Q4wahabi.com (Question for Wahabi)

หมวดหมู่ทั่วไป => ฮะดีษในทัศนะของวาฮาบี ซุนนี่ และชีอะฮ์ => หัวข้อที่ตั้งโดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:23:19 หลังเที่ยง

ชื่อ: การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:23:19 หลังเที่ยง
สืบเนื่องมาจากบทความที่  คุณฟารูก ได้โพสต์เข้ามาดังนี้



ก็อบเค้ามาครับ

ผู้เล่าหะดีษได้กล่าวว่า เขาเคยได้ยินท่านอาลีได้กล่าวว่า "เราเป็นพระเนตรของอัลลอฮ เป็นพระหัตถ์ของพระองค์ เป็นพระวรกายทางด้านสีข้างของพระองค์ และเป็นทางผ่านไปสู่พระองค์" จากหนังสือ อุศูล อัล-กาฟีย์ หน้า 309
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:25:24 หลังเที่ยง
http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=1696
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:28:35 หลังเที่ยง
วิจารณ์

หะดีษดังกล่าวที่คุณฟารูกยกมา มีสะนัด และตัวบทอาหรับดังนี้


مُحَمَّدُ بْنُ يَحْيَى عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ الْحُسَيْنِ عَنْ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي نَصْرٍ عَنْ حَسَّانَ الْجَمَّالِ قَالَ حَدَّثَنِي هَاشِمُ بْنُ أَبِي عُمَارَةَ الْجَنْبِيُّ قَالَ سَمِعْتُ أَمِيرَ الْمُؤْمِنِينَ (ع) يَقُولُ :
أَنَا عَيْنُ اللَّهِ وَ أَنَا يَدُ اللَّهِ وَ أَنَا جَنْبُ اللَّهِ وَ أَنَا بَابُ اللَّهِ
كتاب الكافي ج : 1 ص : 145 ح 8


ข้อสังเกตที่สำคัญที่สุดทางด้านสะนัดคือ นักรายงานที่ชื่อ


هَاشِمُ بْنُ أَبِي عُمَارَةَ الْجَنْبِيُّ

ฮาชิม บิน อะบี อุมาเราะฮ์ อัลญันบี ไม่มีตัวตน



เราขอท้าให้ท่านไปค้นหาชีวประวัติของบุคคลผู้นี้ได้จากตำราริญาลชีอะฮ์ ดังต่อไปนี้
www.q4sunni.com/believe/index.php?option...;catid=2&id=2071

ถ้าท่านหาเจอ แล้วช่วยมาบอกเราด้วย ว่าอยู่ในตำราริญาลชีอะฮ์เล่มใด ???

เอาแค่สั้นๆเท่านี้ก่อน แล้วจะชี้แจงต่อให้มากกว่านี้ คุณฟารูกอย่าลืมตอบด้วยนะว่า
รอวีย์ชื่อ ฮาชิม บิน อะบี อุมาเราะฮ์ อัลญันบี มีตัวตนในตำราชีอะฮ์หรือปล่าว ?
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:29:08 หลังเที่ยง
หะดีษ


مُحَمَّدُ بْنُ يَحْيَى عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ الْحُسَيْنِ عَنْ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي نَصْرٍ عَنْ حَسَّانَ الْجَمَّالِ قَالَ حَدَّثَنِي هَاشِمُ بْنُ أَبِي عُمَارَةَ الْجَنْبِيُّ قَالَ سَمِعْتُ أَمِيرَ الْمُؤْمِنِينَ (ع) يَقُولُ
:
أَنَا عَيْنُ اللَّهِ وَ أَنَا يَدُ اللَّهِ وَ أَنَا جَنْبُ اللَّهِ وَ أَنَا بَابُ اللَّهِ

كتاب الكافي للشيخ الكليني (259 – 329 هـ) ج 1 ص 145 ح 8
تَحْقِيْقُ مَرْكَزُ الْبُحُوْثِ الْكومبيوترية لِلْعُلُوْمِ الْإِسْلاَمِيَّةِ : ضَعِيْفٌ

มุฮัมมัดบินยะห์(อัลอัตต็อร ษิเกาะฮ์ ) - มุฮัมมัดบินอัลฮูเซน ( ดออีฟ) – อะหมัดบินอะบีนัศริน – จากหัสซานอัลญัมมาล เล่าว่า – ฮาชิม บินอะบีอุมาเราะฮ์อัลญัมบีย์( มัจญ์ฮูลฮ้าลคือไม่มีตัวตน)เล่าว่า ฉันได้ยินท่านอิม่ามอาลี(อ)กล่าวว่า

ฉันคือ อัยนุลเลาะฮ์ คือยะดุลเลาะฮ์ คือญัมบุลเลาะฮ์ และคือบาบุลเลาะฮ์

สถานะหะดีษ : ดดอีฟ ดูหนังสืออัลกาฟี โดยเชคกุลัยนี เล่ม 1 : 145 หะดีษที่ 8
ตรวจทานโดยมัรกัซบุฮูซ คอมพิวเตอร์ ลิลอุลูมิลอิสลามียะฮ์ กุม อิหร่าน



Θ พิเคราะห์สายรายงาน

1- مُحَمَّدُ بْنُ يَحْيَى (العطار) ←
2- مُحَمَّدِ بْنِ الْحُسَيْنِ (بن أبي الخطاب) ←

3- أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي نَصْرٍ ←
4- حَسَّانَ الْجَمَّالِ (حسان بن مهران الجمال) ←
5- هَاشِمُ بْنُ أَبِي عُمَارَةَ الْجَنْبِيُّ ←
أَمِيرَ الْمُؤْمِنِينَ ← هو الامام علي بن أبي طالب (ع)

►อัลลามะฮ์ มุฮัมมัด ซอและห์ อัลมาซินดะรอนี เจ้าของหนังสือชะเราะห์อุซูลกาฟี ได้วิจารณ์นักรายงานหะดีษบทนี้ ในหมายเลขลำดับที่ 1 และ 2 ข้างต้นว่า

الشَّرْحُ : (مُحَمَّدُ بْنُ يَحْيَى عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ الْحُسَيْنِ) بْنِ أَبِي الْخَطاَّبِ

الْأَوَّلُ ثِقَةٌ جَلِيْلُ الْقَدْرِ مِنْ أَصْحَابِناَ، وَالثاَّنِيُّ ضَعِيْفٌ،

الكِتاَبُ : شَرْحُ أُصُوْلِ الْكاَفِيِّ ج 3 ص 4
الْمُؤَلِّفُ : مُولَّي مُحَمَّدٌ صَالِحٌ الْمَازِنْدَ رَانِيُّ

> คนแรก ( คือมุฮัมมัด บินยะห์ยา) เชื่อถือได้

> คนที่สอง (คือ มุฮัมมัด บินอัลฮูเซน บินอะบิลคอตตอบ ) ดออีฟ (อ่อนแอในการรายงาน)

ดูชัรฮุ อุซูลกาฟี โดยมุลลามุฮัมมัด ซอและห์ อัลมาซินดะรอนี เล่ม 3 หน้า 4

เมื่อพิจารณาในด้านสะนัดของหะดีษบทนี้ จะเห็นได้ว่า มีรอวีย์บางคนที่ไม่อยู่ในระดับที่เชื่อถือได้นั่นเอง


ต่อไปเราจะมาพิจารณา ความหมายหะดีษบทนี้....
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:29:42 หลังเที่ยง
ฮะดิษที่ผมยกมาอยู่ในอัลกาฟีย์ใช่มั้ยครับ
และผมก็รู้ดีว่าท่านจะบอกว่ามันใช้การไม่ได้ โดยที่ท่านอาจจะบอกว่า
อัลกาฟีย์มีฮะดิษฎออิฟ 9,485 ฮะดิษ จาก 16,121 ฮะดิษ
และผมก็จะยกข้อความต่อไปนี้จากอุละมาของท่าน เช่น

ซัยยิด อัลฮัรรุลอามิลี ปราชญ์ชีอะฮฺผู้รวบรวมตำรา วะซาอิลุชชีอะฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า
: أصحاب الكتب الأربعة وأمثالهم قد شهدوا بصحة أحاديث كتبهم وثبوتها ونقلها من الأصول المجمع عليها , فإن كانوا ثقات تعين قبول قولهم وروايتهم ونقلهم
บรรดาผู้ประพันธ์ตำรา "กุตตุบอัรบะอะฮฺ" ของชีอะฮฺ ได้พิสูจน์แล้วว่า บรรดาหะดิษจากตำราเหล่านั้นคือหะดีษซอเฮี๊ยฮฺ!!! จากอูศูลทั้งหมดของชีอะฮฺซึ่งเห็นพ้องต้องกัน และหากท่านพิจารณาว่านักปราชญ์เหล่านั้น เชื่อถือได้ ดังนั้นท่านต้องยอมรับคำพูดและรายงานของพวกเขา (วะซาอิลุชชีอะฮฺ เล่ม 20 หน้า 104)

นูรีย์อัตต็อบรอซี ปราชญ์ชีอะฮฺผู้เชี่ยวชาญในอิลมุลริญาล(วิชาว่าด้วยผุ้รายงานกล่าวว่า)
الكافي بين الكتب الأربعة كالشمس بين النجوم , وإذا تأمل المنصف استغنى عن ملاحظة حال آحاد رجال السند المودعة فيه , وتورثه الوثوق , ويحصل له الاطمئنان بصدورها وثبوتها وصحتها
อัลกาฟีย์ ท่ามกลางตำราทั้ง 4 ก็ดุจดั่งดวงอาทิตย์ที่ดำรงอย่างเจิดจรัสท่ามกลางหมู่ดาว และบรรดาผู้ที่พิจารณาอย่างเป็นธรรมแล้ว จะไม่ต้องการพิจารณาสถานะบรรดาผู้รายงานในสะนัดของหะดีษในต่างๆในตำราเล่มนี้ (หมายถึงไม่มีความสงสัยใดๆต่อผู้รายงานในตำรานี้) (มุสตะร็อก อัลวะซาอิล อัตต็อบรอซีย์ หน้า 532 เล่ม 3)

ท่านชัยคฺ มุฟีดกล่าวไว้ว่า
الكافي وهو من أجل كتب الشيعة وأكثرها فائدة
อัลกาฟีย์คือ ตำราดีเยี่ยมที่สุดของชีอะฮฺและมีประโยชน์มากที่สุดต่อชีอะฮฺ

ซึ่งนี่เป็นแค่จำนวนหนึ่ง ผมมีเรื่องอยากถามแต่นึกออกว่าไม่มีประโยชน์จะตั้งคำถามกับท่านเพราะท่านบอกแล้วว่าไม่ตอบ
แต่ผมถามผู้อ่านกับคำถามเดียวที่ชะอะฮฺชอบถามซุนนะฮฺ ว่าผู้บันทึกฮะดิษของท่านคือท่านอัลกุลัยนีย์ ไม่รู้หรือว่ามันใช้การไม่ได้
และท่านจะให้ผมเชื่อหรือว่าผู้รู้ของท่าน ที่รับรองหนังสืออัลกาฟีย์รับรองมันโดยไม่ได้อ่านฮะดิษทั้งเล่ม เป็นไปได้มั้ยที่ระดับผู้รู้จะยกย่องหนังสือที่มีฮะดิษใช้การไม่ได้เกินครึ่งหนึ่งว่ามันยอดเยี่ยม แล้วมันคืออะไรกันแน่??

หากท่าน l-umar เลือกที่จะเชื่อว่าชาวซุนนะฮฺเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้โดยยกหลักฐานมาตามแต่ท่านพอใจ ผมก็มีสิทธิ์ที่จะเชื่อว่าชีอะฮฺเป็นยังงั้นยังงี้ตามหลักฐานของท่านตามแต่ผมพอใจได้เช่นกัน

ผมรู้ว่าท่านจะบอกว่า มีผู้รู้ซุนนะฮฺรับรองฮะดิษที่ท่านยกมาว่าซอเฮี๊ยะ และผมก็จะบอกเช่นเดียวกันว่ามีผู้รู้ของท่านรับรองหนังสืออัลกาฟีย์ว่าเชื่อถือได้ตามที่ยกไปแล้วววว
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:31:46 หลังเที่ยง
อ้าว ... ทำไมท่านฟารูก รีบด่วนสรุปเรื่องราวเสียแล้วล่ะ



เรายังว่า กันไม่จบเลย นะ เกี่ยวกับความหมายของหะดีษบทนี้



หรือว่า คุณฟารูก ต้องการเพียงแค่ ยกมาให้ดูเฉยๆ ก็ไหนเห็นอาการแสดงออกว่า คุณอยากศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องราวของชีอะฮ์ จริงๆ มิใช่รึ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:32:00 หลังเที่ยง
เชิญ คุณ l-umar ว่าต่อไปครับ
เพราะผมก็เข้ามาอ่านตลอด ผมก็อยากรู้อยู่แล้วแต่คุณ i-umar บอกผมเองว่าอย่าไปรู้เลยเรื่องราวของพวกท่าน
เวลาผมถามคุณเองไม่ใช่เหรอว่าเวบมีไว้ถามไม่ได้มีไว้ตอบ แล้วจะให้ผมรู้ได้ยังไงครับ มีผู้ศึกษาคนไหนได้ปัญญาจากการฟังอย่างเดียวโดยไม่ตั้งข้อสงสัยและซักถาม แต่ช่างเถอะถือว่าผมผิดเชิญคุณ l-umar อธิบายความหมายฮะดิษบทนั้นต่อครับ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:32:20 หลังเที่ยง
อย่าทำเป็นน้อยใจไปเลยน่า เรื่องเล็กน้อย เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า




ฝ่ายซุนนี่ก็พยายามยัดเยียดให้ชีอะฮ์ทั้งหมด ยอมรับว่า หะดีษในหนังสืออัลกาฟี ซอแฮะฮ์ ทั้งหมด


ทั้งๆที่ เราก็ว่าไปตาม วิชาการแล้วในการพิสูจน์อย่างตรงไปตรงมา เกี่ยวกับ ชีวประวัตินักรายงานหะดีษ ว่า


คนไหน เชื่อได้ คนไหนมีสถานะ ดออีฟ ในการรายงานหะดีษ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณไม่ยอมรับเอง



ทีนี้ขอให้คุณลองย้อนกลับไปมอง ตำราหะดีษ ของฝ่ายคุณบ้าง


กล่าวคือ หนังสือหะดีษสองเล่ม ที่ชาวซุนนี่ทั้งโลกเชื่อว่า มัน ซอแฮะฮ์ ทั้งหมด และยังเป็นตำรา รองลงมาจากคัมภีร์กุรอ่านอีกด้วย ตามความเชื่อของอุละมาอ์ซุนนี่ทั้งหลาย


แต่คุณจะว่า อย่างไร เมื่อปรากฏว่า


เชค มุฮัมมัด นาซิรุดดีน อัลบานี นักปราชญ์ที่เชี่ยวชาญด้านหะดีษ เกิดออกมาฟัตวาว่า


ทั้งซอแฮะฮ์ บุคอรี และซอแฮะฮ์มุสลิม มีหะดีษบางบท ที่ ไม่ซอแฮะฮ์ กล่าวคือ มัน ดออีฟ


ตรงนี้ คุณฟารูก ช่วยอธิบาย ที


และยังมีนักปราชญ์ซุนนี่ คนอื่นๆอีกบางส่วนที่มีความเห็นเหมือนกันกับ เชคอัลบานี


แต่เราขอสนทนาแค่เรื่อง เชคอัลบานี ฟัตวาว่า ซอแฮะฮ์บุคอรีและมุสลิม มีหะดีษ ดออีฟ แค่นี้ก่อน


คุณจะอธิยายอย่างไร ???
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:32:42 หลังเที่ยง
เชคอัลบานี ฟัตวาว่า ซอแฮะฮ์บุคอรีและมุสลิม มีหะดีษ ดออีฟ




และ

alimaklad.blogspot.com/2007/11/blog-post_12.html
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:33:24 หลังเที่ยง
อยากเรียนถามคุณฟารูกหน่อยเถิดว่า ชาวซุนนี่ เชื่อว่า


อัลกะอ์บะฮ์ คือ บัยตุลเลาะฮ์(บ้านของอัลลอฮ์) ใช่ หรือไม่ ?

มัสญิดิลฮะรอม คือ บาบุลเลาะฮ์(ประตูบ้านของอัลลอฮ์) ใช่หรือไม่ ?

และญัมบุลเลาะฮ์ คือ พระวรกายของอัลลอฮ์ ทางด้านสีข้างใช่หรือไม่ ?
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:33:47 หลังเที่ยง
ในขณะที่อะฮ์ลุสซุนนะฮ์ทั้งโลกมีมติพ้องตรงกันว่า (( ซอแฮะฮ์บุคอรี และ ซอแฮะฮ์มุสลิม ))


เป็นกิตาบ(ตำรา)ถูกต้องที่สุด รองจากกิตาบุลลอฮ์ (คัมภีร์อัลกุรอ่าน)

ตามที่ท่านอิหม่าม นะวาวี ได้กล่าวเอาไว้ว่า

اتفق العلماء رحمهم الله على أن أصح الكتب بعد القرآن العزيز الصحيحان البخاري ومسلم وتلقتهما الامة بالقبول ← شرح النووي على مسلم ج 1 / ص 14

บรรดาอุละมาอ์ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ตำราซอแฮะฮ์ทั้งสองคือบุคอรีและมุสลิมนั้นเป็นหนังสือที่ซอแฮะฮ์(ถูกต้อง)ที่สุด รองจากคัมภีร์อัลกุรอ่าน และบรรดาอุมมะฮ์ทั้งหมดก็ให้การยอมรับต่อตำราทั้งสอง(ตามนั้น)
อ้างอิงจาก หนังสือชัรฮุนนะวาวีย์ เล่ม 1 หน้า 14



۩ วิจารณ์ จากคำพูดของอิหม่ามนะวาวีข้างต้น เราได้รับเข้าใจดังนี้

1. อุละมาอ์ซุนนี่มีมติเอกฉันท์ว่า ซอแฮะฮ์บุคอรีและมุสลิมเป็นกิตาบที่ซอแฮะฮ์ที่สุดรองจากคัมภีร์กุรอ่าน
2. ชาวซุนนี่เอาวามทั้งหมดก็ให้การยอมรับว่า ซอแฮะฮ์บุคอรีและมุสลิมเป็นตำราซอแฮะฮ์ที่สุดรองจากคัมภีร์กุรอ่าน

นั่นหมายความว่า สะนัดและมะตั่นหะดีษทุกบท ขอย้ำว่าหะดีษทั้งหมดในตำราซอแฮะอ์ทั้งสอง ตามความเชื่อของซุนนี่ทั้งระดับอาเล่มและเอาวามเชื่อว่า ถูกต้องที่สุด อย่างชนิดที่เรียกได้ว่า ไร้ข้อตำหนิใดๆทั้งสิ้น โดยไม่ต้องสงสัย

แล้วคุณฟารูกจะให้คำตอบอย่างไร เมื่อเชคอัลบานี ได้ออกมาแสดงหลักฐานว่า มีหะดีษในตำราทั้งสองเล่มนี้ ไม่ซอแฮะฮ์ ??? อันนี้คุณต้องชี้แจง


ตรงนี้ต่างกับชีอะฮ์ เพราะเท่าที่พบ อาเล่มชีอะฮ์มักกล่าวว่า

كتاب الكافي وهو أصح الكتب الاربعة

อัลกาฟีเป็นกิตาบถูกต้องที่สุดจากกิตาบหะดีษทั้งสี่ คือ

1. อัลกาฟี
2. มันลายะห์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์
3. อัลอิศติบศ็อร และ
4. อัตตะฮ์ซีบ


มีไหมที่อุละมาอ์ชีอะฮ์ได้กล่าวว่า อุละมาอ์มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า อัลกาฟีเป็นตำราซอแฮะฮ์ที่สุด รองจากคัมภีร์อัลกุรอ่าน

ขอย้ำว่า มีชีอะฮ์คนใดเจาะจงกล่าวเช่นนี้ไหมว่า อัลกาฟีซอแฮะฮ์ที่สุดรองจากอัลกุรอ่าน

หากคุณฟารูกมีหลักฐานก็ช่วยนำเสนอด้วย
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:34:21 หลังเที่ยง
ตรงนี้ต่างกับชีอะฮ์ เพราะเท่าที่พบ อาเล่มชีอะฮ์มักกล่าวว่า

كتاب الكافي وهو أصح الكتب الاربعة

อัลกาฟีเป็นกิตาบถูกต้องที่สุดจากกิตาบหะดีษทั้งสี่ คือ

1. อัลกาฟี
2. มันลายะห์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์
3. อัลอิศติบศ็อร และ
4. อัตตะฮ์ซีบ

แน่นอนครับอัลกุรอานย่อมเป็นอันดับหนึ่ง(ไร้ข้อผิดพลาด) ตำราฮะดิษที่เชื่อถือได้ของท่านมี 4 เล่ม เล่มที่ถูกต้องที่สุดคืออัลกาฟีย์ เท่ากับว่าบรรดาหนังสือทั้งหมดที่ท่านมี อัลกาฟีย์ อยู่บนสุด แต่บนสุดของมันก็อยู่ใต้อัลกรุอาน แล้วความหมายมันจะต่างกันตรงไหนกับซอแฮที่สุดรองจากอัลกุรอาน
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:34:46 หลังเที่ยง
จากที่คุณ l-umar เกี่ยวกับฮะดิษของพวกท่านโดยเฉพาะอัลกาฟีย์ซึ่งถือว่าเหนือกว่ากิตาบฮะดิษทั้งหมด

ผมเข้าใจว่าหนังสืออัลกาฟีย์เป็นหนังสือที่ใช้ในการตัดสินปัญหาต่างๆในมัซฮับชีอะฮฺ(ผมเรียกมัซฮับเพราะผมไม่ถือว่าชีอะฮฺเป็นกาเฟร) ทีนี้ปัญหาคือว่า อัลกุลัยนี ซึ่งเป็นผู้บันทึกฮะดิษ มีชีวิตอยู่ในช่วงเดียวกับ ตัวแทนคนสุดท้ายของอิหม่ามมะดีย์มีชีวิตอยู่
ท่านปี เกิดฮ.ศ.260 เสียชีวิต ฮ.ศ. 329 ท่านใช้เวลา 20 ปีในการรวบรวมฮะดิษ และหนังสือบันทึกฮะดิษของท่านก็ถูกใช้ในการตัดสินปัญหาในมัซฮับชีอะฮฺมาตลอด เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดของตำราชีอะฮฺ
มาถึงประเด็นที่ผมสนใจ ในอัลกาฟีย์มีฮะดิษ 16,121 ฮะดิษ ผู้รู้ชีอะฮในยุคหลังบอกว่ามีฮะดิษ 9,485 ฮะดีษ และในจำนวนทั้งหมดยังมีฮะดิษปลอมอยู่อีกด้วย

ทางชีอะฮฺภาคภูมิใจและประกาศต่อชาวซุนนะฮฺมาตลอดว่าพวกท่านอยู่ในทางตรง อยู่ด้วยกับบรรดาอะลุลบัยต์ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิชาการศาสนามาจากท่านนบี นี่คือสิ่งที่ท่านบอกว่าเหนือกว่าชาวซุนนะฮฺอย่างยิ่งยวด แต่ปรากฏว่า ฮะดิษของพวกท่านที่บันทึกโดยคนร่วมสมัยกับตัวแทนอิหม่ามมะดีย์ มีฮะดิษอ่อนหลักฐานมากกว่าครึ่งทั้งยังมีฮะดิษเก๊อีก

แล้ว........ท่านจะแตกต่างกับชาวซุนนะฮฺตรงไหน
หากผมจะเข้าชีอะฮฺเพราะเชื่อว่าพวกท่านอยู่ในทางตรงกว่าวิชาการถูกต้องกว่าเพราะมาจากอะลุลบัยต์โดยตรง
แต่หนังสือที่บันทึกฮะดิษที่เป็นความภาคภูมิใจกลับมีฮะดิษที่ใช้ไม่ได้เกินกว่าครึ่ง และผู้ที่บอกว่ามันใช้การไม่ได้ก็เป็นนักวิชาการในยุคหลัง คือไม่ได้อยู่ร่วมสมัยกับอิหม่ามทั้งสิบสองท่าน ผมจะตอบตัวเองยังไงครับ ปัญหาก็กลับย้อนไปยังจุดเริ่มต้นสมัยหลังจากนบีวะฟาต พวกท่านบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่นบีจะไม่ได้มอบตัวแทนของท่านไว้ ซึ่งป้องกันการหลงทาง แต่เมื่อท่านได้ตัวแทนจากนบีมาถึงสิบสองท่าน กลับปรากฏว่าหนังสือที่ใช้ในการตัดสินปัญหามีฮะดิษใช้การไม่ได้แน่นเอี๊ยด แล้วภาคภูมิใจของท่านละครับ สิ่งที่ท่านอัลกุลัยนีทำ มันไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งที่ ท่านบุคอรี มุสลิม อะฮฺหมัด ฯลฯ ของฝ่ายซุนนะฮฺทำ ซึ่งฮะดิษของพวกเค้าก็มีทั้งใช้การได้และใช้การไม่ได้ มิหนำซ้ำฮะดิษที่ท่านอัลกุลัยนีบันทึกกลับมีฮะดิษอ่อนแอเกินกว่าครึ่ง ท่านพยายามบอกฝ่ายซุนนะฮฺมาตลอดว่าเดินทางผิด ส่วนพวกท่านเดินมาตรงและถูกทางแล้ว ................ทำไมคนที่เดินทางผิดกับทางถูกถึงได้มาบรรจบ ณ จุดเดียวกัน
ซึ่งผมเชื่อแน่ว่า อุละมาฮฺฝ่ายท่านก็ไม่ต่างจากอุละมาซุนนะฮฺ คือ ฮะดิษเดียวกัน แต่ให้สถานะฮะดิษต่างกัน แล้วคนยุคก่อนของท่านล่ะ ยุคที่หนังสืออัลกาฟีย์ยังไม่ได้แยกแยะฮะดิษไว้ในสถานะต่างๆ ท่านจะอธิบายยังไง แล้วมาตรฐานที่จะรับรองว่าสิ่งนั้นมาจากอะลุลบัยต์จริงๆอยู่ตรงไหนครับ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:35:04 หลังเที่ยง
ทั้งฮะดิษของบุคคอรีและมุสลิม หากมันจะมีฮะดิษฎออีฟก็ไม่แปลก และผมก็เชื่อว่ามันมี เพราะคำว่ารองจากอัลกรุอานมันแปลว่าต้องมีข้อผิดพลาดไปในตัวอยู่แล้ว
ท่านอย่าได้สนใจเรื่องของบุคคอรีกับมุสลิมเลยหากมันจะมีฮะดิษปลอมฮะดิษเก๊ เพราะมันไม่ได้มาจากสายตรงอะลุลบัยต์อย่างที่พวกท่านบอก สิ่งที่ควรสนใจคือทำไมฮะดิษในกิตาบฮะดิษที่ชื่ออัลกาฟี ซึ่งท่านยอมรับว่ามันเหนือกว่าบรรดาหนังสือทั้งหมดของชีอะฮฺ มีฮะดิษอ่อนแอ และฮะดิษปลอมรวมกันเกินครึ่ง ทั้งๆที่พวกท่านก็บันทึกของท่านเอง ไม่ได้มีชาวซุนนะฮฺคนไหนบันทึกให้ ทั้งๆที่ผู้ที่อยู่ในมัซฮับชีอะฮฺได้รับการถ่ายทอดจากอะลุลบัยต์โดยตรง ตรงนี้ต่างหากที่น่าสนใจ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 01:35:23 หลังเที่ยง
หนังสือ คุณค่าอะมัล ของพี่น้องญามาอะตับลีฆ มีหะดิษปลอมหะดิษอ่อนแอไม่กี่บทยังทะเลาะกันแล้วทะเลาะกันอีกว่าจะนำมาใช้ได้หรือไม่
แต่หนังสืออัลกาฟีย์ซึ่งมีหะดิษที่นำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ประมาณ 60 % เรียกได้ว่าหากหนังสือเป็นคนและนำไปชั่งน้ำหนักบุญกับบาปหนังสืออัลกาฟีย์ตกนรกอย่างไม่ต้องสงสัย กลับได้รับการยกย่องเป็นหนังสือที่มีคุณค่าที่สุดในโลกมุสลิม ทั้งเป็นหนังสือที่ดีที่สุดของมัซฮับอิสลามที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จักอะลุลบัยต์ของนบีมูฮัมหมัด น่าแปลกใจมั้ยครับ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 02:09:54 หลังเที่ยง
พระองค์อัลลอฮฺบ่อยครั้งมักจะพูดโกหกและมักจะทำอะไรที่ผิดพลาด (หนังสือ อูศูลกาฟี หน้า 328 โดย มุฮัมมัดยะI๊บ อัลกุลัยนี)

นี่คือฮะดิษหนึ่งที่ผมเจอ แต่ด้วยความสัจจริงผมไม่รู้หรอกว่าคุณ L-umar  จะอธิบายฮะดิษนี้ยังไง แต่สิ่งที่น่าคิดคือว่าผู้ที่ตามอะลุลบัยต์ ผู้ที่อยู่ในทางตรงบันทึกสิ่งเหล่านี้ไปได้ยังไง ไม่ต้องไปหาหลักฐานที่ไหน ไม่ต้องอาศัยผู้รู้คนใดเลยก็สามารถจัดการกับฮะดิษนี้ได้ว่ามันควรอยู่ในสถานะไหน ผมจะไม่แปลกใจหากมันมีฮะดิษอ่อนแออยู่บ้างแม้ว่าจะไม่ควรมีเลยเพราะพวกท่านประกาศว่าอยู่ในทางตรงที่สุด แต่หนังสือที่ดีที่สุดของพวกท่านมีฮะดิษอ่อนแอมากมายอย่างที่ว่ามา เมื่อตำราที่ดีที่สุดในสี่เล่มเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึง 3 เล่มที่เหลือ แล้วท่านจะมอบความั่นใจให้กับผู้ที่สนใจชีอะฮฺโดยเชื่อว่ามันมาจากทางตรงและมาจากลูกหลานนบีแท้ๆไม่ผิดเพี้ยนได้ยังไง
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 02:10:48 หลังเที่ยง
อ้างอิงจากคุณฟารูก

คุณฟารูกกล่าวว่า   แน่นอนครับอัลกุรอานย่อมเป็นอันดับหนึ่ง(ไร้ข้อผิดพลาด) ตำราฮะดิษที่เชื่อถือได้ของท่านมี 4 เล่ม เล่มที่ถูกต้องที่สุดคืออัลกาฟีย์ เท่ากับว่าบรรดาหนังสือทั้งหมดที่ท่านมี อัลกาฟีย์ อยู่บนสุด แต่บนสุดของมันก็อยู่ใต้อัลกรุอาน แล้วความหมายมันจะต่างกันตรงไหนกับซอแฮที่สุดรองจากอัลกุรอาน



อธิบาย

ต่างสิคับท่าน   เพราะ

1.   หากอัลกาฟี สมบูรณ์ที่สุด  ซอแฮะฮ์ที่สุด ในสายตาของอุละมาอ์ชีอะฮ์   ทำไมลูกศิษย์ของเชคกุลัยนีชื่อเชคศอดูก ยังต้องทำตำราหะดีษขึ้นมาอีกสองเล่มคือ  มันลา ยะห์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์ กับอัสอิศติบศ็อร  และต่อมาเชคตูซี่ก็แต่งตำราขึ้นมาอีกเล่มชื่ออัตตะฮ์ซีบ    แสดงว่าอุละมาชีอะฮ์ในอดีตได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า  อัลกาฟี ยังไม่เพียงพอใช่ไหม

2.   ขอให้คุณฟารูกย้อนไปอ่านตำราอุซูลุดดีน  ตำราฟิกฮ์ และตำราเรื่องอื่นๆของชีอะฮ์  คุณจะพบว่าอุละมาอ์ไม่ได้ยกหนังสืออัลกาฟีมาเป็นหลักฐานเพียงเล่มเดียว  แต่พวกเขาได้ยกตำราอื่นจากอัลกาฟีมาอ้างอิงด้วย    ก็เหมือนที่อุละมาอ์ซุนนี่ไม่ได้ยกแค่ซอฮี๊ฮ์บุคอรีและมุสลิมมาอ้าง แต่พวกเขาได้อ้างอิงหลักฐานจากตำราอื่นๆประกอบด้วย


3.   ชีอะฮ์ในสมัยก่อนๆ หมายถึงชีอะฮ์ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของอิม่ามแต่ละยุค   พวกเขาสามารถเดินทางไปพบอะฮ์ลุลบัยต์ได้ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็ส่งตัวแทนไปพบอิม่ามของพวกเขา  เพื่อสอบถามถึงความถูกต้องของหะดีษที่พวกเขาได้ยินได้ฟังมา     แต่หลังจากฮิจเราะฮ์ศักราชที่  260  ชาวชีอะฮ์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้   ยิ่งสมัยของเรากับอะฮ์ลุลบัยต์ห่างกันออกไปนานๆ จนมาถึงปัจุบัน    คนบอกเล่าหะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์ก็มีทุกยุค  ดังนั้นทางออกของเราก็ต้องย้อนกลับไปทำตามคำแนะของอะฮ์ลุลบัยต์เกี่ยวกับยึดถือเรื่องหะดีษ   ดังนี้


หนึ่ง -   ท่านอิม่ามญะอ์ฟัร อัซซอดิก กล่าวว่า

ما لم يوافق من الحديث القرآن فهو زخرف    الكافي الكليني ج 1 ص 92

สิ่งที่มาจากหะดีษ(ของอะฮ์ลุลบัยต์)  หากมันไม่สอดคล้องตรงกับคัมภีร์กุรอ่าน   หะดีษนั้นถือว่า  บาเตล   ใช้ไม่ได้   อัลกาฟี  เล่ม  1 : 92

แม้แต่อิม่ามซอดิกเองยังบอกว่า  หะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์บทใดหากไปขัดแย้งกับอัลกุรอ่าน ให้ถือว่าหะดีษบทนั้นบาเต้ลใช้ไม่ได้

ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก  หากเราจะบอกกับท่านว่า  หะดีษในอัลกาฟี มีหะดีษทั้งซอแฮะฮ์และดออีฟ  ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของอิสนาดและความหมายที่ต้องอาศัยกุรอ่านเป็นเมนหลักในการวัดหะดีษเหล่านั้น    

สอง  -   ท่านอุมัรบินฮันเซาะละฮ์เล่าว่า   ฉันได้ถามท่านอิม่ามซอดิก(อ)ถึงชายสองคนเกิดพิพาทขัดแย้งกันในเรื่องศาสนาและเรื่องแบ่งมรดก(คือเรื่องอะกีดะฮ์และเรื่องฟิกฮ์) แล้วชายสองคนนั้นได้นำเรื่องไปให้ผู้ปกครองและผู้พิพากษาตัดสินความ  จะอนุญาตให้ทำแบบนั้นได้หรือไม่.

