลุ้ลบัยต์ตัวจริงที่เป็นลูกหลาน,วงศ์วานของท่านนบี มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เพราะพวกเขาต่างรักใคร่ปรองดองซึ่งกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้นเรายังได้พบสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่าง อะห์ลุลบัยต์ ที่เป็นครอบครัว,วงศ์วานของท่านนบีกับเหล่าบุคคลที่ชีอะห์อิหม่ามสิบสองได้ด่าประณาม ซึ่งเราจะเรียงลำดับให้ท่านได้เห็นภาพโดยเริ่มตั้งแต่ท่านนบี มูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ดังนี้

                ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้นิกะห์กับท่านหญิงอาอิชะห์ บุตรสาวของท่านอบูบักร อัศศิดดีก และได้นิกะห์กับท่านหญิงฮับเซาะห์ บุตรสาวของท่านอุมัร อิบนุลค๊อตต๊อบ ซึ่งชีอะห์อิหม่ามสิบสองถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ


                เป็นไปได้หรือที่ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จะแต่งงานกับลูกสาวของกาเฟรที่เป็นศัตรูกับอิสลาม ก็ในเมื่อทั้งชาวซุนนะห์และลัทธิชีอะห์ต่างก็เชื่อว่า ท่านนบีมูฮัมหมัด ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม เป็นมะอ์ศูม ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากพระองค์อัลลอฮ์

                นอกจากนั้นท่านนบียังจัดการแต่งงานบุตรสาวของท่านชื่อรุกอยยะห์ ให้แก่ท่านอุสมาน บินอัฟฟาน และเมื่อท่านหญิงรุกอยยะห์เสียชีวิต ท่านนบีก็ยกลูกสาวอีกคนหนึ่งชื่อ อุมมุกัลโซม ให้แก่ท่านอุสมานอีกด้วย จนกระทั่งท่านอุสมานได้รับฉายาว่า "ซุลนูรอยนี่" แปลว่า เจ้าของรัศมีทั้งสอง


               ก็ในเมื่อทั้งชาวซุนนะห์และลัทธิชีอะห์ต่างเชื่อว่า ท่านนบีได้รับการปกป้องให้พ้นจากความผิด แล้วเพราะเหตุใดท่านนบีจึงยอมยกลูกสาวให้ศัตรูตัวฉกาจผู้นี้เล่า หรือศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริงคือลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสอง ที่บิดเบือนและจ้องทำลายอิสลาม

                ในขณะที่ลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสองก่นด่าบุคคลที่เป็นเครือญาติใกล้ชิดกับท่านนบี แต่เรากลับพบว่า บรรดาอะห์ลุ้ลบัยต์ โดยเฉพาะที่เป็นอิหม่ามของเหล่าชีอะห์เอง กลับมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นต่อบุคคลที่ชีอะห์เกลียดชังหรือสายตระกูลของบุคคลที่ชีอะห์ด่าประณาม โดยการแต่งงานซึ่งกันและกัน หรือจัดการแต่งงานให้แก่ลูกหรือหลานของกันและกัน ตัวอย่างเช่น

                ท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ อิหม่ามลำดับที่หนึ่งของชีอะห์ ได้นิกะห์บุตรสาวของท่านชื่อ อุมมุกัลป์โซม ให้แก่ท่านอุมัร อิบนุ้ลค๊อตต๊อบ โดยสมัครใจ เหตุที่เราต้องย้ำคำว่า โดยสมัครใจ นั้นเพื่อจะยืนยันว่า ท่านอาลีไม่ได้ถูกข่มขู่หรือถูกบังคับ แต่ท่านอาลีพึงพอใจในตัวท่านอุมัร แต่ถ้าเหล่าชีอะห์จะอ้างว่า ท่านอาลีถูกข่มขู่หรือถูกบังคับให้ทำการนิกะห์ลูกสาวของท่านกับท่านอุมัร ก็เท่ากับเหล่าชีอะห์ได้ทำให้ลักษณะการเป็นอิหม่ามตามความเชื่อของชีอะห์เองนั้นต้องบกพร่องไป เพราะลักษณะของผู้ที่จะเป็นอิหม่ามตามความเชื่อของชีอะห์นั้นต้องเป็นผู้ที่มีความกล้าหาญมิใช่หรือ แต่ถ้าหากเป็นดั่งที่ลัทธิชีอะห์กล่าวอ้าง ก็เป็นที่เคลือบแคลงว่า ผู้ขี้ขาดตาขาวเช่นท่านอาลีขาดคุณสมบัติในการเป็นอิหม่าม แล้วข้ออ้างของลัทธิชีอะห์จะเป็นการยกย่องให้เกียรติหรือดูถูกเหยียดหยามท่านอิหม่ามอาลีกันแน่


                หรือการที่ชีอะห์เชื่อกันว่า บรรดาอิหม่ามนั้นต้องเป็น มะอ์ศูม หมายถึงบุคคลที่ปราศจากมลทิน ถ้าเช่นนั้นแล้ว การที่ท่านอาลีแต่งงานลูกสาวของท่านให้กับกาเฟรที่ชื่ออุมัร ก็เท่ากับว่า อิหม่ามอาลีได้กระทำผิดมหันต์ แล้วอย่างนี้ท่านจะยังคงอยู่ในสถานะมะอ์ศูมอยู่อีกหรือ แล้วท่านอาลีจะจะยังคงเป็นอิหม่ามได้อย่างไรก็ในเมื่อท่านขาดคุณสมบัติประการสำคัญเช่นนี้

                เหล่านี้คือข้ออ้างเท็จที่ทำลายสถานภาพของท่านอาลีทั้งสิ้น และด้วยน้ำมือของชีอะห์เองเสียด้วย ดังนั้นเราจึงได้ย้ำคำในตอนต้นว่า ท่านอาลีสมัครใจ และพึงพอใจในตัวท่านอุมัร ทั้งนี้เพื่อปกป้องท่านอาลีให้พ้นจากคำครหาตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ซึ่งต่างกับคำโพทนาและความประพฤติอันนอกคอกของลัทธิชีอะห์อิหม่ามสิบสองเสียนี่กระไร

                นอกจากนั้นแล้วเรายังพบว่า อะห์ลุ้ลบัยต์โดยบรรดาอิหม่ามของชีอะห์อิหม่ามสิบสองได้มีความสัมพันธ์แนบแน่นบรรดาลูกหลานของบุคคลที่ชีอะห์อิหม่ามสิบสองด่าประณามและสาปแช่ง เช่น

                อบาน บุตรชายของท่านอุสมาน บินอัฟฟาน แต่งงานกับ อุมมุกัลป์โซม บุตรสาวของ อับดุลลอฮ์ บินยะอ์ฟัร อิบนิอบีตอลิบ

                มัรวาน บุตรของ อบาน หลานชายของท่านอุสมาน บินอัฟฟาน แต่งงานกับอุมมุกอเซ็ม บุตรสาวของ ท่านฮะซัน บุตรของอัลฮะซัน บินอาลี บินอบีตอลิบ

                เซด บุตรชายของอัมร์ หลานชายของท่านอุสมาน บินอัฟฟาน แต่งงานกับ ซะกีนะห์ บุตรสาวของ ท่านฮุเซน


                อับดุลลอฮ์ บุตรของอัมร์ หลานชายอีกคนหนึ่งของท่านอุสมาน บินอัฟฟาน แต่งงานกับฟาติมะห์ บุตรสาวของ ท่านฮุเซน


                ขณะที่เหล่าชีอะห์ด่าประณามท่านอุสมาน บินอัฟฟานอยู่นั้น อิหม่ามของเหล่าชีอะห์เอง คือท่านฮะซัน และท่านฮุเซน กลับมอบลูกสาวหรือหลานสาวให้กับลูกชายหรือหลานชายของท่านอุสมาน ซึ่งเราก็มั่นใจว่า ท่านฮาซัน และท่านฮุเซน มีความความสัมพันธ์ที่แนบแน่น รักใคร่ปรองดองกับบุคคลเหล่านี้ โดยไม่มีร่องรอยของความขุ่นเคืองใดๆให้เห็นเลย ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาอิหม่ามของเหล่าชีอะห์ ยังได้นำชื่อบุคคลที่ชีอะห์ด่าประณามไปตั้งชื่อลูกๆ ของพวกเขาอีกด้วย ตัวอย่างเช่น

                ท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ อิหม่ามลำดับที่ 1 ของชีอะห์ได้ตั้งชื่อลูกชายของท่านที่เกิดกับ ลัยลา บินติมัสอู๊ด ว่า อบูบักร์ และตั้งชื่อลูกชายของท่านที่เกิดกับ อุมมุฮะบีบ บินติรอบีอะห์ ว่า อุมัร และตั้งชื่อลูกชายของท่านที่เกิดจาก อุมมุบะนีน บินติฮิชาม ว่า อุสมาน

                ท่านฮะซัน อิบนิอาลี อิบนิอบีตอลิบ อิหม่ามลำดับที่ 2 ของชีอะห์ ตั้งชื่อบุตรชายของท่านว่า อบูบักร์ และอุมัร

                ท่านฮุเซน อิบนิอาลี อิบนิอบีตอลิบ อิหม่ามลำดับที่ 3 ของชีอะห์ได้ตั้งชื่อลูกชายของท่านว่า อบูบักร์,อับดุลเราะห์มาน, ตอลฮะห์, อุบัยดิลลาฮ์

                ท่านอาลี อิบนุลฮุเซน หรือรู้จักกันในนาม ซัยนุ้ยอาบีดีน อิหม่ามลำดับที่ 4 ของชีอะห์ และท่านมูซา อัลกาเซ็ม อิหม่ามลำดับที่ 7 ของชีอะห์ ก็ตั้งชื่อลูกชายของท่านว่า อบูบักร์และอุมัร เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะท่านมูซา อัลกาเซ็ม นั้นยังได้ตั้งชื่อลูกสาวของท่านว่า อาอิชะห์ อีกด้วย

