Q4wahabi.com (Question for Wahabi)

หมวดหมู่ทั่วไป => หลักการศรัทธาในทัศนะของวาฮาบี ซุนนี่ และชีอะฮ์ => หัวข้อที่ตั้งโดย: L-umar เมื่อ กันยายน 23, 2009, 11:23:02 ก่อนเที่ยง

ชื่อ: วิจัย ศาสนา วาฮาบี ยะฮูดีกับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 23, 2009, 11:23:02 ก่อนเที่ยง

วิจัยเรื่อง ศาสนาวาฮาบี ยะฮูดี กับความญาเฮ้ล เรื่องเตาฮีด


เตาฮีด
คือความเชื่อและศรัทธาว่า อัลลอฮ์มีอยู่จริง และเป็นพระเจ้าที่แท้จริงเพียงองค์เดียวเท่านั้น

ชิรีก  
คือการสักการะบูชา(อิบาดะฮ์)ต่อสิ่งอื่นนอกเหนือจากอัลลอฮ์


สารัตถะอิสลามที่แท้จริงประการแรกคือ  การกล่าวว่า

"ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ  และมุฮัมมัด(ศ)เป็นศาสนทูตของพระองค์"



พวกวาฮาบี

คือผลพวงที่ท่านอิบนุตัยมียะฮ์และท่านอิบนุอับดุลวะฮาบได้โปรยหว่านเมล็ดพันธ์แห่งความเข้าใจผิดในเรื่องเตาฮีดและชิรีกเอาไว้ ซึ่งเป็นอะกีดะฮ์ที่ไม่ตรงต่อสิ่งที่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ)ได้นำมา  

แต่อะกีดะฮ์วาฮาบีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม  โดยที่บรรดามุสลิมหาได้รู้ถึงอันตรายของวาฮาบี

เพราะพวกวาฮาบีได้ใส่ร้ายป้ายสีพี่น้องมุสลิมว่า พวกเขาทำชิรีกตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ และในที่สุดก็ทำการตักฟีรพี่น้องมุสลิม (คือฮุก่มว่าเขาตกเป็นกาเฟ็ร)  

ด้วยเหตุนี้เราจำเป็นต้องมาตรวจสอบเตาฮีดของวาฮาบีให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้คำอธิบายว่า  เตาฮีดของพวกวาฮาบีนั้นผิดอย่างไร


เพราะสาเหตุที่แท้จริงนั้นมีที่มาจาก ท่านอิบนุตัยมียะฮ์มีความเข้าใจอย่างผิวเผินต่อความหมายของเตาฮีด ไม่ตรงตามที่ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ) ได้นำมาสอนสั่งมนุษยชาติ

จึงเป็นเหตุทำให้พี่น้องมุสลิมบางส่วนทั้งในดินแดนอาหรับและทั่วโลกพลอยเข้าใจเรื่องเตาฮีดผิดไปกับอิบนุตัยมียะฮ์ด้วย
และจากเข้าใจผิดในเรื่องเตาฮีดนี้ ได้แปรรูปเกิดเป็นขบวนการก่อการร้ายสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วโลก เช่น  การสังหาร หลั่งเลือดพี่น้องมุสลิมด้วยกัน  การระเบิดมัสญิดที่เกิดขึ้นในประเทศอิรัก  ปากีสถานจากฝีมือของพวกที่เชื่อถือตามอะกีดะฮ์ของอิบนุตัยมียะฮ์
โดยที่ผู้คนเหล่านั้นหาได้ให้ความสำคัญกับการศึกษาค้นคว้า ตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด

ท่านจะสังเกตเห็นได้ว่า  อุปนิสัยทรามของวาฮาบีคือ

1.   ชอบกล่าวหาผู้อื่นว่า  ทำชิรีก ( ตัชรี๊ก - تشريك )
2.   ชอบด่วนตัดสินผู้อื่นว่า เป็นกาเฟ็ร ( ตักฟีร -تكفير )

อิสลามได้ย้ำถึงอันตรายของการตักฟีร(ฮุก่มคนอื่นเป็นกาเฟ็ร) อย่างมาก  

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَلاَ تَقُولُواْ لِمَنْ أَلْقَى إِلَيْكُمُ السَّلاَمَ لَسْتَ مُؤْمِنًا

พวกเจ้าจงอย่ากล่าวแก่ผู้ให้สะลามยังพวกเจ้าว่า  ท่านไม่ใช่ผู้ศรัทธา

(บทที่ 4 : 94 )