อิม่ามซอดิก(อ)ได้ตอบเขาว่า

يَنْظُرَانِ إِلَى مَنْ كَانَ مِنْكُمْ مِمَّنْ قَدْ رَوَى حَدِيثَنَا وَ نَظَرَ فِي حَلَالِنَا وَ حَرَامِنَا وَ عَرَفَ أَحْكَامَنَا فَلْيَرْضَوْا بِهِ حَكَماً فَإِنِّي قَدْ جَعَلْتُهُ عَلَيْكُمْ حَاكِماً

ให้ชายสองคนนั้นไปดูผู้คนที่อยู่ในหมู่พวกท่าน  จากคนที่เขาได้รายงานหะดีษของเรา และเขาดูในเรื่องข้ออนุญาติและข้อห้ามของเรา  และเขาคนนั้นมีความเข้าใจในฮุก่มต่างๆของเรา

ดังนั้นให้พวกเขา(ทั้งสอง)จงพอใจต่อเขาการตัดสินความของเขา  เพราะฉันได้แต่งตั้งเขาคนนั้นให้เป็นผู้ตัดสินความเหนือพวกท่าน  
ดูอัลกาฟี โดยเชคกุลัยนี  เล่ม 1 : 67 หะดีษที่  10

อะฮ์ลุลบัยต์ได้สอนให้เราเชื่อ   นักรายงานหะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์ที่เชี่ยวชาญเรื่องราวของอะฮ์ลุลบัยต์โดยเฉพาะเรื่องฮะล้าลและฮะร่ามที่อะฮ์ลุลบัยต์บอกกล่าวเอาไว้    ฉะนั้นการที่ปราชญืชีอะฮ์ออกมาบอกเราว่า  หะดีษในอัลกาฟีบทนั้นบทนี้ ดออีฟ  มันได้ออกมาจากความชำนาญในศาสตร์นี้ของนักปราชญ์ชีอะฮ์  และเราก็ทำตามคำชี้แนะของอิม่ามซอดิกที่กล่าวว่า  " ฉันได้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญหะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์ให้เป็นผู้ตัดสินเรื่องราวต่างๆเหนือพวกท่าน  

สาม -      อิม่ามฮาซันอัสการี(อ)ได้กำหนดคุณสมบัติของนักปราชญ์ชีอะฮ์เอาไว้ว่า

فَأَمَّا مَنْ كَانَ مِنَ الْفُقَهَاءِ صَائِناً لِنَفْسِهِ حَافِظاً لِدِينِهِ مُخَالِفاً عَلَى هَوَاهُ مُطِيعاً لِأَمْرِ مَوْلَاهُ فَلِلْعَوَامِّ أَنْ يُقَلِّدُوهُ

ส่วนหนึ่งจากบรรดานักปราชญ์ (นั้นจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ)
1.   รักษาตัวเขาเองมิให้มลทิน  
2.   ปกป้องดูแลศาสนาของเขา
3.   ไม่คล้อยตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของเขา
4.   เชื่อฟังคำสั่งของอิม่าม(แห่งอะฮ์ลุลบัยต์)ของเขา
ดังนั้นสำหรับประชาชนจะต้องตักลีด(ปฏิบัติ)ตามเขา
ดูวะซาอิลุชชีอะฮ์  โดยฮุรรุลอามิลี  เล่ม 27 : 131 หะดีษที่  33401

ฉะนั้นฟะกีฮ์หรือมุจญ์ตะฮิด จึงถือว่าเป็นตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากอะฮ์ลุลบัยต์ให้ทำหน้าที่ดูแลปกป้องแนวทางมัซฮับชีอะฮ์  มิใช่หรือคับ ไม่ใช้พวกเรามายึดถือกันเองตามอำเภอใจของเรา

สี่ -  อิม่ามมะฮ์ดี  บินฮาซันอัสการี(อ) ได้กล่าวว่า

وَ أَمَّا الْحَوَادِثُ الْوَاقِعَةُ فَارْجِعُوا فِيهَا إِلَى رُوَاةِ حَدِيثِنَا فَإِنَّهُمْ حُجَّتِي عَلَيْكُمْ وَ أَنَا حُجَّةُ اللَّهِ

ส่วนเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น(หลังจากฉันไม่อยู่)   ดงันั้นพวกท่านจงย้อนกลับไปในมัน(ในปัญหาต่างๆ)ยังนักรายงานหะดีษทั้งหลายของเรา เพราะเนื่องจากบรรดานักรายงานหะดีษคือ หลักฐานของฉันที่มีต่อพวกท่าน และฉันคือหลักฐานของอัลเลาะฮ์
ดูวะซาอิลุชชีอะฮ์  โดยฮุรรุลอามิลี (1033 – 1104 ฮ.ศ.)  เล่ม 27 : 140 หะดีษที่  33424

จดังนั้นหากชีอะฮ์พบเจอเผชิญกับปัญหาต่างๆทางอุซูลุดดีน ฟุรูอุดดีน ทางการเมือง สังคมและเรื่องอื่นๆ  

อะฮ์ลุลบัยต์ให้คำแนะนำว่า
1.   ไปค้นหาที่อัลกุรอ่าน หากมีระบุไว้ก็เพียงพอ  แต่หากไม่เจอ
2.   ให้ชีอะฮ์กลับที่ดูที่หะดีษอะฮ์ลุลบัยต์  โดยต้องพึ่งตามคำวินิจฉัยของนักปราชญ์ที่เชี่ยวชาญรอบรู้หะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์    

การที่นักปราชญ์ชีอะฮ์ออกมาชี้แจงว่า หะดีษในอัลกาฟีบทใดที่ยึดได้ หรือยึดถือไม่ได้  ย่อมถือว่าเป็นการชี้นำผู้คนให้ยึดถือต่อหะดีษที่ถูกตรวจสอบกลั่นกรองออกมาแล้วว่า มันคือคำพูดของอะฮ์ลุลบัยต์จริงๆใช่หรือคับ


ส่วนคำยกย่องชมเชยของนักปราชญ์เกี่ยวกับกิตาบอัลกาฟี เช่น ดีที่สุดกว่าเล่มอื่น  หรือถูกต้องที่สุดกว่าเล่มอื่น   มันก็เป็นเพียงทัศนะรสนิยมของนักปราชญ์ตามปกติ มิใช่หรือคับ

คุณควรแยกว่า  คำชมก็อย่างหนึ่ง   และคำวิจารณ์ตามความเป็นจริงก็อย่างหนึ่ง

สำหรับคำถามที่ว่า  แล้วอุละมาอ์ชีอะฮ์ในอดีตที่เชื่อถือว่าหะดีษในอัลกาฟีซอแฮะฮ์ทั้งหมดจะเป็นอย่างไร  

ตอบง่ายๆคับว่า     อาเล่มซุนนี่ตั้งมากมายที่ได้เชื่อปฏิบัติตามหะดีษดออีฟและเมาฎู๊อ์จากตำราหะดีษต่างๆของซุนนี่เอง  ก่อนที่ชาวซุนนี่จะมีซอแฮะฮ์บุคอรีและมุสลิมจะเป็นอย่างไรเล่า

ท่านเอาหะดีษของอัลบุคอรีไปไว้ไหนล่ะ ที่นะบี(ศ)กล่าวว่า

إِذَا حَكَمَ الْحَاكِمُ فَاجْتَهَدَ ثُمَّ أَصَابَ فَلَهُ أَجْرَانِ

เมื่อผู้ตัดสินคนหนึ่งได้ตัดสิน แล้วได้วินิจฉัย  จากนั้นเขาถูก  แน่นอน เขาจะได้รับสองผลบุญ
 
وَإِذَا حَكَمَ فَاجْتَهَدَ ثُمَّ أَخْطَأَ فَلَهُ أَجْرٌ

และเมื่อฮากิมได้ทำการตัดสินและทำการวินิจฉัย  แล้วผิดพลาด  แน่นอน เขาย่อมได้รับผลบุญเดียว

ผู้ศรัทธาคนใดขนขวายในศาสนาด้วยเหนียตของเขาเอาไว้อย่างไร  อัลเลาะฮ์ตะอาลาย่อมตอบแทนไปตามเจตนาและการกระทำของเขามิใช่หรือ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 02:19:04 หลังเที่ยง
อ้างอิงจากคุณฟารูก

หนังสือ คุณค่าอะมัล ของพี่น้องญามาอะตับลีฆ มีหะดิษปลอมหะดิษอ่อนแอไม่กี่บทยังทะเลาะกันแล้วทะเลาะกันอีกว่าจะนำมาใช้ได้หรือไม่
แต่หนังสืออัลกาฟีย์ซึ่งมีหะดิษที่นำมาเป็นหลักฐานไม่ได้ประมาณ 60 % เรียกได้ว่าหากหนังสือเป็นคนและนำไปชั่งน้ำหนักบุญกับบาปหนังสืออัลกาฟีย์ตกนรกอย่างไม่ต้องสงสัย กลับได้รับการยกย่องเป็นหนังสือที่มีคุณค่าที่สุดในโลกมุสลิม ทั้งเป็นหนังสือที่ดีที่สุดของมัซฮับอิสลามที่ได้รับการถ่ายทอดความรู้จักอะลุลบัยต์ของนบีมูฮัมหมัด น่าแปลกใจมั้ยครับ

 

อธิบาย

นั่นก็ยังเป็นปัญหาของพวกคุณอยู่จนถึงทุกวันนี้  กล่าวคือ

พี่น้องญะมาอะฮ์ตับลีฆในอดีตจนมาถึงปัจจุบันส่วนหนึ่งได้เชื่อถือและปฏิบัติตามตำราดังกล่าวไปแล้ว และเชื่อว่าถูกต้อง

ในขณะที่พี่น้องซุนนี่อีกส่วนหนึ่งออกมาแย้งว่า  ในตำราดังกล่าวมีหะดีษดออีฟและเมาดู๊อ์ปะปนอยู่   ทีนี้ท่านจะว่าอย่างไรล่ะ  กับคนที่ปักใจเชื่อว่าหะดีษในตำราคุณค่าอามั้ลทั้งที่ล่วงลับไปก็มากแล้ว  คุณจะบอกว่าพวกเขาทำผิดต้องถูกลงโทษกระนั้นหรือ


ส่วนชาวญะมาอะฮ์ตับลีฆที่ยังอยู่ส่วนหนึ่งก็ยังไม่ยอมฟังยอมเชื่อต่อคำแย้งคำวิจราณ์จากซุนนี่อีกส่วนหนึ่งที่บอกว่า มีหะดีษใช้ไม่ได้ในตำราดังกล่าว  พวกเขายังเชื่อและทำตามคำบอกในตำรานั้นๆ     ตรงนี้คุณจะคิดเห็นเช่นไร
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 02:25:44 หลังเที่ยง
อ้างอิงจากคุณฟารูก

ทั้งฮะดิษของบุคคอรีและมุสลิม หากมันจะมีฮะดิษฎออีฟก็ไม่แปลก


วิจารณ์

แปลกสิคับ  มันจะไม่แปลกได้ย่างไร   ในเมื่อท่านอิหม่ามนะวาวีกล่าวว่า

اتفق العلماء رحمهم الله على أن أصح الكتب بعد القرآن العزيز الصحيحان البخاري ومسلم وتلقتهما الامة بالقبول

บรรดาอุละมาอ์ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า   ตำราซอแฮะฮ์ทั้งสองคือบุคอรีและมุสลิมนั้นเป็นหนังสือที่ซอแฮะฮ์(ถูกต้อง)ที่สุด รองจากคัมภีร์อัลกุรอ่าน
และบรรดาอุมมะฮ์ทั้งหมดก็ให้การยอมรับต่อตำราทั้งสอง(ตามนั้น)
อ้างอิงจาก หนังสือชัรฮุนนะวาวีย์ เล่ม 1 หน้า 14

ในเมื่อเรื่องนี้เป็นมติของปวงปราชญ์ซุนนี่ไปแล้ว  มันจึงกลายเป็นความเชื่อของอะฮ์ลิสซุนนะฮ์

แต่กลับมีนักปราชญ์ซุนนี่ออกมาแสดงหลักฐานพิสูจน์ว่า   ตำราหะดีษของท่านบุคอรีและมุสลิม ไม่ซอแฮะฮ์ไปเสียทั้งหมด  

สิ่งสำคัญคืออัลบานีได้คัดค้านด้วยหลักฐานจากตำราริญาลที่เขาค้นคว้า  ไม่ใช่ด้วยความคิดเห็นของตังเอง

ดังนั้น  ชาวซุนนี่โดยส่วนมากทำไม ไม่ยอมรับฟังเหตุผลของเชคอัลบานี
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 02:27:22 หลังเที่ยง
ขอบคุณครับ คุณ l-umar

ครับ เรื่องของหนังสือคุณค่าอะมัลก็ว่ากันไปตามเรื่องตามราว แต่ที่ผมแปลกใจและตั้งข้อสงสัย ทำไมผู้ที่รับการสืบทอดจากอะลุลบัยต์โดยตรงถึงได้บันทึกฮะดิษผิดพลาดขนาดนั้น ดังตัวอย่างที่ได้ยกไปก่อนหน้านี้ ท่านไม่ควรมีมาตรฐานเดียวกับชาวซุนนะฮฺไม่ใช่เหรอ เอาล่ะชาวซุนนะฮฺอาจมีถูกบ้างผิดบ้างเราก็รู้เรื่องนี้กันดีอยู่แล้วเพราะเราเชื่อว่าไม่มีใครเป็นมะซูมนอกจากบรรดานบี แต่กับพวกท่านซึ่งอยู่ด้วยกับบรรดาอิหม่ามที่มะซูมทำไมถึงมีเรื่องผิดพลาดมากมายนัก

ขอบคุณครับ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 02:29:19 หลังเที่ยง
อ้างอิงจากคุณฟารูก

และผมก็เชื่อว่ามันมี เพราะคำว่ารองจากอัลกรุอานมันแปลว่าต้องมีข้อผิดพลาดไปในตัวอยู่แล้ว



วิจารณ์

ความเชื่อของคุณฟารูกตรงนี้ถือว่า   ท่านเชื่อค้านกับมติของปวงปราชญ์ซุนนี่
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 02:35:16 หลังเที่ยง
ผมจะยกฮะดิษนี้อีกครั้งครับ

พระองค์อัลลอฮฺบ่อยครั้งมักจะพูดโกหกและมักจะทำอะไรที่ผิดพลาด หนังสือ อูศูลกาฟี หน้า 328

คำถามคือว่ามีผู้รู้ระดับอิหม่ามของท่านยกย่องหนังสือเล่มนี้ โดยที่ไม่ได้อ่านฮะดิษทั้งหมดหรือครับ แล้วผ่านฮะดิษบทนี้ไปได้ยังไง พวกเขายกย่องหนังสือที่มีฮธดิษฎออืฟกว่าครึ่งได้ยังไง เมื่อท่านบอกว่ามันดีที่สุดแต่ดีที่สุดของท่านได้ไม่ถึงครึ่งแบบนี้มันน่าน้อยใจมั้ยครับ กับการประกาศว่ามาจากอะลุลบัยต์โดยตรง
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 02:59:25 หลังเที่ยง
อ้างอิงจากคุณฟารูก

ท่านไม่ควรมีมาตรฐานเดียวกับชาวซุนนะฮฺไม่ใช่เหรอ เอาล่ะชาวซุนนะฮฺอาจมีถูกบ้างผิดบ้างเราก็รู้เรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว

เพราะเราเชื่อว่า " ไม่มีใครเป็นมะซูมนอกจากบรรดานบี  " แต่กับพวกท่านซึ่งอยู่ด้วยกับบรรดาอิหม่ามที่มะซูมทำไมถึงมีเรื่องผิดพลาดมากมายนัก

ขอบคุณครับ


ชี้แจง

1.ความผิดพลาดไม่ใช่มาจากอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์นะคุณฟารูก    แต่เกิดจากคนที่ถ่ายทอดคำพูดของอะฮ์ลุลบัยต์คับ    

เพราะนักรายงานชีอะฮ์เป็นคนธรรมดาไม่ใช่มะซูมคับ  พวกเขาจึงย่อมผิดพลาดได้ในการรายงาน


2. คุณฟารูกเชื่อว่า  " ไม่มีใครเป็น มะซูม นอกจากบรรดานะบี "

อันนี้เป็นความเชื่อที่ถูกต้องเพราะ   ท่านอิบนุตัยมียะฮ์กล่าวว่า

والأنبياء أفضل الخلق باتفاق المسلمين  منهاج السنة النبوية ج 2 ص 417
 
(( บรรดานะบี  คือบุคคลประเสริฐที่สุด  ซึ่งมันเป็นมติของมวลมุสลิม ))

ขอถามคุณฟารูกให้คิดว่า

ทั้งๆที่นะบีมุฮัมมัด(ศ)ประเสริฐ กว่า อะฮ์ลุลบัยต์ของท่าน

ทำไมหะดีษนะบีในตำราซุนนี่จึงมีหะดีษดออีฟมากมายล่ะคับ ???
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 03:03:37 หลังเที่ยง
อ้างอิงจากคุณฟารูก


ผมจะยกฮะดิษนี้อีกครั้งครับ

พระองค์อัลลอฮฺบ่อยครั้งมักจะพูดโกหกและมักจะทำอะไรที่ผิดพลาด หนังสือ อูศูลกาฟี หน้า 328




ถ้าท่านยกมาแบบนี้   เราคงช่วยค้นหาคำตอบให้ท่านยาก   เพราะ   ท่านไม่ได้ยกตัวบทอาหรับมาแสดงสักนิดหนึ่ง


และท่านไม่ได้บอกว่า  อยู่ในเล่มที่เท่าไหร่   ท่านบอกเพียงว่า อยู่หน้าที่  328    ต้องอย่าลืมว่า อัลกาฟีมีแปดเล่ม

อันนี้ขอมาอัฟที่ช้แจงไม่ได้  เพราะสิ่งที่ท่านอ้างมาไม่ชัดเจน
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 03:14:53 หลังเที่ยง
อัลฟัยฎุลกะชานี เจ้าของตัฟซีรอัศศอฟี อันโด่งดังกล่าวว่า
الكافي أشرفها وأوثقها وأتمها وأجمعها , لاشتماله على الأصول من بينها وخلوه من الفضول وشينها
อัลกาฟีย์คือตำราที่ประเสริฐและสูงส่ง ซึ่งไม่มีข้อบกพร่องและสิ่งไร้สาระในมัน

คำว่าไม่มีข้อบกพร่องและไร้สาระมันหมายความเป็นอย่างอื่นได้มั้ยครับ ผู้รู้คนนี้เป็นผู้รู้ระดับไหนของชีอะฮฺครับ และนี่เป็นส่วนหนึ่งของทัศนะรสนิยมส่วนตัวหรือเปล่า และทํศนะรสนิยมนี้ได้กล่าวไว้ก่อนหรือหลังการแยกแยะฮะดิษในอัลกาฟีย์ครับ  หากกล่าวก่อนเขาก็ไม่ใช่ผู้รู้ หากกล่าวหลังคือเขาไม่เชื่อว่ามีฮะดิษฎออีฟถูกหรือเปล่าครับ



ขอบคุณ คุณ l-umar ที่ให้เกียรติสนทนาและตอบคำถามของผม ขอตัวทำงานก่อนครับ วันนี้ง่วนอยู่กับหน้าบอร์ดของท่านทั้งวันแล้ว
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 03:18:44 หลังเที่ยง
ทั้งๆที่คุณฟารูก   ยืนยันเองว่า  นะบี(ศ)เท่านั้นที่เป้นมะซูม  


เราจึงให้ข้อคิดกับท่านว่า    นะบี(ศ) นั้นประเสริฐกว่า  อะฮ์ลุลเบต  แล้วทำไม  จึงมีหะดีษนะบีที่ ดออีฟตั้งมากมาย



เราสามารถกล่าวได้ว่า   นักปราชญ์ซุนนี่  ได้ทำการ ตัฎอี๊ฟหะดีษนะบี(คือตัดสินว่าเป็นหะดีษดออีฟ)  มากยิ่งกว่า  


นักปราชญ์ชีอะฮ์ที่ ตัฎอีฟ  หะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์  เสียอีก


คุณฟารูก   ลองคิดดูว่า  



เชคอัลบานี   รวบรวม  หะดีษนะบีที่  ดออีฟ เอาไว้ในหนังสือของเขา  ชื่อ  ซิลซิละ ตุฎ  ด่ออีฟะฮ์

الكتاب : السلسلة الضعيفة
المؤلف : محمد ناصر الدين الألباني
مصدر الكتاب : برنامج منظومة التحقيقات الحديثية - المجاني - من إنتاج مركز نور الإسلام لأبحاث القرآن والسنة بالإسكندرية
http://www.ahlalhdeeth.com
www.alalbany.net
(الأحاديث من 1 : 5500)


เอาแค่เล่มที่หนึ่ง   ปรากฏว่า   มีหะดีษนะบี(ศ)  ดออีฟ (อ่อนแอ)  ถึง   5,000  หะดีษ


แล้วยังมีอีก เจ็ดเล่ม    ที่เหลือ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 03:26:08 หลังเที่ยง


เชคอัลบานี  กล่าวว่าในสุนัน อะบีดาวูด   มีหะดีษ   ดออีฟ   เมาดู๊อ์   มุงกัร  ถึง  1127   หะดีษ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 03:45:39 หลังเที่ยง
นอกจากนี้เชคอัลบานียังทำการตัฎอีฟหะดีษในตำราสุนันติรมิซี  สุนันนะซาอี  และสุนันอิบนิมาญะฮ์ ตลอดจนตำราหะดีษอื่นๆอีก

ทั้งๆที่นักปราชญืซุนนี่ได้กล่าวว่า

หนังสือที่ซอแฮะฮ์ที่สุดรองจากอัลกุรอ่านคือ

บุคอรี ถัดมาคือ มุสลิม  คืออัลมุวัฏฏอฺ และหนังทั้งหกที่เหลือคือ สุนันอะบี ดาวูด ติรมีซี นะซาอี อิบนุมาญะฮ์  อัดดาร่ออัลกุฏนี.

อ้างอิงจากหนังสือ กัชฟุซ  -  ซุนูน เล่ม  1  หน้า 153


หากคุณฟารูกนำเอาจำนวนหะดีษนะบี(ศ)คนที่ประเสริฐกว่าอะฮ์ลุลบัยต์  ที่ถูกนักปราชญ์อะฮ์ลุสซุนนะฮ์  ฮุก่มว่า  ดออีฟ  มารวมกัน  


เราคิดว่า  มันคงมีจำนวนมากมายหลายเท่ากว่า   หะดีษดออีฟที่มาจากอะฮ์ลุลบัยต์เสียอีก   จริงไหมคับ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 03:50:29 หลังเที่ยง
ทางเราก็ต้องขอบคุณสำหรับการสนทนาแบบมีไมตรีจิตของคุณฟารูกเช่นกัน


และเราหวังว่า   ซุนนี่  ชีอะฮ์   ควรสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะความเชื่อเฉกเช่นนี้    เพราะศาสนาคือสิ่งที่สอนให้เราเป็นคนดีมีมารยาท  มิใช่การสนทนาศาสนาจะนำพาเราไปสู่ความกักขฬะ ไร้ศีลธรรมจรรยา


วัสสลาม
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 03:57:17 หลังเที่ยง
ติดใจนิดนึงครับ

หากคุณ l-mar มีอัลกาฟีย์ครบ 8 เล่ม ช่วยเปิดหน้า 328 ทุกเล่มหน่อยได้มั้ยครับ ผมเองก็อยากรู้ว่ามีการใส่ความกันหรือเปล่าด้วยความบริสุทธิ์ใจครับ

คุณบอกว่าให้ผมตั้งข้อสังเกตุว่าขนาดนบีที่เป็นมะซูมแล้วทำไมชาวซุนนะฮฺถึงมีฮะดิษฎออิฟมากมมาย  ตรงนี้น่าจะเป็นการตั้งข้อสังเกตุที่ผิดพลาดนิดหน่อยครับ เพราะปัญหามันเกิดหลังจากที่นบีวะฟาตแล้ว ซึ่งพวกท่านเองบอกว่าตามอะลุลบัยต์โดยตรงส่วนพวกเราตามบรรดาซอฮาบะฮฺซึ่งพวกท่านบอกว่าไม่ถูกต้องเพราะเขาเหล่านั้นตกมุรตัดเกือบหมดหลังจากนบีจากไป ประเด็นของเรื่องนี้คือเราคุยกันเรื่องอัลกาฟีย์และซอเฮี๊ยทั้งสองของซุนนะฮฺ ไม่น่าแปลกใจหรอกครับที่ท่านบอกว่าฮะดิษฎออิฟของชาวซุนนะฮฺมีเยอะมากมายซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ามันต้องมีเยอะกว่าหะดิษที่ใช้เป็นหลักฐานได้ทั้งหมด แต่ที่ได้รับการยอมรับและถือว่าดีที่สุดแล้วคือของบุคคอรีและมุสลิมซึ่งผู้รู้ซุนนะฮฺบางคนก็ได้ออกมาบอกว่ามันไม่ซอเฮี๊ยทั้งหมดอย่างที่ท่านบอก แต่เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นแล้วมันยังน้อยกว่าในอัลกาฟีย์อยู่มากมายหลายช่วงตัวไม่ใช่เหรอคับ อีกอย่างที่ผมถามมาตลอด บรรดาอิหม่ามผู้รู้ของพวกท่านได้กล่าวรับรองมันไว้ ซึ่งมันเกินกว่าที่ท่านจะบอกว่ามันเป็นทัศนะรสนิยมส่วนตัว ผมไม่เข้าใจครับ เพราะมันเหมือนความรู้ของท่านขาดตอน ทำไมหนังสืออัลกาฟีย์ที่โด่งดังถึงได้บรรจุฮะดิษอ่อนแอไว้มากมาย ผู้บันทึกฮะดิษอาจผิดพลาดได้ แต่ระดับผู้รู้ตั้งหลายคนกลับรับรองมันว่าไร้ข้อบกพร่อง ตรงนี้ผมทำความเข้าใจยากมากครับ

แล้วจะมาอ่านใหม่ค่ำๆครับคุณ l-umar มีสิ่งใดจะแนะนำเชิญโพสต์เอาไว้ได้ครับ ผมจะเข้ามาอ่าน
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 04:43:50 หลังเที่ยง
อ้างอิงจากคุณฟารูก

ประเด็นของเรื่องนี้คือเราคุยกันเรื่องอัลกาฟีย์และซอเฮี๊ยทั้งสองของซุนนะฮฺ ไม่น่าแปลกใจหรอกครับที่ท่านบอกว่าฮะดิษฎออิฟของชาวซุนนะฮฺมีเยอะมากมายซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ามันต้องมีเยอะกว่าหะดิษที่ใช้เป็นหลักฐานได้ทั้งหมด แต่ที่ได้รับการยอมรับและถือว่าดีที่สุดแล้วคือของบุคคอรีและมุสลิมซึ่งผู้รู้ซุนนะฮฺบางคนก็ได้ออกมาบอกว่ามันไม่ซอเฮี๊ยทั้งหมดอย่างที่ท่านบอก แต่เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นแล้วมันยังน้อยกว่าในอัลกาฟีย์อยู่มากมายหลายช่วงตัวไม่ใช่เหรอคับ อีกอย่างที่ผมถามมาตลอด บรรดาอิหม่ามผู้รู้ของพวกท่านได้กล่าวรับรองมันไว้ ซึ่งมันเกินกว่าที่ท่านจะบอกว่ามันเป็นทัศนะรสนิยมส่วนตัว ผมไม่เข้าใจครับ เพราะมันเหมือนความรู้ของท่านขาดตอน ทำไมหนังสืออัลกาฟีย์ที่โด่งดังถึงได้บรรจุฮะดิษอ่อนแอไว้มากมาย ผู้บันทึกฮะดิษอาจผิดพลาดได้ แต่ระดับผู้รู้ตั้งหลายคนกลับรับรองมันว่าไร้ข้อบกพร่อง ตรงนี้ผมทำความเข้าใจยากมากครับ



วิจารณ์

ผมว่า  คุณฟารูกคงเข้าใจผิดอะไรบางอย่างนะคับ  ที่เราอ้างว่า  เราดำเนินตามอะฮ์ลุลบัยต์   ในที่นี้หมายถึง  อะฮ์ลุลบัยต์คือผู้ทำหน้าที่ถ่ายทอดซุนนะฮ์ของท่านรอซุลุลเลาะฮ์

ตามmujมีหะดีษระบุดังนี้    อิม่ามศอดิก ผู้นำที่ 6 กล่าวว่า  :

حَدِيْثِي حَدِيْثُ أَبِي وَ حَدِيْثُ أَبِي حَدِيْثُ جَدِّي وَ حَدِيْثُ جَدِّي حَدِيْثُ الْحُسَيْنِ وَ حَدِيْثُ الْحُسَيْنِ حَدِيْثُ الْحَسَنِ وَ حَدِيْثُ الْحَسَنِ حَدِيْثُ أَمِيْرِ الْمُؤْمِنِينَ ( ع ) وَ حَدِيْثُ أَمِيْرِ الْمُؤْمِنِينَ حَدِيْثُ رَسُولِ اللَّهِ (صلى الله عليه وآله )

หะดีษของฉันคือ หะดีษของบิดาฉัน(อิม่ามบาเก็ร), หะดีษของบิดาฉันคือหะดีษของปู่ฉัน (อิม่ามอาลีบินฮูเซน) , หะดีษของปู่ฉันคือหะดีษของอิม่ามฮูเซน , หะดีษของอิม่ามฮูเซนคือหะดีษของอิม่ามฮาซัน , หะดีษของอิม่ามฮาซันคือหะดีษของอิม่ามอาลี , หะดีษของอิม่ามอาลีคือ คำพูดของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)

ดูอัลกาฟี  โดยเชคกุลัยนี  เล่ม 1 : 53 หะดีษที่  14  

ฉะนั้นหากอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์แต่ละคนได้เล่าหะดีษบทหนึ่งให้สานุศิษย์ของพวกเขารับฟัง
จากนั้นมีการถ่ายทอดต่อๆมา  ซึ่งเราเรียกว่า  สะนัด หรือ อิสนาด

หากอิสนาดของหะดีษ ถูกตรวจสอบว่า  เชื่อถือได้  ดังนั้นหะดีษบทนั้นก็เป็นหะดีษของท่านรอซูล(ศ)  แต่หากสะนัดมีความบกพร่องเราก็ต้องยุติที่จะนำหะดีษบทนั้นมาอ้างอิง

ส่วนท่านบอกว่า  ซอฮาบะฮ์รับฟังหะดีษมาจากท่านรอซูล(ศ)  แล้วถ่ายทอดให้ตาบิอีน  จากนั้นตาบิอีนถ่ายทอดให้ตาบิอิต ตาบิอีน  จากนั้นก็ส่งต่อๆกันมาเรื่อยๆ  ฉะนั้นท่านและเราก็จำเป็นต้องตรวจสอบ สะนัด หรืออิสนาด  ด้วยกันทั้งนั้นมิใชหรือ[/b][/size]
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 05:13:31 หลังเที่ยง
คุณฟารูกได้นำเสนอว่า  อุละมาอ์ชีอะฮ์บางส่วนได้เขียนคำนิยมให้กับอัลกาฟีว่า  ดีกว่าตำราเล่มอื่นๆ  ???

ข้อสังเกตคือ

แต่ทั้งๆที่พวกเขากล่าวเช่นนั้น   ทำไมพวกเขาจึงไม่เรียกอัลกาฟีว่า  {{  ซอฮีฮุล กาฟี  }}  เสียเลยล่ะ

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า   นักปราชญ์ชีอะฮ์เหล่านั้นย่อมตระหนักดีว่าในอัลกาฟี ยังมีหะดีษที่ไม่ซอฮิ๊ฮ์ปะปนอยู่

พวกเขาจึงไม่กล้าเรียกมันว่า    {{  ซอฮีฮุล กาฟี  }}  
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 05:35:13 หลังเที่ยง
หากคุณฟารูกถามถึงความแตกต่างระหว่างการดำเนินตาม  ซอฮาบะฮ์  กับ อะฮ์ลุลบัยต์


ซึ่งบุคคลทั้งสองกลุ่ม  ทำหน้าที่ถ่ายทอด  ซุนนะฮ์นะบี  ด้วยกันทั้งสิ้น


คุณฟารูกต้องเจาะลงไปอีกนิด ว่า

ซอฮาบะฮ์    ไม่ใช่  อะฮ์ลุลบัยต์      

แต่อะฮ์ลุลบัยต์บางคนเช่นอิม่ามอาลี อิม่ามฮาซันและอิม่ามฮูเซน เป็นทั้งอะฮ์ลุลบัยต์และซอฮาบะฮ์ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น  หากในหลวง  ทรงสั่งเสียชาวไทยให้ทำตาม  ฟ้าชาย

แต่ประชาชน  ไปทำตามพลเอกเปรม   โดยให้เหตุผลว่า  พลเอกเปรมเป็นทหาร  ฟ้าชายก็เป็นทหารมันไม่แตกต่างกันหรอก

ถามตรงๆว่า   คุณมองไม่เห็นความแตกต่างเลยหรือ  

แน่นอนความแตกต่างมันอยู่ตรงที่ว่า

กษัตริย์สั่งให้ทำตามฟ้าชาย   แม้ว่าทั้งสองจะเป็นทหารแต่สิ่งสำคัญคือการทำตามคำสั่งกษัตริย์

เช่นกันหากท่านนะบี(ศ)สั่งเสียอุมมัตอิสลามให้ทำตาม  กิตาบุลเลาะฮ์  และอิตเราะฮ์ของท่าน

คำถามคือ   ซอฮาบะฮ์ใช่อิตเราะฮ์นะบีหรือป่าว ?

หากคุณฟารูกแย้งว่า  อิตเราะฮ์ไม่ใช่เฉพาะสิบสองอิหม่ามที่ชีอะฮ์เข้าใจ   ตรงนี้ขอให้คุณทำใจกว้างสักนิด เปิดอกอ่าน หลักฐานหะดีษของเราก่อน   จากนั้นค่อยว่ากันคือ


۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞    
۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞  


(رَوَي الشَّيْخُ الصَّدُوْقُ ) حَدَّثَنَا ْ أَحْمَدُ بْنُ زِيَادِ بْنِ جَعْفَرٍ الْهَمَذَانِي‏ قَالَ : حَدَّثَنَا عَلِىُّ بْنُ اِبْرَاهِيْمَ بْنِ هَاشِمٍ عَنْ أَبِيْهِ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي عُمَيْر عَنْ غِيَاثِ بْنِ إِبْرَاهِيْمَ عَنِ الصَّادِقِ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ أَبِيْهِ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِىٍ عَنْ أَبِيْهِ عَلِىِّ بْنِ الْحُسَيْنِ عَنْ أَبِيْهِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِىٍّ عَلَيْهِ السَّلاَمِ قَالَ :

سُئِلَ أَمِيْرُ الْمُؤْمِنِيْنَ عَلَيْهِ السَّلاَمِ عَنْ مَعْنَى قَوْلِ رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ إِنِّىْ مُخَلِّفٌ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ مَنِ الْعِتْرَةُ ؟

فَقَالَ : أَنَا وَالْحَسَنُ وَالْحُسَيْنُ وَالْأَئِمَّةُ التِّسْعَةُ مِنْ وُلْدِ الْحُسَيْنِ تَاسِعُهُمْ مَهْدِيُّهُمْ وَقَائِمُهُمْ لاَ يُفَارِقُوْنَ كِتَابَ اللهِ وَلاَ يُفَارِقُهُمْ حَتَّى يَرِدَوْا عَلَى رَسُوْلِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ حَوْضَـهُ

كتاب : عُيونُ أخبارِ الرضا (ع) للشيخ الصدوق  ج 2  ص 58 حديث : 25
باب النصوص على الرضا(ع) بالإمامة في جملةالأئمة الإثنى عشر(ع)

Θ คำแปล

เชคศอดูกเล่าว่า  อะหมัด บินซิยาด บินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานีเล่าให้เราฟัง จากอาลี บินอิบรอฮีม บินฮาชิมจากบิดาเขา จากมุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน จากฆิยาษ บินอิบรอฮีมเล่าว่า :  จากอัศศอดิก ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด จากบิดาเขาคือมุฮัมมัด บินอาลี จากบิดาเขาคืออาลี บินฮูเซน จากบิดาเขาคือฮูเซน บินอาลีเล่าว่า : ท่านอมีรุลมุอ์มินีน(อิม่ามอาลี) ถูกถามถึงความหมายของวจนะที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่านสิ่งแรกคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอิตเราะฮ์ของฉัน,(ว่า)  ใครคืออิตเราะฮ์ ? ท่านอิม่ามอาลีตอบว่า :

คือฉัน,ฮาซัน,ฮูเซนและบรรดาอิม่ามผู้นำอีก 9 คนที่สืบเชื้อสายจากลูกหลานของฮูเซน คนที่ 9 คือมะฮ์ดีของพวกเขา

และคือกออิมของพวกเขา  พวกเขาจะไม่แยกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และคัมภีร์ของอัลลอฮ์จะไม่แยกจากพวกเขา จนทั้งสองจะกลับคืนมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ที่สระอัลเฮาฎ์ของท่าน

อ้างอิงจาก หนังสืออุยูนุอัคบาริลริฎอ(อ) เล่ม 1 : 57 หะดีษที่ 25  

สถานะหะดีษ   :  บรรดานักรายงาน  เชื่อถือได้ทุกคน


۩  วิเคราะห์สถานะบรรดานักรายงานหะดีษ
تخريج الحديث :

الشَّيْخُ الصَّدُوْقُ ( 306 ـ 381هـ)
محمد بن علي بن الحسين بن بابويه القمي : جليل القدر حفظة، بصير بالفقه والأخبار والرجال،
رجال الشيخ الطوسي  ج 1 / ص 208  رقم : 6275

محمد بن علي بن الحسين بن موسى بن بابويه القمي
أبو جعفر، نزيل الري، شيخنا وفقيهنا ووجه الطائفة بخراسان،
رجال النجاشي  ج 1 / ص 276  رقم : 1049

محمد بن علي بن الحسين بن موسى بن بابويه القمي يكنى أبا جعفر : كان جليلا حافظا للأحاديث بصيرا بالرجال ناقدا للأخبار لم ير في القميين مثله في حفظه و كثرة علمه
الفهرست للطوسي  ج 1 / ص 120  رقم : 695

محمد بن علي بن الحسين بن بابويه : جليل القدر حفظة بصير بالفقه والاخبار شيخ الطائفة وفقيهها ووجهها بخراسان
رجال ابن داود ج 1 / ص 174  رقم : 1455

محمد بن علي بن الحسين بن موسى بن بابويه القمي، أبو جعفر، نزيل الري، شيخنا وفقيهنا ووجه الطائفة بخراسان. ورد بغداد سنة خمس وخمسين وثلاثمائة، وسمع منه شيوخ الطائفة وهو حدث السن كان جليلا حافظا للاحاديث، بصيرا بالرجال، ناقدا للاخبار، لم ير في القميين مثله في حفظه وكثرة علمه، له نحو من ثلاثمائة مصنف،
خلاصة الاقوال- العلامة الحلي  ج 1 / ص 234  رقم : 45

اِبْنُ باَبَوَيْه : ابوجعفر محمد بن علي بن الحسين بن موسى بن بابويه القمي، شيخ الحفظة ووجه الطائفة المستحفظة رئيس المحدثين والصدوق فيما يرويه عن الائمة الطاهرين (ع) ولد بدعاء مولانا صاحب الامر (ع) ونال بذلك عظيم الفضل والفخر فعمت بركته الانام وبقيت آثاره ومصنفاته مدى الايام، له نحو من ثلثمائة مصنف
قال ابن ادريس في حقه: انه كان ثقة جليل القدر بصيرا بالاخبار ناقدا للآثار عالما بالرجال وهو استاذ المفيد محمد بن محمد بن النعمان
كتاب : الكنى والالقاب  للمحقق الشهير الشيخ عباس القمي  ج 1 ص 222
الباب الثانى فيما صدر بابن

أَحْمَدُ بْنُ زِيَادِ بْنِ جَعْفَرٍ الْهَمَذَانِي
‏أحمد بن زياد بن جعفر الهمذاني : ثقة
رجال ابن داود  ج 1 / ص 33  رقم : 77
تقى الدين الحسن بن على بن داود الحلى  المولود سنة 647 ه‍ والمتوفى بعد سنة 707 ه‍

أحمد بن زياد بن جعفر الهمذاني : كان رجلا ثقة دينا فاضلا
خلاصة الاقوال  العلامة الحلي  ج 5 / ص 14  رقم : 37

أحمد بن زياد  أبو على الهمداني  : قلت: وهو احمد بن زياد بن جعفر الهمداني الذى روى عنه الصدوق كثيرا في كتبه مترضيا عنه، وقال: كان رجلا، ثقة، دينا. فاضلا، رحمة الله عليه ورضوانه.
تهذيب المقال - السيد محمد على الأبطحى   ج 3 / ص 359  رقم : 1

عَلِىُّ بْنُ اِبْرَاهِيْمَ بْنِ هَاشِمٍ عَنْ أَبِيْهِ (اي ابراهيم بن هاشم أبواسحاق القمي )

علي بن إبراهيم بن هاشم أبو الحسن القمي
ثقة في الحديث، ثبت، معتمد، صحيح المذهب،
رجال النجاشي  ج 1 / ص 184  رقم : 680
أحمد بن علي النجاشي (372 – 450 هـ.)