                ที่กล่าวมาแล้วนี้มิใช่เป็นการยกเมฆใส่ความบรรดาอิหม่ามของเหล่าชีอะห์ แต่เป็นข้อยืนยันจากอุลามาอ์ของชีอะห์ ในตำราของพวกเขาเอง ซึ่งสามารถตรวจสอบจากตำราของชีอะห์ชื่อ อัลอิรชาด ของเชคมุฟีด หน้าที่ 155,194,302,354 หรือ มะกอติล-อัตตอลีบีน ของอบีฟัรญ์ อัลอัศบะฮานีย์ อัชชีอีย์ หน้าที่ 84,91,188,561,562

                เมื่อเราได้เห็นสายสัมพันธ์อันแนบแน่นของบรรดาอิหม่ามเหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสองกับบุคคลที่ชีอะห์ด่าประณาม จึงมีข้อกังขาว่า ทำไมเหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสองถึงมีพฤติกรรมที่สวนทางกับบรรดาอิหม่ามที่พวกเขาประกาศว่าจะเจริญรอยตามเช่นนี้เล่า หรือว่าคำประกาศของพวกเขาเป็นเพียงฉากหน้าที่เอามาตบตาหลอกลวงคนทั้งโลก  แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว บรรดาอิหม่ามของเหล่าชีอะห์นั้นไม่ได้มีคติใดๆ กับท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,และท่านอุสมานเลย แต่ที่ทุจริตคิดชั่วก็คือเหล่าชีอะห์อิหม่ามสิบสองนั่นเอง


http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=172
#5
ฟังดูเป็นเรื่องแปลก หากจะกล่าวว่า "ท่านอาลี เกลียดชีอะฮ์และประณามชาวชีอะฮ์" ทั้งๆที่พวกเขาได้ประกาศตนว่าเจริญรอยตามท่านอาลีและครอบครัว โดยพวกเขาได้ยกย่องเชิดชูท่านอาลีให้เป็นอิหม่ามลำดับที่หนึ่งของพวกเขาเอง แต่เรากลับพบว่า ท่านอาลีทั้งสาปแช่งและประณามพวกเขา

               ท่านอาจจะสงสัยว่า เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเหล่าชีอะฮ์ต่างโพทนาว่าพวกเขาจงรักภักดีต่อท่านอาลี แต่ถ้าท่านได้ศึกษาข้อเท็จจริง ก็จะพบว่า คำพูดข้างต้นนี้ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล เพราะท่านอาลีและครอบครัวของท่านไม่ได้มีพฤติกรรมที่เลวร้ายต่อมุสลิมและอิสลามเลย ตรงกันข้ามกับชาวชาวชีอะฮ์ ที่พวกเขามีพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอก,บิดพลิ้ว,ทรยศและหักหลังท่านอาลี

                เราจะไม่วิจารณ์เรื่องนี้โดยความคิดเห็นส่วนตัวของเราเอง แต่เราจะให้ตำราของชีอะฮ์เป็นผู้บอกตัวตนและธาตุแท้ของลัทธิชีอะฮ์เอง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ถูกบันทึกในตำราของชีอะฮ์ชื่อ "นะฮ์ญุลบะลาเฆาะห์"  เป็นตำราที่ชาวชีอะฮ์ยกย่อง เพราะเป็นแหล่งรวบรวมสุนทรพจน์, จดหมายเหตุ, คำเทศนาของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ เราจะตามไปดูว่าอิหม่ามของพวกเขาได้ประณามและสาปแช่งพวกเขาไว้อย่างไร


 หมายเหตุ
               

               ข้อความที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ เราได้คัดลอกจาก http://www.balaghah.net  เป็นเวบไซด์ตำราชุดนี้โดยตรง ซึ่งเนื้อหาของตำราชุดนี้ได้ถูกแปลแล้วหลายภาษารวมถึงภาษาไทยด้วยที่ถูกแปลแล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งเราจะคัดลอกทั้งเนื้อหาและคำแปลมาให้ท่านได้อ่านโดยไม่ต่อเติมหรือตัดทอนข้อความใดๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการครหาว่า เรากล่าวร้ายต่อชาวชีอะฮ์  แต่เราจะให้ตำราของชีอะฮ์พูดและเราจะให้พวกเขาแปล  ส่วนเราจะเป็นผู้อ่านด้วยใจเป็นธรรมดังนี้


คำเทศนาที่34


ومن خطبة له (عليه السلام) في استنفار الناس إلى الشام [بعد فراغه من أمر الخوارج]
[وفيها يتأفف بالناس، وينصح لهم بطريق السداد]
[طريق السداد]

อิมามอะลี (อ.) กล่าวคำทศนาบทนี้ขึ้น ในวาระที่จัดส่งผู้คนไปหาชาวซีเรีย หลังจากเสร็จภารกิจในเรื่องของพวกคอวาริจญ์ในสงครามนะฮ์ระวอนแล้ว ในคำเทศนานี้ ท่านได้ตำหนิคนเหล่านั้น และตักเตือนให้ปฏิบัติตนในวิถีทางที่ถูกต้อง (เนื่องจากพวกเขาแสดงความอ่อนแอต่อการปฏิบัติตามคำสั่ง ในการสงครามกับศัตรู)

أُفٍّ لَكُمْ! لَقَدْ سَئِمْتُ عِتَابَكُمْ! أَرَضِيتُمْ بِالْحَيَاةِ الدُّنْيَا مِنَ الاْخِرَةِ عِوَضاً؟ وَ بِالذُّلِّ مِنَ الْعِزِّ خَلَفاً؟ إِذَا دَعَوْتُكُمْ إِلَى جِهَادِ عَدُوِّكُمْ دَارَتْ أَعْيُنُكُمْ، كَأَنَّكُمْ مِنَ الْمَوْتِ فِي غَمْرَة وَ مِنَ الذُّهُولِ في سَكْرَة. يُرْتَجُ عَلَيْكُمْ حَوَارِي فَتَعْمَهُونَ، وَكَأَنَّ قُلُوبَكُمْ مَأْلُوسَةٌ فَأَنْتُمْ لاَتَعْقِلُونَ! مَا أَنْتُمْ لي بِثِقَة سَجِيسَ اللَّيَالي، وَ مَا أَنْتُمْ بِرُكْن يُمَالُ بِكُمْ، وَ لاَزَوَافِرُ عِزٍّ يُفْتَقَرُ إِلَيْكُمْ.

ความวิบัติพึงเป็นของพวกเจ้า  ข้าเอือมระอาและเหน็ดเหนื่อยที่จะตำหนิพวกเจ้า พวกเจ้าพอใจที่จะใช้ชีวิตต่ำทรามแห่งโลกนี้ทดแทนชีวิตในโลกหน้าหรือ (อันเป็นชีวิตนิรันดร) เจ้าเลือกความอัปยศ มาแทนที่เกียรติยศกระนั้นหรือ เพราะเมื่อยามที่ข้าเชิญชวนพวกเจ้าให้ต่อสู้กับศัตรู นัยน์ตาของพวกเจ้ากลัวดวงตาของเจ้าจ้องมองไปแสนไกล เหมือนกับว่าเจ้าจะตายอยู่รอมร่อ มันทำให้เจ้าช็อคไปหมด และราวกับว่าเจ้่าเมามายจนระโหยโรยรา เจ้าจึงพากันเผลอไผลจนสิ้น และราวกับว่า หัวใจของพวกเจ้าถูกแทรกแซงให้ฟั่นเฟือน(คำพูดของข้ามิได้เข้าไปในโสตประสาทของเจ้า) ดังนั้น เจ้าอลหม่านที่จะตอบข้าประหนึ่งคนเสียสติพวกเจ้าจึงมิได้ใช้สติปัญญา  พวกเจ้ามิได้รับความเชื่อถือจากข้า และเจ้าไม่มีทางเป็นที่พึ่งที่มั่นใจ (ในการขับไล่ศัตรู) ที่จะไว้วางใจพวกเจ้า พวกเจ้ามิใช่ผู้ช่วยที่มีความสามารถที่พึ่งพายามต้องการได้

مَاْ أَنْتُمْ إِلاَّ كَإِبِل ضَلَّ رُعَاتُهَا فَكُلَّمَا جُمِعَتْ مِنْ جَانِب انْتَشَرَتْ مِن آخَرَ لَبِئْسَ لَعَمْرُ اللهِ! سُعْرُ نَارِ الْحَرْبِ أَنْتُمْ! تُكَادُونَ وَ لاَ تَكِيِدُونَ، وَ تُنْتَقَصُ أَطْرافُكُمْ فَلاَ تَمْتَعِضُونَ! لاَيُنَامُ عَنْكُمْ وَ أَنْتُمْ في غَفْلَة سَاهُونَ، غُلِبَ وَ اللهِ الْمُتَخَاذِلُونَ! وَ ايْمُ اللهِ إِنِّي لاََظُنُّ بِكُمْ أَنْ لَوْ حَمِسَ الْوَغَى، وَ اسْتَحَرَّ الْمَوْتُ، قَدِ انْفَرَجْتُمْ عَنِ ابْنِ أَبِي طَالِب انْفِرَاجَ الرَّأْسِ.