โองการนี้ได้ห้าม ตัดสินผู้ที่ให้สลามแก่เรามุสลิมว่า เป็นกาเฟ็ร

แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า กับผู้ที่กล่าวถ้อยคำเตาฮีด หรือปฏิญาณตนว่า

" ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ  และมุฮัมมัด(ศ)เป็นศาสนทูตของพระองค์ "

ซึ่งจะกล่าวถึงรายละเอียดต่อไป
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 23, 2009, 01:14:05 หลังเที่ยง

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

مَنْ مَاتَ وَهُوَ يَعْلَمُ أَنَّهُ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ دَخَلَ الْجَنَّةَ

ผู้ใดเสียชีวิต ในขณะที่เขารู้ดีว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮ์   เขาจะได้เข้าสวรรค์


เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 145


ที่ยิ่งกวานั้น ชาวอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ยังได้รายงานว่า อีหม่านจะให้คุณกับบ่าวคนหนึ่ง แม้ว่าบ่าวคนนั้นทำซีนา หรือลักขโมย


ท่านอบูษัรเล่าว่า

قَالَ أَتَيْتُ النَّبِىَّ - صلى الله عليه وسلم - وَعَلَيْهِ ثَوْبٌ أَبْيَضُ وَهْوَ نَائِمٌ ، ثُمَّ أَتَيْتُهُ وَقَدِ اسْتَيْقَظَ فَقَالَ « مَا مِنْ عَبْدٍ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ . ثُمَّ مَاتَ عَلَى ذَلِكَ ، إِلاَّ دَخَلَ الْجَنَّةَ » . قُلْتُ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ قَالَ « وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ » . قُلْتُ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ قَالَ « وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ » . قُلْتُ وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ قَالَ « وَإِنْ زَنَى وَإِنْ سَرَقَ عَلَى رَغْمِ أَنْفِ أَبِى ذَرٍّ » .

ฉันเข้ามาหาท่านนบี(ศ) บนท่านมีเสื้อผ้าสีขาว ขณะที่ท่านนอนอยู่ จากนั้นฉันได้เข้ามาหาท่านและท่านได้ตื่น  ท่านกล่าวว่า
ไม่มีบ่าวคนใดที่กล่าวว่า  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  จากนั้นเขาก็ตายบนสิ่งนั้น เว้นแต่เขาจะได้เข้าสวรรค์
อบูษัรกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยกระนั้นหรือ ?
ท่านกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยก็ตาม
อบูษัรกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยกระนั้นหรือ ?
ท่านกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยก็ตาม
อบูษัรกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยกระนั้นหรือ ?
ท่านกล่าวว่า  ถึงแม้เขาได้ทำซีนาและลักขโมยก็ตาม

เศาะหิ๊หฺบุคอรี หะดีษ  5827


จะเห็นได้ว่า หะดีษดังกล่าวตั้งเกณฑ์ความเชื่อถือศรัทธาต่ออัลลอฮ์ไว้ที่จิตใจเท่านั้น  
ส่วนอามั้ลการงานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดเป็นกรณีๆไป


คำถามที่สำคัญคือ

ท่านรอซูลุลลลอฮ์(ศ)กำหนดขอบข่ายความเป็นมุสลิมไว้อย่างไรบ้าง ???

عَنْ أَبِى جَمْرَةَ قَالَ كُنْتُ أُتَرْجِمُ بَيْنَ يَدَىِ ابْنِ عَبَّاسٍ وَبَيْنَ النَّاسِ فَأَتَتْهُ امْرَأَةٌ تَسْأَلُهُ عَنْ نَبِيذِ الْجَرِّ فَقَالَ إِنَّ وَفْدَ عَبْدِ الْقَيْسِ أَتَوْا رَسُولَ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « مَنِ الْوَفْدُ أَوْ مَنِ الْقَوْمُ ». قَالُوا رَبِيعَةُ. قَالَ « مَرْحَبًا بِالْقَوْمِ أَوْ بِالْوَفْدِ غَيْرَ خَزَايَا وَلاَ النَّدَامَى ». قَالَ فَقَالُوا يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنَّا نَأْتِيكَ مِنْ شُقَّةٍ بَعِيدَةٍ وَإِنَّ بَيْنَنَا وَبَيْنَكَ هَذَا الْحَىَّ مِنْ كُفَّارِ مُضَرَ وَإِنَّا لاَ نَسْتَطِيعُ أَنْ نَأْتِيَكَ إِلاَّ فِى شَهْرِ الْحَرَامِ فَمُرْنَا بِأَمْرٍ فَصْلٍ نُخْبِرْ بِهِ مَنْ وَرَاءَنَا نَدْخُلُ بِهِ الْجَنَّةَ. قَالَ فَأَمَرَهُمْ بِأَرْبَعٍ وَنَهَاهُمْ عَنْ أَرْبَعٍ. قَالَ أَمَرَهُمْ بِالإِيمَانِ بِاللَّهِ وَحْدَهُ. وَقَالَ « هَلْ تَدْرُونَ مَا الإِيمَانُ بِاللَّهِ ». قَالُوا اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَعْلَمُ. قَالَ « شَهَادَةُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ وَإِقَامُ الصَّلاَةِ وَإِيتَاءُ الزَّكَاةِ وَصَوْمُ رَمَضَانَ وَأَنْ تُؤَدُّوا خُمُسًا مِنَ الْمَغْنَمِ