على بن إبراهيم بن هاشم القمي ابوالحسن : ثقة في الحديث ثبت معتمد صحيح المذهب
خلاصة الاقوال العلامة الحلي  ج 22 / ص 9  رقم : 45

علي بن إبراهيم بن هاشم القمي أبو الحسن : ثقة في الحديث ثبت معتمد صحيح المذهب.
رجال ابن داود   ج 1 / ص 130  رقم : 1018

ابراهيم بن هاشم أبواسحاق القمي :
ولم أقف لاحد من أصحابنا على قول في القدح فيه، ولا على تعديله بالتنصيص والروايات عنه كثيرة، والارجح قبول قوله
خلاصة الاقوال  ج 5 / ص 2  رقم : 9

مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي عُمَيْر
محمد بن أبي عمير يكنى أبا أحمد، واسم أبي عمير زياد، مولى الأزد : ثقة
رجال الشيخ الطوسي  ج 1 / ص 170  رقم : 5413

محمد بن أبي عمير :  جليل القدر عظيم المنزلة فينا وعند المخالفين
رجال النجاشي   ج 1 / ص 228  رقم : 887

محمد بن أبي عمير : ثقة
رجال ابن داود  ج 1 / ص 154  رقم : 1272

محمد بن أبي عمير : كان جليل القدر عظيم المنزلة عندنا وعند المخالفين
قال الكشي: انه ممن أجمع أصحابنا على تححيح ما يصح عنه وأقروا له بالفقه والعلم
قال الشيخ الطوسي رضي الله عنه: انه كان اوثق الناس عند الخاصة والعامة
خلاصة الاقوال  ج 27 / ص 3  رقم : 17

غِيَاثِ بْنِ إِبْرَاهِيْمَ  (كان حياً قبل 183 هـ)
غياث بن إبراهيم التميمي الأسيدي بصري، سكن الكوفة : ثقة، روى عن أبي عبد الله
رجال النجاشي  ج 1 / ص 215  رقم : 833

غياث بن إبراهيم  : ثقة
خلاصة الاقوال   العلامة الحلي  ج 50 / ص 1  رقم : 1

غياث بن إبراهيم التميمي الأسدي :  ثقة
فائق المقال في الحديث والرجال  ج 5 / ص 41  رقم : 773

غياث بن إبراهيم، ثقة
مشايخ الثقات- غلام رضا عرفانيان  ج 1 / ص 103  رقم : 68

غياث بن ابراهيم : ثقة
طرائف المقال - السيد علي البروجردي  ج 2 / ص 43  رقم : 5274

غياث بن ابراهيم  أبو محمد الكوفي :  من ثقات المحدثين
كتاب : أصحاب الامام الصادق (ع)  لعبد الحسين الشبستري  ج 4 / ص 11  رقم : 2560

الصَّادِقِ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ أَبِيْهِ مُحَمَّدِ بْنِ عَلِىٍ عَنْ أَبِيْهِ عَلِىِّ بْنِ الْحُسَيْنِ عَنْ أَبِيْهِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِىٍّ عَلَيْهِ السَّلاَمِ قَالَ :

คำแปล -

1.เชคศอดูก→ 2.อะหมัด บินซิยาด บินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานี → 3.อาลี บินอิบรอฮีม บินฮาชิม→ 4.จากบิดาเขา→ 5. มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน → 6. ฆิยาษ บินอิบรอฮีม → 7. อิม่ามญะอ์ฟัร(อัศศอดิก) บินมุฮัมมัด → 8. อิม่ามมุฮัมมัด(อัลบาเก็ร) บินอาลี → 9. อิม่ามอาลี(ซัยนุลอาบิดีน) บินฮูเซน → 10. อิม่ามฮูเซน บินอาลี → 11. อิม่ามอาลี บินอะบีตอลิบ

1. เชคศอดูก ( 305 – 381 ฮ.ศ.รวมอายุ 76 ปี)→ อยู่ในยุคนาอิบค็อศคนสุดท้ายของอิม่ามมะฮ์ดี เขารายงานหะดีษจากบิดาของเขาชื่อ อาลี บินฮูเซน บินบาบะวัยฮฺ อัลกุมมี บิดาเชคศอดูกเคยเข้าพบอิม่ามฮาซันอัสการี และบิดาเขาอยู่จนถึงยุคฆ็อยบะฮ์ของอิม่ามมะฮ์ดี(อ) เชคศอดูกมีชื่อเต็มว่า อะบูญะอ์ฟัร   มุฮัมมัด บินอาลี บินอัลฮูเซน บินมูซา บินบาบะวัยฮฺ  อัลกุมมี   เกิดหลังปีฮ.ศ. 305  ที่เมืองกุม ประเทศอิหร่าน  ด้วยบะร่อกัตจากการขอดุอาอ์ของอิม่ามมะฮ์ดี(อ)และมรณะในปีฮ.ศ. 381 ที่เมืองเรย์ อยู่ทางตอนใต้ของเตฮะรานประเทศอิหร่าน สุสานของเชคศอดูกอยู่ใกล้ๆกับสุสานของสัยยิดอับดุลอะซีม อัลฮาซานี
เชคมุฮัมมัดบินอัลฮาซัน อัตตูซี่ (385-460 ฮ.ศ.)กล่าวว่า :  อะบูญะอ์ฟัร(เชคศอดูก)เป็นผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง  นักท่องจำหะดีษ    ผู้เชี่ยวชาญอิลมุลริญาล  นักวิจารณ์สายรายงานหะดีษ   ไม่เคยเห็นในชาวเมืองกุมคนใดเหมือนเขาในความจำของเขา และในความรู้ที่มากมายของเขา    
ดูอัลฟะฮ์ร็อสต์ โดยเชคตูซี่  อันดับที่  695  

2.อะหมัด บินซิยาด บินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานี →  เขาคือสาวกของอิม่ามอาลีอัลฮาดี อิม่ามคนที่ 10
อัลลามะฮ์ฮิลลี(648-726 ฮ.ศ.) กล่าวว่า : อะหมัด บินซิยาด บินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานีเป็นคนที่เชื่อถือได้ในการรายงาน   ดูคุลาเศาะตุลอักวาล  อันดับที่  37
สัยยิดอาลี อัลบุรูญัรดีกล่าวว่า :  อะหมัด บินซิยาด บินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานี   เชื่อถือได้ในการรายงาน  ท่านอะบูญะอ์ฟัร บินบาบะวัยฮฺ(เชคศอดูก)ได้รายงานหะดีษจากเขา  และได้ยกย่องต่อเขาเอาไว้ในหนังสือกะลมาลุดดีน โดย(เชคศอดูก)ได้กล่าวว่า  เขา(อะหมัดบินซิยาด)เป็นคนที่เชื่อถือได้ในการรายงาน
ดูเฏาะรออิฟุละกอล  อันดับที่  772

3.อาลี บินอิบรอฮีม บินฮาชิม อัลกุมมี→  เขาคือสาวกของอิม่ามมุฮัมมัดตะกีอัลญะวาด อิม่ามคนที่ 9  มีชีวิตอยู่ในช่วงฮ.ศ.307 คืออาจารย์คนหนึ่งของเชคกุลัยนี  เขาได้ฟังหะดีษมามากมายและได้แต่งตำราไว้หลายเล่ม  เขาได้รับการถ่ายทอดความรู้จากบิดาของเขาและได้รายงานหะดีษจากบิดาของเขาไว้มากมาย
ผู้ที่รายงานหะดีษจากอาลี บินอิบรอฮีม →เชคกุลัยนีและอะหมัด บินซิยาดบินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานีและคนอื่นๆ
เชคอะหมัด บินอาลี อันนะญาชี ( 372-450 ฮ.ศ.) กล่าวว่า :  อาลี บินอิบรอฮีมบินฮาชิมอัลกุมมี  เชื่อได้ในการรายงานหะดีษ  มั่นคง ยึดถือได้  อยู่มัซฮับที่ถูกต้อง   ดูริญาลนะญาชี  อันดับที่ 680
อัลลามะฮ์ฮิลลี(648-726 ฮ.ศ.) กล่าวว่า : อาลี บินอิบรอฮีม บินฮาชิมอัลกุมมี  เชื่อได้ในการรายงานหะดีษ  มั่นคง ยึดถือได้  อยู่มัซฮับที่ถูกต้อง  ดูคุลาเศาะตุลอักวาล  อันดับที่ 45

4. อิบรอฮีม บินฮาชิม อัลกุมมี (คือบิดาของอาลี บินอิบรอฮีม) → เขามีชีวิตอยู่ในช่วงก่อนฮ.ศ.247 เป็นนักรายงานหะดีษ เจ้าของตัฟสีรที่รู้จักกันด้วยชื่อ ตัฟสีรอัลกุมมี
อิบรอฮีม บินฮาชิมรายงานหะดีษจาก → มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยรินและคนอื่นๆอีกมากมาย  ผู้ที่รายงานหะดีษจากอิบรอฮีม บินฮาชิมคือ → อาลี บินอิบรอฮีมคือบุตรของเขาและคนอื่นๆอีกมากมาย
อิบรอฮีม บินฮาชิมมีชีวิตอยู่จนถึงสมัยอิม่ามริฎอ อิม่ามคนที่ 8 และนับว่าเขาคือสาวกคนหนึ่งของท่าน  
เชคอะหมัด บินอาลี อันนะญาชี ( 372-450 ฮ.ศ.) กล่าวว่า : อิบรอฮีม บินฮาชิม อัลกุมมี  เดิมเป็นชาวกูฟะฮ์แล้วย้ายมาอยู่ที่เมืองกุม  ท่านกัชชีกล่าวว่า   เขาเป็นลูกศิษย์ของยูนุส บินอับดุลเราะห์มานซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งของอิม่ามริฎอ(อ)    ดูริญาลนะญาชี อันดับที่ 18
อัลลามะฮ์ฮิลลี(648-726 ฮ.ศ.) กล่าวว่า : อิบรอฮีม บินฮาชิมอัลกุมมี  เดิมเป็นชาวกูฟะฮ์แล้วย้ายมาอยู่ที่เมืองกุม  อัศฮาบของเราได้เล่าว่า   เขาเป็นบุคคลแรกที่ได้เผยแพร่หะดีษของชาวกูฟะฮ์ในเมืองกุม และยังเล่าว่า  เขาได้พบกับอิม่ามริฎอ(อ)  และเขาเป็นลูกศิษย์ของยูนุส บินอับดุลเราะห์มานซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งของอิม่ามริฎอ(อ)   (อัลลามะฮิลลี)กล่าวว่า ฉันไม่เคยพบอัศฮาบของเราคนใดที่มีคำพูดตำหนิในตัวเขาหรือยกย่องเขาด้วยหลักฐาน  และมีรายงานหะดีษต่างๆที่มาจากเขามากมาย  และที่มีน้ำหนักมากที่สุดคือ  คำพูดของเขา(อิบรอฮีม)นั้นเป็นที่ถูกยอมรับ    ดูคุลาเศาตุลอักวาล  อันดับที่  9

5. มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน มรณะฮ.ศ.217   →  เขาคือสาวกของอิม่ามมูซากาซิมและอิม่ามอาลีริฎอ อิม่ามคนที่ 7 และ 8  (เขามีอีกชื่อหนึ่งคืออะหมัด บินมุฮัมมัด บินซิยาดอัลอะซะดี )  หรือที่เรารู้จักกันในนาม อิบนิอะบีอุเมรฺ  เขาคือฟะกีฮ์  ร็อบบานี มีฉายาว่า อะบูมุฮัมมัด เป็นชาวเมืองแบกแดด(อิรัก)
นักวิชาการมีมติตรงกันว่า อิบนิอะบีอุเมรฺคือหนึ่งในหกจากผู้ที่มีความน่าเชื่อถือในการรายงานหะดีษและได้รับการรับรองในเรื่องฟิกฮ์ของพวกเขา  ดูเมาซูอะฮ์ อัศฮาบุลฟุเกาะฮาอ์  อันดับที่  1115
เชคมุฮัมมัดบินอัลฮาซัน อัตตูซี่(385-460 ฮ.ศ.)กล่าวว่า : มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน  : เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในทัศนะของชีอะฮ์และซุนนี่  เขาอยู่ทันอิม่ามสามท่านคือ อิม่ามมูซากาซิม อิม่ามอาลีริฎอและอิม่ามมุฮัมมัดญาวาด(อ)   ดูอัลฟะฮ์ร็อสต์ โดยอัตตูซี่  อันดับที่  607 และริญาลเชคตูซี  อันดับที่  5413
เชคอะหมัด บินอาลี อันนะญาชี ( 372-450 ฮ.ศ.) กล่าวว่า : มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน ได้พบกับอิม่ามอะบุลฮาซันมูซา(อ)และยังได้ฟังหะดีษต่างๆจากท่าน อิม่ามมูซาเรียกชื่อเขาในบางครั้งว่าอะบูอะหมัด(บิดาของอะหมัด) และเขายังได้รายงานหะดีษจากอิม่ามริฎอ(อ)  เขาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิชั้นสูง มีฐานะภาพยิ่งใหญ่ในหมู่พวกเรา   ดูริญาลนะญาชี  อันดับที่  887

6. ฆิยาษ บินอิบรอฮีม →  เขาคือสาวกของอิม่ามญะอ์ฟัรศอดิก อิม่ามคนที่ 6  มีชีวิตอยู่ในช่วงก่อนฮ.ศ. 183   เวลาโดยส่วนมากของฆิยาษคือติดตามอิม่ามศอดิก(อ)รับความรู้เรื่องหะดีษจากท่าน
ฆิยาษรายงานหะดีษจาก→อิม่ามอิมามศอดิกและอิม่ามมูซากาซิม
ผู้ที่รายงานหะดีษจากฆิยาษคือ→ มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยรินและคนอื่นๆ
เชคนะญาชีกล่าวว่า : ฆิยาษ บินอิบรอฮีม อัตตะมีมี อัลอุซัยดี ชาวเมืองบัศเราะฮ์ อาศัยอยู่ที่เมืองกูฟะฮ์  เชื่อถือได้  ดูริญาลนะญาชี  อันดับที่  833
‏   อัลลามะฮ์ฮิลลี(648-726 ฮ.ศ.) กล่าวว่า : ฆิยาษ บินอิบรอฮีม เชื่อถือได้ เขารายงานหะดีษจากอิม่ามอิมามศอดิก  ดูคุลาตุลอักวาล  หน้า 246  อันดับที่  1 ฟัศล์ที่  7 อักษรเฆน

7. อิม่ามญะอ์ฟัร(อัศศอดิก) บินมุฮัมมัด → อิม่ามคนที่ 6 แห่งมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์(อ)เกิดที่มะดีนะฮ์ ฮ.ศ.83 – 148
อิบนุฮิบบานกล่าวว่า : ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด รายงานหะดีษจากบิดาของเขา  เป็นผู้มีความรอบรู้และทรงคุณวุฒิคนหนึ่งจากบรรดาสัยยิดแห่งอะฮ์ลุลบัยต์    ดูอัษษิกอต โดยอิบนิฮิบบาน  อันดับที่ 226
อิบนุหะญัรกล่าวว่า   :  ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด  รู้จักกันในนามอัศศอดิก(ผู้มีวาจาสัตย์)  เชื่อถือได้  เป็นผู้รู้  เป็นอิม่าม   ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 950
    ท่านอิสฮ๊าก บินรอฮะวัยฮฺกล่าวว่า   :  ฉันกล่าวกับอิม่ามชาฟิอีว่า ท่านญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัดเป็นอย่างไรในทัศนะของท่าน  เขาตอบว่า  เชื่อถือได้   และท่านยะห์ยา บินมะอีนกล่าวว่า  ท่านญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด  เชื่อถือได้
ท่านอับดุลเราะห์มานกล่าวว่า  ฉันได้ยินบิดาของฉันกล่าวว่า  ท่านญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด เชื่อถือได้ไม่ต้องถามถึงว่าจะมีผู้เหมือนเยี่ยงเขา       ดูอัลญัรฮุ วัตตะอ์ดีล โดยอิบนิอะบีฮาติม  อันดับที่ 1987

8.อิม่ามมุฮัมมัด(อัลบาเก็ร) บินอาลี →อิม่ามคนที่ 5 แห่งมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์ เกิดที่มะดีนะฮ์ ฮ.ศ.57 – 95
อิบนุอะบีฮาติมกล่าวว่า   :  มุฮัมมัด บินอาลี  อะบูญะอ์ฟัร  รายงานจากท่านญาบิร บินอับดุลลอฮ์และบิดาของเขาคืออาลี บินฮูเซน  ผู้ที่รายงานจากเขาคือบุตรของเขาชื่อ ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด
ดูอัลญัรฮุ วัตตะอ์ดีล  อันดับที่ 117
      อัลอิจญ์ลีกล่าวว่า :  มุฮัมมัด บินอาลีเป็นตาบิอี  เชื่อถือได้     ดูอัษษิกอต โดยอัลอิจญ์ลี  อันดับที่ 1630
อิบนุหะญัรกล่าวว่า : มุฮัมมัด บินอาลี อะบูญะอ์ฟัร    เชื่อถือได้   ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 6151    
อัซซะฮะบีกล่าวว่า   : อะบูญะอ์ฟัร  มุฮัมมัด บินอาลี  บุตรชายท่านซัยนุลอาบิดีน  นักท่องจำหะดีษมีมติว่าให้ยึดหะดีษของท่านอะบีญะอ์ฟัรเป็นหลักฐานได้     ดูสิยัร อะอ์ลามุนนุบะลาอ์  อันดับที่ 158

9.อิม่ามอาลี(ซัยนุลอาบิดีน) บุตรอิม่ามฮูเซน → อิม่ามคนที่ 4 แห่งมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์ เกิดที่มะดีนะฮ์ ฮ.ศ.38 – 114
อัลอิจญ์ลีกล่าวว่า : อาลี บินฮูเซนเป็นตาบิอี  เชื่อถือได้ และเป็นคนซอและห์  ดูอัษษิกอต โดยอิจญ์ลี  อันดับที่  1293  
อิบนุหะญัรกล่าวว่า : อาลี บินฮูเซนซัยนุลอาบิดีน เชื่อถือได้  มีความมั่นคง  อาบิ๊ด  ฟะกีฮ์  ฟาดิ้ล มัชฮู้ร  ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 4715
อัซซะฮะบีกล่าวว่า  : อาลี บินฮูเซน คือสัยยิด เป็นอิม่ามผู้นำ    ดูสิยัร อะอ์ลามุนนุบะลาอ์  อันดับที่ 157

10.อิม่ามฮูเซน บุตรอิม่ามอาลี → อิม่ามคนที่ 3 แห่งมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์ เกิดที่มะดีนะฮ์ ฮ.ศ.4 – 61
อิบนุหะญัรกล่าวว่า : ท่านฮูเซน บินอาลีบินอะบีตอลิบ หลานชายของท่านรอซูล(ศ)  
ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 1334      

قَالَ الرَسُولُ (ص): الحَسَـنُ ‏ ‏وَالْحُسَـيْنُ ‏ ‏سَـيِّدَا شَـبَابِ أهْلِ الْجَـنَّة صحيح الترمذي ح 2965

11.อิม่ามอาลี บุตรอะบีตอลิบ → อิม่ามคนที่ 1 แห่งมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์  เกิดที่กะอ์บะฮ์ มักกะฮ์  ก่อนฮิจเราะฮ์ศักราชประมาณ 23  ปี และมรณะฮ.ศ. 41
อิบนุหะญัรกล่าวว่า : ท่านอาลี บินอะบีตอลิบ บุตรของลุงของท่านรอซูล(ศ) คือสามีบุตรีของท่านรอซูลฯ  เป็นหนึ่งจากบรรดาซาบิกูนอัลเอาวะลูน(ผู้เข้ารับอิสลามรุ่นแรกสุด)   มีนักปราชญ์กลุ่มหนึ่งให้น้ำหนักว่า  เขาคือชายคนแรกที่เข้ารับอิสลาม  ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 475


۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞
۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞۞    
   





 
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 08, 2010, 05:39:43 หลังเที่ยง
การที่ชีอะฮ์เขาเชื่อว่า  


บุคคลดังกล่าวคือ  อิตเราะฮ์ ตามที่ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ) สั่งเสียให้ตาม   มันผิดตรงไหน  ทั้งๆที่มีหะดีษเชื่อถือได้กำกับไว้


มันมิใช่พูดออกมาลอยๆอย่างไรหลักฐานอ้างอิง      หรือมีหลักฐานแต่ เป็นหลักฐานที่ไม่แข็งแรง



เราต้องขอพอแค่นี้ก่อน  ไว้ค่อยสนทนากันใหม่  


ขอบคุณสำหรับการสนทนาอันมีค่านี้  


วัสสลามุ  อะลัยกุม
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 08:02:28 ก่อนเที่ยง
ผมต้องขอบคุณ คุณ l-umar ,มากในการตอบข้อสงสัยซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่คิดว่าจะได้ นึกว่าจะมีแต่การเสียดสี เยาะเย้ยอย่างการสนทนาในกระดานสนทนาทั่วไป ขอขอบคุณอีกครั้งครับ

จากที่คุณว่ามา ผมมีข้อสงสัยนิดนึงครับ ซึ่งอาจเกิดจากการผมตีความตัวบททางฝ่ายคุณผิดไป หากไม่รบกวนขอให้คุณชี้แจงผมหน่อย
จากฮะดิษที่คุณยกมา


แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่านสิ่งแรกคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอิตเราะฮ์ของฉัน,(ว่า) ใครคืออิตเราะฮ์ ? ท่านอิม่ามอาลีตอบว่า :

คือฉัน,ฮาซัน,ฮูเซนและบรรดาอิม่ามผู้นำอีก 9 คนที่สืบเชื้อสายจากลูกหลานของฮูเซน คนที่ 9 คือมะฮ์ดีของพวกเขา

และคือกออิมของพวกเขา พวกเขาจะไม่แยกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และคัมภีร์ของอัลลอฮ์จะไม่แยกจากพวกเขา จนทั้งสองจะกลับคืนมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ที่สระอัลเฮาฎ์ของท่าน


และตรงนี้ที่ท่านบอกว่า

ชีอะฮ์ในสมัยก่อนๆ หมายถึงชีอะฮ์ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของอิม่ามแต่ละยุค   พวกเขาสามารถเดินทางไปพบอะฮ์ลุลบัยต์ได้ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็ส่งตัวแทนไปพบอิม่ามของพวกเขา  เพื่อสอบถามถึงความถูกต้องของหะดีษที่พวกเขาได้ยินได้ฟังมา     แต่หลังจากฮิจเราะฮ์ศักราชที่  260  ชาวชีอะฮ์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้   ยิ่งสมัยของเรากับอะฮ์ลุลบัยต์ห่างกันออกไปนานๆ จนมาถึงปัจุบัน    คนบอกเล่าหะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์ก็มีทุกยุค  ดังนั้นทางออกของเราก็ต้องย้อนกลับไปทำตามคำแนะของอะฮ์ลุลบัยต์เกี่ยวกับยึดถือเรื่องหะดีษ


ตอนแรกผมคืดว่า จากฮะดิษข้างต้น หมายถึงอะลุลบัยต์จะมีอยู่ตลอดไป จนถึงวันกิยามัตแม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีอะลุลบัยต์คอยสาธยายเรื่องราวศาสนาให้พวกท่านอยู่ แต่พอเมื่อท่านบอกว่าสมัยของเราห่างจากอะลุลบัยต์ ก็ทำให้ผมรู้ว่าอะลุลบัยต์ไม่ได้มีอยู่แล้วในปัจจุบันนี้ จากตรงนี้ขอให้คุณอธิบายความหมายของฮะดิษ ประโยคที่ว่า

\\\"พวกเขาจะไม่แยกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และคัมภีร์ของอัลลอฮ์จะไม่แยกจากพวกเขา จนทั้งสองจะกลับคืนมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ที่สระอัลเฮาฎ์ของท่าน\\\"  ให้ผมเข้าใจได้ถูกต้องหน่อยได้มั้ยครับ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 08:55:23 ก่อนเที่ยง
อัสสลามุอะลัยกุม ฯ คุณฟารูก



ก่อนจะชี้แจงคำถามของคุณ   เราขอสอบถามก่อนว่า   หะดีษษะเกาะลัยน์ที่เราแสดงให้คุณอ่านนั้น



คุณมีความเห็นอย่างไร   เช่น  มันใช่เหตุผลที่ถุกต้องหรือไม่สำหรับชีอะฮ์ที่  พวกเขาจะเลือกทำตาม


กิตาบุลเลาะฮ์   และอิตเราะฮ์นะบี   ???

ช่วยวิจารณ์ด้วย

วัลสลาม
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 09:30:41 ก่อนเที่ยง
วะอาลัยกุมมุสลาม คุณ l-umar

จากคำถามของคุณนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ฮุก่มพวกคุณว่าเป็นกาเฟรเหมือนคนอื่นๆ เพราะผมเชื่อว่าพวกคุณบริสุทธิ์ใจในการทำตามหลักการทางศาสนาซึ่งอาศัยหลักฐานตามฝ่ายของคุณซึ่งแน่นอนว่ามันมีน้ำหนักพอที่จะทำให้ชีอะฮฺและซุนนะฮฺถกเถียงกันไม่เคยจบและคงจะเป็นเช่นนี้ไปจนวันกิยามัต ซึ่งแน่นอนว่าหากมันเป็นการอ้างอิงลอยๆ ไม่มีที่มาที่ไปอย่างบางมัซฮับการถกกันระหว่างชีอะฮฺและซุนนะฮฺคงไม่ยืดเยื้อมาจนถึงทุกวันนี้ และเช่นเดียวกันหลายสิ่งหลายอย่างจากชีอะฮฺมันไม่ตรงกับความเข้าใจของผม และไม่มีประโยชน์ที่ผมจะไปถามสิ่งเหล่านี้จากผู้ที่ไม่ใช่ชีอะฮฺผมจึงพยายามเสมอในการที่จะคุยกับชีอะฮฺด้วยดีเพื่อหวังจะได้คำตอบจริงๆ จากพวกท่าน
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 09:42:57 ก่อนเที่ยง
เมื่อคุณฟารูก   มีความเข้าใจเช่นนั้น   ย่อมแสดงว่า คุณเป็นคนเปิดเกว้างที่จะรับฟัง  


หนึ่ง  -  หลักฐานของชีอะฮ์  

สอง -  เหตุผลของชีอะฮ์


เราขอให้อัลลอฮ์ตะอาลา  ประทานความดีงามแก่คนที่ใจกว้างเช่นคุณ  อามีน


งั้นเรามาว่ากันต่อ...............
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 09:43:43 ก่อนเที่ยง
อ้างอิงจากคำถามของคุณฟารูก


และตรงนี้ที่ท่านบอกว่า

ชีอะฮ์ในสมัยก่อนๆ หมายถึงชีอะฮ์ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของอิม่ามแต่ละยุค พวกเขาสามารถเดินทางไปพบอะฮ์ลุลบัยต์ได้ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็ส่งตัวแทนไปพบอิม่ามของพวกเขา เพื่อสอบถามถึงความถูกต้องของหะดีษที่พวกเขาได้ยินได้ฟังมา แต่หลังจากฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 260 ชาวชีอะฮ์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ยิ่งสมัยของเรากับอะฮ์ลุลบัยต์ห่างกันออกไปนานๆ จนมาถึงปัจุบัน คนบอกเล่าหะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์ก็มีทุกยุค ดังนั้นทางออกของเราก็ต้องย้อนกลับไปทำตามคำแนะของอะฮ์ลุลบัยต์เกี่ยวกับยึดถือเรื่องหะดีษ


ตอนแรกผมคืดว่า จากฮะดิษข้างต้น หมายถึงอะลุลบัยต์จะมีอยู่ตลอดไป จนถึงวันกิยามัตแม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีอะลุลบัยต์คอยสาธยายเรื่องราวศาสนาให้พวกท่านอยู่ แต่พอเมื่อท่านบอกว่าสมัยของเราห่างจากอะลุลบัยต์ ก็ทำให้ผมรู้ว่าอะลุลบัยต์ไม่ได้มีอยู่แล้วในปัจจุบันนี้ จากตรงนี้ขอให้คุณอธิบายความหมายของฮะดิษ ประโยคที่ว่า

\\\"พวกเขาจะไม่แยกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และคัมภีร์ของอัลลอฮ์จะไม่แยกจากพวกเขา จนทั้งสองจะกลับคืนมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ที่สระอัลเฮาฎ์ของท่าน\\\" ให้ผมเข้าใจได้ถูกต้องหน่อยได้มั้ยครับ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 09:49:47 ก่อนเที่ยง
เชคศอดูก  (เกิด 305 – มรณะ  381 ฮ.ศ.รวมอายุ 76 ปี)   →   เล่าว่า

อะหมัด บินซิยาด บินญะอ์ฟัร อัลฮะมะดานีเล่าให้เราฟัง จากอาลี บินอิบรอฮีม บินฮาชิมจากบิดาเขา จากมุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน จากฆิยาษ บินอิบรอฮีมเล่าว่า : จากอัศศอดิก ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด จากบิดาเขาคือมุฮัมมัด บินอาลี จากบิดาเขาคืออาลี บินฮูเซน จากบิดาเขาคือฮูเซน บินอาลีเล่าว่า : ท่านอมีรุลมุอ์มินีน(อิม่ามอาลี) ถูกถามถึงความหมายของวจนะที่

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :


แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนักสองสิ่งไว้ในหมู่พวกท่านสิ่งแรกคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอิตเราะฮ์ของฉัน,(ว่า)

ใครคืออิตเราะฮ์ ? ท่านอิม่ามอาลีตอบว่า :

คือ ฉัน(อาลี) ,ฮาซัน,ฮูเซนและบรรดาอิม่ามผู้นำอีก 9 คนที่สืบเชื้อสายจากลูกหลานของฮูเซน คนที่ 9 คือมะฮ์ดีของพวกเขา

และคือกออิมของพวกเขา

พวกเขาจะไม่แยกจากคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และคัมภีร์ของอัลลอฮ์จะไม่แยกจากพวกเขา จนทั้งสองจะกลับคืนมายังท่านรอซูลุลลอฮ์ที่สระอัลเฮาฎ์ของท่าน


อ้างอิงจาก หนังสืออุยูนุอัคบาริลริฎอ(อ) เล่ม 1 : 57 หะดีษที่ 25
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 09:50:59 ก่อนเที่ยง
ขอให้คุณฟารูก  ทบทวนหะดีษข้างต้นอีกสักครั้ง
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 09:53:27 ก่อนเที่ยง
คุณฟารูกกล่าวว่า


ตอนแรกผมคืดว่า จากฮะดิษข้างต้น หมายถึงอะลุลบัยต์จะมีอยู่ตลอดไป จนถึงวันกิยามัตแม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีอะลุลบัยต์
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 09:56:16 ก่อนเที่ยง
ขออนุญาติสอบถามคุณฟารูกว่า


ตามความเข้าใจและความเชื่อของคุณ   คุณคิดว่า  ปัจจุบัน  ไม่มีอะฮ์ลุลบัยต์นะบี(อ)ตามความหมายหะดีษข้างต้น คงชีวิตอยู่  หรือ ???
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 10:02:30 ก่อนเที่ยง
เรารอ  คำตอบจากคุณฟารูก อยู่   เพื่อจะชี้แจงต่อไป..
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 10:30:24 ก่อนเที่ยง
ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะมีอยู่เพราะตามฮะดิษบอกว่า ทั้งสองจะไม่แยกจากกัน หมายถึงอัลกุรอานและอะลุลบัยต์ ผมเข้าใจว่าเมื่อมีอัลกุรอานอยู่ตอนนี้ อะลุลบัยต์ก็ต้องมีอยู่ด้วย หากคุณจำได้ครั้งแรกที่ผมเข้ามาผมถามชื่ออะลุลบัยต์ที่มีชีวิตในปัจจุบันกับคุณ l-umar แต่อาจเป็นเพราะคุณไม่เข้าใจเจตนาผมเลยไม่ได้ตอบสิ่งที่ผมถาม แต่จากที่คุณอธิบายผมเรื่องอัลกาฟีในกระทู้ก่อนหน้าว่า

ชีอะฮ์ในสมัยก่อนๆ หมายถึงชีอะฮ์ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยของอิม่ามแต่ละยุค พวกเขาสามารถเดินทางไปพบอะฮ์ลุลบัยต์ได้ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็ส่งตัวแทนไปพบอิม่ามของพวกเขา เพื่อสอบถามถึงความถูกต้องของหะดีษที่พวกเขาได้ยินได้ฟังมา แต่หลังจากฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 260 ชาวชีอะฮ์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ยิ่งสมัยของเรากับอะฮ์ลุลบัยต์ห่างกันออกไปนานๆ จนมาถึงปัจุบัน คนบอกเล่าหะดีษของอะฮ์ลุลบัยต์ก็มีทุกยุค ดังนั้นทางออกของเราก็ต้องย้อนกลับไปทำตามคำแนะของอะฮ์ลุลบัยต์เกี่ยวกับยึดถือเรื่องหะดีษ

ตรงที่เป็นสีแดงทำให้ผมสับสน จึงได้ถามคุณอีกครั้ง


วันนี้ผมมีงานต้องทำอาจไม่ได้เข้ามาอ่านตลอด ผมจะแวะเข้ามาเป็นช่วงๆครับ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 10:48:12 ก่อนเที่ยง
เช่นกัน   เราก็มีภาระกิจอื่นๆต้องทำ  ดังนั้นถ้าเราพอจะมีเวลาว่าง ก้จะเข้าสนทนาด้วย


วันนี้เราจะพยายามชี้แจงเรื่องข้อกังขา  ว่า



อะฮ์ลุลบัยต์นะบียังมีชีวิตอยู่ คู่กับ  คัมภีร์กุรอ่าน  นับจากปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่   260  อย่างไร  


ให้คุณฟารูกทำความเข้าใจเสียก่อน  



คุณจะเคลียร์หรือไม่นั้น   สุดท้ายเราขอมอบหมายงานนี้ต่ออัลลอฮ์เป้นผู้ประทานเตาฟีกให้แก่คุณ  

ส่วนความผิดพลาดในการชี้แจงนั้น เราขอน้อมรับไว้เอง  และขออัลลอฮ์ทรงอภัยให้เราด้วยที่ไม่สามารถทำให้คุณเข้าใจได้


 
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 11:42:36 ก่อนเที่ยง
อัลมะฮ์ดี  บุตรฮาซัน อัสการี  


ทายาทแห่งอะฮ์ลุลบัยต์นะบียังมีชีวิตอยู่คู่กับคัมภีร์อัลกุรอ่าน  จนถึงปัจจุบันจริงหรือ  ?