เจ้ามิใช่อื่นใด ทว่าเหมื่อนอูฐที่เจ้าของมันต้องระหน เพราะทุกคราวที่หันมาหามัน มันก็จะแตกฝูงไปอีกด้านหนึ่งเสมอ ขอสาบานในนามของอัลลอฮฺ พวกเจ้าคือผู้ที่จุดไฟสงครามให้ลุกโชติช่าวงตลอดไป มันแสนเลวทรามสิ้นดีพวกเจ้าถูกวางแผน แต่ไม่คิดวางแผนตอบ กำลังในส่วนต่าง ๆ ของพวกเจ้าถูกทำลาย (เข้าโจมตียึดเมืองของเจ้า คร่าชีวิตผู้คน) แต่พวกเจ้าก็ไม่คิดโกรธ พวกข้าศึกไม่เคยหลับไหล (ที่จะจู่โจมพวกเจ้า) แต่พวกเจ้ากลับลืมเผลอไผล ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ พวกที่พ่ายแพ้แน่นอนคือ พวกที่ไม่ช่วยเหลือกัน ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ข้าคิดว่า ถ้าสงครามทวีความรุนกแรงขึ้น ความร้อนแรงแห่งความตายใกล้เข้ามา พวกเจ้าก็จะแยกออกจาก บุตรของอบูีฏอลิบ เหมือนพวกที่ศีรษะขาดกระเด็นออกจากร่าง

وَ اللهِ! اِنَّ امْرَءً يُمَكِّنُ عَدُوَّهُ مِنْ نَفْسِهِ يَعْرُقُ لَحْمَهُ وَ يَهْشِمُ عَظْمَهُ وَ يَفْرِي جِلْدَهُ لَعَظِيمٌ عَجْزُهُ، ضَعِيفٌ مَا ضُمَّتْ عَلَيْهِ جَوَانِحُ صَدْرِهِ. أَنْتَ فَكُنْ ذاكَ إِنْ شِئْتَ; فَأَمَّا أَنَا، فَوَاللهِ! دُونَ أَنْ أُعْطِيَ ذالِكَ ضَرْبٌ بِالْمَشْرَفِيَّةِ تَطِيرُ مِنْهُ فَرَاشُ الْهَامِ، وَ تَطِيحُ السَّوَاعِدُ وَ الاَْقْدامُ، وَ يَفْعَلُ اللهُ بَعْدَ ذلِكَ مَا يَشَاءُ.

ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ บุคคลใดที่ยอมให้ศัตรูเหนือกว่าตน ยอมให้กินเลือดเนื้อ และบดขยี้กระดูกของเขาจนป่นปี้ อีกทั้งยอมยังให้แล่หนังออก แน่นอน มันคือความอ่อนแออันยิ่งใหญ่ สิ่งที่อยู่ในทรวงอกของเขา (หัวใจ เป้าหมาย และการตัดสินใจ) มันช่างอ่อนแอและเล็กเสียจริง ถ้าพวกเจ้าอยากจะเป็นอย่างนั้น (อ่อนแอ ไร้ความสามารถ ยอมจำนนต่อศัตรู) ก็เชิญเถิด แต่สำหรับข้า ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ก่อนที่ข้าจะให้โอกาสและความสามารถแก่ศัตรู ข้าจะใช้ดาบมุชริฟ (เป็นดาบที่ถูกนำมามอบให้จากเมืองมุชริฟ จากเยเมน หรือชาม ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าดาบมุชริฟ) ไล่ฟันพวกเขาจนกะโหลกศรีษะของเขากระจายว่อน และแขนขาของเขาจะต้องขาดร่วงลงพื้น หลังจากนั้น เป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺ ที่จะทรงดำเนินการตามพระประสงค์

أَيُّهَا النَّاسُ! إِنَّ لِي عَلَيْكُمْ حَقّاً، وَ لَكُمْ عَلَيَّ حَقٌّ، فَأَمَّا حَقُّكُمْ عَلَيَّ: فَالنَّصيحَةُ لَكُمْ، وَ تَوْفِيرُ فَيْئِكُمْ، عَلَيْكُمْ، وَ تَعْلِيمُكُمْ كَيْلا تَجْهَلُوا، وَ تَأْدِيبُكُمْ كَيْما تَعْلَمُوا. وَ أَمَّا حَقِّي عَلَيْكُمْ: فَالْوَفَاءُ بِالْبَيْعَةِ، وَ النَّصِيحَةُ فِي الْمَشْهَدِ وَ الْمَغِيبِ، وَ الاِْجَابَةُ حِينَ أَدْعُوكُمْ وَ الطَّاعَةُ حِيْنَ آمُرُكُمْ.

โอ้ประชาชนเอ๋ย ข้ามีสิทธิเหนือพวกเจ้า และพวกเจ้าก็มีสิทธิเหนือข้า ส่วนสิทธิของพวกเจ้าที่มีต่อข้าคือ ต้องหวังดี และให้คำแนะนำที่ดีแก่พวกเจ้า ต้องกระจายผลประโยชน์ในกองคลังมาใช้บนสิทธิพวกเจ้าอย่างครบถ้วน ต้องสั่งสอนพวกเจ้าเพื่อให้รอดพ้นจากความโฉดเขลา ต้องอบรมมารยาทของพวกเจ้าเพื่อให้เป็นตามที่เจ้าเรียนรู้ส่วนสิทธิของข้าที่มีเหนือพวกเจ้าคือ ต้องซื่อสัตย์ในสัตยาบัน ต้องหวังดีกับพวกเจ้าทั้งในที่ลับและที่เปิดเผย ดังนั้น เจ้าต้องสนองตอบทันทีเมื่อข้าเรียก และต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามเมื่อข้าออกคำสั่ง


คำเทศนาที่ ๒๕


ومن خطبة له (عليه السلام)
وقد تواترت عليه الاَخبار باستيلاءِ أصحاب معاوية على البلاد، وقدم عليه عاملاه على اليمن ـ وهما عبيد الله بن العباس وسعيد بن نمران ـ لمّا غلب عليها بُسْرُ بن أبي أَرْطَاة، فقام (عليه السلام) إلى المنبر ضجراً بتثاقل أَصحابه عن الجهاد، ومخالفتهم له في الرأْي،

เมื่อการรายงานที่เชื่อถือได้ถึง การเข้ายึดเมืองโดยพลพรรคฝ่ายมุอาวียะฮฺ ได้ถูกนำมารายงานแก่ท่านอะลีอย่างไม่ขาดสายนั้น เจ้าหน้าที่ของท่านสองคนจากเยเมนได้เดินทางมาเข้าพบท่านคือ อุบัยดิลลาฮฺ บุตรของอับบาซ และซะอีด บุตรของนัมรอน หลังจากที่พ่ายแพ้แก่บุซรุ บุตรของ อบีอัรฏอฮฺ ท่านอะลี (อ.) ได้ลุกขึ้นกล่าวคำปราศรัยบนมิมบัร ด้วยความโกรธเพื่อตักเตือนสาวกของท่าน ที่หน่วงเหนี่ยวการสงครามกับศัตรู และมีความคิดเห็นไม่ลงรอยกับท่าน
 
وقال  : مَا هِيَ إِلاَّ الكُوفَةُ، أقْبِضُهَا وَأَبْسُطُهَا، إنْ لَمْ تَكُوني إِلاَّ أَنْتِ، تَهُبُّ أَعَاصِيرُك، فَقَبَّحَكِ اللهُ!
وتمثّل:
لَعَمْرُ أَبِيكَ الخَيْرِ يَا عَمْرُوإِنَّني  عَلَى وَضَرـ مِنْ ذَا الاِْنَاءِ ـ قَلِيلِ

สาเหตุการพ่ายแพ้ของประชาชาติ
อิมามกล่าวว่า  ตามความเป็นจริง ตอนนี้นอกจากกูฟะฮฺแล้วไม่มีที่ใดเหลืออีก ซึ่งฉันจะขยายหรือรวบรวมมันก็ได้ (ฉันใช้มันประหนึ่งเจ้าของเสื้อที่สวมใส่เสื้อผ้าและถอดออก) โอ้ชาวกูฟะฮฺเอ๋ยเฉพาะพวกท่านเท่านั้น (ที่เป็นกำลังช่วยประจันหน้ากับศัตรู) ซึ่งต้องเผชิญกับกระแสลมอันหฤโหดน่ากลัวที่พัดโหมกระหน่ำ (ฉันมิต้องการเช่นนั้น)ท่านได้หยิบยกสุภาษิตของนักกวีคนหนึ่งมากล่าวเสริมดังนี้.. ฉันขอสาบานต่อชีิวิแห่งบิดาของฉัน โอ้อัมร เอ๋ย ฉันเหลือเศษเนยเพียงเล็กน้อยที่ติดช้อนและภาชนะอยู่เท่านั้น

ثم قال (عليه السلام):
أُنْبِئْتُ بُسْراً قَدِ اطَّلَعَ الَيمنَ، وَإِنِّي وَاللهِ لاََظُنُّ هؤُلاءِ القَوْمَ سَيُدَالُونَ مِنْكُمْ بِاجْتِماعِهمْ عَلَى بَاطِلِهمْ، وَتَفَرُّقِكُمْ عَنْ حَقِّكُمْ، وَبِمَعْصِيَتِكُمْ إِمَامَكُمْ في الحَقِّ، وَطَاعَتِهِمْ إِمَامَهُمْ في البَاطِلِ، وَبِأَدَائِهِمُ الاَْمَانَةَ إِلَى صَاحِبِهِمْ وَخِيَانَتِكُمْ، وَبِصَلاَحِهمْ في بِلاَدِهِمْ وَفَسَادِكُمْ، فَلَو ائْتَمَنْتُ أَحَدَكُمْ عَلَى قَعْب لَخَشِيتُ أَنْ يَذْهَبَ بِعِلاَقَتِهِ.