อบีญัมเราะห์ รายงานว่า ฉันเคยเป็นล่าม (ภาษาเปอร์เซีย) ให้กับ อิบนิอับบาส ในการอธิบายเรื่องศาสนาให้แก่คนทั่วไป  ตอนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งมาหาท่านและถามเกี่ยวกับเหยือกที่ใช้ดองสิ่งมึนเมา ท่านตอบว่า แท้จริงตัวแทนของเผ่าอับดุลกอยส์ ได้เคยมาหาท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)
ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ถามว่า : เป็นตัวแทนของใคร หรือจากกลุ่มชนใด ?
 
พวกเขาตอบว่า : จากเผ่ารอบีอะฮ์
ท่านกล่าวว่า : ยินดีต้อนรับตัวแทนของชนกลุ่มนี้ โดยไม่มีความทุกข์โศกและความระทมใดๆ  
เขากล่าวว่า : คนเหล่านั้นได้กล่าวว่า : โอ้ท่านศาสนทูตของอัลลออ์ แท้จริงพวกเราจะมาหาท่านด้วยความยากลำบากและหนทางก็ไกล ระหว่างทางก็มีบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาจากมุฏ็อรคอยสกัดกั้น ทำให้พวกเราไม่สามารถมาพบท่านได้ (อย่างปลอดภัย) นอกจากเดือนต้องห้ามเท่านั้น (เดือนที่มีสนธิสัญญาสงบศึกสี่เดือนคือ รอญับ, ซุลเกาะอ์ดะห์, ซุลฮิจญะห์, และมุฮัรรอม) ดังนั้นได้โปรดสั่งใช้พวกเราตรงๆเถิด พวกเราจะได้นำไปบอกบรรดากลุ่มชนของเรา เพื่อพวกเราจะได้เข้าสวรรค์

เขากล่าวว่า : (ท่านรอซูล) ได้ใช้พวกเขา  4 ประการ และห้ามพวกเขา 4 ประการ

เขากล่าวว่า : ท่านใช้พวกเขาให้ศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์เพียงองค์เดียว  
โดยกล่าวว่า พวกเจ้ารู้ไหม  การศรัทธาต่อพระองค์อัลลอฮ์เป็นเช่นใด
พวกเขาตอบว่า : อัลลอฮ์และรอซูลของพระองเท่านั้นที่รู้ดียิ่ง

ท่านบอกว่าคือ :
1.   การปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์อัลลอฮ์ และมูฮัมหมัด ศือศาสนทูตของอัลลอฮ์,
2.   การดำรงละหมาด,
3.   การจ่ายซะกาต,
4.   ถือศีลอดเดือนรอมฏอน ,  
5.   การจัดจ่ายส่วนหนึ่งในห้าของทรัพย์เฉลยที่พวกเจ้าได้มา

เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 125


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้อธิบายว่า  อีหม่าน(ความเชื่อความศรัทธา)นั้นมีเพียงการยืนยันด้วยถ้อยคำ " ชะฮาดะตัยนฺ " และปฏิบัติตามบทบัญญัติวาญิบตที่อิสลามตั้งอยู่บนมันเท่านั้น

จะเห็นได้ว่า พวกวาฮาบีมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเตาฮีด ,ชิรีก ,กุฟร์และอิสลาม ห่างไกลจากท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)อย่างไร  
หากวาฮาบียึดถือเรื่องความเป็นมุสลิมตามขอบเขตที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้วางไว้จริง พวกเขาคงไม่ฮุก่มมุสลิมคนอื่นอย่างง่ายดาย