ขออนุญาติเท้าความสักนิดนะคุณฟารูก

อิม่ามที่ 11 (ฮาซันอัสการี) และบิดาคืออาลีอัลฮาดี(อิม่ามที่10) จำต้องออกเดินทางจากนครมะดีนะฮ์มาอยู่ที่เมืองซามาร่า(ซะมัร รอฮ์) ตามคำสั่งของกาหลิบอับบาซี่ชื่อ อัลมุตะวักกิล

ท่านฮาซันอัสการีใช้ชีวิตอยู่กับบิดาที่เมืองซามัรรอ ราวยี่สิบ

ฮิจเราะฮ์ศักราชที่ 254  ประมาณ  4 เดือนก่อนที่อิม่ามอาลีอัลฮาดีจะถูกวางยาพิษจนเสียชีวิต    อิม่ามฮาดีได้มีการสั่งเสียให้บุตรชายชื่อ ฮาซันอัสการี  เป็นผุ้ดำรงตำแหน่งอิม่ามคนที่ 11 ต่อไป  ซึ่งตอนนั้นท่านฮาซันอัสการีมีอายุ 22 ปี

เรื่องนี้ถูกบันทึกอยู่ในตำราอัลกาฟีดังนี้

رواه الشيخ الكاليني : عَلِيُّ بْنُ مُحَمَّدٍ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَحْمَدَ النَّهْدِيِّ عَنْ يَحْيَى بْنِ يَسَارٍ الْقَنْبَرِيِّ قَالَ :

أَوْصَى أَبُو الْحَسَنِ (ع) إِلَى ابْنِهِ الْحَسَنِ قَبْلَ مُضِيِّهِ بِأَرْبَعَةِ أَشْهُرٍ وَ أَشْهَدَنِي عَلَى ذَلِكَ وَ جَمَاعَةً مِنَ الْمَوَالِي

เชคกุลัยนีรายงานว่า อาลีบินมุฮัมมัด จากมุฮัมมัดบินอะหมัดอันนะฮ์ดี จากยะห์ยา บินยะซ้าร อัลก็อมบะรีย์เล่าว่า :

อิม่ามอะบุลฮาซัน ( คืออาลีอัลฮาดี บิดาของอิม่ามฮาซันอัสการี) ได้สั่งเสียฮาซัน(อัสการี) บุตรชายของเขา ( ให้เป็นอิม่ามคนที่ 11 ) สืบแทนเขา ก่อนที่เขาจะจากไป ราวสี่เดือน และอิม่ามอะบุลฮาซันอาลีฮาดียังได้ให้ฉัน(คือยะห์ยาบินยะซ้าร)กับบรรดาบริวาลคนใช้ของเขากลุ่มหนึ่งได้ร่วมเป็นสักขีพยานรับรู้ด้วย
     
อัลกาฟี เชคกุลัยนี  เล่ม 1 หน้า 325 หะดีษที่ 1  

بَابُ الْإِشَارَةِ وَ النَّصِّ عَلَى أَبِي مُحَمَّدٍ ع

อะยาตุลเลาะฮ์ ญะวาด อัตตับรีซี รับรองว่า  หะดีษบทนี้ซอฮี๊ฮ์

พิเคราะห์สถานะของยะห์ยา บินยะซ้าร

يحيى بن يسار : محدث حسن الحال، ممدوح. انظر معجم رجال الحديث 20: 96. جامع الرواة 2: 340. تنقيح المقال 3: قسم الياء: 323. معجم الثقات 371.



อิม่ามฮาซันอัสการี  บุตรอิม่ามอาลีอัลฮาดี  ทำหน้าที่เป็นอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ได้แค่หกปีก็ถูกวางยาพิษจนเสียชีวิต ในปีฮิจเราะฮ์ศักราชที่  260  ตรงกับ  ค.ศ. 847  รวมอายุทั้งสิ้นได้ 28 ปี
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 02:56:45 หลังเที่ยง
หากคุณ l-umar ว่างจากภารกิจช่วยนำเสนอเรื่องอะลุลบัยต์ที่ผมถามไปต่อด้วยครับ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 04:42:31 หลังเที่ยง
สลามคุณฟารูก  


เรามาสนทนากันต่อ  อีกสักนิด  ก่อนมัฆริบ  
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 04:43:43 หลังเที่ยง
ฮะดีษที่ท่านอิม่ามฮาซัน อัสการีย์(อ)กล่าวว่า อัลมะฮ์ดี(อ)คือผู้นำคนสุดท้าย


 رَوَاهُ الشَّيْخُ الصَّدُوْقُ :   حدثنا أحمد بن محمد بن يحيى العطار رضي الله عنه قال : حدثنا سعد بن عبدالله قال : حدثنا موسى بن جعفر بن وهب البغدادي قاَلَ :

เชคศอดูกได้เล่าว่า  อะหมัด บินมุฮัมมัดบินยะห์ยาอัลอัฏฏ็อรเล่าให้เราฟัง เขาเล่าว่า สะอัด บินอับดุลลอฮ์เล่าให้เราฟังเขากล่าวว่า

มูซา  บินญะอ์ฟัร บินวะฮับอัลบัฆดาดีเล่าว่า :

سَمِعْتُ أباَ مُحَمَّدٍ الْحَسَنَ بْنَ عَلِيٍّ عليهما السلام يَقُوْلُ :

ฉันได้ยินอิม่ามอะบูมุฮัมมัด อัลฮาซัน บินอาลีอัลอัสการี(อ)กล่าวว่า :كَأَنِّيْ بِكُمْ وَقَدِ اخْتَلَفْتُمْ بَعْدِيْ فِي الْخَلَفِ مِنِّيْ،
อย่างกับว่าฉันอยู่กับพวกท่าน  แล้วพวกท่านได้ขัดแย้งกันหลังจากฉันจากไปเกี่ยวกับอัลคอลัฟ (ทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งอิมาม)ต่อจากฉัน  

أَماَّ إِنَّ الْمُقِرَّ بِالْاَئِمَّةِ بَعْدَ رَسُولِ الله (صلى الله عليه وآله) الْمُنْكِرُ لِوَلَدِيْ
كَمَنْ أَقَرَّ بِجَمِيْعِ أَنْبِياَءِ اللهِ وَرُسُلِهِ ثُمَّ أَنْكَرَ نُبُوَّةَ رَسُولِ الله (صلى الله عليه وآله)

แท้จริงผู้ที่รับรองต่อบรรดาอิม่ามหลังจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)จากไป (แต่กลับเป็น)ผู้ปฏิเสธต่อบุตรชายของฉัน  ก็เปรียบเหมือนคนที่ยืนยันการเป็นศาสดาของบรรดานะบีและรอซูลทั้งหมด แต่แล้วเขาก็ได้ปฏิเสธตำแหน่งศาสดาของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)

وَالْمُنْكِرُ لِرَسُولِ الله (صلى الله عليه وآله) كَمَنْ أَنْكَرَ جَمِيْعَ أَنْبِياَءِ اللهِ

และผู้ที่ปฏิเสธต่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ก็เปรียบเหมือนคนที่ปฏิเสธต่อบรรดาศาสดาของอัลลอฮ์ทั้งหมด

لِاَنَّ طاَعَةَ آخِرِناَ كَطاَعَةِ أَوَّلِناَ، وَالْمُنْكِرُ لِآخِرِناَ كَالْمُنْكِرِ لِاَوَّلِناَ    

เพราะว่า การตออัตต่อ(อิม่าม)คนสุดท้ายของพวกเรา ก็เปรียบเหมือนการตออัตต่อ(อิม่าม)คนแรกของพวกเรา  และผู้ที่ปฏิเสธต่อคนสุดท้ายของพวกเราก็เปรียบเหมือนกับผู้ที่ปฏิเสธ(อิม่าม)คนแรกของพวกเรา  
 
أَماَّ إِنَّ لِوَلَدِيْ غَـيْبَةً يَرْتاَبُ فِيْهاَ الناَّسُ إِلاَّ مَنْ عَصَمَهُ اللهُ عَزَّوَجَلَّ

ส่วนกรณีบุตรชายของฉัน แท้จริงจะมีการหายตัวไป(จากสังคม)  ผู้คนจะเกิดสงสัยคลางแคลงในการมีอยู่ของเขา   ยกเว้นผู้ที่อัลลอฮ์อัซซะวะญัลทรงปกป้อง(ความศรัทธา)เขาเอาไว้  

อ้างอิงจากหนังสือกะมาลุด-ดีน  โดยเชคศอดูก หน้า 409  หะดีษที่  8
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 04:45:05 หลังเที่ยง
อิม่ามมะฮ์ดีย์(อ)เป็นบุคคลที่เหมือนกับท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)



ฝ่ายซุนนี่รายงานว่า ท่านอับดุลลอฮ์ บินมัสอูดเล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) กล่าวว่า :

لَوْ لَمْ يَبْقَ مِنَ الدُّنْيَا إِلاَّ يَوْمٌ لَطَوَّلَ اللَّهُ ذَلِكَ الْيَوْمَ حَتَّى يَبْعَثَ فِيهِ رَجُلاً مِنِّى  أَوْ  مِنْ أَهْلِ بَيْتِى يُوَاطِئُ اسْمُهُ اسْمِى وَاسْمُ أَبِيهِ اسْمَ أَبِى  يَمْلأُ الأَرْضَ قِسْطًا وَعَدْلاً كَمَا مُلِئَتْ ظُلْمًا وَجَوْرًا

หากว่า จะไม่เหลืออยู่จากชีวิตของโลกดุนยานี้  นอกจากวันเดียวอัลลอฮ์ก็จะทรงให้วันนั้นยืนยาวเพื่ออัลลอฮ์จะทรงส่งบุรุษหนึ่งที่มาจากเชื้อสายของฉันหรือจากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉันมาในวันนั้น  

ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อของฉัน  ชื่อบิดาเขาจะตรงกับชื่อบิดาของฉัน  

เขาจะมาทำให้โลกนี้เต็มเปี่ยมด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรมจากที่เคยเต็มเปี่ยมด้วยความอยุติธรรมและความอธรรมกดขี่

ดูซอฮีฮุลญามิอิซ-ซอฆีร วะซิยาดะฮ์  หะดีษที่ 5304  เชคอัลบานีกล่าวว่า ซอฮิ๊ฮ์



ฝ่ายชีอะฮ์   เชคศอดูกรายงานว่า

حدثنا أبوعلي الحسن ابن محبوب السراد، عن داود بن الحصين، عن أبي بصير، عن الصادق جعفربن محمد عن آبائه عليهم السلام قال:

قال رسول الله صلى الله عليه وآله: المهدي من ولدي، اسمه اسمي، وكنيته كنيتي، أشبه الناس بي خلقا وخلقا، تكون له غيبة وحيرة حتى تضل الخلق عن أديانهم، فعند ذلك يقبل كالشهاب الثاقب فيملاها قسطا وعدلا كماملئت ظلما وجورا

อะบูบะศีรรายงานจากอิม่ามญะอ์ฟัรอัซซอดิก(อ)จากบิดาและปู่ทวดของท่านเล่าว่า :

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) กล่าวว่า : อัลมะฮ์ดีนั้นสืบมาจากบุตรชายของฉัน ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อของฉัน  กุนยะฮ์(นามแฝง)ของเขาตรงกับกุนยะฮ์ของฉัน   เขาเหมือนฉันมากที่สุดทั้งลักษณะท่าทางและจรรยามารยาท  

เขาจะมีการหายตัวไปและสร้างความงุนงง จนเป็นเหตุทำให้ผู้คนหลงออกจากศาสนาของพวกเขา   เมื่อเกิดเหตุเช่นนั้นเขาจะถูกยอมรับดั่งดาวที่จรัสแสงแวววาว  เขาจะมาทำให้โลกนี้เต็มเปี่ยมด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรมจากที่เคยเต็มเปี่ยมด้วยความอยุติธรรมและความอธรรมกดขี่


อ้างอิงจากกะมาลุดดีน  โดยเชคศอดูก  หน้า 287  หะดีษที่ 4
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 04:46:39 หลังเที่ยง
และหะดีษสุดท้ายที่ระบุว่า  อิม่ามคนสุดท้าย หรืออิม่ามคนทีสิบสองคือ อัลกออิม ซึ่งเป็นชื่อหนึ่งของอิม่ามมะฮ์ดี



(رَوَي الشَّيْخُ الصَّدُوْقُ ) حَدَّثَناَ عَلِىُّ بْنُ أَحْمَدَ (بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ عِمْرَانَ الدَّقاَّقِ) رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قاَلَ : حَدَّثَناَ مُحَمَّدُ بْنُ أَبِيْ عَبْدِ اللهِ الْكُوْفِيُّ عَنْ مُوْسَى بْنِ عِمْرَانَ (النَّخَعِيُّ) ، عَنْ عَمِّهِ الْحُسَيْنِ بْنِ يَزِيْدَ (النَّوْفَلِيِّ )، عَنِ الْحَسَنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِيْ حَمْزَةَ، عَنْ أَبِيْهِ، عَنْ يَحْيَى بْنِ أَبِي الْقَاسِم ِ( هُوَأَبِيْ بَصِيْرٍ الْأَسَدِيّ) عَنِ الصَّادِقِ جَعْفَرِ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ أَبِيهِ عَنْ جَدِّهِ (ع) قَالَ :

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ (ص) :

الْأَئِمَّةُ بَعْدِي اثْنَا عَشَرَ أَوَّلُهُمْ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِبٍ وَ آخِرُهُمُ الْقَائِمُ فَهُمْ خُلَفَائِي وَ أَوْصِيَائِي وَ أَوْلِيَائِي وَ حُجَجُ اللَّهِ عَلَى أُمَّتِي بَعْدِي الْمُقِرُّبِهِمْ مُؤْمِنٌ، وَالْمُنْكِرُ لَهُمْ جاَحِدٌ

المصادر :
كمال الدين وتمام النعمة للشيخ الصدوق (305-381 هـ) ص 260 ح 4
عيون أخبار الرضا (ع)  للشيخ الصدوق  ج  2 ص 59  ح 28
مَنْ ‏لاَيَحْضُرُهُ‏ الْفَقِيْهُ لِلشَيْخِ الصَّدُوْقِ  ج 4 ص 180 ح 5406  
وسائل الشيعة  ج 28  ص 347  ح  34930
بِحار الأنوار للعلامة المجلسي  ج  36  ص 245  ح 57



เชคศอดูกเล่าว่า – อาลี บินอะหมัด(บินมุฮัมมัด บินอิมรอน อัดดักกอก)เล่าให้เราฟัง เขาเล่าว่า มุฮัมมัด บินอะบีอับดิลละฮ์อัลกูฟี เล่าให้เราฟังจากมูซา บินอิมรอน(อันนะเคาะอี)  จากลุงของเขาคือ อัลฮูเซน บินยาซีด(อันเนาะฟะลี)จาก อัลฮาซัน บินอาลี บินอะบีฮัมซะฮ์จากบิดาของเขา  จากยะห์ยา บินอะบิลกอซิม(คืออะบูบะศีร)จาก อิม่ามศอดิก ญะอ์ฟัร บินมุฮัมมัด จากบิดาของเขาจากปู่ของเขาเล่าว่า

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  :  ผู้นำหลังจากฉันนั้นมี 12 คน


คนแรกคือ  อาลี บินอะบีตอลิบ และคนสุดท้ายคืออัลกออิม
 
พวกเขาคือผู้สืบทอดตำแหน่งผู้ปกครองต่อจากฉัน  คือทายาทของฉัน  คือคนที่ฉันรัก และคือหลักฐานของอัลลอฮ์บนประชาชาติของฉันภายหลังจากฉัน
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 04:54:17 หลังเที่ยง

۩   คุณฟารูกจะเห็นได้ว่า    ชีอะฮ์ไม่ได้เชื่อ  การมีชีวิตอยู่ของอิม่ามคนที่สิบสองอย่างไร้หลักฐานเลื่อนลอย แต่ความเชื่อดังกล่าวมีรายงานหะดีษกำกับเอาไว้  


ทีนี้มาที่คำถามที่คุณฟารูกและเรา ท่านทั้งหลายต่างสงสัย ก็คือ  

อะฮ์ลุลบัยต์นะบีคนนี้  เข้ารับตำแหน่งอิม่ามคนที่สิบ 12 ในปี ฮ.ศ. ที่  260   ปัจจุบัน ฮ.ศ.ที่ 1431

1431  ลบออก 260  = 1171    ปี  


ข้อสงสัยก็คือ    คนเราอายุอย่างมากสุดก็ไม่น่าเกิน  100  -150  ปี  แล้วทำไมชีอะฮ์จึงยังเชื่อว่า  มีคนอายุอยู่ถึง 1171 ปี ?


เราคิดว่า  ตรงนี้  อย่าว่า  แต่ท่านเลย   แม้แต่ชีอะฮ์บางคนก็สงสัยเช่นกัน แต่เขาไม่กล้าแสดงออกก็เท่านั้น

เพราะหะดีษบอกเอาไว้แล้วว่า   กันหายตัวของอิม่ามมะฮ์ดี  จะสร้างความสงสัยและความมืนงงให้กับผู้คน

ดังนั้นหากคุณฟารูก  และเราทุกคน  ต้องการแสวงหาคำตอบที่จะสร้างความอิ่มเอมให้กับความสงสัย

เราก็ต้องศึกษา แสวงหาคำตอบ พร้อมวอนขอฮิดายัตจากอัลเลาะฮ์ตะอาลาในเรื่องนี้ไปพร้อมๆกันด้วย

อินชาอัลลอฮ์............
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 04:58:50 หลังเที่ยง
เราถือว่า  ยุคที่อิม่ามมะฮ์ดียังไม่ออกมาปรากฏตัวนั้น นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบอีหม่านของมุสลิมทุกคน


เพราะบางคนเกิดความสงสัยว่า ท่านเกิดแล้วหรือยัง ?

 ดังนั้นหัวที่เรากำลังสนทนากันนี้  จึงเป็นแก่นสำคัญที่สุดเพื่อพิสูจน์ว่า อัลมะฮ์ดี ผู้เป็นอิม่ามคนที่ 12 นี้

ได้เกิดมาแล้ว และเขายังมีชีวิตอยู่คู่กับอัลกุรอ่านมาจนถึงปัจจุบัน
และเขาก็จะดำรงชีวิตต่อไปจนกว่าอัลลอฮ์ตะอาลาจะทรงอนุมัติให้เขาปรากฏตัว
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 04:59:50 หลังเที่ยง
ข้อสงสัยเกี่ยวกับอิม่ามคนที่ 12   คืออิม่ามมะฮ์ดีมี 2 ประเด็นคือ :


1, สงสัยว่า อัลมะฮ์ดีไม่มีตัวตนจริงในโลกเป็นเพียงความเชื่ออันเลื่อนลอย

2, เชื่อว่า อัลมะฮ์ดีมีจริง แต่สงสัยว่า เกิดแล้วหรือยัง ?
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 05:02:08 หลังเที่ยง
ประเด็นที่ 1

เราคงตัดออกไปได้เลย  เพราะนักปราชญ์ทั้งซุนนี่ / ชีอะฮ์และนักการศาสนาอื่นๆมีมติตรงกันว่า

ต้องมีจริงแน่นอน  โดยมีหลักฐานจากอัลกุรอานและฮะดีษมากมาย



หลักฐานจากคัมภีร์อัลกุรอานที่ระบุว่า   บุรุษชื่ออัลมะฮ์ดีต้องมีจริง


อายะฮ์ที่ 1 –

يُرِيدُونَ لِيُطْفِئُوا نُورَ اللهِ بأَفْواهِهِمْ وَاللهُ مُتِمُّ نُورِهِ وَلَوْ كَرِهَ الكَافِرُونَ

พวกเขาต้องการดับรัศมี(ศาสนา)ของอัลลอฮ์ด้วยปากของพวกเขา และอัลลอฮ์จะทรงทำให้รัศมีของพระองค์สมบูรณ์ และแม้นว่าบรรดาผู้ปฏิเสธจะรังเกียจก็ตาม    

อัศ-ศ็อฟ  : 8  


นูรุลเลาะฮ์  

ในที่นี้หมายถึงศาสนาอิสลาม ( والله متم نوره )    อัลลอฮ์ตรัสว่า พระองค์จะเป็นผู้ทำให้ศาสนาของพระองค์สมบูรณ์ นี่เป็นการแจ้งข่าวจากอัลลอฮ์ว่า อัลอิสลามจะต้องเจิดจรัสแสงไปทั่วโลกในอนาคต เพราะปัจจุบันประชากรโลก มีห้าพันห้าร้อยกว่าล้านคน ซึ่งยังมิได้เข้ารับอิสลามทั้งหมด ดังนั้นอายะฮ์นี้จึงยังไม่เป็นจริง เพราะประชากรมุสลิมมีประมาณ 1,500 ล้านคน  แต่อัลลอฮ์นั้นทรงตรัสจริงเสมอ จึงจำเป็นจะต้องมีบุรุษผู้หนึ่ง มาทำให้อายัตนี้สมบูรณ์ ซึ่งต้องเกิดขึ้นแน่นอนสักวันหนึ่งในอนาคต ความหมายของอายะฮ์นี้ชัดเจนดี ไม่จำเป็นต้องอาศัยฮะดีษใดมาอธิบายขยายความอีก
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 05:03:45 หลังเที่ยง
อายะฮ์ที่ 2  -  

 
وَلَقَدْ كَتَبْنَا فِي الزَّبُورِ مِنْ بَعْدِ الذّكْرِ أنَّ الارْضَ يَرِثُهَا عِبَادِي الصَّالِحُون

และโดยแน่นอนเราได้บันทึกไว้ในคัมภีร์อัซซะบูร หลังจากที่เราได้บันทึกไว้ในเลาฮุลมะห์ฟูซว่า แท้จริงโลกนี้จะมีปวงบ่าวของเราที่ดีมีคุณธรรมจะเป็นผู้สืบมรดกมัน

อัลอันบิยาอ์ : 105



แผ่นดิน (الارض) ในอายัตนี้คือ โลก  

จนบัดนี้ยังไม่ปรากฏว่ามีบ่าวของอัลเลาะฮ์คนใดออกมาสถาปนารัฐแห่งความยุติธรรมเลย ดังนั้นในอนาคตจะต้องมีบุรุษหนึ่งมาทำให้อายัตนี้เป็นจริง   สองอายัตนี้ถือว่าเพียงพอแล้วที่พิสูจน์ว่า บุรุษที่ชื่ออัลมะฮ์ดีต้องมีจริง และข้อสงสัยในบุรุษผู้นี้ต้องโมฆะไป
อัลกุรอานสองอายัตดังกล่าวแค่บ่งชี้ว่า อัลมะฮ์ดีต้องมี แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่า เขาเกิดแล้วหรือยัง  เราจึงต้องไปดูที่ฮะดีษว่า มีรายงานไว้อย่างไร ?
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 05:06:10 หลังเที่ยง
คุณฟารูก   คิดเห็นอย่างไรคับ   ต่อ สองอายัตการีมดังกล่าวว่า ???
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 05:07:59 หลังเที่ยง
หะดีษที่ระบุว่า บุรุษชื่ออัลมะฮ์ดีมีจริง


حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ سَعِيدٍ عَنْ سُفْيَانَ حَدَّثَنِي عَاصِمٌ عَنْ زِرٍّ عَنْ عَبْدِ اللَّهِ
عَنْ النَّبِيِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ لَا تَذْهَبُ الدُّنْيَا أَوْ قَالَ لَا تَنْقَضِي الدُّنْيَا حَتَّى يَمْلِكَ الْعَرَبَ رَجُلٌ مِنْ أَهْلِ بَيْتِي وَيُوَاطِئُ اسْمُهُ اسْمِي
تعليق شعيب الأرنؤوط : إسناده حسن

ท่านนะบี(ศ)กล่าวว่า :  ดุนยาจะยังไม่สูญสลาย จนกว่าจะมีชายอาหรับมาปกครอง เขาสืบเชื้อสายมา จากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  ชื่อของเขาจะตรงกับชื่อของฉัน


สถานะหะดีษ ฮาซัน ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 3573 ตรวจทานโดยเชคชุเอบอัลอัรนะอูฏ

حدثنا الشيخ أبو بكر بن إسحاق و علي بن حمشاد العدل و أبو بكر محمد بن أحمد بن بالويه قالوا : ثنا بشر بن موسى الأسدي ثنا هوذة بن خليفة ثنا عوف بن أبي جميلة
 و حدثني الحسين بن علي الدارمي ثنا محمد بن إسحاق الإمام ثنا محمد بن بشار ثنا ابن أبي عدي عن عوف ثنا أبو الصديق الناجي عن أبي سعيد الخدري رضي الله عنه قال : قال رسول الله صلى الله عليه و سلم : لا تقوم الساعة حتى تملأ الأرض ظلما و جورا و عدوانا ثم يخرج من أهل بيتي من يملأها قسطا و عدلا كما ملئت ظلما و عدوانا
 هذا حديث صحيح على شرط الشيخين ولم يخرجاه و الحديث المفسر بذلك الطريق و طريق حديث عاصم عن زر عن عبد الله كلها صحيحة على ما أصلته في هذا الكتاب بالاحتجاج بأخبار عاصم بن أبي النجود إذ هو إمام من أئمة المسلمين
تعليق الذهبي قي التلخيص : على شرط البخاري ومسلم

ท่านนะบี(ศ)กล่าวว่า :


วันสิ้นโลกจะยังไม่อุบัติจนกว่าโลกจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความอยุติธรรม , ความอธรรมกดขี่และความเป็นศัตรูกัน แล้วเมื่อนั้นจะมีบุรุษจากอะฮ์ลุลบัยต์ของฉันออกมา เป็นผู้ที่จะทำให้โลกนี้เต็มเปี่ยมด้วยความเที่ยงธรรมและความยุติธรรมดั่งที่เคยเต็มเปี่ยมด้วยความอยุติธรรมและความอธรรมกดขี่


สถานะหะดีษ ซอฮี๊ฮฺ ดูอัลมุสตัดร็อกอัลฮากิม หะดีษที่ 8669 ตรวจทานโดยอัซ-ซะฮะบี


สรุปประเด็นที่ 1  

ความเชื่อเรื่องอัลมะฮ์ดีว่า มีจริงนั้นเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง มีอัลกุรอานและฮะดีษซอเฮี๊ยะฮ์รายงานไว้มากมายจนไม่สามารถปฏิเสธได้
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 05:09:10 หลังเที่ยง
ประเด็นที่ 2

คือ    สงสัยว่า เกิดแล้วหรือยัง ?    เรื่องนี้มุสลิมแบ่งออกเป็น 2  ความเชื่อคือ

1.   ซุนนี่เชื่อว่า   อัลมะฮ์ดียังไม่เกิด  เขาจะเกิดในอนาคต

2.   ชีอะฮ์เชื่อว่า อัลมะฮ์ดีเกิดแล้ว ในปีฮ.ศ.255 และตอนนี้เขายังดำรงชีวิตอยู่
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 05:16:28 หลังเที่ยง
ประเด็นที่ 2  

ข้อพิสูจน์ที่ว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว   เรามีบทนำ 4 หัวข้อให้คุณฟารูกวิเคราะห์ดังนี้  :



หัวข้อที่ 1 -
  ความจริงทางประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ ต้องได้รับการยืนยันด้วยกัน 2 วิธีคือ :

1.   พิสูจน์ด้วยฮะดีษมุตะวาติร ของทั้งสองฝ่ายคือชีอะฮ์/ซุนนี่
2.   พิสูจน์ด้วยการคำนวณความเป็นไปได้ (حساب الاحتمال)ว่าอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วจริง


วิธีที่ 1 -

การเกิดของอัลมะฮ์ดีเป็นฮะดีษมุตะวาติรอย่างที่ทราบกันดีว่า  มีแหล่งที่มามากมายจากบรรดานักรายงานฮะดีษ ผู้เล่าแต่ละคนมาจากทั่วสาระทิศ การรายงานของพวกเขามีความสอดคล้องตรงกัน ฮะดีษเรื่องนี้มีผู้เล่า(รอวีย์)ถึง 200 - 300 คนได้เล่าให้เราฟังว่า อัลมะฮ์ดีบุตรชายอิม่ามฮาซันอัสการีย์เกิดแล้ว  ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ผู้เล่า จะรวมหัวกันโกหก     ทำให้แน่ใจว่า อิม่ามมะฮ์ดี(อ)เกิดแล้ว


วิธีที่ 2 -  

สมมุติว่า ฮะดีษเรื่องอัลมะฮ์ดีเกิดแล้ว ไม่ถึงขั้นมุตะวาติร มีคนเล่าแค่ 4 - 5 คน แต่ถ้าเอามารวมกันจากแหล่งรายงานต่างๆ  ทำให้แน่ใจได้ด้วยสาเหตุการคำนวนความเป็นไปได้    เพื่อความเข้าใจวิธีที่ 2 นี้ขอให้พิจารณาตัวอย่างดังนี้ :


นายเซดป่วยเป็นโรคไข้หวัดนก ซึ่งตอนนี้วงการแพทย์ยังไม่มียารักษาให้หายได้  ต่อมานายกอ.ได้มาเล่าให้เราฟังว่า เซดหายป่วยแล้ว  เราอาจเชื่อคำพูดเขาได้แค่ 30% แต่ถ้าเราได้รับข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมว่า ตอนนี้โรคไข้หวัดนกมีตัวยารักษาให้หายขาดได้แล้ว เราก็ยิ่งเชื่อคำพูดนายกอ.มากขึ้นเป็น 40% - 50% หรือมากกว่านั้น   ยิ่งถ้าเรารู้ว่า ตอนนี้เซดไม่ได้ทานยานั้นอีกแล้ว เพราะหายสนิทแล้ว เราก็ยิ่งแน่ใจว่า เขาเป็นปกติแล้ว  แต่ถ้าเราได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองว่า เซดนั่งสนทนากับเพื่อนๆของเขาหัวเราะร่าเริง นี่เป็นประจักษ์พยานอีกเช่นกันทำให้เราเชื่อข่าวของนายกอได้เต็ม 100 % ในที่สุด  ฉะนั้นข่าวในลักษณะแบบนี้ แม้ความจริงจะไม่ใช่ข่าวมุตะวาติร แต่เมื่อได้ข้อมูลหลายสิ่งหลายอย่างมาประติดประต่อ จึงทำให้เกิดความแน่ใจในข่าวนั้นๆได้   การให้ความเชื่อถือ ความแน่ใจแบบนี้เรียกว่า ข้อมูลที่เป็นไปได้ว่าจริง หมายความว่า จากข้อมูลประกอบต่างๆทำให้เรื่องที่เราได้รับฟังมา มีน้ำหนักพอที่จะเชื่อถือได้  ฉะนั้นการที่เราจะเชื่อถือเรื่องใดๆก็ตามทางประวัติศาสตร์ จะมีความสมบูรณ์ได้ด้วยสองวิธีการดังกล่าวมาคือ

1, เรื่องนั้นต้องเป็น ฮะดีษมุตะวาติร
 
2, เรื่องนั้นต้องเป็น เรื่องที่ได้คำนวณคิดแล้วว่า มันมีความน่าเป็นไปได้จริง



หัวข้อที่ 2 -  

ฮะดีษมุตะวาติร ไม่จำเป็นว่า รอวีย์ต้องษิเกาะฮ์ เพราะเงื่อนไขษิเกาะฮ์(ความน่าเชื่อถือในคำพูด)ถูกกำหนดไว้กับฮะดีษชนิดอื่น เช่นมีคนเพียง 2 ถึง 3 คนรายงานเรื่องหนึ่งให้เราฟัง กรณีนี้เพื่อทำให้เรื่องนั้นยึดถือเป็นหลักฐานได้ มีเงื่อนไขว่า รอวีย์ต้องอาดิล แต่ถ้าหากเรื่องนั้นมีคนรายงานถึง100 ,200หรือ 300 คน จำนวนรอวีย์ขนาดนั้นหมายความว่า ได้ทำให้เรื่องนั้นเป็นมุตะวาติรไปโดยปริยาย จึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบความอาดิลของรอวีย์  
ฉะนั้น 1,ความอาดิล และ2,ความษิเกาะฮ์ เป็นเงื่อนไขของฮะดีษที่ไม่ถึงขั้นมุตะวาติร  จงระวังอย่าได้สับสนกันระหว่างฮะดีษมุตะวาติรกับฮะดีษที่ไม่มุตะวาติร เพราะบางคนคิดว่าจำเป็นต้องนำ 2 เงื่อนไขนี้มาใช้ตรวจสอบฮะดีษมุตะวาติรด้วยเช่นกัน ซึ่งความคิดนี้ผิด
เงื่อนไขอาดิลกับษิเกาะฮ์นี้ คือมาตรการตรวจสอบฮะดีษชนิดอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฮะดีษมุตะวาติร
ถาม ทำไมจึงไม่กำหนด 2 เงื่อนไขนี้มาใช้กับฮะดีษมุตะวาติร ?  