ท่านกล่าวต่อไปว่า มีข่าวด่วนมาถึงฉันว่า บุซรฺ บุตรของ อัรฏอฮฺได้ยึดเมืองเยเมนได้แล้ว ฉันขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺว่า่ ฉันทราบดีว่า พวกชีเรียจะมีชัยเหนือพวกท่านในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากพวกเขามีความเป็นหนึ่งเดียวกันในการช่วยเหลือความผิดพลาดของพวกเขา พวกเขาจะทำให้พวกเจ้าแตกแยกกันในการปกป้องสิทธิของพวกท่าน พวกท่านฝ่าฝืนคำสั่งผู้นำของท่านในสิ่งที่ชอบธรรม ส่วนพวกเขาเชื่อฟังปฏิบัติตามผู้นำของพวกเขาในสิ่งที่ผิดพลาด พวกเขารักษาสิทธิแห่งผู้นำของพวกเขา ขณะที่พวกท่านทรยศ  พวกเขาปรับปรุงสภาพสังคมของพวกเขา แต่พวกท่านเป็นพวกบ่อนทำลาย ฉะนั้น ถ้าฉันให้พวกท่านคนหนึ่งคนใดรักษาถ้วยน้ำที่เป็นไม้ ฉันกลัวเสียเหลือเกินว่า ท่านจะฉวยข้อเกี่ยวของมันไป

اللَّهُمَّ إِنِّي قَدْ مَلِلْتُهُمْ وَمَلُّوني، وَسَئِمْتُهُمْ وَسَئِمُوني، فَأَبْدِلنِي بِهِمْ خَيْراً مِنْهُمْ، وأَبْدِلُهمْ بِي شَرَّاً مِنِّى، اللَّهُمَّ مِثْ قُلُوبَهُمْ كَمَا يُمَاثُ الْمِلْحُ فِي الْمَاءِ، أَمَاوَاللهِ لَوَدِدْتُ أَنَّ لِي بِكُمْ أَلفَ فَارِس مِنْ بَنِي فِرَاسِ بْنِ غَنْم.
هُنَالِكَ، لَوْ دَعَوْتَ، أَتَاكَ مِنْهُمْ * فَوَارِسُ مِثْلُ أَرْمِيَةِ الحَمِيم
هنالک ، لو دعوت ، اتاک منهم فوارس مثل ارميه الحميم  ثم نزل عليه السلام من المنبر

สาปแช่งประชาชาติทรยศ
โอ้ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าฯเบื่อหน่าย (ที่จะตักเตือน) คนเหล่านี้ และคนเหล่านี้ก็ทำให้ข้าฯเบื่อหน่าย ข้าฯอ่อนล้ากับพวกเขา พวกเขาก็อ่อนล้ากับข้า ดังนั้น ขอได้โปรดเปลี่ยนคนที่ดีกว่าพวกเขามาให้ข้าฯ และขอได้โปรดเปลี่ยนคนที่เลวกว่าข้าไปให้พวกเขา โอ้ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โปรดละลายหัวใจของพวกเขา ให้เหมือนเกลือที่ละลายในน้ำ พึงสังวรไว้เถิด ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันอยากแทนที่พวกเจ้า ด้วยทหารม้าขจากบนี ฟิรอซ บนี ฆันนิ สัก ๑๐๐๐ ตัว (เพื่อพวกเขาจะได้ช่วยฉันตีข้าศึกให้ถอยร่นไปอยู่ในที่ของพวกเขา)ณ ที่โน้น ถ้าหากเจ้าร้องขอ ก็จะมีบรรดานักสู้ในหมู่พวกเขามายังเจ้า และต่อสู้ตราบที่ยังมีลมหายใจเหมือนอย่างก้อนเมฆในฤดูร้อน จนคำเทศนาตรงนี้ ท่านอะลี (อ.) ก็เดินลงจากมิมบัร


คำเทศนาที่๔
[ 4 ]


ومن خطبة له (عليه السلام) خصائص اهل البيت (ع)
[وهي من أفصح كلامه(عليه السلام)، وفيها يعظ الناس ويهديهم من ضلالتهم، ويقال: إنه خطبها بعد قتل طلحة والزبير]
بِنَا اهْتَدَيْتُمْ في الظَّلْمَاءِ، وَتَسَنَّمْتُمُ العلْيَاءَ، وبِنَا انْفَجَرْتُم عَنِ السِّرَارِ، وُقِرَ سَمْعٌ لَمْ يَفْقَهِ الوَاعِيَةَ، كَيْفَ يُرَاعِي النَّبْأَةَ مَنْ أَصَمَّتْهُ الصَّيْحَةُ؟
رُبِطَ جَنَانٌ لَمْ يُفَارِقْهُ الخَفَقَانُ.
مَا زِلتُ أَنْتَظِرُ بِكُمْ عَوَاقِبَ الغَدْرِ، وَأَتَوَسَّمُكُمْ بِحِلْيَةِ الـمُغْتَرِّينَ، سَتَرَني عَنْكُمْ جِلْبَابُ الدِّينِ، وَبَصَّرَنِيكُمْ صِدْقُ النِّيَّةِ، أَقَمْتُ لَكُمْ عَلَى سَنَنِ الحَقِّ في جَوَادِّ الـمَضَلَّةِ، حيْثُ تَلْتَقُونَ وَلا دَلِيلَ، وَتَحْتَفِرُونَ وَلا تُميِهُونَ.
اليَوْمَ أُنْطِقُ لَكُمُ العَجْمَاءَ ذاتَ البَيَان! عَزَبَ رَأْيُ امْرِىء تَخَلَّفَ
عَنِّي، مَا شَكَكْتُ في الحَقِّ مُذْ أُرِيتُهُ! لَمْ يُوجِسْ مُوسَى خِيفَةً عَلَى نَفْسِهِ، أَشْفَقَ مِنْ غَلَبَةِ الجُهَّالِ وَدُوَلِ الضَّلالِ! اليَوْمَ تَوَاقَفْنَا عَلَى سَبِيلِ الحَقِّ وَالباطِلِ، مَنْ وَثِقَ بِمَاء لَمْ يَظْمَأْ!

ความพิเศษของอะฮฺลุลบัยตฺ (อ.)ประกอบด้วยโวหารอันทรงคุณค่ายิ่ง เป็นข้อเตือนใจแก่คนทั้งหลายอีกทั้งเป็นการชี้นำให้ทุกคนพ้นจากความลุ่มหลง คำเทศนานี้มีขึ้นหลังจากท่านสังหาร ฏ็อลฮะฮฺ กับ ซุบัยรฺแล้ว โอ้ประชาชนทั้งหลายด้วยการชี้นำของพวกเรา พวกท่านจึงรอดพ้นจากความืดมิด หลงทาง และความโง่เขลา และได้รับทางนำสู่หนทางที่เที่ยงธรรม และด้วยการช่วยเหลือของเรา พวกท่านได้ปีนป่ายสู่วภาวะอันสูงส่ง (มีหน้ามีตาและมีสถานภาพที่สูงส่งเป็นที่รู้จักของสังคม) และเพราะเราอีกนั่นเอง  ที่พวกเจ้าได้พ้นจากความเคลือบแคลงแห่งคืนเดือนมืด (ขั้นต่ำสุดของการเป็นกาฟิรและมุชริก) สู่แสงอรุณรุ่งในยามเช้า จงหนวกไปเลยโสตหูที่ปิดกั้นเสียงแห่งการชี้นำ คนที่หูหนวกไม่ได้ยินเสียงครวญโหยหวล (พระดำรัสแห่งอัลลอฮฺและคำพูดของท่านศาสดา) จะมีโอกาสได้ยินเสียงตือนอันแผ่วเบาได้อย่างไร มั่นใจเถิดว่าหัวใจดวงใดที่หวั่นเกรงอัลลอฮฺ (เป็นดุอาอฺที่อิมามขอให้กับผู้ที่มีความยำเกรงและเกรงกลัวการลงโทษของพระองค์) ถ้าถูกผูกตรีงเสียแล้วไซร้ แรงเต้นของหัวใจจะไม่อาจทำให้มันหลุดออกจากการผูกได้ ข้าฯยังต้องรอดูสภาวะในบั้นปลายแห่งความลวง และการบิดพลิ้วสัญญาของพวกเจ้าต่อไป และข้าฯจะบำราบเลห์เพทุบายและความยะโสของพวกเจ้าให้หมดไป พวกเจ้าได้สำแดงการสวมใส่อาภรณ์แห่งศาสนาให้ข้าฯเห็น แต่ข้าฯได้มองเห็นธาตุแท้ของพวกเจ้าด้วยจิตด้านใน ข้าฯได้ยืนหยัดขึ้นเพื่อชี้นำพวกเจ้า ขณะที่พวกเจ้าอยู่ท่ามกลางความหลงผิด ระหกระเหิน และหลงทางปราศจากผู้ชี้นำ  พวกเจ้าขุดหาบ่อเพื่อหาน้ำแต่แล้วพวกเจ้าก็หาได้พบตาน้ำสักหยดหนึ่งไม่ วันนี้ ข้าฯพูดกับพวกเจ้าดั่งคนไม่ลิ้น พวกเจ้าจงออกห่างจากทัศนะที่ขัดแย้งกับข้าฯ นับตั้งแต่ข้าฯได้พบสัจธรรม ข้าฯไม่เคยเคลือบแคลงสงสัยในสัจธรรมนั้นเลย เหมือนดังที่มูซา (อ.) ไม่เคยมีความรู้สึกประหวั่นในใจตน แต่สิ่งที่มูซาอนาทรนักก็คียชัยชนะของความโง่งมงายและการเถลิงอำนาจของผู้หลงผิด (ซึ่งสิ่งนั้นจะทำให้ประชาชนหลงทางออกไป เนื่องจากทุกครั้งที่ท่านมูซา (อ.) เผชิญหน้ากับศัตรูถ้าประชาชนเชื่อฟัง พวกเขาก็ได้รับทางนำ แต่ถ้าไม่เห็นด้วยก็จะหลงทางออกไปและต้องได้รับโทษทัณฑ์อันแสนสาหัส) วันนี้ เรามายืนอยู่บนเส้นทางระหว่างสัจธรรมกับความผิดพลาด (ข้าฯอยู่บนสัจธรรมแต่พวกเจ้าอยู่บนความผิดพลาด)  ฉะนั้น คนใดเชื่อว่ามีน้ำ (เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำพูดของข้าฯ) เขาก็จะไม่กระหายอีกต่อไป


คำเทศนาที่ ๒๙


ومن خطبة له (عليه السلام)
[بعد غارة الضحاك بن قيس صاحب معاوية على الحاجّ بعد قصة الحكمين]
[وفيها يستنهض أصحابه لما حدث في الاطراف]

ท่านได้กล่าวคำเทศนาบทนี้ หลังจากที่ฏิฮาก บุตรของกิซ สมุนของมุอาวียะฮฺ  เข้าโจมตีกองคาราวานฮุจญาตบัยติลฮะรอม เมื่อปี ฮ. ศ. ที่ ๒๘ พวกเขาได้ปล้นสะดมทรัพย์สินของบรรดาฮุจญาตไปจนหมดสิ้น