เราลองมาพิจารณาหะดีษที่อะฮ์ลุลบัยต์นบี(อ)ได้บอกกล่าวไว้กับชีอะฮ์ดังนี้

อิม่ามบาเก็ร (อ)กล่าวว่า

بُنِيَ الْإِسْلَامُ عَلَى خَمْسٍ عَلَى الصَّلَاةِ وَ الزَّكَاةِ وَ الصَّوْمِ وَ الْحَجِّ وَ الْوَلَايَةِ

อิสลามนั้น ถูกสร้างอยู่บน 5 ประการ คือ การนมาซ จ่ายซะกาต ทำฮัจญ์ ถือศีลอด และวิลายะฮ์ (คือการยอมรับว่าอิม่ามทั้ง12คือผู้นำ )

สถานะหะดีษ  : เศาะหิ๊หฺ  ดูอัลกาฟี    เล่ม 2 : 18 หะดีษ 1


ทำไมอิม่ามบาเก็ร(อ)จึงไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการกล่าวกะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนฺในหะดีษนี้ ?

ตอบเพราะ  การกล่าวกะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนฺ คือเงื่อนไขแรกที่เราจะต้องกล่าวปฏิญานตนเพื่อแสดงถึงการเป็นมุสลิม  
แต่หลังจากที่เราได้ยืนยันความเป็นมุสลิมด้วยคำพูดแล้ว อิสลามยังมีสิ่งให้เราต้องปฏิบัติตามที่ระบุในหะดีษดังกล่าว

ดังนั้นจึงไม่กินกับปัญญาที่คนเราจะทำนมาซ จ่ายซะกาต ทำฮัจญ์ ถือศีลอดและเชื่อฟังบรรดาอิม่ามทั้งสิบสอง  โดยที่เขายังไม่ยอมรับในเตาฮีดของอัลเลาะฮ์ และให้การรับรองว่านบีมุฮัมมัดคือรอซูลของอัลเลาะฮ์
เหมือนที่พวกวาฮาบีนำหะดีษนี้ไปโจมตีอย่างผิดประเด็น


เพื่อความกระจ่างขอให้ท่านลองอ่านหะดีษต่อไป      

عَنْ عَجْلَانَ أَبِي صَالِحٍ قَالَ قُلْتُ لِأَبِي عَبْدِ اللَّهِ ع أَوْقِفْنِي عَلَى حُدُودِ الْإِيمَانِ فَقَالَ شَهَادَةُ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَ أَنَّ مُحَمَّداً رَسُولُ اللَّهِ وَ الْإِقْرَارُ بِمَا جَاءَ بِهِ مِنْ عِنْدِ اللَّهِ وَ صَلَوَاتُ الْخَمْسِ وَ أَدَاءُ الزَّكَاةِ وَ صَوْمُ شَهْرِ رَمَضَانَ وَ حِجُّ الْبَيْتِ وَ وَلَايَةُ

อัจญ์ลาน อบีศอและห์เล่าว่า ฉันได้กล่าวกับท่านอบูอับดุลลอฮ์(อิม่ามศอดิก)ว่า
กรุณาทำให้ฉันยืนอยู่บนขอบเขตของอีหม่านด้วยเถิด
ท่านอิม่ามกล่าวว่าคือ :  การปฏิญาณว่า  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  และแท้จริงมุฮัมมัดคือรอซูลุลลอฮ์และให้การรับรองต่อสิ่งที่ท่านได้นำมันมาจากอัลลอฮ์,
1.   ดำรงนมาซห้าเวลา,
2.   จ่ายทานซะกาต,
3.   ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน,
4.   การไปประกอบพิธีหัจญ์ที่บัยตุลเลาะฮ์,
5.   และการมีวิลายะฮ์  

สถานะหะดีษ  : เศาะหิ๊หฺ  ดูอัลกาฟี    เล่ม 2 : 18 หะดีษ 2


หะดีษที่สองคงสร้างความเข้าใจได้ชัดเจนว่า

คนที่ไม่ยอมรับว่า  อัลลอฮ์คือพระเจ้าองค์เดียว  และมุฮัมมัดไม่ใช่รอซูลุลลอฮ์
และไม่ให้การรับรองต่อสิ่งที่ท่านนบี(ศ)ได้นำมา
คนประเภทนี้ก็จะไม่ยอมปฏิบัติในเรื่องการนมาซ จ่ายซะกาต ทำฮัจญ์ ถือศีลอด และวิลายะฮ์อย่างเด็ดขาด  ถามว่าทำไม ?  ตอบก็เพราะว่าเขาไม่ใช่ผู้ศรัทธาต่ออิสลามนั่นเอง