ตอบ

1, ฮะดีษมุตะวาติรกำหนดให้เราเชื่อได้ 100% เพราะมีคนรายงานไว้มากมาย ดังนั้นหลังจากเราได้รับความแน่ใจ 100 % แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปตรวจสอบความอาดิลและษิเกาะฮ์ของรอวีย์อีกต่อไป  บนพื้นฐานเรื่องในลักษณะเช่นนี้จึงถือว่า ไม่ใช่สิทธิและไม่ถูกต้องที่เรา จะหยิบยกฮะดีษที่รายงานว่า อัลมะฮ์ดี(อ)เกิดแล้ว หรือฮะดีษที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของอัลมะฮ์ดี(อ)ขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์กันอีกว่า :  สะนัดฮะดีษเรื่องนี้   ดออีฟ (อ่อนแอ ) , สะนัดฮะดีษเรื่องนี้   มัจญ์ฮูล ( ไม่เป็นที่รู้จักผู้รายงาน )  
หรือฮะดีษเรื่องอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วบทนี้มัจญ์ฮูล ฮะดีษบทนั้นก็มัจญ์ฮูล  ฮะดีษอิม่ามมะฮ์ดีบทที่ 1,ที่ 2 ที่ 3และที่ 4...ก็มัตรูก(คือต้องโยนทิ้งไป) เพราะว่า มันเป็นฮะดีษที่ไม่ซอเฮี๊ยะห์ ยึดเป็นหลักฐานไม่ได้
2, ท่านต้องเข้าใจว่า ฮะดีษที่รายงานว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วนั้น เป็นฮะดีษมุตะวาติร  จึงไม่จำเป็นอะไรที่จะเข้าไปตรวจสอบฮะดีษบทที่ 1 ว่า สะนัดฮะดีษมันดออีฟ ,บทที่ 2 ก็สะนัดดออีฟ เพราะรอวีย์มัจญ์ฮูล หรือฮะดีษที่ 3 เป็นเช่นนั้นเช่นนี้....   เพราะมาตรการตรวจสอบนี้ จะถูกนำไปใช้กับฮะดีษที่ไม่เป็นมุตะวาติรเท่านั้น  
 

หัวข้อที่ 3 -  

สมมุติว่าข้อมูลฮะดีษเรื่องที่อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว ประเด็นหลักมีความหมายตรงกัน  แต่ในรายละเอียดมีความแตกต่าง มันก็ยังสร้างความมั่นใจได้ว่า อัลมะฮ์ดีเกิดแล้วจริง  เพื่อความเข้าใจขอให้ท่านพิจารณาตัวอย่างดังนี้ :
เราทราบว่า นายเซดป่วยเป็นไข้หวัดนก  เวลาต่อมานาย A มาบอกข่าวกับเราว่า เซดหายดีแล้วตอนบ่ายโมง, ต่อมานาย B มาบอกว่า เซดหายแล้วตอนสองโมงเย็น, แล้วต่อมานาย C มาแจ้งว่า เซดหายแล้วตอนสามโมงเย็น
ทั้งนาย A, B และ C ล้วนแจ้งเวลาที่เซดหายป่วยไม่ตรงกันสักคน  แต่ข่าวที่ทั้ง 3 คนเล่าตรงกันคือ  ที่แน่ๆเซดหายป่วยแล้ว
ทีนี้ถ้าหากมีคนที่ 4, 5 และ 6 มาบอกเราอีกว่า ที่เซดหายป่วยเพราะเซดใช้ยายี้ห้อนั้นยี่ห้อนี้  จะเห็นได้ว่า ความแตกต่างในเรื่องที่คนมาเล่าให้เรารับรู้ว่า เซดหายป่วย ที่จริงแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อยคือเวลาที่หายป่วยและยี้ห้อยาที่ใช้ แต่ประเด็นหลักที่บอกตรงกันคือ  " นายเซดหายป่วยแล้ว "  ถามว่า หากเราพบหรือได้ยินเรื่องในลักษณะเช่นนี้ มันพอจะพิสูจน์ได้ไหมว่า เซดหายป่วยแล้วจริงๆ ?  แน่นอนคำบอกเล่าในลักษณะเช่นนี้สามารถทำให้ผู้ฟัง เกิดความเชื่อถือได้อย่างแน่นอน   ประเด็นหลักคือ ทั้งสามคนแจ้งว่า เซดหายแล้ว  แต่รายละเอียดทั้ง 3 คนบอกเล่าแตกต่างกันในเรื่องเวลา
ผลลัพท์ที่ได้ก็คือ  ลักษณะการรายงานฮะดีษเรื่องหนึ่ง ที่มีคนรายงานจำนวนมากมายหลายกระแสหลายทิศทาง เมื่อฮะดีษนั้นมีประเด็นตรงกันในมุมหนึ่งหรือด้านหนึ่งโดยเฉพาะ อันเป็นประเด็นหลัก เราย่อมจะได้รับความแน่ใจในเรื่องนั้นได้ แม้จะมีรายละเอียดของเนื้อเรื่องหรือบางแง่มุมแตกต่างกันบ้าง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีสิทธิ ที่จะหยิบยกเอาฮะดีษที่รายงานว่าอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว มาวิพากษ์วิจารณ์กันอีกต่อไป เพียงข้ออ้างที่ว่า รายละเอียดของฮะดีษเหล่านั้นมันขัดแย้งกัน มันแตกต่างกันเช่น :
รอวีย์คนที่1 เล่าว่ามารดาของอิม่ามมะฮ์ดีชื่อนัรญิส, รอวีย์ที่ 2 บอกชื่อซูซัน คนที่ 3 บอกว่าชื่อ...
หรือรอวีย์คนหนึ่งกล่าวว่า  อิม่ามมะฮ์ดีเกิดคืนวันศุกร์ ส่วนรอวีย์อีกคนเล่าว่าเกิดคืนวันเสาร์  หรือรอวีย์คนหนึ่งเล่าว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดฮ.ศ.ที่ 250 รอวีย์อีกคนบอกเกิดฮ.ศ.ที่ 255  รอวีย์คนที่สามบอกว่าเกิดฮ.ศ.ที่ 260
แล้วเขาก็เลยสรุปเอาเองว่า ฮะดีษเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้หรือไม่เป็นที่ยอมรับ เนื่องจากมันมีรายละเอียดที่แตกต่างกันทั้งวัน/เดือน/ปีเกิด  ชื่อมารดาก็ไม่เหมือนกัน...
ทำไมจึงมองข้ามประเด็นหลัก ที่รายงานตรงกันเป็นมุตะวาติรว่า เขาเกิดแล้วในศตวรรษที่สาม


หัวข้อที่ 4 -

เราไม่มีสิทธิอิจญ์ติฮ๊าด(วิจัย)เรื่องศาสนาที่ขัดกับตัวบทหลักฐาน (اجتهاد فی مقابل النص) ในเมื่อเรามีตัวบทหลักฐาน (نص) ที่บอกไว้ชัดเจนและมีสายรายงานที่สมบูรณ์จากสองวิธีการดังกล่าว        เพื่อความเข้าใจขอให้ท่านพิจารณาตัวอย่างดังนี้  : อัลลอฮ์ตรัสว่า :
وَأقِيمُوا الصَّلاَةَ وَآتُوا الزَّكَاة  พวกเจ้าจงดำรงนมาซ และจ่ายซะกาต อัลบะก่อเราะฮ์ : 43
อายัตนี้บอกชัดเจนว่า ต้องการให้มุสลิมทำนมาซและจ่ายซะกาต เรียกว่า طلب  - ความต้องการ,เรียกร้องให้กระทำ  สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจคือ คำสั่งนี้เป็นวาญิบหรือมุสตะฮับ เราไม่ต้องไปวิจัยในประเด็นอื่น    ดังนั้นถือว่าไม่ถูกต้องที่มุสลิมคนหนึ่งจะออกมาประกาศว่า ผมจะอิจญ์ติฮ๊าดอายัตนี้ว่า มันไม่ได้บ่งบอกว่า อัลลอฮ์ต้องการให้ทำนมาซและจ่ายซะกาต  ซึ่งถ้าใครจะมาวิจัยเช่นนี้  ถือว่าเป็นการวิจัยเรื่องศาสนาที่ขัดกับตัวบทหลักฐาน แต่ถ้าจะมาวิจัยว่าความต้องการในอายัตนี้ เป็นวาญิบหรือมุสตะฮับ  อันนี้อนุญาตให้อิจญ์ติฮ๊าดได้


กรณีฮะดีษเรื่องอิมามมะฮ์ดี(อ)เกิดแล้วก็เช่นกัน  มุสลิมไม่มีสิทธิจะมากล่าวว่า  ผมจะทำการวิจัยฮะดีษที่บอกว่าอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว  เป็นการกระทำที่ไร้ความหมาย เพราะฮะดีษที่รายงานว่าอัลมะฮ์ดีเกิดแล้วเป็นฮะดีษมุตะวาติร  การอิจญ์ติฮ๊าด(การวิจัย)ในเรื่องนี้จึงไม่มีผลตอบสนองใดๆ เพราะเป็นฮะดีษที่มีสายรายงานเป็นมุตะวาติร
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 05:22:55 หลังเที่ยง
สำหรับตัวปัจจัยที่ทำให้เราชาวชีอะฮ์เชื่อมั่นว่า

อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วและยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ มีหลายเหตุผลด้วยกันดังนี้ :
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 09, 2010, 05:25:47 หลังเที่ยง
วันนี้   ขอพอแค่นี้นะคับคุณฟารูก   ขอบตุณอีกครั้งที่ให้เกียรติสนทนา


คราวหน้าค่อยมาต่อกันใหม่



วัสสามุอะลัยกุม
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 10, 2010, 09:32:00 ก่อนเที่ยง
อัสลามมูอาลัยกุม คุณ l-umar

ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างในระดับหนึ่งครับ สรุปว่าอะลุลบัยต์ที่อยู่คู่กับอัลกุรอานคืออิหม่ามมะดีย์ใช่มั้ยครับตามความเชื่อของชีอะฮฺ หากแต่ว่าตอนี้ท่านเร้นกายอยู่ที่ใดที่หนึ่ง การตัดสินปัญหาในเรื่องของหลักการปฏิบัติต่างๆจึงต้องอาศัยฮะดิษและสายรายงานที่ผู้รู้ของท่านตัดสินว่าเชื่อถือได้
ซึ่งก็ไม่อาจแน่ใจได้ 100 เปอร์เซนต์ จึงได้มี หะดิษอ่อนหลักฐาน หะดิษปลอมอยู่มากมาย ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากชาวซุนนะฮฺเท่าใดนัก

ตรงนี้ผมขอกลับมาเรื่องอัลกาฟีอีกนิดเดียวครับ

สืบเนื่องจากผมได้อ่านกระทู้ในเรื่อง หนังสืออัลกาฟี กับปัญหาหะดีษ 13 อิม่าม

ผมได้อ่านข้อความดังต่อไปนี้

คุณ l-umar กล่าวถึงคุณ ชัยฟุรดีน อามิลี ว่า

คุณชัรฟุดดีนอามิลี จึงถามคำถามแบบโง่เขลาว่า
เชคญะอ์ฟัร ซุบฮานี(นักวิชาการชีอะฮ์ที่เชี่ยวชาญด้านหะดีษคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน)เป็นใคร มีสิทธิอะไรมาวิจารณ์หะดีษในอัลกาฟีว่า " ดออีฟ " ในเมื่อเชคกุลัยนีมีสมญานามว่า ผู้ได้รับการเชื่อถือ ?

[color=]เพื่อความกระจ่าง เราขอยกตัวอย่างแบบเดียวกันกับคุณชัรฟุดดีน มาถามพวกเขาบ้างว่า

อุละมาอ์ซุนนี่ผู้โด่งดังชื่อ ท่านอิหม่ามซะฮะบีได้วิจารณ์สถานะของนักรายงานหะดีษคนหนึ่งคือ

الطبراني هو الامام، الحافظ، الثقة، محدث الاسلام،
سير أعلام النبلاء ج 16 ص 119 رقم 86
ท่านอัตต็อบรอนี เขาคืออิหม่าม อัลฮาฟิซ(นักท่องจำ) ษิเกาะฮ์คือเชื่อถือได้ในการรายงานหะดีษ เป็นมุฮัดดิษแห่งอิสลาม
ดูสิยัร อะอ์ลามุนนุบะลาอ์ อันดับที่ 86

ยกตัวอย่างเช่น ท่านอัตต็อบรอนีได้รายงานหะดีษบทหนึ่งจากบุคคลดังต่อไปนี้

حَدَّثَنَا مُحَمَّدُ بْنُ مُوسَى ، ثَنَا الْحَسَنُ بْنُ كَثِيرٍ ، ثَنَا سَلْمَى بِنْ عُقْبَةَ الْحَنَفِيُّ الْيَمَامِيُّ ، ثَنَا عِكْرِمَةُ بْنُ عَمَّارٍ ، عَنْ يَحْيَى بْنِ أَبِي كَثِيرٍ ، عَنْ أَبِي سَلَمَةَ ، عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ قَالَ: قَالَ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِبٍ: يَا رَسُولَ اللَّهِ ، أَيُّمَا أَحَبُّ إِلَيْكَ: أنا أم فاطمة ؟ قال : « فاطمة أحب إلي منك ، وأنت أعز علي منها ،


ดูมุอ์ญัมเอาซัฏ โดยอัฏฏ็อบรอนี (260 – 360 ฮ.ศ.) เล่ม 7 : 343 หะดีษที่ 7675[/color]

คำถามสำหรับคุณชัรฟุดดีนคือ

เชคอัลบานี(นักวิชาการซุนนี่ที่เชี่ยวชาญด้านหะดีษคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน)เป็นใคร มีสิทธิอะไรมาวิจารณ์หะดีษของท่านต็อบรอนีว่า " ดออีฟ " เนื่องจากท่านซะฮะบีผู้เชี่ยวชาญด้านนักรายงานหะดีษได้ฟันธงไปแล้วว่า ท่านต็อบรอนี มีความเชื่อถือได้ในการรายงานหะดีษ ?


ตรงนี้ผมพอเข้าใจ หากไม่มาฟังการถกกันระหว่าง ท่านซัยยิดสุลัยมาน กับ อาจารย์อับดุลเราะห์มาน ที่สตูล ในเรื่อง ฮะดิษ  มันซีละห์

ท่านซัยยิดสุลัยมานบอกว่า ท่าน อ.อับดุลเราะห์มานไม่มีสิทธิ์เอาคำตัดสินของ อิบนิเยาซี ซึงซัยยิดถือว่าโนเนม มาเหนือคำตัดสิน ของ อิหม่ามติรมีซี นอกเสียจากว่าต้องเอา ฮะดิษ บุคอรี หรือ มุสลิมมาลบล้างเท่านั้น ท่านถึงจะยอมรับ (เท่ากับตรงนี้ซัยยิดสุลัยมานใช้มาตรฐานเดียวกับคุณชัยฟุรดีน)

จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเยอะแยะกับตรงนี้ แต่ทราบข่าวแว่วๆมาว่าตอนนี้มีการติดต่อประสานงานในการเสวนาระหว่างทางชีอะฮฺและซุนนะฮฺ จึงน่าจะมีมาตรฐานเดียวกันในการตัดสินเรื่องต่างๆ การถกกันจึงจะได้ประโยชน์กับผู้ฟังอย่างแท้จริง
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 09:00:21 ก่อนเที่ยง
สะลามุลลอฮ์  อะลัยกุม  คุณฟารูก



เราอยากสนทนาเรื่อง   อะอ์ลุลบัยต์ยังมีชีวิตอยู่คู่กับคัมภีร์กุรอ่านให้สมบุรณ์  ขอให้คุณได้อ่านให้จบอีกสักนิด



ส่วนเรื่อง   การวิจารณ์สถานะหะดีษ  ของแต่ละฝ่าย  เพื่อหามาตรฐาน เดียวกัน  ไว้เรา ค่อยตั้งกระทู้  อีกหัวข้อหนึ่งเป็นเอกเทศน์เลย

จะดีกว่าไหมคุณฟารูก  ?
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 09:02:38 ก่อนเที่ยง
ต่อ -


กรณี ความเชื่อเรื่อง   ที่เรากำลังสนทนากันอยู่คือ


มีอะฮ์ลุลบัยต์  อยู่คู่กับอัลกุรอ่าน  นับจากวันที่ท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)วะฟาต นั้นมีจริงหรือไม่  ???
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 09:04:05 ก่อนเที่ยง
สำหรับตัวปัจจัยที่ทำให้ชาวชีอะฮ์เชื่อมั่นว่า อิม่ามมะฮ์ดีแห่งอะฮ์ลุลบัยต์เกิดแล้ว

และยังไม่ตาย    เรามีหลายเหตุผลให้ท่านได้พิจารณาดังนี้ :
[/size
]
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 09:58:21 ก่อนเที่ยง
วะอาลัยกุมมุสลามคุณ l-umar
เชิญต่อเลยครับ ผมเองก็มีข้องสงสัยเกี่ยวกับอิหม่ามมะฮิดีของชีอะฮฺอยู่เยอะเหมือนกัน
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 10:28:47 ก่อนเที่ยง
เหตุผลที่ 1 –

เป็นฮะดีษที่ได้รับการยอมรับ(مسلمات)ทั้งฝ่ายชีอะฮ์/ซุนนี่ว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้ว ขอยกตัวอย่างเพียง 3 ฮะดีษเท่านั้น



ฮะดีษที่ 1 -  ฮะดีษษะก่อลัยน์

เป็นฮะดีษมุตะวาติรทั้งฝ่ายชีอะฮ์และซุนนี่ ท่านนะบี(ศ)ได้กล่าวหะดีษนี้ไว้หลายวาระ  หลายสถานที่ด้วยกัน เช่น ที่ฮัจญะตุลวิดาอ์   ที่ฆ่อดีรคุม(ระหว่างการเดินทางกลับมะดีนะฮ์)  และที่บ้านของท่านนะบี(ศ)ตอนท่านใกล้จะสิ้นใจ

ตัวบทฮะดีษแตกต่างกันไป สืบเนื่องมาจากผู้รายงาน ที่แต่ละคนได้ฟังฮะดีษมาคนละสถานที่ และคนละเวลา



۞หะดีษษะเกาะลัยน์จากตำราชีอะฮ์

رَوَاهُ الشَّيْخُ الصَّدُوْقُ (305-381 هـ)    : حَدَّثَناَ مُحَمَّدُ بْنُ الْحَسَنِ بْنِ أَحْمَدِ بْنِ الْوَلِيْدِ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ قاَلَ : حَدَّثَناَ مُحَمَّدُ بْنُ الْحَسَنِ الصَّفاَّرِ ، عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ أَبِي الْخِطاَّبِ ، وَيَعْقُوْبَ بْنِ يَزِيْدَ جَمِيْعاً ، عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِيْ عُمَيْرٍ ، عَنْ عَبْدِ اللهِ بْنِ سِناَنَ ، عَنْ مَعْرُوفِ بْنِ خَرَّبُوذَ ، عَنْ أَبِي الطُّفَيْلِ عَامِرِ بْنِ وَاثِلَةَ ، عَنْ حُذَيْفَةَ بْنِ أَسِيدٍ الْغِفَارِيِّ قَالَ : لَمَّا رَجَعَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وآله مِنْ حَجَّةِ الْوَدَاعِ وَنَحْنُ مَعَهُ أَقْبَلَ حَتَّى انْتَهَى إِلَى الْجُحْفَةِ فَأَمَرَ أَصْحاَبَهُ بِالنُّزُوْلِ فَنَزَلَ الْقَوْمُ مَناَزِلَهُمْ ، ثُمَّ نُودِيَ بِالصَّلَاةِ فَصَلَّى بِأَصْحاَبِهِ رَكَعَتَيْنِ ، ثُمَّ أَقْبَلَ بِوَجْهِهِ إِلَيْهِمْ فَقاَلَ لَهُمْ : إِنَّهُ قَدْ نَبَّأَنِيَ اللَّطِيفُ الْخَبِيرُ أَنِّيْ مَيِّتٌ وَأَنّكُمْ مَيِّتُوْنَ ، وَكَأَنِّيْ قَدْ دُعِيْتُ فَأَجِبْتُ وَأَنِّيْ مَسْؤُوْلٌ عَماَّ أُرْسِلْتُ بِهِ إِلَيْكُمْ ، وَعَماَّ خَلَّفْتُ فِيْكُمْ مِنْ كِتاَبِ اللهِ وَحُجَّتِهِ وَأَنَّكُمْ مَسْؤُوْلُوْنَ ، فَماَ أَنْتُمْ قاَئِلُوْنَ لِرَبِّكُمْ ؟ قاَلُوْا : نَقُوْلُ : قَدْ بَلَّغْتَ وَنَصَحْتَ وَجاَهَدْتَ ( فَجَزاَكَ اللهُ عَناَّ أَفْضَلَ الْجَزاَءِ ) ثُمَّ قاَلَ لَهُمْ : أَلَسْتُمْ تَشْهَدُوْنَ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَ أَنِّي رَسُولُ اللَّهِ إِلَيْكُمْ وَأَنَّ الْجَنَّةَ حَقٌّ ؟ وَأَنَّ الناَّرَ حَقٌّ ؟ وَأَنَّ الْبَعْثَ بَعْدَ الْمَوْتِ حَقٌّ ؟ فَقاَلُوْا : نَشْهَدُ بِذَلِكَ ، قاَلَ : اللَّهُمَّ اشْهَدْ عَلَى ماَ يَقُولُونَ ، أَلَا وَإِنِّي أُشْهِدُكُمْ إِنِّي أَشْهَدُ إِنَّ اللَّهَ مَوْلَايَ ، وَأَنَا مَوْلَى كُلِّ مُسْلِمٍ ، وَأَنَا أَوْلَى بِالْمُؤْمِنِينَ مِنْ أَنْفُسِهِمْ ، فَهَلْ تُقِرُّوْنَ لِيْ بِذَلِكَ ، وَتَشْهَدُوْنَ لِيْ بِهِ ؟ فَقاَلُوْا : نَعَمْ نَشْهَدُ لَكَ بِذَلِكَ ، فَقاَلَ : أَلاَ مَنْ كُنْتُ مَوْلَاهُ فَإِنَّ عَلِيًّا مَوْلَاهُ وَهُوَ هَذاَ ، ثُمَّ أَخَذَ بِيَدِ عَلِيٍّ عَلَيْهِ السَّلَام فَرَفَعَهَا مَعَ يَدِهِ حَتَّى بَدَتْ آباَطُهُماَ : ثُمَّ : قاَلَ : اللَّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالَاهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ ، وَانْصُرْ مَنْ نَصَرَهُ وَاخْذُلْ مَنْ خَذَلَهُ ، أَلَا وَإِنِّي فَرَطُكُمْ وَأَنْتُمْ واَرِدُوْنَ عَلَيَّ الْحَوْضَ ، حَوْضِيْ غَداً وَهُوَ حَوْضُ عَرْضُهُ ماَ بَيْنَ بُصْرَى وَصَنْعَاءَ  فِيْهِ أَقْداَحٌ مِنْ فِضَّةٍ عَدَدَ نُجُومِ السَّمَاءِ ، أَلَا وَإِنِّي ساَئِلُكُمْ غَداً ماَذاَ صَنَعْتُمْ فِيْماَ أَشَهَدْتُ اللهَ بِهِ عَلَيْكُمْ فِيْ يَوْمِكُمْ هَذاَ إِذاَ وَرَدْتُمْ عَلَيَّ حَوْضِيْ ، وَماَذاَ صَنَعْتُمْ بِالثَّقَلَيْنِ مِنْ بَعْدِيْ فَانْظُرُوا كَيْفَ تَكُوْنُوْنَ خَلَّفْتُمُوْنِيْ فِيْهِماَ حِيْنَ تَلْقَوْنِيْ ؟ قاَلُواْ : وَماَ هَذاَنِ الثَّقَلاَنِ يَا رَسُولَ اللَّهِ ؟ قاَلَ : أَماَّ الثِّقْلُ الْاَكْبَرُ فَكِتاَبُ اللهِ عَزَّوَجَلَّ ، سَبَبٌ مَمْدُوْدٌ مِنَ اللهِ وَمِنِّيْ فِيْ أَيْدِيْكُمْ ، طَرْفُهُ بِيَدِ اللهِ وَالطَّرْفُ الْآخَرُ بِأَيْدِيْكُمْ ، فِيْهِ عِلْمٌ ماَ مَضَى وَماَ بَقَي إِلَى أَنْ تَقُوْمَ الساَّعَةُ ، وَأَماَّ الثِّقْلُ الْاَصْغَرُ فَهُوَ حَلِيْفُ الْقُرْآنِ وَهُوَ عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِبٍ وَ عِتْرَتُهُ عَلَيْهِمْ السَّلَام ، وَإِنَّهُمَا لَنْ يَفْتَرِقَا حَتَّى يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ .

เชคศอดูก(305 – 381ฮ.ศ. ) เล่าว่า  มุฮัมมัด บินอัลฮาซัน บินอะหมัด บินอัลวะลีดเล่าให้เราฟังเขากล่าวว่า มุฮัมมัด บินอัลฮาซันอัศศ็อฟฟ้าร จากมุฮัมมัด บินอัลฮูเซน บินอบิลคอตตอบและยะอ์กูบ บินยะซีดทั้งสองเล่าให้เราฟังเขากล่าวว่า  จากมุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน จากอับดุลลอฮ์ บินสินาน จากมะอ์รู๊ฟ บินค็อรร่อบูซ จากอะบีตุเฟล อามิร บินวาษิละฮ์  จากฮุซัยฟะฮ์ บินอะสีด อัลฆ็อฟฟารีเล่าว่า :

เมื่อท่านรอซูลุลลฮ์(ศ)กลับจากการบำเพ็ญฮัจญ์ครั้งสุดท้าย และพวกเราก็ได้กลับมาพร้อมกับท่านด้วยจนเดินทางมาถึงตำบลญุฮ์ฟะฮ์ ท่านจึงสั่งบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่านให้แวะพัก ดังนั้นกลุ่มชนจึงแวะพักตามสถานที่ของพวกเขา  ต่อจากนั้นมีเสียงประกาศ(อะซาน)ให้นมาซ แล้วท่านได้นมาซ(ซุฮ์ริย่อ)สองร่อกะอะฮ์พร้อมกับบรรดาซอฮาบะฮ์ของท่าน  (พอนมาซเสร็จ)ท่านได้หันใบหน้าของท่านมายังพวกเขาแล้วกล่าวกับพวกเขาว่า : แท้จริง(อัลลอฮ์)ผู้ทรงปรานี ผู้ทรงรอบรู้อย่างถี่ถ้วนทรงแจ้งให้ฉันทราบว่า แท้จริงฉันต้องตายและพวกท่านก็ต้องตาย และดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว)และฉันได้ตอบรับแล้ว และแท้จริงฉันต้องถูกสอบถามถึงสิ่งที่ฉันถูกส่งมาพร้อมกับมันยังพวกท่าน และถึงสิ่งที่ฉันได้ทิ้งไว้ในหมู่พวกท่านเกี่ยวคัมภีร์ของอัลลอฮ์และข้อพิสูจน์หลักฐานของพระองค์ และพวกท่านก็ต้องถูกสอบถาม แล้วพวกท่านจะตอบอะไรต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ? พวกเขากล่าวว่า : พวกเราก็จะกล่าวว่า แน่นอนท่านได้ประกาศแล้วได้ตักเตือนแล้วและท่านได้ทำการญิฮ๊าดต่อสู้แล้ว  ขออัลลอฮ์โปรดตอบแทนรางวัลที่ดีที่สุดแก่ท่านแทนพวกเราด้วยเถิด จากนั้นท่านได้กล่าวกับพวกเขาว่า : พวกท่านมิได้ปฏิญาณดอกหรือว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลอฮ์และฉันคือศาสนทูตของอัลลอฮ์ที่(ถูกส่ง)มายังพวกท่าน  แท้จริงสวรรค์มีจริง นรกมีจริง และการฟื้นคืนชีพนั้นมีจริงใช่ไหม ? พวกเขากล่าวว่า : เราขอเป็นพยานต่อสิ่งนั้น(ว่ามีจริง) ท่านจึงกล่าวว่า : โอ้อัลลอฮ์โปรดเป็นสักขีพยานต่อสิ่งที่พวกเขากล่าวด้วยเถิด พึงทราบเถิดว่า แท้จริงฉันขอให้พวกท่านจงเป็นพยานด้วยว่า แท้จริงฉันขอปฏิญาณว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นเมาลา(ผู้คุ้มครอง)ของฉัน และฉันเป็นวะลี(ผู้ปกครอง)ของมุสลิมทุกคน และฉันมีสิทธิต่อปวงผู้ศรัทธามากยิ่งกว่าตัวของพวกเขาเอง พวกท่านจะรับรองต่อฉันในสิ่งนั้นหรือไม่ ? พวกเขากล่าวว่า : ครับพวกเราให้การรับรองแก่ท่านต่อสิ่งนั้น แล้วท่านกล่าวว่า : พึงรู้เถิดว่า บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นเมาลา(ผู้ปกครอง)ของเขา ดังนั้นแท้จริงอาลีก็เป็นผู้ปกครองของเขาและเขาคือชายคนนี้  ต่อจากนั้นท่านได้จับมือท่านอาลีชูขึ้นพร้อมกับมือของท่านเองจนเห็นรักแร้ของเขาทั้งสอง แล้วท่านกล่าวว่า : โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขาและโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา โปรดช่วยเหลือผู้ที่ให้การช่วยเหลือเขาและโปรดทอดทิ้งผู้ที่ทอดทิ้งเขา  พึงรู้เถิดว่า ฉันจะล่วงหน้าพวกท่านไปก่อน แล้วพวกท่านจะเข้ามาหาฉันที่สระน้ำนั้น สระน้ำของฉันในวันพรุ่งนี้ และมันคือสระน้ำที่ความกว้างของมันอยู่ระหว่างเมืองบุศรอ(อิรัก)กับศ็อนอา(ซีเรีย) ในสระน้ำนั้นมีแก้วน้ำจำนวน(มากมาย)เท่ากับดวงดาวในท้องฟ้า พึงรู้เถิดว่า ฉันจะเป็นผู้ถามพวกท่านในวันพรุ่งนี้ว่า พวกท่านได้ทำอะไรไปในสิ่งที่ฉันได้ขอให้ขออัลลอฮ์ทรงเป็นสักขีกับสิ่งนั้นบนพวกท่านในวันของพวกท่านนี้  เมื่อพวกท่านได้เข้ามาพบฉันที่สระน้ำของฉัน และพวกท่านได้ทำอะไรลงไปต่ออัษษะเกาะลัยน์(สิ่งหนักสองสิ่ง)ภายหลังจากฉัน  ดังนั้นจงดูเถิดว่า พวกท่านจะเป็นอย่างไร (ในการ)ที่ได้รับมอบต่อจากฉันในสองสิ่งนั้นขณะที่พวกท่านจะมาพบกับฉัน ?  

พวกเขากล่าวว่า : สองสิ่งหนักที่ว่านี้คืออะไรหรือ โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ ?

ท่านกล่าวว่า :  สิ่งหนักอันใหญ่คือคัมภีร์ของอัลลอฮ์อัซซะวะญัล เป็นต้นเหตุที่ทอดมาจากอัลลอฮ์และจากฉันซึ่งมันอยู่ในมือของพวกท่าน ด้านหนึ่งของมันอยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮ์ส่วนอีกด้านหนึ่งอยู่ในมือของพวกท่าน ในนั้นมีความรู้ในอดีตและสิ่งที่มีอยู่ตราบจนถึงวันกิยามะฮ์   ส่วนสิ่งหนักอันรองเขาคือผู้ที่อยู่เคียงคู่กับคัมภีร์อัลกุรอ่านและเขาคืออาลีบินอะบีตอลิบและอิตเราะฮ์(วงศ์วาน)ของเขา และแท้จริงทั้งสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกันเด็ดขาด จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)

อ้างอิงจากกิตาบอัลคิศ็อล โดยเชคศอดูก  หน้า 73 หะดีษที่ 78  สถานะหะดีษซอฮิ๊ฮ์



۞หะดีษษะเกาะลัยน์จากตำราซุนนี่


رَوَاهُ أَبُوعَبْدِ الله الْحاَكِمُ (321 - 405هـ)
حدثنا أَبُو الْحُسَيْنِ : مُحَمَّدُ بْنُ أَحْمَدَ بْنِ تَمِيمٍ الْحَنْظَلِىُّ بِبَغْدَادَ، حَدَّثَنَا أَبُو قِلاَبَةَ : عَبْدُ الْمَلِكِ بْنُ مُحَمَّدٍ الرَّقَاشِىُّ  ، حَدَّثَنَا يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ ، وحَدَّثَنِيْ أَبُو بَكْرٍ مُحَمَّدُ بْنُ بَالُوَيْهِ ، و أَبُو بَكْرٍ أَحْمَدُ بْنُ جَعْفَرِ البزار قالا : ثنا عَبْد اللَّهِ بْن أَحْمَد بْن حَنْبَلٍ ، حدثني أبي ، ثنا يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ ، وثنا أَبُو نَصْرٍ : أَحْمَدُ بْنُ سَهْلٍ الْفَقِيهُ بِبُخَارَى ، ثنا صَالِحُ بْنُ مُحَمَّدٍ الْحَافِظُ البغدادي ، ثنا خَلَفُ بْنُ سَالِمٍ المخرمي ، ثنا يَحْيَى بْنُ حَمَّادٍ ، حَدَّثَنَا أَبُو عَوَانَةَ ، عَنْ سُلَيْمَانَ الأَعْمَشِ قَالَ: ثنا حَبِيبُ بْنُ أَبِي ثَابِتٍ ، عَنْ أَبِي الطُّفَيْلِ ، عَنْ زَيْدِ بْنِ أَرْقَمَ رَضِىَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ:

لَمَّا دَفَعَ النَّبِيُّ صَلَّي اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّم مِنْ حَجَّةِ الْوِدَاعِ وَنَزَلَ غَدِيْرَ خُمٍّ أَمَرَ بِدَوْحَاتٍ فَقُمِمْنَ ثُمَّ قَالَ : كَأَنِّيْ دُعِيْتُ فَأَجِبْتُ وَإِنِّيْ تَارِكٌ فِيْكُمُ الثَّقَلَيْنِ أَحَدَهُمَا أَكْبَرُ مِنَ الْآخَرِ : كِتَابُ اللهِ وَعِتْرَتِيْ أَهْلُ بَيْتِيْ فَانْظُرُوْا كَيْفَ تُخْلِفُوْنِيْ فِيْهِمَا  فَإِنَّهُمَا لَنْ يَتَفَرَقَا حَتَّي يَرِدَا عَلَيَّ الْحَوْضَ     ثُمَّ قَالَ : إِنَّ اللهَ مَوْلاَيَ وَأَنَا وَلِيُّ كُلِّ مُؤْمِنٍ  ثُمَّ إِنَّهُ أَخَذَ بِيَدِ عَلِيٍّ رَضِيَ اللهُ عَنْهُ فَقَالَ : مَنْ كُنْتُ وَلِيَّهُ فَهَذَا وَلِيَّهُ  اللّهُمَّ وَالِ مَنْ وَالاَهُ وَعَادِ مَنْ عَادَاهُ

الْمُسْتَدْرَكُ عَلَى الصَّحِيْحَيْنِ  ح 4553 و 4554 قاَلَ الْحاَكِمُ : صَحِيْحٌ عَلَى شَرْطِ الشَّيْخَيْنِ ،
سِلْسِلَةُ الصَّحِيْحَةِ لِلْأَلْباَنِيِّ  ج : 4 ص: 330  ح : 1750 نَوْعُ الْحَدِيْثِ : صَحِيْحٌ

ท่านอัลฮากิม (321 – 405 ฮ.ศ.) เล่าว่า  มุฮัมมัด บินอะหมัด บินตะมีมอัลฮันซ่อลี เล่าให้เราฟังที่แบกแดด  อับดุลมะลิก บินมุฮัมมัดอัลร่อกอชีเล่าให้เราฟัง ยะห์ยาบินฮัมมาดเล่าให้เราฟัง มุฮัมมัด บินบาลุวัยฮฺและอะหมัด บินญะอ์ฟัรอัลบัซซาร ทั้งสองเล่าให้เราฟัง  อับดุลลลอฮ์ บินอะหมัด บินฮันบัลเล่าให้เราฟัง บิดาของฉันเล่าให้ฉันฟัง  ยะห์ยาบินฮัมมาดเล่าให้เราฟัง  อะหมัดบินสะฮัลอัลฟะกีฮ์เล่าให้เราฟังที่เมืองบุคอรอ ซอและห์ บินมุฮัมมัดอัลฮาฟิซเล่าให้เราฟังที่แบกแดด
ค่อลัฟ บินสาลิมอัลมัคร่อมี เล่าให้เราฟัง ยะห์ยาบินฮัมมาดเล่าให้เราฟัง  อะบูอะวานะฮ์ยะห์ยาบินฮัมมาดเล่าให้เราฟัง จากสุลัยมาน อัลอะอ์มัชเล่าว่า  หะบีบ บินอะบีษาบิตเล่าว่า  จากท่านอะบีตุเฟล   จากท่านเซด บินอัรกอมเล่าว่า :

เมื่อท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กลับจากการทำฮัจญ์ครั้งสุดท้าย (ขากลับ)ท่านได้แวะพักที่เฆาะดีรคุม ท่านสั่งให้(พักตรง)ต้นไม้ใหญ่ แล้วสั่งให้กวาด(ลานให้สะอาด)  แล้วท่านได้ปราศัยว่า : ดูเหมือนว่าฉันถูกเรียก(กลับแล้ว) และฉันได้ตอบรับแล้ว

แท้จริงฉันได้มอบไว้แก่พวกท่านสิ่งหนักสองสิ่ง สิ่งแรกใหญ่กว่าอีกสิ่งหนึ่งคือคัมภีร์ของอัลลอฮ์และอิตเราะตี คืออะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน  