أَيُّهَا النَّاسُ، الُْمجْتَمِعَةُ أبْدَانُهُمْ، الُمخْتَلِفَةُ أهْوَاؤُهُمْ ، كَلامُكُم يُوهِي   الصُّمَّ الصِّلابَ ، وَفِعْلُكُمْ يُطْمِعُ فِيكُمُ الاَْعْدَاءَ! تَقُولُونَ فِي الَمجَالِسِ: كَيْتَ وَكَيْتَ ، فَإذَا جَاءَ الْقِتَالُ قُلْتُمْ: حِيدِي حَيَادِ!  مَا عَزَّتْ دَعْوَةُ مَنْ دَعَاكُمْ، وَلاَ اسْتَرَاحَ قَلْبُ مَنْ قَاسَاكُمْ، أَعَالِيلُ بِأَضَالِيلَ ، دِفَاعَ ذِي الدَّيْنِ المَطُولِ

โอ้ ประชาชนชาวกูฟะฮฺเอ๋ย เรือนร่างของพวกท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ความคิดของพวกท่านแตกแยก ถ้อยคำของพวกเจ้าทำให้หินแข็งกร้าวต้องแตกสลาย แต่พฤติกรรมที่อ่อนแอ (ชอบนั่งอยู่กับบ้านไม่พร้อมที่จะทำสงคราม) ของพวกท่านได้สร้างความหวังให้ศัตรู เจ้าพูดกันในที่ประชุมหลายแห่งว่า เราจะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ แต่พอสงครามเกิดขึ้นจริง พวกเจ้าก็กล่าวว่า โอ้สงครามจงหลีกไป..และวิ่งหนี คำเชิญของผู้ที่เรียกร้องพวกเจ้า (ให้มาช่วยเหลือ) ในมาสงคราม พวกเจ้ามิยอมรับ (เจ้ามิได้ช่วยเขา) ผู้ที่ได้ยากลำบากเพื่อพวก หัวใจของเขามิเคยสุขสบายและสงบเลย ข้ออ้างต่าง ๆ (ที่พวกเจ้าไม่ทำสงครามกับศัตรูมันไม่ถูกต้อง และเป็นสาเหตุทำให้) หลงทางและหลงผิดออกไป เหมือนกับลูกหนี้ล่าช้าในการจ่ายหนี้

لاَ يَمنَعُ الضَّيْمَ الذَّلِيلُ! وَلاَ يُدْرَكُ الْحَقُّ إِلاَ بِالْجِدِّ! أَيَّ دَار بَعْدَ دَارِكُمْ تَمْنَعُونَ، وَمَعَ أَىِّ إِمَام بَعْدِي تُقَاتِلُونَ؟ المَغْرُورُ وَاللهِ مَنْ غَرَرْتُمُوهُ، وَمْنْ فَازَبِكُمْ فَازَ بَالسَّهْمِ الاَْخْيَبِ ، وَمَنْ رَمَى بِكُمْ فَقَدْ رَمَى بِأَفْوَقَ  نَاصِل.

ความต่ำต้อยและความกลัวมิอาจสกัดกั้นการกดขี่ได้ สัจธรรมมิอาจไขว่คว้ามาได้นอกจากด้วยความเพียรพยายามอย่างยิ่งยวด จะมีเรือนหลังไหน หลังจากเรือนของพวกเจ้าเองแล้ว (ศัตรูบุกโจมตีและเข้าทำลาย) จะหลงเหลืออยู่อีก (เวลานั้นศัตรูจะขับพวกเจ้าออกจากบ้านเรือน) นอกจากข้าแล้ว พวกเจ้าจะต่อสู้ร่วมกับอิมามคนใดหรือ ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ คนถูกลวง คือคนที่พวกเจ้าหลอกลวง ถ้าใครได้รับชัยชนะเพราะการช่วยเหลือของพวกเจ้า ก็เท่ากับชนะในเกมลูกศรที่จะถูกกินกลับในภายหลัง (เป็นชัยชนะที่ไม่มีความหมาย) ถ้าใครยิงลูกศรเนื่องด้วยความร่วมมือของพวกเจ้า ก็เท่ากับยิงลูกศรที่ปลายศรหัก
 
أَصْبَحْتُ وَاللهِ لا أُصَدِّقُ قَوْلَكُمْ، وَلاَ أَطْمَعُ فِي نَصْرِكُمْ، وَلاَ أُوعِدُ العَدُوَّ بِكُم.
مَا بَالُكُم؟ مَا دَوَاؤُكُمْ؟ مَا طِبُّكُمْ؟ القَوْمُ رِجَالٌ أَمْثَالُكُمْ، أَقَوْلاً بَغَيْرِ عِلْم! وَغَفْلَةً مِنْ غَيْرِ وَرَع! وَطَمَعاً في غَيْرِ حَقٍّ؟!

ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า ข้าพูด ขณะที่ข้าไม่เชื่อในคำพูดของพวกเจ้า ข้าไม่เคยหวังในความช่วยเหลือของพวกเจ้า ข้าไม่ขอข่มขู่ศัตรู (มุอาวิยะฮฺกับสมุน) เนื่องด้วยพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นเช่นไรแล้ว ยาแก้สำหรับพวกเจ้าคืออะไร เจ้ายอมรับวิธีรักษาแบบใด เมื่อศัตรูเป็นคนเหมือนกับพวกเจ้า ดีแล้วหรือที่พวกเจ้าพูดในสิ่งที่ไม่รู้และไม่เชื่อ ลืมแล้วหรือว่าต้องห่างไกลจากบาป (โดยหามีความสำรวมไม่) มักมากแต่ในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม


คำเทศนาที่ 36


ومن خطبة له (عليه السلام)
في تخويف أَهل النهروان

อิมามกล่าว คำเทศนาบทนี้ เพื่อเตือนสำทับพวกนะฮฺเราะวานให้พวกเขาตื่นตัวและยึดมั่นบนสัจธรรม

فَأَنَا نَذِيرٌ لَكُمْ أَنْ تُصْبِحُوا صَرْعَى بِأَثْنَاءِ هذَا النَّهْرِ، وَ بِأَهْضَامِ هذَا الْغَائِطِ، عَلَى غَيْرِ بَيِّنَة مِنْ رَبِّكُمْ، وَ لاَسُلْطَان مُبِين مَعَكُمْ: قَدْ طَوَّحَتْ بِكُمُ الدَّارُ وَ احْتَبَلَكُمُ الْمِقْدَارُ.
وَ قَدْ كُنْتُ نَهَيْتُكُمْ عَنْ هذِهِ الْحُكُومَةِ فَأَبَيْتُمْ عَلَيَّ إِبَاءَ الْمُخالِفينَ الْمُنابِذينَ، حَتَّى صَرَفْتُ رَأْيِي إِلى هَوَاكُمْ وَ أَنْتُمْ مَعَاشِرُ أَخِفَّاءُ الْهَامِ، سُفَهَاءُ الاَْحْلاَمِ; وَ لَمْ آتِ ـ لاَأَبَالَكُمْ! ـ بُجْراً وَ لاَأَرَدْتُ لَكُمْ ضُرّاً.

ข้าหวั่นวิตกแทนพวกเจ้า ที่ว่าเมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าพวกเจ้าจะถูกสังหาร ระหว่างริมฝั่งแม่น้ำนี้ ณ แผ่นดินที่ต่ำทราม โดยที่ไม่หลักฐานและเหตุผลที่ชัดเจน ณ พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าอยู่ในมือ โลกของเจ้าได้โยนเจ้าไปสู่ความอัปยศ ความคิดที่ไม่ถูกต้องของเจ้านำพาพวกเจ้าไปติดบ่วงที่อันตรายยิ่งแน่นอน ข้าเคยห้ามพวกเจ้าแล้วเกี่ยวกับรัฐบาลนี้ แต่พวกเจ้าขัดขวางและขัดขืนข้า เฉกเช่นพวกขัดแย้งตัวฉกาจที่บิดพลิ้วสัญญา จนข้าต้องปล่อยความคิดเห็นให้คล้อยตามอารมณ์ของพวกเจ้า ที่แท้พวกเจ้าคือ หมู่ชนปัญญาอ่อน โง่เง่า ไร้ความคิดสิ้นดี เปล่าเลย ข้ามิได้นำความชั่วร้ายอันใหญ่หลวงมามอบให้แก่พวกเจ้า โอ้ลูกไม่มีพ่อทั้งหลาย ข้าไม่เคยปรารถนาให้พวกเจ้าได้รับอันตรายใด ๆ (พวกเจ้าต่างหากที่บีบบังคับข้า ให้ตกอยู่ในสภาพดังกล่าวและต้องยอมรับคำตัดสิ้น)


คำเทศนาที่ 39


ومن خطبة له (عليه السلام)
[خطبها عند علمه بغزوة النعمان بن بشير صاحب معاوية لعين التمر]
[وفيها يبدي عذره، ويستنهض الناس لنصرته]

คำเทศนานี้ ท่านอิมามกล่าวขณะที่ทราบข่าวว่า นุอ์มาน บุตรของชุบัยร์ (สาวกคนหนึ่งของมุอาวิยะฮฺ) ได้บุกโจมตีอัยนุลตะมัร (ดินแดนทางตอนเหนือของอิรัค) ท่านอิมามกล่าวถึงเหตุผลของท่านที่ไม่อาจออกมาเผชิญหน้ากับศัตรูได้ทันที

مُنِيتُ بِمَنْ لاَ يُطِيعُ إِذَا أَمَرْتُ وَلا يُجِيبُ إِذَا دَعَوْتُ، لاَ أَبَا لَكُمْ! مَا تَنْتَظِرُونَ بِنَصْرِكُمْ رَبَّكُمْ؟ أَمَا دِينٌ يَجْمَعُكُمْ، وَلاَ حَمِيَّةَ تُحْمِشُكُمْ؟! أَقُومُ فِيكُمْ مُسْتَصْرِخاً، وَأُنادِيكُمْ مُتَغَوِّثاً، فَلاَ تَسْمَعُونَ لي قَوْلاً، وَلاَ تُطِيعُون لِي أَمْراً، حَتَّى تَكَشَّفَ الاُْمُورُ عَنْ عَوَاقِبِ الْمَساءَةِ، فَمَا يُدْرَكُ بِكُمْ ثَارٌ، وَلاَ يُبْلَغُ بِكُمْ مَرَامٌ، دَعَوْتُكُمْ إِلَى نَصْرِ إِخْوَانِكُمْ فَجَرْجَرْتُمْ جَرْجَرَةَ الْجَمَلِ الاَْسَرِّ، وَتَثَاقَلْتُمْ تَثَاقُلَ الْنِّضْوِ الاَْدْبَرِ ثُمَّ خَرَجَ إِلَيَّ مِنْكُمْ جُنَيْدٌ مُتَذَائِبٌ ضَعِيفٌ (كَأَنَّمَا يُسَاقُونَ إِلَى الْمَوْتِ وَهُمْ يَنْظُرُونَ).