หากเราย้อนไปพิจารณาหะดีษที่อะฮ์ลุสสุนนะฮ์รายงานว่า  

بُنِىَ الإِسْلاَمُ عَلَى خَمْسٍ شَهَادَةِ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ ، وَإِقَامِ الصَّلاَةِ ، وَإِيتَاءِ الزَّكَاةِ ، وَالْحَجِّ ، وَصَوْمِ رَمَضَانَ

อิสลามนั้น วางอยู่บนรากฐาน 5 ประการ คือ
1.   การปฏิญานตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และแท้จริงมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮ์
2.   การดำรงการละหมาด
3.   การจ่ายซะกาต
4.   การประกอบพิธีหัจญ์ และ
5.   การถือศีลอดในเดือนรอมฏอน

เศาะหิ๊หฺบุคอรี หะดีษ  8


ท่านจะเห็นได้ว่า  ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย บนพื้นฐานทั้งห้า ตามที่หะดีษของทั้งสองฝ่ายระบุเอาไว้ถึงเงื่อนไขของความเป็นมุสลิม


แต่ด้วยสาเหตุอะไรที่ทำให้  พวกวาฮาบี  มีความสุดโต่งกับการตักฟีรมุสลิมด้วยกัน  อันนี้ต้องศึกษากันต่อไป...
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 23, 2009, 02:34:54 หลังเที่ยง

หะดีษต่อไปนี้จะให้รายละเอียดและความชัดเจนยิ่งกว่าเก่าในการกำหนดขอบเขตว่า

ผู้ใดเป็นมุสลิม ?


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

مَنْ صَلَّى صَلاَتَنَا ، وَاسْتَقْبَلَ قِبْلَتَنَا ، وَأَكَلَ ذَبِيحَتَنَا ، فَذَلِكَ الْمُسْلِمُ

ผู้ใดที่นมาซเหมือนกับนมาซของเรา และผินสู่กิบลัตเดียวกับเรา และกินสัตว์เชือดของเรา นั่นแหละคือมุสลิม

เศาะหิ๊หฺบุคอรี  หะดีษ 391


ด้วยเงื่อนไขง่ายๆที่ท่านรอซูล(ศ) ยอมรับ ในความเป็นมุสลิมคือ

1.   ทำนมาซ
2.   เวลานมาซต้องหันหน้าสู่กิบลัตมุสลิม
3.   ทานเนื้อสัตว์ที่มุสลิมเชือด

ถามว่า  มีตรงไหนที่ท่านรอซูล(ศ)ระบุถึงเรื่อง กะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนฺ ?

ไม่มีเลย แต่เป็นที่รู้กันว่า  ผู้ที่ปฏิญาญตนด้วยกะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนฺเท่านั้นถึงจะปฏิบัติสามประการดังกล่าว
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 23, 2009, 03:46:23 หลังเที่ยง

ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า

مَنْ قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ وَكَفَرَ بِمَا يُعْبَدُ مِنْ دُونِ اللَّهِ حَرُمَ مَالُهُ وَدَمُهُ وَحِسَابُهُ عَلَى اللَّهِ

ผู้ใดกล่าวว่า " ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ "

และเขาปฏิเสธต่อสิ่งที่ถูกเคารพสักการะ อื่นจากอัลลอฮ์   ทรัพย์ของเขา ชีวิตของเขา และการพิพากษาเขาตกเป็นของอัลเลาะฮ์

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 139


รายงานถัดมา ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า

مَنْ وَحَّدَ اللَّهَ  ثُمَّ ذَكَرَ بِمِثْلِهِ.