ดังนั้นพวกท่านจงดูเถิดว่า พวกท่านจะขัดแย้งกับฉันในสองสิ่งนี้อย่างไร เพราะแท้จริงสองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน จนกว่าทั้งสองจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์(สระเกาษัร)   จากนั้นท่าน(รอซูล)ได้กล่าวว่า : แท้จริงอัลลอฮ์ทรงเป็นเมาลา(ผู้คุ้มครอง)ของฉัน  และฉันเป็นวะลี(ผู้ปกครอง)ของผู้ศรัทธาทุกคน  จากนั้นท่านนบีได้จับมือท่านอะลี(ชูขึ้นเหนือศรีษะ) แล้วกล่าวว่า :  บุคคลใดก็ตามที่ฉันเป็นวะลีของเขา  ดังนั้นอะลีก็เป็นวะลีของเขา   โอ้อัลลอฮ์โปรดรักผู้ที่เป็นมิตรต่อเขา และโปรดชิงชังผู้ที่เป็นศัตรูต่อเขา


ดูอัลมุสตัดร็อก อะลัซซ่อฮีฮัยนิ  หะดีษที่ 4553,4554 อัลฮากิมกล่าวว่า ซอฮิ๊ฮ์ตามเงื่อนไขของท่านเชคทั้งสอง

เชคอัลบานีกล่าวว่าซอฮี๊ฮฺ  ดูซิลซิละตุซซอฮีฮะฮ์เล่ม 4 : 330  หะดีษที่ 1750  

أخرجه النسائي في \\\" خصائص علي \\\" ( ص 15 ) و الحاكم ( 3 / 109 ) و أحمد ( 1 / 118 )
و ابن أبي عاصم ( 1365 ) و الطبراني ( 4969 - 4970 )






อธิบาย :  

คำ " หากยึดจะไม่หลง"  หมายถึง  หากเราทำตาม จะถือว่าอยู่บนหนทางที่เที่ยงตรง

คำ " ทั้งสองสิ่งจะไม่แยกจากกัน จนกว่าจะกลับมาหาฉันที่อัลเฮาฎ์ "  หมายถึง คัมภีร์อัลกุรอานกับอะฮ์ลุลบัยต์นะบี จะต้องอยู่คู่กันนับจากวันที่ท่านนะบี(ศ)วะฟาตจนถึงวันกิยามะฮ์

ฮะดีษนี้แสดงว่า อะฮ์ลุลบัยต์จะต้องมีตัวตนจริงๆและมีชีวิตอยู่คู่กับคัมภีร์อัลกุรอานเสมอ ซึ่งภาษาอาหรับเรียกว่า อิสติมร็อร (إستمرار) คือ ต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

เราไม่อาจตีความฮะดีษนี้เป็นอื่นได้ นอกจากต้องยอมรับว่า อิม่ามมะฮ์ดีได้เกิดมานานแล้ว เพียงแต่เขาได้หายตัวไปจากหมู่มนุษย์

เพราะถ้าหากเรามีความเชื่อว่า อิม่ามมะฮ์ดียังไม่เกิด  แต่เขาจะเกิดในอนาคตก็เท่ากับคัมภีร์อัลกุรอานกับอะฮ์ลุลบัยต์นะบีไม่ได้อยู่คู่กัน
 
ถ้ามุสลิมคนใดเชื่อเช่นนี้ก็เท่ากับเขาได้กล่าวหาว่า ท่านนะบี(ศ)พูดปด เพราะท่านนะบีได้กล่าวว่า ( สองสิ่งนี้จะไม่แยกจากกัน )  

ถ้าจะพิสูจน์ว่าคำพูดของท่านนะบี(ศ)ในฮะดีษบทนี้ไม่ใช่เรื่องเท็จ เราก็จำต้องยอมรับว่า ปัจจุบันนี้มีอะฮ์ลุลบัยต์นะบี ที่มีชีวิตอยู่คู่กับคัมภีร์อัลกุรอานมาโดยตลอดจนถึงวันกิยามัต
ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องยอมรับว่า อิม่ามมะฮ์ดีได้เกิดมาบนโลกแล้ว มิเช่นนั้นฮะดีษษะก่อลัยน์ก็จะขัดกับความเป็นจริงในยุคปัจจุบันนี้ ทั้งๆที่ฮะดีษบทนี้เป็นฮะดีษซอเฮี๊ยะห์ของทั้งสองฝ่าย
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 10:35:43 ก่อนเที่ยง
หมายเหตุ  เราพยายาม  แสดงหะดีษษะเกาะลัยน์   ที่ทั้งสองฝ่าย  รายงานเอาไว้คล้ายกัน  หรือใกล้เคียงกัน



เหตุผลคือ


ประการแรก  สิ่งที่ชีอะฮ์เชื่อ  มันมีบันทึกอยู่ไว้ในตำราชีอะฮ์


ประการที่สอง   สิ่งที่ชีอะฮ์เชื่อ  อย่างน้อย  มันถูกบันทึกไว้ในตำราซุนนี่บางส่วนเช่นกัน  



เพื่อให้คุณฟารูกตระหนักว่า     ไม่ใช่เราไปหยิบยกเอาตำราซุนนี่  มาอ้างอิง  โดยไม่ยอมรับฟังคำอธิบายจากพี่น้องซุนนี่


ซึ่งตรงนี้เราจึงได้ยกหะดีษจากตำราซุนนี่มาเพื่อเปรียบเทียบ  ในเรื่องเดียวกันที่เรากำลังสนทนา  
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 11:08:56 ก่อนเที่ยง
ฮะดีษที่ 2 –

ฮะดีษจำนวน 12  ผู้นำ  


ความเชื่อเรื่อง  สิบสองผู้นำที่สืบต่อจากท่านนะบี(ศ)ได้มีรายงานกล่าวไว้ตั้งแต่สมัยท่านนะบี(ศ)และบรรดาอิม่ามทุกยุค ก่อนที่อิม่ามมะฮ์ดี(อ)จะเกิด




► หะดีษจำนวนผู้นำ 12  จากตำราชีอะฮ์


1. หะดีษ 12 อิม่ามในสมัยเชคกุลัยนี (เกิด 259 มรณะ 329 ฮ.ศ.)


1.1.อิม่ามบาเก็ร(อ)กล่าวว่า

الِاثْنَا عَشَرَ الْإِمَامَ مِنْ آلِ مُحَمَّدٍ (ع)

สิบสองอิม่ามนั้นมาจากวงศ์วานของนะบีมุฮัมมัด(ศ)

ดูอัลกาฟี เล่ม 1 : 531 หะดีษที่ 7  สถานะหะดีษ มุวัษษัก(เชื่อถือได้)

1.2.อิม่ามบาเก็ร(อ)กล่าวว่า

إِنَّ اللَّهَ أَرْسَلَ مُحَمَّداً (ص) إِلَى الْجِنِّ وَ الْإِنْسِ وَ جَعَلَ مِنْ بَعْدِهِ اثْنَيْ عَشَرَ وَصِيّاً

แท้จริงอัลลอฮ์(ตะอาลา)ได้ส่งนะบีมุฮัมมัด(ศ)มายังญินและมนุษย์ และทรงแต่งตั้งวะซีผู้สืบทอดไว้สิบสองคนภายหลังจากเขา

ดูอัลกาฟี เล่ม 1 : 532 หะดีษที่ 10  สถานะหะดีษซอฮิ๊ฮ์

1.3.อิม่ามบาเก็ร(อ)กล่าวว่า

نَحْنُ اثْنَا عَشَرَ إِمَاماً        

พวกเราคือสิบสองอิม่ามผู้นำ

ดูอัลกาฟี เล่ม 1 : 534 หะดีษที่ 16  สถานะหะดีษซอฮิ๊ฮ์
อุยูนุอัคบาริลริฎอ(อ) โดยเชคศอดูก(305 – 381 ฮ.ศ.)เล่ม 2 : 56 หะดีษที่ 22  


4, หะดีษ 12 อิม่ามในสมัยเชคศอดูก (เกิด 305 มรณะ 381 ฮ.ศ.)

عَنْ سَعْدِ بْنِ قَيْسٍ الْهَمْدَانِيِّ ، عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ قَالَ : قَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ
لَا تَزَالُ هَذِهِ الْأُمَّةُ مُسْتَقِيْماً أَمْرَهاَ ، ظَاهِرَةً عَلَى عَدُوِّهاِ حَتَّى يَمْضِيْ اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ
الْخِصاَلُ لِلشَّيْخِ الصَّدُوْقِ (305-381 هـ)  ج 1 ص 486 ح 18

สะอัด บินก็อยส์อัลฮัมดานี ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า : ท่านนะบี(ศ)กล่าวว่า : ประชาชาตินี้ยังคงดำรงอยู่อย่างเที่ยงตรงในกิจการของมัน มีชัยเหนือศัตรูของมัน จนกว่า 12 ค่อลีฟะฮ์(ผู้ปกครอง)จะดำเนินผ่านไป  พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช
ดูอัลคิศ็อล เชคศอดูก เล่ม 1 : 486 หะดีษ 18

และ

رَوَاهُ الشَّيْخُ الصَّدُوْقُ :
حَدَّثَنَا أَحْمَدُ بْنُ مُحَمَّدِ بْنِ يَحْيَى الْعَطَّارُ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُ قَالَ : حَدَّثَنَا أَبِي ، عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ عَبْدِ الْجَبَّارِ ، عَنْ أَحْمَدِ بْنِ مُحَمَّدِ بْنِ زِيَادٍ الْأَزْدِيِّ ، عَنْ أَبَانَ بْنِ عُثْمَانَ ، عَنْ ثَابِتِ بْنِ دِينَارٍ ، عَنْ سَيِّدِ الْعاَبِدِيْنَ عَلِيِّ بْنِ الْحُسَيْنِ ، عَنْ سَيِّدِ الشُّهَدَاءِ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيٍّ عَنْ سَيِّدِ الأَوْصِيَاءِ أَمِيرِ الْمُؤْمِنِينَ عَلِىِّ بْنِ أَبِى طَالِبٍ عَلَيْهِمْ السَّلَام قَالَ :  

قَالَ رَسُولُ اللَّهِ  صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَآلِهِ  :

الْأَئِمَّةُ بَعْدِيْ اثْناَ عَشَرَ أَوَّلُهُمْ أَنْتَ ياَ عَلِيُّ وَآخِرُهُمْ الْقاَئِمُ الَّذِيْ يَفْتَحُ اللهُ عَزَّوَجَلَّ عَلَى يَدَيْهِ مَشَارِقَ الْأَرْضِ وَمَغَارِبَهَا

Θ สายรายงาน  ►

เชคศอดูกเล่าว่า :   อะหมัด บินมุฮัมมัด บินยะห์ยาอัลอัตต็อรเล่าให้เราฟังเขากล่าวว่า  บิดาของฉัน(คือมุฮัมมัด บินยะห์ยา)เล่าให้เราฟัง จากมุฮัมมัด บินอับดุลญับบาร จากอะหมัด บินมุฮัมมัด บินซิยาดอัลอะซะดี จากอะบาน บินอุษมาน จากษาบิต บินดีนาร(คืออะบูฮัมซะฮ์อัษษุมาลี) จากอิม่ามอาลี(ซัยนุลอาบิดีน) บินฮูเซน จากอิม่ามฮูเซน บินอาลี จากอิม่ามอะมีรุลมุอ์มินีน อาลี บินอะบีตอลิบ(อ)เล่าว่า :

Θ ตัวบท  ►

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

อิม่ามผู้นำภายหลังจากฉันมี 12 คน  คนแรกของพวกเขาคือเจ้า โอ้อาลี และคนสุดท้ายของพวกเขาคืออัลกออิม(อัลมะฮ์ดี)
ผู้ที่อัลลอฮ์อัซซะวะญัลจะประทานชัยชนะให้อยู่ในมือทั้งสองของเขา ทั้งโลกตะวันออกและโลกตะวันตก

ดูหนังสือกะมาลุดดีน  วะตะมามุนนิอ์มะฮ์โดยเชคศอดูก(มรณะฮ.ศ.381)  หน้า  33 หะดีษที่ 35  

สถานะหะดีษ : สายรายงานเชื่อถือได้ทั้งหมด


۩ พิเคราะห์สายรายงานหะดีษ

1.เชคศอดูก →2.อะหมัด บินมุฮัมมัด บินยะห์ยาอัลอัตต็อร→3.บิดาของฉัน(คือมุฮัมมัด บินยะห์ยา)→4.มุฮัมมัด บินอับดุลญับบาร →5.อะหมัด บินมุฮัมมัด บินซิยาดอัลอะซะดี →6.อะบาน บินอุษมาน→7.ษาบิต บินดีนาร(คืออะบูฮัมซะฮ์อัษษุมาลี)→8.อิม่ามอาลี(ซัยนุลอาบิดีน) บินฮูเซน →9.อิม่ามฮูเซน บินอาลี →10.อิม่ามอะมีรุลมุอ์มินีน อาลี บินอะบีตอลิบ→ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)

1. เชคศอดูก ( 305 – 381 ฮ.ศ.รวมอายุ 76 ปี)  →

ชื่อเต็มของเชคศอดูกคือ

الشيخ أبو جعفر  محمد بن علي بن الحسين بن وسي بن بابويه القمي  المعروف بالشيخ الصدوق
เชคอะบูญะอ์ฟัร     มุฮัมมัด บินอาลี บินอัลฮูเซน บินมูซา บินบาบะวัยฮฺ  อัลกุมมี   รู้จักกันนาม  เชคศอดูก

เกิด
เชคศอดูกเกิดหลังปีฮ.ศ. 305  ที่เมืองกุม  ประเทศอิหร่าน   ด้วยบะร่อกัตจากการขอดุอาอ์ของอิม่ามมะฮ์ดี(อ)

มรณะ
เชคศอดูกมรณะฮ.ศ. 381 ที่เมืองเรย์ อยู่ทางตอนใต้ของเมืองเตฮะราน ประเทศอิหร่าน  ร่ายของเขาถูกฝังอยู่ใกล้กับสุสานของท่านสัยยิดอับดุลอะซีม อัลฮาซานี

คำวิจารณ์สถานะของเชคศอดูก

1- เชคตูซี่กล่าวว่า  

مُحَمَّدُ بْنُ عَلِىِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بْنِ مُوسَى بْنِ باَبَوَيْهِ الْقُمِّيُّ، يُكْنَى أَباَ جَعْفَرٍ، كاَنَ جَلِيْلاً حاَفِظاً لِلأَحاَدِيْث بَصِيْراً بِالرِّجاَلِ ناَقِداً لِلأخْباَرِ لَمْ يُرَ فِي الْقُمِّيِّيْنَ مِثْلَهُ فِي حِفْظِهِ وَ كَثْرَةِ عِلْمِهِ،

มุฮัมมัด บินอาลี บินอัลฮูเซน บินมูซา บินบาบะวัยฮฺ  อัลกุมมี  ฉายาอะบูญะอ์ฟัร    : เขาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง  นักท่องจำหะดีษ    ผู้เชี่ยวชาญอิลมุลริญาล  นักวิจารณ์สายรายงานหะดีษ   ไม่เคยเห็นในชาวเมืองกุมคนใดเหมือนเขาในความจำของเขา และในความรู้ที่มากมายของเขา
ดูอัลฟะฮ์ร็อสต์ โดยเชคตูซี่  อันดับที่  695  

2- อิบนุดาวูดกล่าวว่า

مُحَمَّدُ بْنُ عَلِىِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بن بابويه  أبو جعفر جليل القدر حفظة بصير بالفقه والاخبار شيخ الطائفة وفقيهها ووجهها بخراسان،

มุฮัมมัด บินอาลี บินอัลฮูเซน บินมูซา บินบาบะวัยฮฺ  อัลกุมมี  ฉายาอะบูญะอ์ฟัร    : เขาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง  นักท่องจำหะดีษ    ผู้เชี่ยวชาญด้านฟิกฮ์และรายงานหะดีษ  คือชัยค์แห่งกลุ่มปราชญ์ชีอะฮ์ เป็นฟะกีฮ์และเป็นหัวหน้ากลุ่มที่เมืองคูรอซาน
ดูริญาล อิบนิดาวูด  อันดับที่  1455  

3-อัลลามะฮ์ฮิลลีกล่าวว่า

مُحَمَّدُ بْنُ عَلِىِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بن موسى بن بابويه القمي أبوجعفر نزيل الري شيخنا وفقيهنا ووجه الطائفة بخراسان، كان جليلا حافظا الاحاديث بصيرا بالرجال ناقدا للاخبار لم ير في القميين مثله في حفظه وكثرة علمه،

มุฮัมมัด บินอาลี บินอัลฮูเซน บินมูซา บินบาบะวัยฮฺ  อัลกุมมี  อะบูญะอ์ฟัร    : พำนักอยู่ที่เมืองเรย์ (อิหร่าน)  เขาเป็นเชค(นักปราชญ์)ของเรา เป็นฟะกีฮ์ของเรา และเป็นหัวหน้ากลุ่มที่เมืองคูรอซาน
เขาคือผู้ทรงคุณวุฒิระดับสูง  นักท่องจำหะดีษ   ผู้เชี่ยวชาญอิลมุลริญาล  นักวิจารณ์สายรายงานหะดีษ ไม่เคยเห็นชาวเมืองกุมคนใดเหมือนเขาในความจำของเขา และในความรู้ที่มากมายของเขา
ดูคุลาเศาะตุลอักวาล โดยอัลลามะฮ์ฮิลลี  อันดับที่  44  

เชคอับบาส อัลกุมมีกล่าวว่า  
 
(ابن بابويه) أبوجعفر مُحَمَّدُ بْنُ عَلِىِّ بْنِ الْحُسَيْنِ بن موسى بن بابويه القمي، شيخ الحفظة ووجه الطائفة المستحفظة رئيس المحدثين والصدوق فيما يرويه عن الائمة الطاهرين (ع) ولد بدعاء مولانا صاحب الامر (ع)

อิบนุบาบะวัยฮฺ  อะบูญะอ์ฟัร  มุฮัมมัด บินอาลี บินอัลฮูเซน บินมูซา บินบาบะวัยฮฺ  อัลกุมมี   คือชัยค์แห่งนักท่องจำ เป็นหัวหน้ากลุ่มนักท่องจำหะดีษ  เป็นหัวหน้าบรรดานักรายงานหะดีษ และเชื่อถือได้ในสิ่งที่เขารายงานหะดีษจากบรรดาอิม่ามผู้บริสุทธิ์(อ) เขาเกิดมาด้วยการขอดุอาอ์ของอิม่ามซอฮิบุลอัมริ(อ)
ดูอัลกุนาวัลอัลกอบ โดยเชคอับบาสกุมมี  เล่ม 33 หน้า 1


2. อะหมัด บินมุฮัมมัด บินยะห์ยาอัลอัตต็อร→
      
เขามีชีวิตอยู่ในช่วงฮ.ศ. 356 เขาคืออาจารย์คนหนึ่งของเชคศอดูก   เชคศอดูกได้กล่าวถึงเขาว่า อาจารย์คนนี้เป็นที่พึงพอใจสำหรับเขา  และเชคศอดูกได้รายงานหะดีษของอาจารย์คนนี้เอาไว้ในหนังสืออัลอะมาลี  อุยูนุอัคบาริลริฎอ(อ)และมะอานีอัคบาร  ส่วนเชคตูซีได้รายงานหะดีษของเขาเอาไว้ในหนังสือตะฮ์ซีบุลอะห์กามและอัลอิสติบศ็อร ประมาณ 54 เรื่องซึ่งเป็นรายงานที่มาจากบรรดาอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์(อ)  โดยอะหมัดได้รายงานหะดีษของอะอิมมะฮ์จากบิดาของเขา

ผู้ที่รายงานหะดีษจากเขาคือฮูเซนบินอุบัยดุลลอฮ์ อัลเฆาะฎออิรีและอบุลฮูเซน บินอะบีญัยยิดอัลกุมมี  และฮารูน บินมูซา อัตตัลละอักบะรี(มรณะฮ.ศ.356)ได้ฟังจากเขา และเขายังได้รับอิญาซะฮ์(การอนุญาตให้รายงานหะดีษ)ได้จากเขา  ดูเมาซูอะฮ์ อัศฮาบุลฟุเกาะฮาอ์  อันดับที่  1316

เชคตูซีกล่าวว่า

أحمد بن محمد بن يحيى   روى عنهما أبو جعفر ابن بابويه

อะหมัด บินมุฮัมมัดบินยะห์ยา ผู้ที่รายงานหะดีษจากเขาทั้งสอง(หมายถึงอะหมัดและมุฮัมมัดบินยะห์ยา)คือ อะบูญะอ์ฟัร อิบนิบาบะวัยฮฺ(เชคศอดูก)   ดูริญาลเชคตูซี  อันดับที่  5979

อัลคอกอนีกล่าวว่า

احمد بن محمد بن يحيى العطار فان الصدوق رحمه الله يروى عنه كثيرا وهو من مشايخه

อะหมัด บินมุฮัมมัดบินยะห์ยา อัลอัตต็อร : แท้จริงเชคศอดูกได้รายงานหะดีษจากเขามากมาย และเขาคืออาจารย์คนหนึ่งของเชคศอดูก     ดูริญาลอัลคอกอนี  เล่ม 1 : 232

3. บิดาของฉัน(คือมุฮัมมัด บินยะห์ยา)→

เขามีชีวิตอยู่ในฮ.ศ.300 เป็นอาลิมแห่งยุค เป็นนักรายงานหะดีษ (และ)เป็นอาจารย์ของเชคกุลัยนี  
เขารายงานหะดีษจากอัศฮาบของพวกเขามากมายเช่น มุฮัมมัดบินฮูเซน บินอบิลคอตตอบ( มรณะ 262) มุฮัมมัดบินฮาซันอัศศอฟฟ้าร( มรณะ 290 ) และมุฮัมมัด บินอับดุลญับบาร และคนอื่นๆ
ผู้ที่รายงานหะดีษจากเขาคือ เชคกุลัยนี , อาลี บินฮูเซน บินบาบะวัยฮฺ บิดาของเชคศอดูก และคนอื่นๆ...  เขาคือฟะกีฮ์ผู้โด่งดังคนหนึ่ง และคือเชคของชาวชีอะฮ์ในยุคของเขา  เชื่อถือได้ในการรายงาน เขารายงานหะดีษไว้มากมาย
ดูเมาซูอะฮ์ อัศฮาบุลฟุเกาะฮาอ์  อันดับที่  1171

เชคตูซีกล่าวว่า
محمد بن يحيى العطار  روى عنه الكليني، قمي، كثير الرواية
มุฮัมมัด บินยะห์ยาอัลอัตต็อร : เชคกุลัยนีรายงานหะดีษจากเขา เป็นชาวเมืองกุม มีรายงานหะดีษมากมาย    ดูริญาลเชคตูซี  อันดับที่  6274

ท่านนะญาชีกล่าวว่า

محمد بن يحيى أبو جعفر العطار القمي شيخ أصحابنا في زمانه، ثقة، عين، كثير الحديث

มุฮัมมัด บินยะห์ยา อะบูญะอ์ฟัร อัลอัตต็อร อัลกุมมี   เชคแห่งอัศฮาบของพวกเราในสมัยของเขา  เชื่อถือได้ในการรายงาน มีหะดีษมากมาย    ดูริญาลนะญาชี  อันดับที่  946

4. มุฮัมมัด บินอับดุลญับบาร →

เขามีชีวิตอยู่ก่อนฮ.ศ. 260 นับว่าเขาเป็นสาวกคนหนึ่งของท่านอิม่ามทั้งสามคือ อิม่ามญะวาด,อิม่ามฮาดีและอิม่ามฮาซันอัสการี(อ)
เขารายงานหะดีษจาก : อิม่ามฮาดีและอิม่ามฮาซันอัสการี(อ) มีคนเล่าว่า เขาเป็นคนรับใช้ของอิม่ามฮาซันอัสการี(อ) แล้วเขาได้สอบถามปัญหาต่างๆมากมายจากอิม่ามฮาซันอัสการี  และเขายังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับศ็อฟวาน บินยะห์ยาและได้รายงานเรื่องฟิกฮ์จากเขาไว้มากมาย
   เช่นกันเขายังได้รายงานหะดีษจากบุคคลดังต่อไปนี้คือ : ฮาซัน บินอาลีบินฟัฎฎอล , มุฮัมมัดบินสินาน , มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน และคนอื่นๆ
   ผู้ที่รายงานหะดีษจากเขาคือ : มุฮัมมัด บินยะห์ยาอัลอัตต็อร , มุฮัมมัด บินฮาซันอัศศอฟฟ้ารและคนอื่นๆ  รายงานของเขามีบันทึกไว้ในกุตุบอัรบะอะฮ์ถึง 927 กว่าเรื่อง
ดูเมาซูอะฮ์ อัศฮาบุลฟุเกาะฮาอ์  อันดับที่  1126

เชคตูซีกล่าวว่า

محمد بن عبد الجبار  و هو ابن أبي الصهبان، قمي، ثقة

มุฮัมมัด บินอับดุลญับบาร  เขาคือบุตรของอะบีเศาะฮ์บาน ชาวเมืองกุม  เชื่อถือได้ในการรายงาน    ดูริญาลเชคตูซี  อันดับที่  5765

5. อะหมัด บินมุฮัมมัด บินซิยาดอัลอะซะดี →

หรือที่รู้จักกันในนาม อิบนิ อะบีอุเมรฺ  มรณะฮ.ศ.217  เขาคือฟะกีฮ์  ร็อบบานี มีฉายาว่า อะบูมุฮัมมัด เป็นชาวเมืองแบกแดด(อิรัก) เป็นสาวกของอิม่ามมูซากาซิมและอิม่ามอาลีริฎอ(อ) ซึ่งนักวิชาการมีมติตรงกันว่า อิบนิ อะบีอุเมรฺคือหนึ่งในหกจากบรรดาผู้ที่มีความน่าเชื่อถือในการรายงานหะดีษและได้รับการรับรองในเรื่องฟิกฮ์ของพวกเขา
   อะหมัด บินมุฮัมมัดบินซิยาด(หรืออิบนิ อะบีอุเมรฺ)ได้พบกับอิม่ามมูซากาซิมและได้สดับฟังหะดีษต่างๆจากท่าน บางครั้งอิม่ามมูซาเรียกเขาด้วยฉายาว่า " อะบูอะหมัด "  และเขาได้รายงานหะดีษจากอิม่ามอาลีริฎอ(อ)    ดูเมาซูอะฮ์ อัศฮาบุลฟุเกาะฮาอ์  อันดับที่  1115

อะหมัดคือ บุตรชายของ มุฮัมมัดบินซิยาด อัลอะซะดี หรือที่รู้จักกันในนาม มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน  รายงานหะดีษซอฮิ๊ฮ์ของอะหมัดในกุตุบอัรบะอะฮ์เช่น

عَنْ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدِ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ أَبِي عُمَيْرٍ(زِياَد) عَنْ إِسْمَاعِيلَ بْنِ رَبَاحٍ قَالَ سَأَلْتُ أَبَا الْحَسَنِ (ع) عَنْ مُفْرِدِ الْعُمْرَةِ عَلَيْهِ طَوَافُ النِّسَاءِ قَالَ نَعَمْ  

จากอะหมัด บินมุฮัมมัด  จากมุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริย(คือซิยาด) จากอิสมาอีล บินร่อบาห์เล่าว่า ฉันได้ถามอิม่ามอะบุลฮาซัน(อ)ถึงการทำอุมเราะฮ์มุฟร็อดว่า จำเป็นที่เขาจะต้องทำการต่อวาฟนิซาอ์หรือไม่ ท่านอิม่ามตอบว่า " ใช่ "
ดูอัลอิสติบศ็อร โดยเชคตูซี่  เล่ม 2 : 232 หะดีษที่ 1 สถานะหะดีษซอฮิ๊ฮ์

เชคตูซีกล่าวว่า  

محمد بن أبي عمير  يكنى أبا أحمد، واسم أبي عمير زياد، مولى الأزد، ثقة

มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน (มรณะฮ.ศ.217) ฉายาอะบูอะหมัด ชื่อจริงของอะบีอุมัยรินคือ ซิยาด  เป็นคนรับใช้ของ(เผ่า)อัลอะซะดี เชื่อถือได้ในการรายงาน   ดูริญาลเชคตูซี  อันดับที่  5413

ท่านนะญาชีกล่าวว่า

محمد بن أبي عمير زياد بن عيسى أبو أحمد الأزدي   لقي أبا الحسن موسى عليه السلام وسمع منه أحاديث كناه في بعضها فقال يا أبا أحمد، وروى عن الرضا عليه السلام، جليل القدر عظيم المنزلة فينا

มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน ซิยาดบินอีซา  ฉายาอะบูอะหมัด อัลอะซะดี    เขาได้พบกับอิม่ามอะบุลฮาซันมูซา(อ)และยังได้ฟังหะดีษต่างๆจากท่าน ท่านอิม่ามได้เรียกชื่อเขาในบางครั้งว่าอะบูอะหมัด(บิดาของอะหมัด) และเขายังได้รายงานหะดีษจากอิม่ามริฎอ(อ)  เขาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิชั้นสูง มีฐานะภาพยิ่งใหญ่ในหมู่พวกเรา    ดูริญาลนะญาชี  อันดับที่  887

สัยยิดอัลคูอีกล่าวว่า

محمد بن زياد الازدي : روى عن أبان بن عثمان الاحمر . الفقيه : الجزء 4 ، باب النوادر وهو آخر
أبواب الكتاب ، الحديث 832 . أقول : هو محمد بن أبي عمير المتقدم .

มุฮัมมัด บินซิยาดอัลอะซะดี : รายงานหะดีษจากอะบาน บินอุษมาน อัลอะห์มัร ดูมันลายะห์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์ เล่ม 4 หะดีษที่ 832  ฉันขอกล่าวว่า  เขาคือ มุฮัมมัด บินอะบีอุมัยริน
ดูมุอ์ญัมริญาล โดยอัลคูอี อันดับที่  10793

6. อะบาน บินอุษมาน อัลอะห์มัร→

เขามีชีวิตอยู่ก่อนฮ.ศ.183 เป็นฟะกีฮฺ  เป็นนักวรรณคดีอาหรับ  ฉายาอะบูอับดุลลอฮ์ อัลบะญะลี เป็นชาวเมืองกูฟะฮ์ เป็นสาวกของอิม่ามศอดิก(อ) ศึกษาความรู้และเรื่องฟิกฮ์จากอิม่ามศอดิกและรายงานหะดีษจากอิม่ามศอดิกและอิม่ามมูซากาซิม(อ)
ผู้ที่รายงานหะดีษที่เขาคือ  : อะบูบะศีร (ชื่อคือ)ยะห์ยาบินกอสิมอัลอะสะดี ,มุอ์มิน ต็อกและอะบีฮัมซะฮ์อัษษุมาลี(ชื่อคือษาบิต บินดีนาร)   ดูเมาซูอะฮ์ อัศฮาบุลฟุเกาะฮาอ์  อันดับที่  283

ท่านอิบนุดาวูดกล่าวว่า

أبان بن عثمان الاحمر  : من الستة الذين أجمعت العصابة على تصديقهم، وهم: جميل بن دراج، عبدالله بن مسكان، عبدبن بكير، حمادبن عيسى، حماد بن عثمان، أبان بن عثمان. وجميل بن دراج أفقههم

อะบาน บินดีนาร อัลอะห์มัร คือหนึ่งในหกบุคคลที่กลุ่มนักวิชาการมีมติตรงกันว่า พวกเขาเชื่อถือได้ในการรายงาน    ดูริญาลอิบนุดาวูด  อันดับที่  6

7.ษาบิต บินดีนาร( ฉายาคือ อะบูฮัมซะฮ์อัษษุมาลี)→

หรือษาบิตบินอะบีเศาะฟียะฮ์ ดีนาร  มีฉายาว่า อะบูฮัมซะฮ์ อัษษุมาลีอัลอะซะดี ชาวกูฟะฮ์ มรณะฮ.ศ. 150  เป็นอาเล่มที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในสมัยของเขาในเรื่องฟิกฮ์  หะดีษ ภาษาศาสตร์และอื่นๆ  เขาได้รับความรู้มาจากท่านอิม่ามทั้งสี่คือ อิม่ามซัยนุลอาบิดีน อิม่ามบาเก็ร อิม่ามศอดิกและอิม่ามมูซากาซิม(อ) และเขาได้รายงานหะดีษจากท่านอิม่ามทั้งสี่
ดูเมาซูอะฮ์ อัศฮาบุลฟุเกาะฮาอ์  อันดับที่  108

เชคตูซีกล่าวว่า

ثابت بن دينار  يكنى أبا حمزة الثمالي، و كنية دينار أبو صفية ثقة

ษาบิต บินดีนาร ฉายาคือ อะบูฮัมซะฮ์ อัษษุมาลี และกุนยะฮ์ของดีนารคือ อะบูเศาะฟียะฮ์  
เชื่อถือได้ในการรายงาน    ดูอัลฟะฮ์ร็อสต์ เชคตูซี  อันดับที่  127

อัลลามะฮ์ฮิลลีกล่าวว่า

ثابت بن دينار يكنى دينار أبا صفيه وكنيته ثابت أبوحمزة الثمالي، روى عن علي بن الحسين عليه السلام وكان ثقة

ษาบิตบินดีนาร  ฉายาอะบูเศาะฟียะฮ์ และกุนยะฮ์คือ อะบูฮัมซะฮ์อัษษุมาลี เขารายงานหะดีษจากอิม่ามอาลี บินฮูเซน(อ)  และเชื่อถือได้ในการรายงาน
ดูคุลาเศาะตุลอักวาล อันดับที่  5  บาบที่  1 หมวดนักรายงานที่ชื่อ ษาบิต

8.อิม่ามอาลี(ซัยนุลอาบิดีน) บุตรอิม่ามฮูเซน →

ท่านคืออิม่ามคนที่ 4 แห่งมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์(อ)เกิดที่นครมะดีนะฮ์ ฮ.ศ.38 – 114

قال العِجْلِي : عَلِيُّ بْنُ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِيِّ بْنِ أَبِي طَالِبٍ مَدَنِيٌّ تاَبِعِيٌّ ثِقَةٌ وَكاَنَ رَجُلاً صاَلِحاً

อัลอิจญ์ลีกล่าวว่า  : อาลี บินฮูเซน เป็นตาบิอี  เชื่อถือได้ และเป็นคนซอและห์
ดูอัษษิกอต โดยอิจญ์ลี  อันดับที่  1293  

قاَلَ ابْنُ حَجَر : عَلِىُّ بْنُ الْحُسَيْنِ بْنِ عَلِىِّ بْنِ أَبِى طَالِبٍ الْهاَشِمِيُّ زَيْنُ الْعاَبِدِيْنَ ثِقَةٌ ثَبَتٌ عاَبِدٌ فَقِيْهٌ فاَضِلٌ مَشْهُوْرٌ

อิบนุหะญัรกล่าวว่า   : อาลี บินฮูเซน  ซัยนุลอาบิดีน  เชื่อถือได้  มีความมั่นคง  อาบิ๊ด  ฟะกีฮ์  ฟาดิ้ล มัชฮู้ร    ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 4715

قاَلَ الذَّهَبِيُّ : عَلِىُّ بْنُ الْحُسَيْنِ (ع) اِبْنُ الْاِماَمِ عَلِىِّ بْنِ أَبِى طَالِبِ بْنِ عَبِدِ الْمُطَّلِبِ بْنِ هاَشِمِ بْنِ عَبْدِ مَناَف، السَّيِّدُ الْاِماَمُ، زَيْنُ الْعاَبِدِيْنَ، الْهاَشِمِيُّ الْعَلَوِيُّ، الْمَدَنِيُّ    

อัซซะฮะบีกล่าวว่า   : อาลี บินฮูเซน  คือสัยยิด  เป็นอิม่ามผู้นำ    ดูสิยัร อะอ์ลามุนนุบะลาอ์  อันดับที่ 157

9.อิม่ามฮูเซน บุตรอิม่ามอาลี →

ท่านคืออิม่ามคนที่ 3 แห่งมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์(อ)เกิดที่นครมะดีนะฮ์ ฮ.ศ.4 – 61

قاَلَ ابْنُ حَجَر : الْحُسَيْنُ بْنُ عَلِىِّ بْنِ أَبِى طَالِبٍ الهاشمي أبو عبدالله المدني سِبْطُ رَسُوْلِ الله (ص)    
อิบนุหะญัรกล่าวว่า   : ท่านฮูเซน บินอาลีบินอะบีตอลิบ หลานชายของท่านรอซูล(ศ)  หนึ่งจากบรรดาซาบิกีนเอาวะลีน   ปราชญ์กลุ่มหนึ่งให้น้ำหนักว่า  เขาคือชายคนแรกที่เข้ารับอิสลาม
ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 1334      ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า  