ข้าฯ ถูกทดสอบด้วยกลุ่มชนเมื่อข้าฯ ออกคำสั่งแต่พวกเขาที่ไม่เชื่อฟัง เมื่อข้าฯ เรียกหาพวกเขาจะไม่ขานรับ  โอ้เจ้าพวกไม่มีพ่อ การช่วยเหลื่อศาสนาของพระผู้อภิบาลพวกเจ้ายังจะคอยสิ่งใดอีก (สาเหตุที่พวกเจ้าไม่ออกรบคืออะไร) ไม่มีศาสนาใดเรียกร้องพวกเจ้าให้มารวมกันหรือ (เพื่อจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้ประสบความสำเร็จทั้งโลกนี้และโลกหน้า) และคงไม่มีความกล้าหาญใดสั่นคอนให้พวกเจ้าโกรธเกลียดศัตรูของพวกเจ้า (เพื่อปกป้องศาสนาและประชาชาติ) ข้าฯ ขอยืนหยัดอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า ในฐานะผู้ป่าวร้อง ข้าฯ เีรียกขานให้พวกเจ้าช่วยเหลือ แต่ทว่าพวกเจ้ามิได้รับฟังข้าฯ แม้แต่คำเดียว และไม่เชื่อฟังข้าฯ แม้แต่เรื่่องเดียว จนกระทั่งความเลวร้ายของกิจการทั้งปวงได้ปรากฏโฉมออกมาในตอนหลัง (พวกเจ้าสำนึกเมืือทุกอย่างสายเกินไปและไม่มีประโยชน์อันใด ศัตรูมีอำนาจเหนือพวกเจ้า) ดังนั้น ในสภาพเช่นนี้ข้าฯ จะทวงแค้นของผู้ไม่มีความผิดคืนได้อย่างไร การช่วยเหลือของเจ้าจะไม่ทำให้บรรละความสมประสงค์ ข้าฯเีรียกร้องพวกเจ้าให้ช่วยเหลือพี่น้องของเจ้า (ขณะที่พวกเขาถูกรายล้อมด้วยศัตรู) แต่พวกเจ้าก็เดินอ้อยอิ่งทอดน่องเยี่ยงอูฐที่เป็นแผลฉกรรจ์ (การออกไปช่วยพี่น้องของเจ้า) หรือพวกเจ้าหน่วงเหนี่ยวกันและกันเยี่ยงสัตว์ที่ผอมแห้งและหลังถูกเจาะให้เป็นแผล มีทหารชั้นสวะเพียงเล็กน้อยเข้ามาหาข้าฯ พวกเขาอ่อนปวกเปียก หวาดกลัว และไร้ความสามารถ ดูประหนึ่ง เหมือนกับเขากำลังถูกส่งไปสู่ความตาย ขณะที่พวกเขามองเห็นความตายอยู่ตรงหน้า


คำเทศนาที่ ๖๙
การเมือง และประวัติศาสตร์ (ประณามพรรคพวก)


و من كلام له عليه السّلام : فى توبيخ بعض أصحابه

คำเทศนานี้อิมามอะลี (อ.) กล่าวประณามพรรคพวกบางคนของท่าน กล่าวว่า


كَمْ أُدَارِيكُمْ كَمَا تُدَارَى الْبِكَارُ الْعَمِدَةُ، وَ الثِّيَابُ الْمُتَدَاعِيَةُ! كُلَّمَا حِيصَتْ مِنْ جَانِب تَهَتَّكَتْ مِنْ آخَرَ، كُلَّمَا أَطَلَّ عَلَيْكُمْ مَنْسِرٌ مِنْ مَنَاسِرِ أَهْلِ الشَّامِ أَغْلَقَ كُلُّ رَجُل مِنْكُمْ بَابَهُ، وَ انْجَحَرَ انْجِحَارَ الضَّبَّةِ فِي جُحْرِهَا وَ الضَّبُعِ فِي وِجَارِهَا. الذَّلِيلُ وَ اللّهِ مَنْ نَصَرْتُمُوهُ! وَ مَنْ رُمِيَ بِكُمْ فَقَدْ رُمِيَ بَأَفْوَقَ نَاصِل. إِنَّكُمْ وَاللّهِ لَكَثِيرٌ فِي الْبَاحَاتِ، قَلِيلٌ تَحْتَ الرَّايَاتِ. وَ إِنِّي لَعَالِمٌ بِمَا يُصْلِحُكُمْ، وَ يُقيمُ أَوَدَكُمْ، وَ لكِنِّي لاَ أَرَى إِصْلاَحَكُمْ بِإِفْسَادِ نَفْسِي. أَضْرَعَ اللّهُ خُدُودَكُمْ، وَ أَتْعَسَ جُدُودَكُمْ! لاَ تَعْرِفُونَ الْحَقَّ كَمَعْرِفَتِكُمُ الْبَاطِلَ، وَ لاَ تُبْطِلُونَ الْبَاطِلَ كَإِبْطَالِكُمُ الْحَقَّ!.


ข้าเกื้อกูลด้วยเมตตาแก่พวกเจ้า เยี่ยงการเกื้อกูลลูกอูฐที่ไม่บรรทุกของหนักไว้บนหลังจนเกิดบาดแผลเหวอะหวะ มากเท่าไหร่แล้ว เปรียบประดุจกับการเอาใจใส่ต่อเสื้อผ้าที่เก่าจนผุกร่อน ทุกครั้งที่ปะชุนด้านหนึ่งอีกด้านหนึ่งก็จะฉีกขาดไปด้วย ทุกครั้งที่กองทัพซีเรียเข้าใกล้พวกเจ้า พวกเจ้าทุกคนก็จะรีบปิดประตูบ้าน เหมือนกับตัวเงินตัวทองที่วิ่งหนีไปซ่อนตัวอยู่ในรู หรือเยี่ยงกบที่หลบซ่อนตัวอยู่ตามซอก

ข้าขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺว่า ช่างเป็นความต่ำต้อยสำหรับผู้ที่พวกเจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือเขา และเขาผู้นั้นถูกยิงด้วยดอกธนูเพราะพวกเจ้า เหมือนผู้ที่ยิงดอกธนูเรื่อยเปื่อยไร้ทิศทาง

ข้าขอสาบานด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺว่า จำนวนของพวกเจ้ามากมายอยู่ตามชายคา แต่มีจำนวนน้อยนักที่อยู่ภายใต้ร่มธงแห่งกองทัพ แท้จริง ข้าเองย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดสามารถปรับปรุงแก้ไขพวกเจ้าได้ สิ่งใดสามารถทำให้ความคดงอของพวกเจ้ายื่นตรงได้ แต่ทว่าข้าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขพวกเจ้าด้วยความผิดที่เจ้าก่อขึ้น อัลลอฮฺ จักโน้มใบหน้าของพวกเจ้าให้คว่ำลงกับพื้นดิน แล้วจะทรงทำลายล้างประโยชน์อันเล็กน้อย (จากความอับอายและความสุข) ให้พินาศลง พวกเจ้าไม่รู้จักสัจธรรมดีเท่ากับที่พวกเจ้ารู้จักสิ่งที่เป็นเท็จ และพวกเจ้ามิได้ทำลายความเท็จเหมือนดั่งที่พวกเจ้าทำลายล้างสัจธรรม


               คงไม่ผิดเพี้ยนนักหรอก ที่เราตั้งชื่อหัวข้อนี้ว่า "เมื่อท่านอาลีประณามและสาปแช่งชีอะฮ์"  ด้วยเพราะข้อความจากตำราของชีอะฮ์เองเป็นสิ่งยืนยันถึงพฤติกรรมอันเลวร้ายของพวกเขา และแม้กระทั่งอิหม่ามของพวกเขาเองก็ยังรับพฤติกรรมอันเลวร้ายนี้ไม่ได้ ทั้งตะลบตะแลง,บิดพลิ้ว และหักหลัง แม้ในปัจจุบันพวกเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนพฤติกรรมอันเลวทรามเยี่ยงนี้เลย สมแล้วที่ท่านอิหม่ามอาลีประณามและสาปแช่งพวกเขา



http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=146
#6
ท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ คือเด็กคนแรกที่เข้ารับอิสลาม ท่านเป็นลูกผู้พี่ลูกน้องกับท่านนบี และเป็นลูกเขยของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม

                หลังจากท่านนบีได้เสียชีวิตไปแล้ว ท่านอาลีก็ยังคงให้ความสำคัญเกี่ยวกับกิจกรรมของอิสลามและมุสลีมีนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ท่านมิได้โดดเดี่ยวตัวเองจากสังคมมุสลิมในขณะนั้น  แต่ท่านยังคงคบหาสมาคมและอยู่ร่วมสังคมกับศอฮาบะห์ท่านอื่นๆ  และยังคงให้ความเคารพนับถือศอฮาบะห์อวุโสโดยเฉพาะท่านอบูบักร์ ชายคนแรกที่รับอิสลาม ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทและเป็นพ่อตาของท่านนบี รวมถึงท่านอุมัร ผู้เป็นเพื่อนและพ่อตาอีกคนหนึ่งของท่านนบี และเป็นลูกเขยของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบอีกด้วย


                เป็นที่ทราบกันดีว่า บุคคลเหล่านี้มีความผูกพันธุ์และมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นในฐานะญาติใกล้ชิด นอกจากนั้นพวกเขายังเป็นศอฮาบะห์รุ่นแรก และเป็นหนึ่งในบรรดามุฮาญีรีนที่อพยพออกจากนครมักกะห์สู่นครมะดีนะห์ ร่วมต่อสู้ฟันฝ่าเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาเสมอ


                ด้วยเหตุที่ท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อท่านนบีทั้งยามเป็นและยามตาย ท่านอาลีจึงไม่ได้ปฏิเสธคำสอนของท่านนบี ท่านไม่ได้ทรยศหักหลังท่านนบี ท่านไม่ได้เปลี่ยนจุดยืนหลังจากที่ท่านนบีได้ตายจากไป เพราะฉะนั้นเราจึงไม่พบหลักฐานเลยว่า ท่านอาลี ได้ด่าประณามท่านอบูบักร์ และท่านอุมัร เนื่องจากท่านนบีได้สั่งให้ปฏิบัติดีต่อท่านทั้งสองนี้


               ท่านนบี มูฮัมหมัด ศอ็ลลอ็ลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า



اِقْتَدُوا بِالَّذَيْنِ مِنْ بَعْدِى أَبِي بَكْر وَعُمَرَ  

"พวกเจ้าทั้งหลายจงตามบุคคลทั้งสองต่อจากฉัน คือ อบูบักร์และอุมัร" รายงานโดยฮุซัยฟะห์ บันทึกโดยอิหม่ามติรมีซีย์ ฮะดีษเลขที่ 3539            
            เมื่อท่านนบีได้สั่งไว้เช่นนี้ ท่านอาลีก็น้อมรับและปฏิบัติตามคำสั่ง โดยท่านได้เห็นสัตยาบันต่อท่านอบูบักร์และท่านอุมัรในการดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ และยังรับเป็นที่ปรึกษาให้กับคอลีฟะห์ทั้งสองอีกด้วย นี้คือภาพที่ท่านอาลีแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีที่มีต่อคำสั่งของท่านรอซูล และไม่ใช่เฉพาะช่วงการปกครองของท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,ท่านอุสมานเท่านั้น แม้ในช่วงเวลาที่ท่านอาลีดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์เอง ท่านก็ไม่เคยก้าวร้าวคอลีฟะห์ทั้งสามก่อนหน้าท่านเลย

                ข้อกล่าวหาสารพัดชนิดที่กลุ่มชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง หยิบยื่นให้แก่ท่านอบูบักร์และท่านอุมัร หรือท่านอุสมานนั้น ท่านอาลีก็มิได้มีส่วนรู้เห็น หรือเป็นหนึ่งในผู้กล่าวหาและใส่ความคอลีฟะห์ทั้งสาม แม้ในขณะที่ท่านอาลีดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ ท่านก็ไม่เคยกล่าวว่า อัลกุรอานไม่ครบ หรือถูกบิดเบือนในยุคคอลีฟะห์ก่อนหน้าท่าน,ท่านไม่ได้ออกบัญญัติว่าเรื่องมุตอะฮ์ (การสมสู่ชั่วคราว) เป็นที่อนุมัติในยุคการปกครองของท่าน, ท่านอาลีไม่เคยประกาศว่าวาญิบในเรื่องมุตอะตุ้ลฮัจญ์, ท่านไม่ได้เรียกสิทธิ์คืนในที่ดิน "ฟะดัก" และฯลฯ ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นข้อกล่าวหาของชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองที่มีต่อท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,และท่านอุสมานทั้งสิ้น และหากเป็นจริงตามข้อกล่าวหานั้น แล้วทำไมท่านอาลีจึงไม่ดำเนินการแก้ไขในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ ทั้งๆที่ท่านก็มีอำนาจในการจัดการ และท่านก็ไม่เคยประกาศว่า ท่านคือ "วะซีย์" หรืออ้างว่าเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งจากอัลกุรอานและฮะดีษ

                ยิ่งไปกว่านั้นท่านอาลีก็ไม่เคยปฏิเสธเรื่องการละหมาดตะรอเวียะห์ อีกทั้งไม่เคยสั่งการให้ผู้ใดเติมคำว่า "ฮัยยาอะลาคอยริ้ลอะมั้ล" ในการอะซาน และฯลฯ ทั้งๆที่ท่านมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองขณะนั้น หากแต่ท่านอาลียังคงดำเนินตามคอลีฟะห์ทั้งสามก่อนหน้านี้ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีและการปฏิบัติตามคำสั่งของท่านรอซูล ที่สั่งให้ตามท่านอบูบักร์และท่านอุมัรทั้งสิ้น

                นอกจากเราจะไม่เห็นภาพของท่านอาลีที่แสดงความเป็นปรปักษ์ต่อท่านอบูบักร์ และท่านอุมัรแล้ว ในทางตรงกันข้าม ท่านกลับยกย่องเชิดชูบุคคลทั้งสองในช่วงการดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ของท่านอีกด้วย โดยท่านอาลีได้กล่าวว่า              

 
مَنْ خَيْرُ هَذِهِ الأُمَّةِ بَعْدَ نَبِيِّهَا فَقُلْتُ أَنْتَ يَا أَمِيْرَ المُؤْمِنِيْنَ قَالَ لاَ  خَيْرُهَذِهِ الأُمَّةِ بَعْدَ نَبِيِّهَا أَبُوْبَكْرٍ ثُمَّ عُمَرُ

"บุคคลใดดีที่สุดของประชาชาตินี้หลังจากท่านนบี ผู้รายงานกล่าวว่า ท่านนั่นแหละโอ้นายแห่งบรรดาผู้ศรัทธา ท่านอาลีตอบว่า ไม่ใช่  ผู้ทีดีที่สุดของประชาตินี้หลังจากท่านนบีคืออบูบักร์ และอุมัร" มุสนัดอิห่ามอะห์หมัด ฮะดีษเลขที่ 793  
                แน่อนว่าเหล่าชีอะฮ์ต้องปฏิเสธคำรายงานนี้ และต้องปฏิเสธอีกหลายรายงาน เหตุเพราะความไม่สบอารมณ์เท่านั้น ไม่ใช่ปฏิเสธด้วยวิชาการว่า ฮะดีษที่นำเสนอถูกหรือผิดอย่างไร แต่ถึงแม้ว่าเหล่าชีอะฮ์จะปฏิเสธพวกเขาก็ไม่สามารถปิดบังอำพรางคำของท่านอาลี และจุดยืนของท่านอาลีที่มีต่อท่านอบูบักร์และท่านอุมัรได้ เพราะเรื่องราวเหล่านี้ถูกถ่ายทอดมาในลักษณะ "มุตะวาเต็ร" คือมหาชนที่ได้ยินและเห็นเป็นผู้รายงาน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่มหาชนเหล่านี้จะรวมหัวกันโกหก

                นอกจากท่านอาลีจะยกย่องเชิดชูท่านอบูบักร์และท่านอุมัรต่อหน้ามหาชนในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์แล้ว ท่านยังได้แสดงความรักต่อบุคคลทั้งสองโดยนำชื่อ อบูบักร์ และ อุมัร ไปตั้งชื่อบุตรชายของท่านที่เป็นพี่น้องร่วมพ่อกับท่านฮะซันและท่านฮุเซนอีกด้วย คือ
                อบูบักร์ บินอาลี บุตรชายคนที่เกิดจากภรรยาที่ชื่อ อุมมุนบะนีน บินติฮิซาม

                อุมัร บินอาลี บุตรชายที่เกิดจากภรรยาที่ชื่อ อัสมาอ์ บินติอุมัยช์

                อย่างนี้แหละคือท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ที่รักท่านอบูอบักร์ และท่านอุมัร อย่างจริงใจ ซึ่งไม่มีร่องรอยของความแค้นเคืองอาฆาตใดๆ ปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งจุดยืนของท่านอาลีที่มีต่อท่านอบูบักร์และท่านอุมัรที่กล่าวมานี้ล้วนแต่ตรงกันข้ามกับพฤติกรรมของชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองทั้งสิ้น

                เราไม่เคยพบหลักฐานที่ศอเฮียะห์สักบทเดียวที่ยืนยันว่า ท่านอาลีด่าประณามท่านอบูบักร์ และท่านอุมัร   ดังที่เหล่าชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองได้กระทำอยู่ขณะนี้

  عَنِ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُمَا قَالَ اِنِّي لَوَاقِفٌ فِي قَوْمٍ فَدَعُوَا اللهَ لِعُمَرَ بْنِ الخَطَّابِ وَقَدْ وُضِعَ عَلىَ سَرِيْرِهِ اِذَا رَجُلٌ مِنْ خَلْفِي قَدْ وَضَعَ مِرْفَقَهُ عَلَى مَنْكِبِي يَقُوْلُ رَحِمَكَ اللهُ اِنْ كُنْتُ لأرْجُو اَنْ يَجْعَلَكَ اللهُ مَعَ صَاحِبَيْكَ لأِنِّي كَثِيْرًا مَا كُنْتُ أَسْمَعُ رَسُوْلَ اللهِ صَلى اللهُ عَليْهِ وَسَلَّمَ يَقُوْلُ كُنْتُ وَأبُوْبَكْرٍ وَعُمَرُ وَفَعَلْتُ وَأَبُوْبَكْرٍ وَعُمَرُ وَانْطَلَقْتُ وَأبُوْبَكْرٍوَعُمَرُ فَاِنْ كُنْتُ لأرْجُو أنْ يَجْعَلَكَ اللهُ  
مَعَهُمَا فَالتَفَتُّ فَاِذَا هُوَ عَلِيُّ بْنُ أَبِيْ طَالِبٍ