ผู้ใดมี " เตาฮีด " ต่ออัลเลาะฮ์  

แล้วกล่าวเหมือนหะดีษข้างต้นคือ ( และเขาปฏิเสธต่อสิ่งที่ถูกเคารพสักการะ อื่นจากอัลลอฮ์   ทรัพย์ของเขา ชีวิตของเขา และการพิพากษาเขาตกเป็นของอัลเลาะฮ์)

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 140


สิ่งสำคัญคือ หะดีษที่ 140 ได้เปลี่ยนคำ " ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ "
ไปเป็นคำว่า    " ผู้ใดมี เตาฮีด ต่ออัลเลาะฮ์  " แทน
ย่อมแสดงว่า  ทั้งสองประโยคสามารถสลับใช้แทนกันได้


ดังนั้นผู้ใดกล่าวว่า " ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ "

เท่ากับเขา = ได้อยู่นอกขอบข่ายของการตั้งภาคี (ชิรีก)แล้ว ตามตัวบทหะดีษข้างต้น

ตราบใดที่บ่าวคนหนึ่งมีใจเชื่อมั่นและกล่าวยืนยันว่า

" ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และนบีมุฮัมมัด คือรอซูลุลลอฮ์ "

เขาคือมุสลิม  



ในกรณีที่เขายอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวาญิบคือ การนมาซ ถือศีลอด จ่ายซะกาตและการทำหัจญ์
แต่เขาละทิ้งไม่นำมาปฏิบัติ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อิสลามได้กำหนดบทลงโทษเอาไว้ แต่เขายังคงสภาพเป็นมุสลิมอยู่


ส่วนมุสลิมที่สมควรต้องโทษประหาร อาจมีหลายสาเหตุดังต่อไปนี้เช่น
ตกมุรตัด  ปฏิเสธเตาฮีดของอัลเลาะฮ์หรือปฏิเสธตำแหน่งนุบูวะฮ์ของท่านรอซูล(ศ)

ยิ่งกว่านั้น หากเขาปฏิเสธหลักปฏิบัติวาญิบของอิสลามประการใดประการหนึ่ง โดยเขาไม่ยอมรับว่า สิ่งเหล่านี้เป็นวาญิบเช่น  การทำนมาซ การจ่ายซะกาต ด้วยตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมันในข้อนี้อย่างชัดเจน  จึงจะฮุก่มเขาได้ว่า  ไม่ใช่มุสลิมอีกต่อไป



วาฮาบีไม่เคยใช้หะดีษเหล่านี้มาเป็นบรรทัดฐานในการวัดความเป็น " มุสลิม "

แต่วาฮาบีกลับใช้ทัศนะคำพูดของบรรดา " อุละมาอ์วาฮาบี " เป็นมาตรการแทนหะดีษของท่านรอซูล(ศ)

แล้ววาฮาบี ก็อ้างว่า ตนคือผู้ปฏิบัติตาม ซุนนะฮ์นบี ?

ซึ่งเห็นได้ชัดว่า  พวกวาฮาบีโกหก

แล้วผู้ตามวาฮาบีทั้งหลายก็หลงตามไปกับอุสต๊าดวาฮาบีอีกทีหนึ่ง
ชื่อ: วิจัย ศาสนา วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 23, 2009, 04:33:13 หลังเที่ยง

สิ่งสำคัญคือ   ต้องแยกแยะให้ออกว่า  ระหว่างการกระทำที่

ต้องถูกลงโทษ ( حد )   กับ

การทำที่ทำให้ตกเป็นกาเฟร ( كفر )


ซึ่งทั้งสอง  มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


แต่ในสายตาของวาฮาบีคิดเพียงว่า  

ผู้ใดไม่เชื่อ หรือไม่ทำตามพวกตน   ผู้นั้นเป็นพวกบิดอะฮ์  พวกเฎาะลาละฮ์ พวกมุชริก และสุดท้ายเป้นกาเฟ็ร  
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 24, 2009, 08:48:40 ก่อนเที่ยง

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ใช้ให้ตัดสินความเป็น" มุสลิม " ของคนเราเพียงภายนอก(ซอเฮ็ร)

หากเขากล่าวว่า  " ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ "  

ส่วนในใจ(บาเต็น)ของเขาจะศรัทธาจริงหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของอัลลอฮ์(ซบ.)ที่จะพิพากษาเขาเอง  ไม่ใช่เรา



หะดีษหลายบทระบุชัดว่า บุคคลใดกล่าวคำว่า (( ลาอิลาฮะ อิลัลเลาะฮ์ -  ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์  )) คือยืนยันในเตาฮีดเพียงคำพูด ชีวิตของเขาก็ได้รับการพิทักษ์  