الحَسَـنُ ‏ ‏وَالْحُسَـيْنُ ‏ ‏سَـيِّدَا شَـبَابِ أهْلِ الْجَـنَّة

ฮาซันและฮูเซนคือหัวหน้าชายหนุ่มแห่งชาวสวรรค์  ดูซอฮิ๊ฮ์ติรมิซี  หะดีษที่  2965

10.อิม่ามอาลี บุตรอะบีตอลิบ→ ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)

ท่านคืออิม่ามคนที่ 1 แห่งมัซฮับอะฮ์ลุลบัยต์(อ)  เกิดที่กะอ์บะฮ์ นครมักกะฮ์  เกิดก่อนฮ.ศ.23  มรณะฮ.ศ. 41

قاَلَ ابْنُ حَجَر العسقلاني الشافعي : عَلِيُّ بْنُ أَبِي طَالِب بن عَبْدِ الْمُطَّلِبِ بْنِ هَاشِمٍ الهاشمي ابنُ عَمِّ رسول الله (ص) وَزَوْجُ اِبْنَتِهِ مِنَ الساَّبِقِيْنَ الْأَوَّلِيْنَ وَرَجَّحَ جَمْعٌ أَنَّهُ أَوَّلُ مَنْ أَسْلَمَ

อิบนุหะญัรกล่าวว่า   : ท่านอาลี บินอะบีตอลิบ บุตรของลุงของท่านรอซูล(ศ) คือสามีบุตรีของท่านรอซูลฯ  เป็นหนึ่งจากบรรดาซาบิกูนอัลเอาวะลูน(ผู้เข้ารับอิสลามรุ่นแรกสุด)   มีนักปราชญ์กลุ่มหนึ่งให้น้ำหนักว่า  เขาคือชายคนแรกที่เข้ารับอิสลาม  ดูตักรีบุตตะฮ์ซีบ  อันดับที่ 4753


หะดีษบทนี้ยังถูกบันทึกอยู่ในหนังสือต่อไปนี้
1,อุยูนุอัคบาริลริฎอ(อ)โดยเชคศอดูก หน้า  59 หะดีษที่ 28
2, มันลายะห์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์ โดยเชคศอดูก  หะดีษที่ 5406  
3, วะซาอิลุชชีอะฮ์  โดยอัลฮุรรุลอามิลี  หะดีษที่ 34930    




►หะดีษจำนวนผู้นำ 12  จากตำราซุนนี่


ท่านนะบี(ศ)คือผู้ที่กล่าวถึงจำนวนผู้นำหลังจากท่านเอาไว้ว่ามีแค่สิบสอง ซึ่งหะดีษเหล่านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในซอฮีฮ์บุคอรี,มุสลิมและตำราอื่นๆเช่น

1,อับดุลมะลิกจากท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า : ฉันได้ยินท่านนะบี(ศ)กล่าวว่า :  

يَكُونُ اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا ( فَقَالَ كَلِمَةً لَمْ أَسْمَعْهَا فَقَالَ أَبِى إِنَّهُ قَالَ ) كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

จะมี 12 อะมีรเกิดขึ้น แล้วท่านกล่าวคำหนึ่งซึ่งฉันได้ยินไม่ถนัด  บิดาของฉันจึงบอกว่า : แท้จริงท่านกล่าวว่า : พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช
ดูซอฮิ๊ฮ์บุคอรี (194- 256 ฮ.ศ.) หะดีษที่  7222  

2,สิม๊ากบินหัรบ์จาก ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า : ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

لاَ يَزَالُ الإِسْلاَمُ عَزِيزًا إِلَى اثْنَىْ عَشَرَ خَلِيفَةً  ثُمَّ قَالَ كَلِمَةً لَمْ أَفْهَمْهَا فَقُلْتُ لأَبِى مَا قَالَ فَقَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

อัลอิสลามยังคงมีเกียรติมีศักดิ์ศรีอยู่จนถึง12 คอลีฟะฮ์ แล้วท่านพูดด้วยถ้อยคำแผ่วเบาฉันไม่เข้าใจมัน  ฉันจึงกล่าวกับบิดาของฉันว่า : ท่านพูดอะไร ? บิดาบอกว่า : ท่านกล่าวว่า : พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่ากุเรช

ดูซอฮิ๊ฮ์มุสลิม (206 - 261 ฮ.ศ.) หะดีษที่  4812  


3,ชะอ์บีจาก ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า  :

لَا يَزَالُ هَذَا الْأَمْرُ عَزِيزًا مَنِيعًا يُنْصَرُونَ عَلَى مَنْ نَاوَأَهُمْ عَلَيْهِ إِلَى اثْنَيْ عَشَرَ خَلِيفَةً ثُمَّ قَالَ كَلِمَةً أَصَمَّنِيهَا النَّاسُ فَقُلْتُ لِأَبِي مَا قَالَ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

กิจการของประชาชาติอิสลามยังคงมีเกียรติและมีสภาพมั่นคงอยู่ในสมัย 12 คอลีฟะฮ์ บุคคลเหล่านั้นจะได้รับชัยชนะเหนือผู้ที่แย่งอำนาจไปจากพวกเขา พวกเขาล้วนมาจากเผ่ากุเรช
สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20964  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี

4,ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า

خَطَبَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِعَرَفَاتٍ فَقَالَ لَا يَزَالُ هَذَا الْأَمْرُ عَزِيزًا مَنِيعًا ظَاهِرًا عَلَى مَنْ نَاوَأَهُ حَتَّى يَمْلِكَ اثْنَا عَشَرَ كُلُّهُمْ قَالَ فَلَمْ أَفْهَمْ مَا بَعْدُ قَالَ فَقُلْتُ لِأَبِي مَا قَالَ بَعْدَمَا قَالَ كُلُّهُمْ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ
ท่านนะบี(ศ)ได้ปราศัยต่อหน้าพวกเราที่อะเราะฟาตว่า  กิจการของประชาชาติอิสลามยังคงมีเกียรติ มีสภาพมั่นคง มีชัยเหนือผู้ที่ชิงอำนาจไปจากเขา  จนกว่าจะมี 12 ผู้นำขึ้นมากุมอำนาจ
พวกเขาทุกคน  
ญาบิรเล่าว่า ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูดหลังจากนั้น ฉันจึงถามบิดาของฉันว่า หลังจากนั้นท่านพูดอะไร  บิดาฉันกล่าวว่า ท่านบอกว่า พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช
สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20910  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี


5,ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์ อัสสุอาลีเล่าว่า

عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ السُّوَائِيِّ قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ فِي حَجَّةِ الْوَدَاعِ إِنَّ هَذَا الدِّينَ لَنْ يَزَالَ ظَاهِرًا عَلَى مَنْ نَاوَأَهُ لَا يَضُرُّهُ مُخَالِفٌ وَلَا مُفَارِقٌ حَتَّى يَمْضِيَ مِنْ أُمَّتِي اثْنَا عَشَرَ خَلِيفَةً قَالَ ثُمَّ تَكَلَّمَ بِشَيْءٍ لَمْ أَفْهَمْهُ فَقُلْتُ لِأَبِي مَا قَالَ قَالَ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวที่การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายว่า แท้จริงศาสนา(อิสลาม)นี้ยังคงมีชัยเหนือผู้ที่ชิงอำนาจไปจากเขา  ทั้งผู้ต่อต้านและผู้แยกตัวออกจากเขาจะไม่อาจทำอันตรายแก่เขาได้  จนกว่ามันจะดำเนินไปในประชาชาติของฉันครบ12 ผู้นำ
ญาบิรเล่าว่า จากนั้นท่านพูดสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจสิ่งนั้น ฉันจึงถามบิดาของฉันว่า ท่านพูดอะไร  บิดาฉันกล่าวว่า ท่านบอกว่า พวกเขาทุกคนมาจากเผ่ากุเรช

สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20833  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี


6,ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์ อัสสุอาลีเล่าว่า

عَنْ جَابِرِ بْنِ سَمُرَةَ السُّوَائِيِّ قَالَ سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَقُولُ فِي حَجَّةِ الْوَدَاعِ لَا يَزَالُ هَذَا الدِّينُ ظَاهِرًا عَلَى مَنْ نَاوَأَهُ لَا يَضُرُّهُ مُخَالِفٌ وَلَا مُفَارِقٌ حَتَّى يَمْضِيَ مِنْ أُمَّتِي اثْنَا عَشَرَ أَمِيرًا كُلُّهُمْ ثُمَّ خَفِيَ مِنْ قَوْلِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ وَكَانَ أَبِي أَقْرَبَ إِلَى رَاحِلَةِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مِنِّي فَقُلْتُ يَا أَبَتَاهُ مَا الَّذِي خَفِيَ مِنْ قَوْلِ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ يَقُولُ كُلُّهُمْ مِنْ قُرَيْشٍ

ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวที่การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายว่า แท้จริงศาสนา(อิสลาม)นี้ยังคงมีชัยเหนือผู้ที่ชิงอำนาจไปจากเขา  ทั้งผู้ต่อต้านและผู้แยกตัวออกจากเขาจะไม่อาจทำอันตรายแก่เขาได้  จนกว่ามันจะดำเนินไปในประชาชาติของฉันครบ12 ผู้นำ พวกเขาทุกคน...จากนั้นคำพูดของท่านรอซูล(ศ)ก็เบาลง  ญาบิรเล่าว่า ปรากฏว่าบิดาของฉันอยู่ใกล้กับพาหนะของท่านรอซูล(ศ)มากกว่าฉัน ฉันจึงกล่าวว่า โอ้พ่อครับ ตอนที่ท่านรอซูล(ศ)พูดเสียงเบาลงนั้นท่านพูดว่าอะไรหรือ  บิดาฉันตอบว่า ท่านกล่าวว่า พวกเขาทุกคนล้วนมาจากเผ่ากุเรช
สถานะหะดีษ :ซอฮิ๊ฮ์ ดูมุสนัดอะหมัด หะดีษที่ 20836  ฉบับตรวจทานโดยเชคชุเอบอัรนะอูฏี
ข้อสังเกต หะดีษที่ 3 – 6 คือรายงานที่อิม่ามอะหมัด มรณะฮ.ศ. 240 ได้บันทึกไว้ก่อนที่ท่านอิม่ามมะฮ์ดีจะเกิด จึงทำให้เราเข้าใจได้ว่า ความเชื่อนี้มิใช่พึ่งมีขึ้นในยุคอิม่ามฮาซันอัสการีหรือในสมัยที่อิม่ามมะฮ์ดีได้หายตัวไปจากประชาชน  

7,อับดุลมะลิก บินอุมัยริน จากท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า :

كُنْتُ مَعَ أَبِىْ عِنْدَ النَّبِيِّ (ص) فَسَمِعْتُهُ يَقُوْلُ :  بَعْدِيْ اثْنَي عَشَرَ خَلِيْفَةً ثُمَّ أَخْفَى صَوْتَهُ فَقُلْتُ لِأَبِيْ ماَ الَّذِيْ أَخْفَى صَوْتَهُ ؟ قاَلَ : قاَلَ : كُلُّهُمْ مِنْ بَنِي هَاشِمٍ

อับดุลมะลิก ท่านญาบิร บินสะมุเราะฮ์เล่าว่า : ฉันกับบิดาได้อยู่กับท่านนะบี(ศ) ฉันได้ยินท่านกล่าวว่า : ภายหลังจากฉันจะมี 12 คอลีฟะฮ์(ปกครอง) จากนั้นท่านทำเสียงของท่านเบาลง  ฉันจึงกล่าวกับบิดาฉันว่า ตอนเสียงของท่านเบาลงนั้นคืออะไร บิดากล่าวว่า ท่านกล่าวว่า : พวกเขาทั้งหมดมาจากบะนีฮาชิม
ดูยะนาบีอุลมะวัดดะฮ์ โดยอัลก็อนดูซี (1220- 1293ฮ.ศ.) เล่ม 2 : 305 หะดีษที่ 908
ชื่อเต็มคือเชคสุลัยมาน บินอัชชัยคฺ อิบรอฮีม รู้จักกันในนาม คอญะฮ์กิลาน อิบนุชชัยคฺ มุฮัมมัด รู้จักกันในนาม คอญะฮ์อัลฮูซัยนี อัลบัลคี อัลกอนดูซี อัลฮานาฟี เป็นพวกซูฟีสานุศิษย์คนหนึ่งของท่านอิบนุอะเราะบี เขาอยู่ในสาขาต่อรีกัต นักชะบันดี


หมายเหตุ  
คุณฟารุกอาจแย้งว่า  หะดีษสิบสองผู้นำของฝ่ายซุนนี่  ไม่ได้พูดเรื่องสิบสองอิหม่าม แต่พูดถึงเรื่องสิบสองคอลีฟะฮ์และอามีร   เราจึงอยากชี้แจงตรงนี้ว่า

หนึ่ง -  หะดีษเรื่องสิบสองผู้นำในตำราชีอะฮ์ มีทั้งใช้คำว่า  อิหม่าม , คอลีฟะฮ์และวะซี(เอาซิยาอ์) คละเคล้ากันไปเช่น
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า : อิหม่ามภายหลังจากฉันมี 12 คน  คนแรกคือเจ้า โอ้อาลี และคนสุดท้ายคืออัลกออิม(อัลมะฮ์ดี) ผู้ที่อัลลอฮ์อัซซะวะญัลจะประทานชัยชนะให้อยู่ในมือทั้งสองของเขา ทั้งโลกตะวันออกและโลกตะวันตก

สอง  - คำ 1 คำอาจแปลได้หลายความหมายเช่น อัยนุน - عين - แปลว่า ดวงตา,ตัวตน,ตาน้ำ,ชาวเมือง,ชาวบ้าน,รูเล็ก,ผู้บริสุทธิ์และสายลับ...
และคำหลายคำอาจให้ความหมายได้เพียง 1 ความหมายเช่น ผู้นำ  เพื่อป้องกันการเบี่ยงเบนประเด็นการสนทนาเรื่อง 12 ผู้นำ เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อนว่า " ผู้นำ " ในภาษาอาหรับมีหลายคำที่ใช้ร่วมกันเช่น :  
1,อิหม่าม - ผู้นำมุสลิม,,ผู้ปกครอง
2,คอลีฟะฮ์ - ผู้ปกครอง
3,อะมีร - หัวหน้า,ผู้ปกครอง
4,วะลี – ผู้คุ้มครอง,ผู้ปกครอง
5,เมาลา – ผู้ปกครอง,ผู้ค้มครอง
พิจารณาความหมายทั้ง 5 จากอัลกุรอานและฮะดีษ :
1,   إِنِّي جاعِلُكَ لِلنَّاسِ إِماماً
ฉันจะแต่งตั้งเจ้าให้เป็น(อิม่าม)หัวหน้าสำหรับมนุษย์ (อัลบะก่อเราะฮ์:124)
وجعلنا منهم أئمة يهدون بأمرنا
และเราได้แต่งตั้งจากพวกเขาเป็นอิม่ามผู้นำ(ประชาชน)ตามบัญชาของเรา
(อัส-สัจญ์ดะฮ์:24)

2,   إِنِّي جاعِلٌ فِي الأَرْضِ خَلِيفَةً
แท้จริงเราจะแต่งตั้ง(อาดัม)ให้เป็นคอลีฟะฮ์(ผู้ปกครอง) บนโลก (อัลบะก่อเราะฮ์:30)
يا داوُدُ إِنَّا جَعَلْناكَ خَلِيفَةً فِي الأَرْضِ
โอ้ดาวูด แท้จริงเราได้แต่งตั้งเจ้าเป็นผู้ปกครอง(คอลีฟะฮ์)บนโลก(ศ็อด:26)

3,
من أطاعني فقدأطاع الله ومن عصاني فقد عصى الله ومن أطاع أميري فقد أطاعني ومن عصا أميري فقد عصاني
ท่านนะบี(ศ)กล่าวว่า : ผู้ใดเชื่อฟังข้าพเจ้าก็เท่ากับเขาเชื่อฟังอัลลอฮ์ ผู้ใด้ไม่เชื่อฟังข้าพเจ้าก็เท่ากับเขาไม่เชื่อฟังอัลลอฮ์  และผู้ใดเชื่อฟังอะมีร(ผู้นำ)ที่ข้าพเจ้าแต่งตั้งก็เท่ากับเขาเชื่อฟังข้าพเจ้า  ผู้ใดไม่เชื่อฟังผู้นำ(อะมีร)ที่ข้าพเจ้าแต่งตั้งก็เท่ากับเขาไม่เชื่อฟังข้าพเจ้า
( รายงานโดยบุคอรี,มุสลิม )

4,   أنتَ وليُّنا فاغفرلنا وارحمنا وأنتَ خيرُ الغافرين
พระองค์ทรงเป็น(วะลี)ผู้ปกครองเรา ดังนั้นได้ทรงโปรดอภัยให้เรา และทรงโปรดเมตตาเรา และพระองค์ทรงเป็นเลิศแห่งผู้ให้อภัยทั้งหลาย ( อัลอะอ์รอฟ : 155 )

5,   ذلك بأنّ اللهَ مولى الذين آمنوا وأن الكافرين لا مولى لهم
ทั้งนี้เนื่องจากว่าอัลลอฮ์ทรงเป็นผู้คุ้มครองบรรดาผู้ศรัทธา และแน่นอนบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไม่มีผู้คุ้มครองสำหรับพวกเขา ( มุฮัมมัด : 11 )

เพราะฉะนั้นชีอะฮ์จึงเข้าใจว่า เรื่องอิหม่ามกับคอลีฟะฮ์คือเรื่องเดียวกัน ตามที่มีหะดีษเล่าเอาไว้ในตำราชีอะฮ์


อธิบาย :

คุณฟารูกจะเห็นได้ว่า  หะดีษจำนวน 12 ผู้นำบทนี้เป็นฮะดีษมุสัลละม๊าต แต่คุณสมบัติของผู้นำมุสลิมตามหลักศาสนาอิสลามในฮะดีษบทนี้ไม่ตรงกับผู้ใดเลย นอกจากบรรดาอิม่ามทั้ง 12 ที่มาจากอะฮ์ลุลบัยต์นะบี

บุคลิก 12 ผู้นำในฮะดีษบทนี้เป็นเรื่องฆ็อยบียะฮ์(เร้นลับ)ที่ท่านนะบี(ศ)บอกข่าวถึงคอลีฟะฮ์ที่จะดำรงชีวิตอยู่ไปจนถึงวันกิยามัต  เขาผู้นั้นจึงเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก อิม่ามมะฮ์ดี

และฮะดีษ 12 คอลีฟะฮ์ยังแสดงให้เห็นว่า  อิม่ามฮาซันอัสการีได้ให้กำเนิดบุตรชายชื่อมะฮ์ดีย์แล้วก่อนที่เขาจะสิ้นชีพ

ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น แล้วอิม่ามมะฮ์ดีย์จะเกิดจากบิดาได้อย่างไรอีกเล่า ในเมื่ออิม่ามฮาซันอัสการีบิดาของท่านได้สิ้นชีพไปพันกว่าปีแล้ว
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 11:32:41 ก่อนเที่ยง
ฮะดีษที่ 3 –  

มุสลิมใดตายโดยที่เขาไม่มีอิหม่าม(ในยุคของเขา) ผู้นั้นตายในสภาพญาฮิลียะฮ์  


สะนัดฮะดีษก็เป็นมุสัลละม๊าตทั้งฝ่ายซุนนี่และชีอะฮ์อีกเช่นกัน  


 
۞ จากตำราฝ่ายซุนนี่  

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

مَنْ مَاتَ بِغَيْرِ إِمَامٍ مَاتَ مِيتَةً جَاهِلِيَّةً


บุคคลใดตายไปโดยที่เขาไม่มีอิหม่าม(ในยุคของเขา)  บุคคลนั้นได้ตายในสภาพพวกงมงาย(ยุคก่อนอิสลามประกาศ)  

สถานะหะดีษ ซอฮี๊ฮ์ ดูมุสนัดอิม่ามอะหมัด หะดีษที่ 16922 ตรวจทานโดยเชคอัลอัรนะอูฏี

และท่านรอซูล(ศ) :
 
مَنْ مَاتَ وَلَيْسَ فِى عُنُقِهِ بَيْعَةٌ مَاتَ مِيتَةً جَاهِلِيَّةً

ผู้ใดตายในสภาพไม่มีการให้สัตยาบัน(ต่ออิมาม)อยู่ที่คอ(ในความรับผิดชอบ) เท่ากับได้ตายในสภาพการตายของญาฮิลียะฮ์คนหนึ่ง

ดูซอฮี๊ฮฺมุสลิม หะดีษที่ 4899  




۞ จากตำราฝ่ายชีอะฮ์  


 
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า :

مَنْ ماَتَ وَلَمْ يَعْرِفْ إِماَمَ زَماَنِهِ ماَتَ مِيتَةً جَاهِلِيَّةً

บุคคลใดตายไปโดยที่เขาไม่ได้รู้จักอิหม่ามในยุคของเขา  บุคคลนั้นได้ตายในสภาพพวกงมงาย(ยุคก่อนอิสลามประกาศ)  

ดูอัลกาฟี เล่ม 1 หน้า 377 ฮะดีษเลขที่ 3






อธิบาย :

มุสลิมคนใดก็ตาม โดยเฉพาะชีอะฮ์ถ้าเขาไม่ยอมรับว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วในตอนนี้ ก็หมายความว่า เขาคนนั้นยังไม่รู้จักอิหม่ามในสมัยของเขาว่าเป็นใคร ดังนั้นก็จะตายในสภาพญาฮิลียะฮ์  

หากว่า ในตอนนี้อิม่ามมะฮ์ดียังไม่เกิด แล้วเราจะทำความรู้จักอิหม่ามในยุคของเราได้อย่างไรว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
   
เราถือว่า สามฮะดีษข้างต้น

1.   หะดีษษะเกาะลัยน์
2.   หะดีษสิบสองผู้นำ
3.   หะดีษผู้ใดตายโดยที่เขาไม่ได้รู้จักอิหม่ามในยุคของเขา  ผู้นั้นตายในสภาพญาอิลียะฮ์

ถึงแม้ทั้งสามหะดีษดังกล่าว  จะไม่บอกตรงๆ ถึงการมีอยู่ของอิม่ามมะฮ์ดี แต่ก็แสดงให้เห็นว่า อิม่ามมะฮ์ดีต้องเกิดมาแล้วอย่างแน่นอน
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 11:56:12 ก่อนเที่ยง
เหตุผลที่ 2 –

มีฮะดีษที่ท่านนะบี(ศ)และบรรดาอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ได้แจ้งเอาไว้ล่วงหน้าว่า :

ในอนาคตอิม่ามฮาซันอัสการีจะมีบุตรชาย  ซึ่งบุตรคนนี้คือผู้ที่จะทำให้โลกเต็มเปี่ยมไปด้วยความยุติธรรมและเขาจะหายตัวไปจากสังคม    มุสลิมทุกคนจำเป็นต้องเชื่อสิ่งนี้  ฮะดีษลักษณะเช่นนี้มีมากมาย  เช่น  



เชคศอดูกได้บันทึกไว้ในหนังสือกะมาลุดดีน เขาได้ตั้งชื่อเรื่องนี้ไว้ในหลายบท(บาบ)ด้วยกันคือ :



باب ما روي عن النبي في الامام المهدي، ذكر فيه خمسة وأربعين حديثاً

باب ما روي عن أمير المؤمنين (عليه السلام) في الامام المهدي

باب عن الزهراء سلام الله عليها وما ورد عنها في الامام المهدي (عليه السلام)، ذكر فيه أربعة أحاديث

ثم عن الامام الحسن (عليه السلام)، ذكر فيه حديثين

ثم عن الامام الحسين (عليه السلام)، ذكر فيه خمسة أحاديث

ثم عن الامام السجاد (عليه السلام)، ذكر فيه تسعة أحاديث

ثم عن الامام الباقر (عليه السلام)، ذكر فيه سبعة عشر حديثاً

ثم عن الامام الصادق (عليه السلام)، ذكر فيه سبعة وخمسين حديثاً

แปลไทย

ฮะดีษเรื่องอิม่ามมะฮ์ดี(อ)ที่รายงานจากท่านนบี(ศ)มี 45 ฮะดีษ,
จากท่านอิมามอาลี(อ) 1 ฮะดีษ,
จากท่านหญิงฟาติมะฮ์ 4 ฮะดีษ,
จากอิมามฮาซัน(อ) 2 ฮะดีษ,
จากอิมามฮุเซน(อ) 5 ฮะดีษ,
จากอิมามซัยนุลอาบิดีน 9 ฮะดีษ,
จากอิมามบาเก็ร 17 ฮะดีษ,
จากอิมามศอดิก(อ) 57 ฮะดีษ  

รวมหะดีษได้ 100 กว่าบท จากหนังสือกะมาลุดดีนของเชคศอดูกเพียงเล่มเดียว  

โดยยังไม่ได้รวมฮะดีษที่บันทึกอยู่ใน

หนังสืออัลกาฟีของเชคกุลัยนี

หนังสืออัลฆ็อยบะฮ์ของเชคตูซีย์

หนังสือบิฮารุลอันวารของอัลลามะฮ์มัจญ์ลิซีย์

และหนังสือของนักปราชญ์คนอื่นๆ

ซึ่งหากนำฮะดีษเรื่องอิม่ามมะฮ์ดีในหนังสือเหล่านี้มารวมกัน

คาดว่าคงมีจำนวนหะดีษมากกว่า 1000 บท




เราจะยกมาเป็นบะร่อกัตให้คุณฟารูกได้อ่านดังนี้


หนึ่ง - เชคศอดูกรายงาน

رواه الشيخ الصدوق : حدثنا محمد بن موسى بن المتوكل رضي الله عنه قال: حدثنا محمد بن أبي عبدالله الكوفي قال: حدثنا موسى بن عمران النخعي، عن عمه الحسين بن يزيد، عن الحسن بن علي بن سالم، عن أبيه، عن أبي حمزة، عن سعيد بن جبير، عن عبدالله بن عباس قال: قال رسول الله صلى الله عليه وآله :
إن الله تبارك وتعالى أطلع إلى الارض  إطلاعة فاختارني منها فجعلني نبيا، ثم أطلع الثانية فاختار منها عليا فجعله إماما، ثم أمرني أن أتخذه أخا ووليا ووصيا وخليفة ووزيرا، فعلى مني وأنا من علي وهو زوج ابنتي وأبوسبطي الحسن والحسين،

ألاَ وَإنَّ اللهَ تبارك وتعالى جَعَلَنِيْ وَإِياَّهُمْ حُجَجاً عَلَى عِباَدِهِ، وَجَعَلَ مِنْ صُلْبِ الْحُسَيْن أَئِمَّةً يَقُومُون بِأَمْرِيْ، وَيَحفِظُون وَصِيَّتِيْ، التاسِعُ مِنهُم قاَئِمُ أهْلِ بَيْتِي، وَمَهْدِيُّ اُمَّتِي، أشبه الناس بي في شمائله وأقواله وأفعاليه


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) กล่าวว่า : ........

พึงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลลอฮ์ (ตะบาร่อกะวะตะอาลา) ทรงแต่งตั้งฉันและพวกเขาให้เป็นฮุจญัต(หลักฐาน)ต่อปวงบ่าวของพระองค์,

และทรงแต่งตั้งจากเชื้อสายของฮุเซนให้เป็นบรรดาอิม่าม พวกเขาจะทำหน้าที่ตามคำสั่งของฉัน, พวกเขาจะพิทักษ์คำสั่งเสียของฉัน,

คนที่ 9 จากพวกเขาคือ กออิม(นามแฝงของอิม่ามมะฮ์ดี) เป็นอะฮ์ลุลบัยต์ของฉัน
และคือมะฮ์ดีแห่งประชาชาติของฉัน,

เขาเหมือนฉันมากที่สุดในบุคลิก,คำพูดและกริยาท่าทางของเขา ,

เขาจะปรากฏตัวหลังจากที่เขาได้เร้นหายตัวไปเป็นระยะเวลาอันยาวนาน...


ดูกะมาลุดดีน  โดยเชคศอดูก หน้า  257 ฮะดีษที่ 2 และกิฟายะตุล อะษัร หน้า 10



สอง -  เชคกุลัยนีรายงาน


عِدَّةٌ مِنْ أَصْحَابِنَا عَنْ أَحْمَدَ بْنِ مُحَمَّدٍ عَنْ عَلِيِّ بْنِ الْحَكَمِ عَنْ أَبِي أَيُّوبَ الْخَرَّازِ عَنْ مُحَمَّدِ بْنِ مُسْلِمٍ قَالَ سَمِعْتُ أَبَا عَبْدِ اللَّهِ (ع) يَقُولُ :  إِنْ بَلَغَكُمْ عَنْ صَاحِبِكُمْ غَيْبَةٌ فَلَا تُنْكِرُوهَا



ท่านมุฮัมมัด บินมุสลิมเล่าว่า : ฉันได้ยินอิม่ามอะบูอับดิลละฮ์ (อิม่ามศอดิก)กล่าวว่า :  

หากมาถึงพวกเจ้าเกี่ยวกับซอฮิบของพวกเจ้า(นามแฝงของอิมามมะฮ์ดี)ได้เร้นหายตัวไป จงอย่าได้ปฏิเสธสิ่งนั้น


สถานะหะดีษ ซอฮี๊ฮฺ ดูอัลกาฟี เชคกุลัยนี เล่ม 1 หน้า 340 หะดีษที่ 15
ตรวจทานโดยมัรกะซุล บุฮูซ คอมพิวเตอร์ ลิลอุลูมิลอิสลามียะฮ์ เมืองกุม อิหร่าน

และซุรอเราะฮ์เล่าว่า : ฉันได้ยินท่านอิม่ามศอดิก(อ)กล่าวว่า :

إنَّ لِلْقاَئِمِ غَيْبَةً قَبْلَ أنْ يَقُوْمَ، ياَ زُراَرَة وَهُوَ الْمُنْتَظَرُ، وَهُوَ الَّذِيْ يشكّ فِي وِلاَدِتِهِ

แท้จริงสำหรับอัลกออิม(นามแฝงของอิม่ามมะฮ์ดี)มีการหายตัวไปก่อนที่เขาจะออกมาทำการกิยาม  โอ้ซุรอเราะฮ์เอ๋ย

เขาคือผู้ถูกรอคอย(อัลมุนตะซ็อร) และเขาเป็นบุคคลที่จะถูกสงสัยในการถือกำเนิดของเขา            

ดูกะมาลุดดีน เชคศอดูก หน้า 342 ฮะดีษเลขที่ 24
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 01:50:57 หลังเที่ยง
ข้อสงสัยครั้งแรกๆเรื่องการเกิดของอิมามมะฮ์ดีเกิดขึ้นจากใคร  เพราะอะไร ?



ท่านอิม่ามศอดิก(อ)ได้บอกไว้ล่วงหน้าแล้วว่า คนแรกที่จะก่อ(ฟิตนะฮ์)สร้างความสงสัยเรื่องการเกิดของอิม่ามมะฮ์ดีคือ
 
ญะอ์ฟัร อัลกัซซาบ (น้องชายคนหนึ่งของอิม่ามฮาซันอัสการี)

อิมามที่สิบ อาลีอัลฮาดีมีบุตรชายสี่ และมีธิดาหนึ่งเรียงตามลำดับดังนี้

1.   สัยยิดมุฮัมมัด
2.   อิม่ามฮาซันอัสการี
3.   ญะอ์ฟัร อัลกัซซาบ
4.   อัลฮูเซน
5.   อาลียะฮ์

ฉะนั้นญะอ์ฟัรกัซซาบจึงมีศักดิ์เป็นอาของอิม่ามมะฮ์ดี

ด้วยสาเหตุที่ญะอ์ฟัรกัซซาบไม่ได้รับข้อมูลเรื่องการเกิดของหลานชายคนนี้ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในตอนนั้น(ตอนที่อิม่ามฮาซันอัสการีถูกกักตัว) มันจึงไม่เอื้ออำนวยให้ญะอ์ฟัรกัซซาบได้รับรู้ความจริง

เพราะแม้แต่อิม่ามฮาซันอัสการีจะเอ่ยชื่อบุตรชายของเขาเองออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่าชื่อ อัลมะฮ์ดี ก็ยังไม่เรียกออกมา และท่านก็ไม่อนุญาตพรรคพวกของท่านเรียกชื่อนี้ออกมาด้วย

นี่คือที่มาของความสงสัย นักปราชญ์ฝ่ายซุนนี่บางคนจึงหยิบยกเอาฟิตนะฮ์นี้มายึดถือเป็นเกณฑ์เช่น

ท่านอิบนุฮัซมิน กล่าวว่า :  ในปีฮ.ศ.ที่ 260 เป็นปีที่อิม่ามฮาซันอัสการีสิ้นชีพ ก็ยังไม่มีวี่แววข่าวการเกิดของอิม่ามมะฮ์ดีเลย  

ดูอัลฟัศลุ ฟิลมิลัลวัลอะฮ์วาอ์ วันนิฮัล เล่ม 3 หน้า 114


ด้วยเหตุนี้อิม่ามศอดิกจึงสอนดุอาอ์ไว้บทหนึ่งให้กับสาวกชื่อซุรอเราะฮ์ว่า :  

โอ้ซุรอเราะฮ์  หากเจ้าอยู่ทันยุคนั้น(ยุคที่อัลมะฮ์ดีไม่ปรากฏตัว) พวกเจ้าจงอ่านดุอาอ์บทนี้ :

اللّهم عرّفني نفسك فانّك إن لم تعرفني نفسك لم أعرف نبيّك، اللّهم عرّفني رسولك فانّك إن لم تعرّفني رسولك لم أعرف جحتك، اللّهم عرّفني حجتك فانّك إن لم تعرّفني حجتك ضللت عن ديني

โอ้อัลลอฮ์ โปรดทำให้ฉันรู้จักพระองค์  เพราะหากพระองค์ไม่ทำให้ฉันรู้จักพระองค์  ฉันจะไม่มีวันรู้จักนบีของพระองค์
โอ้อัลลอฮ์ โปรดทำให้ฉันรู้จักรอซูลของพระองค์  เพราะหากพระองค์ไม่ทำให้ฉันรู้จักรอ ซูลของพระองค์  ฉันจะไม่มีวันรู้จักฮุจญัตของพระองค์
โอ้อัลลอฮ์ โปรดทำให้ฉันรู้จักฮุจญัต( ชื่อของอิม่ามมะฮ์ดี )ของพระองค์  เพราะหากพระองค์ไม่ทำให้ฉันรู้จักฮุจญัตพระองค์  ฉันคงหลงออกจากศาสนาของฉันแน่

ดูกะมาลุดดีน โดยเชคศอดูก หน้า 342  หะดีษที่ 24

ดุอาอ์บทนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่โดยปฏิบัติตามคัมภีร์อัลกุรอานและอะฮ์ลุลบัยต์นะบี

มีรายงานเล่าว่า  ในยุคที่ต้องถึงขั้นปิดบังชื่อจริงของอิม่ามมะฮ์ดี  พวกชีอะฮ์ในยุคนั้นถึงกับต้องอ่านดุอาอ์บทนี้กันแบบนี้คือ :

(  اللّهم كن لوليك فلان ابن فلان) อัลลอฮุมมะ กุนลิ วะลียิกะ ฟุลาน บิน ฟุลาน  คือไม่เอ่ย

 اللَّهُمَّ كُنْ لِوَلِيِّكَ فُلَانِ بْنِ فُلَانٍ فِي هَذِهِ السَّاعَةِ وَ فِي كُلِّ سَاعَةٍ وَلِيّاً وَ حَافِظاً وَ نَاصِراً وَ دَلِيلًا وَ قَاعِداً وَ عَوْناً وَ عَيْناً حَتَّى تُسْكِنَهُ أَرْضَكَ طَوْعاً وَ تُمَتِّعَهُ فِيهَا طَوِيلًا و

อัลลอฮุมมะ กุน ลิวะลียิกะ (อัลฮุจญะติบนิลฮาซัน) ซ่อละวาตุกะ อะลัยฮิ วะอะลา อาบาอิฮ์ ฟี ฮาซิฮิสซาอะฮ์ วะฟี กุลลิ ซาอะฮ์ วะลีเยา วะฮาซิซอ วะ กออิดเดา วะนาซิรอ วะดะลีเลา วะอัยนา  ฮัตตา ตุสกินะฮู อัรด่อกะ เตาอา วะตุมัต ติอะฮู ฟีฮา ต่อวีลา

โอ้อัลลอฮ์ ขอพระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองคนรักของพระองค์คือ อัลฮุจญัตบุตรของอิม่ามฮาซัน(อัสการี) ขอความจำเริญจากพระองค์จงมีแด่เขาและบรรพบุรุษของเขาทั้งในเวลานี้และทุกเวลา ขอพระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครอง ผู้ปกป้อง ผู้นำ  ผู้ช่วยเหลือ ผู้ชี้นำทางเขา   จนกระทั่งเขาได้บรรลุถึงอำนาจการปกครองบนหน้าแผ่นดินของพระองค์ และ(ผู้อยู่บนหน้าแผ่นดิน)ยอมจำนนสวามิภักดิ์ต่อเขาโดยดุษฎี และได้โปรดทำให้เขาได้รับประโยชน์จากทุกสรรพสิ่งในแผ่นดินนี้โดยทั่วถึงยาวนาน

ดูอัลกาฟี  โดยเชคกุลัยนี  เล่ม 4  : 162 หะดีษที่ 4  
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 01:52:10 หลังเที่ยง
เหตุผลที่ 3 –


บรรดาผู้ปกครองในยุคของอิม่ามแต่ละคนต่างรู้ดีว่า  อิม่ามคนที่ 12 เป็นลูกใคร ? สืบเชื้อสายมาจากใคร ?  ข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่ความลับ


เพราะท่านนะบีมุฮัมมัด(ศ)และอิม่ามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ได้บอกเล่าไว้แล้วและเรื่องนี้ได้ถูกบันทึกเป็นฮะดีษ  

ฉะนั้นในสมัยที่ราชวงศ์อับบาซียะฮ์ปกครอง กาหลิบมุอ์ตะมิดอับบาซีหวั่นเกรงว่า บุตรที่จะเกิดจากชายชื่อฮาซันอัสการี พระองค์จึงรับสั่งให้ทหารเฝ้าดูอิม่ามฮาซันอัสการีอย่างไม่ให้คาดสายตา
 
เมื่อกาหลิบมุอ์ตะมิดอับบาซีทรงทราบข่าวว่า อิม่ามฮาซันอัสการีคือผู้ให้กำเนิดอิม่ามคนที่ 12 พระองค์ได้ส่งทหารไปบ้านอิม่ามฮาซันอัสการี และควบคุมภรรยาของอิม่ามไว้อย่างใกล้ชิด คอยสังเกตว่า ทารกผู้นั้นจะคลอดจากภรรยาคนใด  

การกระทำของกาหลิบมุอ์ตะมิดถือได้ว่า เป็นหลักฐานชัดเจนว่า การเกิดของอัลมะฮ์ดีเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นจริง ถ้ามิเช่นนั้นกาหลิบมุอ์ตะมิดคงไม่มีเหตุผลอันใดต้องไปส่งทหารไปปฏิบัติกับอิม่ามฮาซันอัสการเช่นนั้น  

นับได้ว่าการใช้ชีวิตของอิม่ามฮาซันอัสการีและพวกชีอะอ์ในยุคนั้นต้องพบกับความลำบากและความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก  

เพราะฉะนั้นการเกิดของอิม่ามมะฮ์ดีจึงต้องถูกปิดเป็นความลับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพื่อความปลอดภัยของผู้สืบทอดอิม่ามคนที่ 12    

มีหะดีษเล่าว่า

عَنْ دَاوُدَ بْنِ الْقَاسِمِ قَالَ : سَمِعْتُ أَبَا الْحَسَنِ (ع) يَقُولُ الْخَلَفُ مِنْ بَعْدِيَ الْحَسَنُ فَكَيْفَ لَكُمْ بِالْخَلَفِ مِنْ بَعْدِ الْخَلَفِ فَقُلْتُ وَ لِمَ جَعَلَنِيَ اللَّهُ فِدَاكَ فَقَالَ إِنَّكُمْ لَا تَرَوْنَ شَخْصَهُ وَ لَا يَحِلُّ لَكُمْ ذِكْرُهُ بِاسْمِهِ فَقُلْتُ فَكَيْفَ نَذْكُرُهُ فَقَالَ قُولُوا الْحُجَّةُ مِنْ آلِ مُحَمَّدٍ عَلَيْهِمُ السَّلَامُ

ดาวูด บินอัลกอซิมเล่าว่า :  ฉันได้ยินอิม่ามอะบุลฮาซัน(อิม่ามฮาดี  อิม่ามคนที่ 10 ) กล่าวว่า :  อัลคอลัฟ ( ผู้สืบทอดตำแหน่งอิม่าม ) ต่อจากฉันคือฮาซันอัสการี บุตรชายของฉัน แล้วจะเป็นอย่างไรเล่าสำหรับพวกเจ้า กรณีเกี่ยวกับผู้สืบทอดต่อจากอัลค่อลัฟ   ( คือฮาซัน ) ผู้นี้ ?  