 
"ท่านอิบนิอับบาส รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา รายงานว่า ฉันได้ยืนอยู่ในกลุ่มชน ตอนที่พวกเขาขอพรต่อพระองค์อัลลอฮ์ให้แก่ท่านอุมัร อิบนุลค๊อตต๊อบ โดยที่ศพของเขาวางอยู่บนแคร่ ขณะนั้นมีชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังฉัน เขาได้เอาข้อศอกของเขาพาดบ่าของฉัน แล้วกล่าวว่า ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาท่าน (อุมัร) ด้วยเถิด ฉันหวังว่าอัลลอฮ์จะให้ท่านได้อยู่กับสหายทั้งสองของท่าน (ท่านนบีและท่านอบูบักร์) เพราะบ่อยครั้งที่ฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า ฉันพร้อมกับอบูบักร์และอุมัร, ฉันเคยทำอย่างนี้ร่วมกับอบูบักร์และอุมัร, ฉันเคยออกไปพร้อมกับอบูบักร์และอุมัร สำหรับฉันแล้ว ฉันเชื่อว่าอัลลอฮ์จะให้ท่านอยู่ได้อยู่ร่วมกับเขาทั้งสอง (ท่านนบีและอบูบักร์) เมื่อฉันหันไปมองปรากฏว่า คนที่พูดคืออาลี อิบนิอบีตอลิบ" ศอเฮียะห์บุคคอรี ฮะดีษเลขที่ 3401 และ 3409

                นี่คือจุดยืนของท่านอาลีที่แสดงความรักต่อท่านอบูบักร์และท่านอุมัรให้ประจักษ์ทั้งยามเป็นและยามตาย ด้วยการที่ท่านขอดุอาอ์ให้แก่ท่านอุมัร เมื่อสิ้นชีวิตขณะที่ศพของท่านอุมัรวางอยู่บนแคร่ว่า رحمك الله   แปลว่า ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาต่อท่านอุมัรด้วยเถิด หากท่านอุมัรเป็นกาเฟร หรือมุนาฟิกตามข้อกล่าวหาของกลุ่มชีอะฮ์แล้วไซร้ เพราะเหตุใดท่านอาลีจึงขอดุอาอ์ให้แก่กาเฟรผู้นี้เล่า  นอกจากนี้แล้วท่านอาลียังขอดุอาอ์ให้ท่านอุมัรอีกด้วยว่า ขอให้ได้อยู่ร่วมกับผู้เป็นที่รักทั้งสองคือ ท่านนบีและท่านอบูบักร์ ซึ่งเป็นคำยืนยันจากท่านอาลีว่า ตราบสิ้นชีวิตของท่านอุมัรนั้นได้รักท่านรอซูลและท่านอบูบักร์จนลมหายใจสุดท้าย

                แม้ในยามมีชีวิต ท่านอบูบักร์และท่านอุมัรก็ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมกับท่านรอซูลเสมอมา

                แม้ยามตายศพของท่านทั้งสองก็ยังอยู่เคียงข้างท่านนบี

                นี่คือจุดยืนของท่านอาลี อิบนิอบีตอลิบ ที่แตกต่างจากพฤติกรรมของชีอะฮ์อิหม่ามสิบสองอย่างสิ้นเชิง              

                โอ้พระองค์อัลลอฮ์ได้โปรดประทานความรักความเตตาต่อท่านอบูบักร์,ท่านอุมัร,ท่านอุสมาน และท่านอาลี พร้อมกับบรรดาสหายของท่านนบีด้วยเถิด

โอ้ท่านอาลี พวกเขาทำให้ท่านและวงศ์ตระกูลของท่านเสื่อมเสีย ข้าจะเรียกคืนเกียรติยศของท่านจากเหล่าชีอะฮ์อิหม่ามสิบสอง ผู้แอบอ้างว่าจะตามท่านและวงศ์ตระกูลของท่าน แต่พวกเขากลับเป็นผู้เนรคุณ  


http://www.fareedfendy.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=136
#7
L-umar อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง

ตอบ



อิลา  เยามิล กิยามะฮ์  มั้ง   5555555555555555



ว้ากกกกกกกกกกกกกก 5555555555 อย่างนี้ก็หมายความว่า ไม่กล้าเข้าไปน่ะสิ

โกหกอีกแล้วววววว ชีอะห์ 5555


\\\"ใจเย็นๆไปหาแน่ \\\"


ขี้หกทั้งเพ ได้รู้และ ว่าชีอะห์มันสันดานยังไง
โกหก แล้วก็ยังไร้อามานะฮฺในคำพูดตนเองด้วย



Thai: [45:7]ความหายนะจงประสบแด่ทุกคนที่เป็นผู้โกหก ผู้ทำบาปมาก
#8
L-umar อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง

ก็เรียนให้ท่านทราบแต่ต้นแล้วว่า   เรากำลังเอาข้อมูลลง  ยังไม่ทันหมดเลย  ท่านก็จะเชิญให้เราไปตอบได้อย่างไร



งานหลักต้องทำให้เสร็จก่อน   ส่วนงานหมูหมากาไก่  ค่อยเอาทีหลังนะ  ใจเย็นๆไปหาแน่



โอ้ ได้เลย จะถือว่าเป็นอมานะระหว่างกันละกัน เสร็จเมื่อไหร่ก็ไปเที่ยวบ้างละกันนะ
ว่าแต่อีกนานมั้ยอ่ะ กว่าจะลงข้อมูลเสร็จ? บอกเวลาให้หน่อยเราจะได้ไม่คอยเก้อ
#9
L-umar อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง

เอ้า  โทษทีนึกว่า  เป็นฮาฟิซ    เห็นจำเรื่องหะดีษได้เพียบ  แต่กุรอ่านกลับจำไม่ค่อยได้  เราอุตส่าห์ให้เครดิตสูง  ทีแท้ก็มือสมัครเล่นเหมือนกันกับเรา



ว่างไปโลด โปรแกรมหาอายัต แบบออโต้บ้างนะ ที่เวปมัฆโรวี  นะ  เล่นเน็ตยังไวเชยจัง



อ้าว ตัวผมก็มือสมัครเล่นแหละครับ ไม่กล้าอวดอ้างว่าเก่งกาจหรอก กลัวตะกับโบ้ร

ตัวเองเล่นไร้มารยาททางวิชาการ ไม่อ้างที่มาที่ไป แล้วยังจะตำหนิเขาอีกเนาะ? เป็นได้ถึงขนาดนี้คนเรา เฮ้อ
#10
L-umar อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง

แสดงว่า  ข้อมูลในเวปนี้ได้ผล   กว่า   เวปแอนตึ้รอฟิเดาะฮ์


เพราะถึงขั้น ยกทีมเข้ามา  ที่นี่  อัลฮัมดลุลิลลาฮฺ


ไหนใครยกทีมมา มีมากกว่า 2 คนแล้วเหรอครับ? คนไหนบ้างอ่ะ บอกหน่อยสิ?
ถ้ายกมาจริง ก็เพราะว่าความจริงย่อมกล้าไปเผชิญหน้ากับความเท็จอยู่แล้ว
แต่ความเท็จดิ ไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับความจริง จริงเป่า?
ว่าแต่ถ้าของชีอะห์ เป็นความจริง แต่ทำไมถึงไม่กล้าเข้าไปบุกหว่า?

ทีมแอนตี้รอฟิเฏาะมีใครบ้างเอ่ย บอกหน่อยสิ?
#11
L-umar อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง

นี่ไม่ใช่หลักฐาน  นะ



ส่งมาให้ชัดเจน   อย่างส่งแบบมั่วๆ


อ้าว แล้วจะเอาแบบไหนล่ะ เบอร์โทรก็มีอยู่แล้ว ก็ลองโทรไปถามสิว่ามีตัวตนป่าว

ไปเที่ยวที่นี่มายัง? :lol:

www.khomainy.com/arkho/thailand/?ID=68
#12
ไม่เข้าหมวด / Re:อย่าลืม l-umar2@hotmail.com
กรกฎาคม 06, 2009, 11:51:54 ก่อนเที่ยง
#13
L-umar อ้างอิงข้อความ:
อ้างถึง

ลองอ่าน ตัวบทหะดีษอีกทีนะ


فَأَخَذَتْ بِذَلِكَ عَائِشَةُ أُمُّ الْمُؤْمِنِينَ، فِيمَنْ كَانَتْ تُحِبُّ أَنْ يَدْخُلَ عَلَيْهَا مِنَ الرِّجَالِ


ริญาล  มาจาก ร่อญุลุน    คนผู้ชาย  


ไม่ทราบที่บ้านท่าน  เขาแปล คำ  رجال   นี้ว่า  เด็กที่ยังไม่บาเล็ฆ  หรือ ?


อัลกุรอ่านกล่าวว่า


الرِّجَالُ قَوَّامُونَ عَلَى النِّسَاءِ

وَالْمُسْتَضْعَفِينَ مِنَ الرِّجَالِ وَالنِّسَاءِ وَالْوِلْدَانِ

إِنَّكُمْ لَتَأْتُونَ الرِّجَالَ شَهْوَةً مِنْ دُونِ النِّسَاءِ بَلْ أَنْتُمْ قَوْمٌ مُسْرِفُونَ

أَوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُنَّ أَوِ التَّابِعِينَ غَيْرِ أُولِي الْإِرْبَةِ مِنَ الرِّجَالِ أَوِ الطِّفْلِ الَّذِينَ لَمْ يَظْهَرُوا عَلَى عَوْرَاتِ النِّسَاءِ


ก็เข้าใจนะ  ความตะอัซซุบ มันคงพาไปให้แปลเช่นนั้น  



อะไร? คุณพูดถึงบทไหน? หะดีษน่ะ ผมก็บอกไปแล้วว่าเบื้องต้น ว่าเช็คไปกี่หะดีษ
ก็มาคุยกันหะดีษที่เช็คแล้วสิ หะดีษอื่น ผมยังไม่ได้เช็ค ก็ไม่รู้ว่าคุณแปลแบบบิดเบือนรึเปล่า

ส่วนอัลกุรอ่านน่ะ อ้างโองการไหนมา ระบุด้วยดิ จะได้ตามไปเช็คได้ ไม่ใช่อ้างลอยๆ ไม่บอกที่มา ไร้มารยาทวิชาการจัง
#14
ไม่เข้าหมวด / Re:อย่าลืม l-umar2@hotmail.com
กรกฎาคม 06, 2009, 11:45:55 ก่อนเที่ยง
#15
ไม่เข้าหมวด / Re:อย่าลืม l-umar2@hotmail.com
กรกฎาคม 06, 2009, 11:43:02 ก่อนเที่ยง