ซอฮาบะฮ์คนหนึ่งชื่อ อุซามะฮ์ บินเซดบินฮาริษะฮ์
ได้เล่าเหตุการณ์หนึ่งให้ฟังว่า ท่านรอซูล(ศ)ส่งเขาไปปราบพวกมุชริกกลุ่มหนึ่ง ทหารมุสลิมได้ตีชนกลุ่มนั้นจนแตกพ่าย  ในขณะที่อุซามะฮ์กับชาวอันศ็อรคนหนึ่งได้ไล่ล่าชายคนหนึ่งจนตามทัน
 
เมื่อชายคนนั้นรู้ตัวว่า คงหนีไม่รอดเขาจึงกล่าวว่า  لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ –ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์   ชาวอันศ็อรจึงไม่ทำอะไรเขา

แต่อุซามะฮ์เล่าว่า
 
وَطَعَنْتُهُ بِرُمْحِى حَتَّى قَتَلْتُهُ. قَالَ فَلَمَّا قَدِمْنَا بَلَغَ ذَلِكَ النَّبِىَّ -صلى الله عليه وسلم- فَقَالَ لِى « يَا أُسَامَةُ أَقَتَلْتَهُ بَعْدَ مَا قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ ». قَالَ قُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنَّمَا كَانَ مُتَعَوِّذًا. قَالَ فَقَالَ « أَقَتَلْتَهُ بَعْدَ مَا قَالَ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللَّهُ ». قَالَ فَمَازَالَ يُكَرِّرُهَا عَلَىَّ حَتَّى تَمَنَّيْتُ أَنِّى لَمْ أَكُنْ أَسْلَمْتُ قَبْلَ ذَلِكَ الْيَوْمِ.

ฉันได้แทงเขาด้วยหอก จนฉันได้ฆ่าเขาตาย   อุซามะฮ์เล่าว่า  พอพวกเรากลับมา  ข่าวนั้นได้ล่วงรู้ไปถึงท่านนบี(ศ)  
ท่าน(ศ)ได้กล่าวกับฉันว่า : โอ้อุซามะฮ์  เจ้าได้สังหารเขาหรือ หลังจากที่เขาได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์

อุซามะฮ์ตอบว่า : โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  ที่จริงแล้วเขาแค่ต้องการปกป้อง(ตัวเองให้พ้นอันตรายเท่านั้น)  

ท่าน(ศ)กล่าวว่า : เจ้าได้สังหารเขาหรือ หลังจากที่เขาได้กล่าวว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์

อุซามะฮ์เล่าว่า : ท่าน(ศ)ยังคงถามกับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จนฉันคิดว่า ฉันยังไม่เคยได้เข้ารับอิสลามมาก่อนหน้าวันนั้น

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 288


อีกรายงานหนึ่งบันทึกคำพูดของอุซามะฮ์ว่า

يَا رَسُول اللَّه إِنَّمَا قَالَهَا خَوْفًا مِنْ السِّلَاح قَالَ : أَفَلَا شَقَقْت عَنْ قَلْبه حَتَّى تَعْلَم قَالَهَا أَمْ لَا ؟

โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  แท้จริงที่เขากล่าว " ลาอิลาฮะอิลัลลอฮ์ " เพราะเขากลัวอาวุธ

ท่าน(ศ)กล่าวว่า  ทำไมเจ้าไม่ผ่าหัวใจของเขา(ออกมาดูเลยล่ะ) เจ้าจะได้รู้ว่า เขากล่าวมัน(ด้วยใจจริง)หรือไม่ ?  

ชัรฮุ นะวาวี  เล่ม 1 : 203 หะดีษ 140


เรื่องการกล่าวคำ " ลาอิลาฮะอิลัลลอฮ์ " นั้นเป็นปัญหาทางจิตใจ(ก็อลบี) ที่มนุษย์กล่าวคำนั้นออกมา  ซึ่งบางทีมันก็ออกมาจากอีหม่าน คือเลื่อมใสศรัทธาอย่างแท้จริง
และบางทีมันก็ออกมาจากความนิฟ๊าก  คือความกลับกลอกหลอกลวง

แต่สำหรับเราไม่มีสิทธิ จะไปพิพากษาเกินเลยไปกว่าภายนอกของมนุษย์ ตามที่หะดีษที่ระบุว่า