ฉัน(ผู้รายงาน)กล่าวว่า : ทำไมอัลลอฮ์ไม่ทรงให้ฉันได้มีโอกาสเสียสละเพื่อท่าน ?
ท่านอิม่ามฮาดี(อ)กล่าวว่า :  แท้จริงพวกเจ้าจะไม่ได้พบเห็นตัวจริงของเขา(อัลมะฮ์ดี) และไม่อนุญาติให้พวกเจ้าเรียกเขาด้วยชื่อจริง  

ดังนั้นฉันจึงถามว่า : แล้วเวลาที่เราจะเอ่ยถึงเขาจะให้เราเรียกเขาว่าอย่างไร ?
ท่านอิม่ามตอบว่า :   จงกล่าวว่า อัลฮุจญะฮ์ ผู้สืบเชื้อสายมาจากวงศ์วาของนะบีมุฮัมมัด

ดูอัลกาฟี เชคกุลัยนี เล่ม 1 หน้า 328 ฮะดีษที่ 13

มีนักรายงานหะดีษชีอะฮ์ที่เชื่อถือคนหนึ่งได้เล่าถึงบุคคลที่เคยพบเห็นอิม่ามมะฮ์ดีบุตรชายของท่านอิม่ามฮาซันอัสการี (อ)

بَابٌ فِي تَسْمِيَةِ مَنْ رَآهُ (ع)
مُحَمَّدُ بْنُ عَبْدِ اللَّهِ وَ مُحَمَّدُ بْنُ يَحْيَى جَمِيعاً عَنْ عَبْدِ اللَّهِ بْنِ جَعْفَرٍ الْحِمْيَرِيِّ قَالَ...

รายงานโดยท่านอับดุลลอฮ์ บินญะอ์ฟัร อัลฮะมีรี (เขาได้ถามท่านอุษมาน บินสะอีด อบูอัมรฺ
ตัวแทนคนที่ 1 ของอิม่ามมะฮ์ดี ) ว่า :

فَقُلْتُ لَهُ أَنْتَ رَأَيْتَ الْخَلَفَ مِنْ بَعْدِ أَبِي مُحَمَّدٍ (ع) فَقَالَ إِي وَ اللَّهِ وَ رَقَبَتُهُ مِثْلُ ذَا وَ أَوْمَأَ بِيَدِهِ فَقُلْتُ لَهُ فَبَقِيَتْ وَاحِدَةٌ فَقَالَ لِي هَاتِ قُلْتُ فَالاسْمُ قَالَ مُحَرَّمٌ عَلَيْكُمْ أَنْ تَسْأَلُوا عَنْ ذَلِكَ وَ لَا أَقُولُ هَذَا مِنْ عِنْدِي فَلَيْسَ لِي أَنْ أُحَلِّلَ وَ لَا أُحَرِّمَ وَ لَكِنْ عَنْهُ (ع) فَإِنَّ الْأَمْرَ عِنْدَ السُّلْطَانِ أَنَّ أَبَا مُحَمَّدٍ مَضَى وَ لَمْ يُخَلِّفْ وَلَداً وَ قَسَّمَ مِيرَاثَهُ وَ أَخَذَهُ مَنْ لَا حَقَّ لَهُ فِيهِ وَ هُوَ ذَا عِيَالُهُ يَجُولُونَ لَيْسَ أَحَدٌ يَجْسُرُ أَنْ يَتَعَرَّفَ إِلَيْهِمْ أَوْ يُنِيلَهُمْ شَيْئاً وَ إِذَا وَقَعَ الِاسْمُ وَقَعَ الطَّلَبُ فَاتَّقُوا اللَّهَ وَ أَمْسِكُوا عَنْ ذَلِكَ

ท่านเคยเห็นอัลคอลัฟ ( หมายถึงอิม่ามมะฮ์ดี ) หลังจากอะบูมุฮัมมัด( ฉายาอิม่ามฮาซันอัสการี) สิ้นชีพแล้วหรือไม่ ?

อะบูอัมร์ตอบว่า :  ใช่ฉันเคยเห็น ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮ์... ฉันกล่าวกับเขาว่า : เหลือเพียงคนเดียว

เขากล่าวกับฉันว่า :  จงเอามา   ฉันถามว่า :  เขาชื่ออะไร ?  เขาตอบว่า : ฮะร่ามสำหรับพวกท่านที่จะถามถึงสิ่งนั้น และฉันเองก็จะไม่พูดเรื่องนี้ด้วย   ฉันไม่มีสิทธิฟัตวาว่านี่ฮะล้าลและนั่นฮะร่าม แต่ว่า(ฟัตวานั้น)ต้องมาจากเขา ( คือมาจากคำสั่งของอิม่ามมะฮ์ดี )
เพราะท่านกาหลิบมุอ์ตะมิดได้สั่งว่า  อิม่ามฮาซันอัสการีได้จากไปโดยไม่มีทายาทสืบสกุล และทรัพย์สินมรดกของเขาได้ถูกแบ่งปัน( แก่เครือญาติหมดแล้ว )  
ดังนั้นขอให้พวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮ์ และจงอย่าได้พูดถึงเรื่องนั้น(คือเรื่องที่ว่าอิม่ามฮาซันอัสการีมีบุตรชายสืบทอดตำแหน่งอิม่าม )

สถานะหะดีษ ซอฮี๊ฮฺ ดูอัลกาฟี เชคกุลัยนี เล่ม 1 หน้า 329 หะดีษที่ 1

ตรวจทานโดยมัรกะซุล บุฮูซ คอมพิวเตอร์ ลิลอุลูมิลอิสลามียะฮ์ เมืองกุม อิหร่าน

ยังมีฮะดีษมัชฮูรเกี่ยวกับเรื่องการเกิดที่รายงานจากท่านหญิงฮะกีมะฮ์บุตรสาวของท่านอิม่ามญะวาด(อ)  ในคืนที่นางได้อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่อิม่ามมะฮ์ดี(อ)ประสูติในปีฮ.ศ.ที่ 255 วันที่ 15 เดือนชะอ์บาน  ซึ่งบันทึกอยู่ในหนังสืออัลฆ็อยบะฮ์ ของเชคตูซี  หน้า 234 ฮะดีษที่ 319

ونقل الشيخ الطوسي أيضاً في الغيبة حديثاً ظريفاً فقال:  

جاء أربعون رجلاً من وجهاء الشيعة اجتمعوا في دار الامام العسكري ليسألوه عن الحجة من بعده، وقام عثمان بن سعيد العمري
فقال: يابن رسول الله أريد أن أسالك عن أمر أنت أعلم به منّي، فقال له: إجلس يا عثمان، فقام مغضباً ليخرج، فقال: لا يخرجنّ أحد، فلم يخرج منّا أحد، إلى أن كان بعد ساعة فصاح (عليه السلام) بعثمان فقام على قدميه فقال: أخبركم بما جئتم؟ قالوا: نعم يا بن رسول الله، قال: جئتم تسألوني عن الحجة من بعدي؟ قالوا: نعم، فاذا غلام كأنّه قطعة قمر أشبه الناس بأبي محمد، فقال: هذا إمامكم من بعدي، وخليفتي عليكم، أطيعوه ولا تتفرقوا من بعدي فتهلكوا في أديانكم، ألا وانّكم لا ترونه من بعد يومكم هذا حتى يتمّ له عمر، فاقبلوا من عثمان ما يقوله، وانتهوا الى أمره، واقبلوا قوله، فهو خليفة إمامكم والامر إليه»    الغيبة

เชคตูซีได้รายงานว่า :

มีระดับแกนนำชีอะฮ์เป็นชายจำนวน 40 คนเข้ามารวมตัวกันในบ้านของท่านอิม่ามฮาซันอัสการีเพื่อไตร่ถามถึงอัลฮุจญะฮ์ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากท่าน

อุษมาน บินสะอีด อัลอุมรีย์ยืนขึ้นถามว่า :  
โอ้บุตรของท่านรอซูลุลลอฮ์ !  ผมอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง  ซึ่งท่านรู้เรื่องนี้ดีกว่าผม,  ท่านอิม่ามบอกเขาว่า : โอ้อุษมาน จงนั่งลงเถิด    แล้วท่านลุกออกมาด้วยความโกรธ ท่านกล่าวว่า : อย่าให้ผู้ใดออกไปข้างนอก,  ไม่มีพวกเราสักคนออกไปข้างนอก จนเวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง ท่านพูดเสียงดังกับอุษมาน  แล้วลุกยืนด้วยเท้าทั้งสองของท่าน พลางกล่าวว่า : ฉันจะบอกกับพวกท่านเอาไหมว่าพวกท่านมาหาฉันด้วยเหตุอันใด
พวกเขา( แกนนำ 40 คน) กล่าวว่า : เอาครับ โอ้บุตรของท่านรอซูลุลลอฮ์

ท่านกล่าวว่า :  พวกท่านจะมาถามฉันถึงอัลฮุจญะฮ์( ผู้นำ)ที่จะสืบต่อจากฉันใช่ไหม ?
พวกเขาตอบว่า : ใช่แล้วครับ ทันใดนั้นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งปรากฏตัว เขาผ่องใสดุจดวงจันทร์ เขาเหมือนกับท่านอบู มุฮัมมัด(อิม่ามที่11) มาก  
ท่าน(อิม่ามฮาซัน อัสการี) กล่าวว่า :  เด็กคนนี้คืออิม่ามผู้นำของพวกท่านภายหลังจากฉัน  และเป็นค่อลีฟะฮ์ของฉัน ที่มีอำนาจปกครองพวกท่าน   ขอให้พวกท่านจงตออัต(เชื่อฟัง)เขา  และจงอย่าแตกแยกกันภายหลังจากฉัน  เพราะจะทำให้พวกท่านพบกับความหายนะในศาสนาของพวกท่าน    จงรู้ไว้เถิดว่า พวกท่านจะไม่ได้เห็นเขาอีกหลังจากวันนี้ของพวกท่าน จนกว่าอายุจะครบสมบูรณ์สำหรับเขา  พวกท่านจงยอมรับอุษมานในสิ่งที่เขากล่าวว่า มันคือคำพูดของเขา(คือของอัลมะฮ์ดี)  พวกท่านจงยุติเรื่องที่คำสั่งของเขา  จงยอมรับคำพูดของเขา  เพราะอุษมานคือตัวแทน(นาอิบ)ของอิม่ามของพวกท่าน  ดังนั้นภารกิจจะสิ้นสุดที่เขา      

ดูอัลฆ็อยบะฮ์  โดยเชคตูซี  หน้า 357  ฮะดีษที่ 319
   
คุณฟารูกฮะดีษในลักษณะเช่นนี้มีมากมาย ถ้าเอามารวมกันก็จะกลายเป็นฮะดีษมุตะวาติร เราเพียงแต่หยิบยกแบบรวบลัดมาเพื่อให้ท่านแน่ใจว่า อิม่ามมะฮ์ดีได้เกิดแล้ว และมีคนยุคนั้นเคยพบเห็นเขา
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 01:53:02 หลังเที่ยง
เหตุผลที่ 4 –


ถ้าคุณฟารุก

ได้อ่านตำราประวัติศาสตร์อิสลามและตำราฮะดีษของชีอะฮ์ คุณจะเข้าใจว่า ชีอะฮ์สามัญชนตั้งแต่ยุคแรกล้วนถ่ายทอดความเชื่อนี้มาโดยตลอด ความเชื่อเช่นนี้จึงมีความชัดเจนดีในหมู่ชีอะฮ์



จะเห็นได้ว่า มีพวกชีอะฮ์นาวูซียะฮ์ได้อ้างว่า อิม่ามที่หายตัวไปคืออิม่ามศอดิก เมื่อตัวอิม่ามศอดิกสิ้นชีพ ความเชื่อของพวกนาวูซียะฮ์ก็เป็นโมฆะไปด้วย    

ส่วนพวกชีอะฮ์วากีฟียะฮ์ก็อ้างว่า อิม่ามมะฮ์ดีของพวกเขาคืออิม่ามมูซากาซิม
ถ้าคุณพิจารณาให้ดี จะเห็นว่า เรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นเหตุ ทำให้ความเชื่อของชาวชีอะฮ์ในเรื่องการมีอยู่ของอิม่ามมะฮ์ดีอ่อนแอลงไปเลย

ในทางตรงกันข้ามมันกลับทำให้ความเชื่อนี้มีน้ำหนักและแข็งมากขึ้น เพราะได้แสดงให้รู้ว่า ความเชื่อเช่นนี้เป็นความเชื่อที่แพร่หลายชัดเจนดีในหมู่ชาวชีอะฮ์

จนมีมุสลิมหลายกลุ่มฉกฉวยโอกาสแอบอ้างชื่ออิม่ามบางคน ที่พวกเขาตะอัศซุบว่า เป็นอิม่ามมะฮ์ดี  แล้วอ้างว่าตนคือตัวแทน (ไม่ว่าเขาจะเรียกตัวเองว่าสะฟีร, นาอิบ หรือวะกีลของ)ของอิม่ามคนนั้นๆ
 
หากว่า เรื่องการเกิดและการหายตัวของอิม่ามมะฮ์ดีเป็นเพียงนิยายขายฝัน  เราคิดว่าคงจะไม่มีพวกนักหลอกลวงทั้งหลายโกหกกับประชาชนมาทุกยุคทุกสมัยหรอกว่า

เขาคืออิม่ามมะฮ์ดีบ้าง เขาเป็นตัวแทนของอิม่ามมะฮ์ดีบ้าง      ฉะนั้นจึงทำให้เราแน่ใจว่าอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วจริงๆ
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 01:53:46 หลังเที่ยง
เหตุผลที่ 5 –


ตัวแทนคอศของอิม่ามมะฮ์ดี 4 คนที่ได้รับการแต่งตั้งจากท่านอิม่ามมะฮ์ดีเป็นเรื่องชัดเจนในประวัติศาสตร์ชีอะฮ์

ไม่มีชีอะฮ์คนใดสงสัยคลางแคลงนับจากยุคของเชคกุลัยนีซึ่งเป็นยุคที่ท่านใช้ชีวิตในสมัยเดียวกันกับตัวแทนของอิม่ามมะฮ์ดีในช่วงหายตัวไปครั้งแรก

และท่านอาลี บินฮูเซนบิดาของเชคศอดูกก็เป็นอีกคนหนึ่ง จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้  ไม่เคยมีชีอะฮ์คนใดสงสัยในเรื่องตัวแทนทั้งสี่คนนี้เลย ซึ่งพวกเขาคือ :
 
1, เชคอุษมาน  บินสะอีด อะบูอัมรฺ  
2, เชคมุฮัมมัด  บินอุษมาน บินสะอีด
3, เชคฮูเซน  บินรู๊ห์  
4, เชคอาลี บินมุฮัมมัด อัสสะมะรี

นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราแน่ใจว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วและเขาได้แต่งตั้งตัวแทนเอาไว้ก่อนที่เขาจะหายตัวไปจากสังคมในยุคนั้น
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 01:54:37 หลังเที่ยง
เหตุผลที่ 6 –



จากปากคำของนักประวัติศาสตร์อิสลามและนัซซาบ(ผู้เชี่ยวชาญด้านสืบสายสกุล)ฝ่ายซุนนี่ ได้สร้างความชัดเจนในเรื่องการเกิดของอิม่ามมะฮ์ดี เช่น :

ท่านอิบนุค็อลกานกล่าวว่า :

อะบุลกอซิม มุฮัมมัด บินฮาซันอัสการีคืออิม่ามคนที่ 12 ตามความเชื่อของชีอะฮ์ ซึ่งรู้จักกันในนาม อัลฮุจญะฮ์  เขาเกิดวันศุกร์ที่ 15 เดือนชะอ์บาน ฮ.ศ.ที่ 255  
หนังสือ วัฟยาตุล อะอ์ยาน  เล่ม 4 หน้า 176 เล่มที่ 562

ท่านซะฮะบีกล่าวว่า :
 
ส่วนบุตรชายของอิมามที่ 11 ที่ชื่อมุฮัมมัด บินอัลฮาซัน ที่พวกชีอะฮ์เรียกกันว่า อัลกออิมุลค่อละฟุลฮุจญะฮ์  เขาเกิดในปีฮ.ศ.ที่ 258 บางคนว่าปีฮ.ศ.ที่ 256      
หนังสือตารีคุลอิสลาม เล่ม 11 หน้า 113 เลขที่ 159
 
ท่านอิบนุฮะญัร อัลฮัยษะมีกล่าวว่า :

อิม่ามฮาซันอัสการีไม่มีบุตรสืบทอดเลยสักคน ยกเว้นบุตรชายที่ชื่อ อะบุลกอซิม มุฮัมมัด อัลฮุจญะฮ์เท่านั้น  ตอนที่บิดาเขาเสียชีวิตเขามีอายุได้ 5 ปี
หนังสืออัศศ่อวาอิกอัลมุห์ริเกาะฮ์ หน้า 255 และหน้า 314

ท่านค็อยรุดดีนอัซ-ซัรกุลีกล่าวว่า :

อัลมะฮ์ดีเกิดที่เมืองซามาร่า(ซะมัรรอ) ประเทศอิรัก เมื่อบิดาเขาเสียชีวิต ตอนนั้นเขามีอายุ 5 ปี หนังสืออัศ-ศ่อวาอิกอัลมุห์ริเกาะฮ์ หน้า 255 และ 314
 
ยังมีคำพูดของนักตารีคอีกหลายคนที่กล่าวถึงเรื่องการเกิดของอิมามมะฮ์ดีเอาไว้ คำพูดเหล่านี้เป็นอีกพยานหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อว่า อิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วจริง
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 01:55:43 หลังเที่ยง
เหตุผลที่ 7 –


บรรดานักปราชญ์ที่เป็นนักรายงานฮะดีษชีอะฮ์ มีความเชื่อเหมือนกันมาโดยตลอดนับตั้งแต่


สมัยเชคกุลัยนี ( เกิดฮ.ศ.ที่ 260 มรณะฮ.ศ. 329 )  เจ้าของหนังสืออัลกาฟีซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยตัวแทนพิเศษของอิม่ามมะฮ์ดีตอนช่วงหายตัวครั้งแรก
และเขายังได้พบปะกับตัวแทนอิม่ามมะฮ์ดีตอนอยู่ที่กรุงแบกแดด  เชคกุลัยนีก็ได้อาศัยอยู่ที่นั่น เชคกุลัยนีสิ้นชีพในปีที่ตัวแทนคนสุดท้ายของอิมามมะฮ์ดีชื่อ อาลีบินมุฮัมมัดอัสสะมะรีสิ้นชีพพอดี  

สมัยของอาลี บินฮูเซน บินบาบะวัยฮฺ อัลกุมมี (บิดาของเชคศอดูก),

สมัยเชคศอดูก ( มรณะฮศ.381 ) เจ้าของหนังสือมันลายะห์ฎุรุฮุลฟะกีฮ์

และสมัยเชคตูซี่ ( มรณะฮศ.460 ) เจ้าของหนังสือตะห์ซีบุลอะห์กาม,อัลอิสติบศ็อร,อัต-ติบยาน,อัลฆ็อยบะฮ์ตูซี,อะมาลีตูซี,อัลฟะฮ์ร็อสและริญานตูซี

จนมาถึงยุคปัจจุบันนี้ว่า อุละมาอ์ชีอะฮ์และเอาวามชีอะฮ์ต่างรู้ว่า อิม่ามมะฮ์ดีได้เกิดมาแล้ว

แต่ท่านได้หายตัวไปและยังไม่ปรากฏตัว   ชีอะฮ์ทุกชนชั้นไม่เคยสงสัยในเรื่องนี้ ซึ่งนี่คือรากฐานความเชื่อของชีอะฮ์และของมัซฮับชีอะฮ์


เหตุผลที่กล่าวมา จึงสร้างความแน่ใจให้เราเชื่อว่า

ชายที่ชื่ออัลมะฮ์ดี บุตรชายของฮาซัน อัลอัสการีได้เกิดแล้วจริงและยังมีชีวิตอยู่
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 12, 2010, 02:22:10 หลังเที่ยง
ทั้งหมดที่กล่าวมาคือเหตุผลและหลักฐานของเรา  ที่ทำให้เราเชื่อและแน่ใจว่า  

อัลมะฮ์ดี บินฮาซันอัสการี(อ)เกิดแล้ว


 

แต่ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องวิจัยและวิจารณ์กันต่อ  คือ

เคยมีมนุษย์ในโลกคนใดบ้าง ที่มีอายุถึงหนึ่งพันปี ?
 
เนื่องจากอัลมะฮ์ดีเข้ารับตำแหน่งอิม่ามที่ 12 ในปี ฮ.ศ. ที่ 260 ปัจจุบัน ฮ.ศ.ที่ 1431    

1431 ลบ 260 = 1171 ปี

คนเรามีอายุอย่างมากสุดก็ไม่เกิน 150 ปี แล้วทำไมชีอะฮ์จึงเชื่อว่าอิม่ามมะฮ์ดียังมีชีวิตอยู่



 
 
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: faruq เมื่อ กรกฎาคม 13, 2010, 08:44:37 ก่อนเที่ยง
อัสลามมูอาลัยกุมคุณ l-umar

ผมไม่สงสัยเรื่องอายุของอิหม่ามมะดีย์หรอกครับ หากว่าท่านกำเนิดมาแล้วจริงต่อให้ท่านจะมีอายุมากกว่านี้เป็นหมื่นปีก็ตาม หากท่านเป็นบุคคลที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ท่านจะมีอายุกี่ปีก็ได้ เช่นเดียวกับที่เราเชื่อว่านบีอีซายังมีชีวิตอยู่ ณ ที่พระองค์อัลลอฮฺ

แต่ชาวซุนนะฮฺไม่ได้มีความเชื่ออย่างเดียวกับท่านเราต่างก้มีหลักฐานในการยืนยันความเชื่อของตัวเอง
อย่าง ฮะดิษบทนี้ เป็นต้น

จากท่านอับดุลลอฮฺ บินมัสอูด ร.ฎ. ซึ่งกล่าวว่า ......

ِانَّ النَّبِيَّ صَلَّي اللَّـهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : لَوْلَمْ يَبْقَ مِنَ الدُّنْيَا اِلاَّيَوْمٌ لَطَوَّلَ اللَّـهُ ذَلِكَ الْيَوْمَ حَتََّي يَبْعَثَ رَجُلاً مِنِّيْ، يُوَاطِيءُاسْمُـُه اسْمِيْ، وَاسْـمُ اَبِيْهِ اسْـمَ اَبِيْ يَمْلأُ الاَرْضَ قِسْـطًاوَعَدْلاً كَمَامُلِئَتْ ظُلْمًا وَجَوْرًا ........

ท่านนบีย์ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า "สมมุติถ้าหากโลกนี้ไม่มีเวลาเหลืออยู่นอกจากแค่วันเดียว พระองค์อัลลอฮฺ ซ.บ. ก็จะทรงยืดเวลาของวันนั้นออกไป เพื่อพระองค์จะได้แต่งตั้งบุรุษหนึ่งซึ่งมาจาก(เชื้อสายของ)ฉัน, นามของเขาตรงกับนามของฉัน และนามบิดาของเขาก็ตรงกับนามบิดาของฉัน, เขาจะทำให้แผ่นดินนี้เต็มไปด้วยความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม เหมือนอย่างที่มันเคยเต็มไปด้วยความอธรรมและความชั่วร้ายมาก่อน" (บันทึกโดย ท่านอบูดาวูด หะดีษที่ 4282, ท่านอัล-หากิม ในหนังสือ "อัล-มุสตัดร็อก" หะดีษที่ 8434 หรือเล่มที่ 4 หน้า 511, ท่านอัล-ฮัยษะมีย์ในหนังสือ "มะวาริด อัศ-ศ็อมอาน" หะดีษที่ 1878, ท่านอิบนุ อบีย์ชัยบะฮฺในหนังสือ "อัล-มุศ็อนนัฟ" เล่มที่ 8 หน้า 678, (หมายเลข 193) และท่านอบูนุอัยม์ ในหนังสือ "อัคบารฺ อัล-มะฮฺดี" ดังการอ้างอิงของท่านอัส-สะยูฏีย์ในหนังสือ "อัล-หาวีย์ ลิ้ลฟะตาวีย์" เล่มที่ 2 หน้า 133) .......

ท่านอัล-อัลบานีย์ ได้กล่าวรับรองในหนังสือ "เศาะเหี๊ยะฮฺ อัล-ญาเมียะอฺ อัศ-เศาะฆีรฺ" เล่มที่ 5 หน้า 70-71 ว่า หะดีษนี้ เศาะเหี๊ยะฮฺ

เห็นชัดว่าท่านนบีระบุว่าชื่อของอิหม่ามมะดีย์ จะชื่อเหมือนนบี และชื่อบิดาก็ชื่อเดียวกับบิดานบี ดังนั้น ชื่ออิหม่ามมะดีย์ของชาวซุนนะฮฺ
จะต้องมีชื่อว่า มุหัมมัด บิน อับดุลลอฮฺ เท่านั้น ส่วนอิหม่ามมะดีย์ของท่าน คือ มุฮัมมัด บิน ฮะซัน อัล-อัซกะรี
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 13, 2010, 09:03:57 ก่อนเที่ยง
วะอะลัยกุมุสสลาม   คุณฟารูก    
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 13, 2010, 09:05:56 ก่อนเที่ยง
เมื่อคุณเชื่ออย่างนั้น  ก็ดีแล้ว   เราจะได้ย้ายไปคุยกันถึงเรื่อง



บิดาของอิม่ามมะฮ์ดีเลย  


แต่ก่อนอื่น  เราขอนำเสนอ   เรื่องอายุของมนุษย์ในทัศนะอิสลามสักนิด   แล้วจากนั้นจะสนทนากับท่านในเรื่องหะดีษชื่อบิดาของอัลมะฮ์ดีว่า



ชื่อ    อับดุลลอฮ์    หรือ  ฮาซันอัสการี    ???
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 13, 2010, 09:08:54 ก่อนเที่ยง
 ۞۞۞  อายุขัยของมนุษย์ในทัศนะอิสลาม   ۞۞۞



เราพบหลักฐานจากคัมภีร์กุรอ่านและหะดีษที่ระบุว่า  

→ บ่าวของอัลลอฮ์บางคนที่มีอายุ  900  ปีขึ้นไป เช่น

หนึ่ง -  นะบีอาดัม(อ)     มีอายุหนึ่งพันปี  แม้ว่าหะดีษบางบทรายงานว่า ท่านได้ฮะดียะฮ์อายุของท่านให้นะบีดาวูด 40 ปี  ดังนั้นท่านนะบีอาดัมจึงมีอายุ 960 ปี    ดูสุนันติรมิซี   หะดีษที่  3694  


สอง – นะบีนู๊ห์(อ) มีอายุ 950 ปี ดังที่อัลเลาะฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَلَقَدْ أَرْسَلْنَا نُوحًا إِلَى قَوْمِهِ فَلَبِثَ فِيهِمْ أَلْفَ سَنَةٍ إِلَّا خَمْسِينَ عَامًا فَأَخَذَهُمُ الطُّوفَانُ وَهُمْ ظَالِمُونَ

และโดยแน่นอนเราได้ส่งนูห์ไปยังหมู่ชนของเขา และเขาได้อยู่ร่วมกับพวกเขาหนึ่งพันปีเว้นห้าสิบปี (950 ปี)   ซูเราะฮ์อัลอังกะบูต  : 14

นะบีนูห์ได้เรียกร้องเชิญชวนหมู่ชนของเขาไปสู่การศรัทธาและอิบาดัตต่ออัลอฮ์เพียงองค์เดียว แต่หมู่ชนของท่านเป็นพวกบูชาเจว็ดและรูปปั้นต่าง ๆ ดังนั้นอุทกภัยได้คร่าชีวิตพวกเขา

หมายเหตุ การดำรงชีวิตของนะบีนูห์แบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ
1.   ตั้งแต่เกิด จนอัลลอฮ์แต่งตั้งให้เป็นนะบีไปยังหมู่ชนของท่าน
2.   ช่วงที่ดะอ์วะฮ์หมู่ชนของท่าน จนถึงช่วงมีอุทกภัย  เป็นเวลา 950 ปี
3.   ช่วงที่ท่านอยู่บนเรือ จนเสียชีวิต  
เพราะฉะนั้นนะบีนู๊ห์จึงมีอายุมากกว่า 1000 ปีแน่นอน


→ บ่าวของอัลลอฮ์ที่มีอายุมากกว่า 1,000  ปี เช่น

นะบีซุลก็อรนัยน์(อ)  มีอายุถึง 1,600 ปี ดูตัฟสีรอะบิสสุอูด เล่ม 4 : 282
ส่วนชาวคัมภีร์เชื่อว่า ท่านมีอายุถึง 3000 ปี


→ บ่าวของอัลลอฮ์ที่มีอายุราว 2,000  ปีและปัจจุบันยังดำรงชีวิตอยู่ เช่น

นะบีอีซา(อ) อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

إِذْ قَالَ اللَّهُ يَا عِيسَى إِنِّي مُتَوَفِّيكَ وَرَافِعُكَ

จงรำลึกถึง  ขณะที่อัลลอฮ์ตรัสว่า   โอัอีซา !  ข้าจะเป็นผู้รับเจ้าไปพร้อมด้วยชีวิตและร่างกายของเจ้า และจะเป็นผู้ยกเจ้าขึ้นไปยังข้า   ซูเราะฮ์อาลิอิมรอน  : 55

นักปราชญ์วาฮาบีชื่อเชคซอและห์ อาลิชัยค์ อธิบายอายัตนี้ว่า
ภาพ http://www.aawsat.com/2008/10/28/images/ksa-local1.492507.jpg

رفع إلى السماء حيا ووجه الشبه مكانه فتقل اليهود الشبه فصلبوا الشبه وأما عيسى عليه السلام فهو حي في السماء وينزل ونزوله من أشراط الساعة الكبرى
كتاب العقيدة  للشيخ صالح آل الشيخ  ج 17  ص 441

อัลลอฮ์ทรงยกนะบีอีซาขึ้นไปบนชั้นฟ้าในสภาพมีชีวิต และให้คนที่(หน้าตา)เหมือนเขาอยู่แทนที่เขา พวกยิวจึงเอาคน(ที่หน้าเหมือนนะบีอีซา)นั้นไปตรึงกางเขน  ส่วนนะบีอีซา(อ)ยังมีชีวิตอยู่ในชั้นฟ้าและเขาจะลงมายังโลกในช่วงใกล้วันอวสาน

อ้างอิงจากกิตาบอะกีดะฮ์ โดยเชคซอและห์อาลิชชัยค์  หน้า 17 : 441

ปัจจุบันคริสตศักราช   2010  นั่นหมายความว่า  นะบีอีซา(อ)มีอายุสองพันกว่าปี และที่สำคัญท่านยังชีวิตอยู่


۩  สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ  

เมื่อชีอะฮ์เชื่อว่าอิม่ามมะฮ์ดีเกิดแล้วและยังไม่ตาย ตอนนี้เขามีอายุ 1171  ปี   กลับถูกฝ่ายซุนนี่บางส่วนถากถางว่า   ความเชื่อนี้เป็นนิยาย เป็นเรื่องไร้สาระ  

พวกเขาคงลืมไปว่าคัมภีร์อัลกุรอ่านได้กล่าวว่า
 
นะบีอีซายังไม่ตายและจะลงมาจากฟากฟ้าตอนใกล้วันกิยามัต
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ กรกฎาคม 13, 2010, 09:22:10 ก่อนเที่ยง
เพื่อมิให้กระทู้ของเราออกนอกกรอบ   จึงขอให้คุณฟารูกย้ายไปสนทนาถึงเรื่องบิดาของอิม่ามมะฮ์ดีที่กระทู้นี้



http://www.q4sunni.com/believe/index.php?option=com_kunena&Itemid=71&func=view&catid=2&id=2191#2191
ชื่อ: Re:การสนทนาเรื่อง อัลกาฟี กับซอฮิ๊ฮ์บุคอรี
โดย: L-umar เมื่อ ตุลาคม 26, 2010, 11:36:27 ก่อนเที่ยง
:)