وَحِسَابُهُ عَلَى اللَّهِ

การพิพากษาของเขา(คนที่กล่าวคำเตาฮีด)นั้นเป็นหน้าที่ของอัลเลาะฮ์

เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 133,134,139


วาฮาบีนั้นทำเกินคำพูดของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)   พวกเขาชอบฮุก่มพี่น้องมุสลิมว่าเป็นพวกมุชริก เป็นพวกกาเฟ็ร เลือดเป็นที่ฮะล้าลสำหรับพวกเขา  สาเหตุเพราะพวกเขาเชื่อถือคำพูดของอิบนิตัยมียะฮ์มากกว่าท่านรอซูล(ศ)นั่นเอง
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 24, 2009, 04:02:36 หลังเที่ยง


พวกวาฮาบี ไม่เคยให้ความสำคัญกับบุคคลที่กล่าวว่า   " ลาอิลาฮะอิลัลเลาะฮ์ "

แต่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ย้ำว่า จงให้ความสำคัญกับผู้ที่กล่าว " ลาอิลาฮะอิลัลเลาะฮ์ "


ท่านมิกด๊าด บินอัลอัสวัดเล่าว่า

قَالَ يَا رَسُولَ اللَّهِ أَرَأَيْتَ إِنْ لَقِيتُ رَجُلاً مِنَ الْكُفَّارِ فَقَاتَلَنِى فَضَرَبَ إِحْدَى يَدَىَّ بِالسَّيْفِ فَقَطَعَهَا. ثُمَّ لاَذَ مِنِّى بِشَجَرَةٍ فَقَالَ أَسْلَمْتُ لِلَّهِ. أَفَأَقْتُلُهُ يَا رَسُولَ اللَّهِ بَعْدَ أَنْ قَالَهَا قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « لاَ تَقْتُلْهُ ». قَالَ فَقُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنَّهُ قَدْ قَطَعَ يَدِى ثُمَّ قَالَ ذَلِكَ بَعْدَ أَنْ قَطَعَهَا أَفَأَقْتُلُهُ قَالَ رَسُولُ اللَّهِ -صلى الله عليه وسلم- « لاَ تَقْتُلْهُ فَإِنْ قَتَلْتَهُ فَإِنَّهُ بِمَنْزِلَتِكَ قَبْلَ أَنْ تَقْتُلَهُ وَإِنَّكَ بِمَنْزِلَتِهِ قَبْلَ أَنْ يَقُولَ كَلِمَتَهُ الَّتِى قَالَ ».

เขาได้กล่าวว่า   โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ ท่านมีความเห็นเช่นไร  หากฉันพบชายคนหนึ่งจากพวก " กาเฟ็ร "     เขาได้ต่อสู้กับฉัน เขาฟันมือข้างหนึ่งของฉันด้วยดาบ แล้วเขาได้ตัดมัน   จากนั้นเขาก็ไปหลบฉันที่ต้นไม้   แล้วเขากล่าวว่า  ฉันได้เข้ารับอิสลามแล้วเพื่ออัลลอฮ์
   
โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์  ฉันจะฆ่าเขาได้ไหมหลังจากที่เขาได้กล่าวมัน(ลาอิลาฮะอิลัลเลาะฮ์) ?

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  :  ท่านจงอย่าฆ่าเขา

มิกด๊าด บินอัลอัสวัดกล่าวว่า :  
โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ แท้จริงเขาฟันมือฉันขาดเลยนะครับ แล้วเขาก็กล่าวคำนั้นหลังจากที่ได้ตัดมัน

ฉันจะฆ่าเขาได้ไหม ?

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า  :  จงอย่าฆ่าเขา
 
เพราะหากท่านฆ่าเขาตาย เขาจะไปอยู่ในตำแหน่งของท่าน  ก่อนหน้าที่ท่านจะฆ่าเขา
ส่วนท่านก็จะตกไปอยู่ในตำแหน่งของเขา ก่อนหน้าที่เขาจะกล่าวคำนั้น ที่เขาได้กล่าวออกมา

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 284


อันนะวาวีได้อธิบายตรงนี้ว่า

وَأَظْهَرهُ مَا قَالَهُ الْإِمَام الشَّافِعِيُّ ، وَابْنُ الْقَصَّار الْمَالِكِيُّ ، وَغَيْرهمَا أَنَّ مَعْنَاهُ فَإِنَّهُ مَعْصُوم الدَّم ، مُحَرَّم قَتْلُهُ بَعْد قَوْله : لَا إِلَه إِلَّا اللَّه

ที่ชัดเจนที่สุดคือสิ่งที่อิหม่ามชาฟิอี  อิบนุลก็อศศ็อรและอัลมาลิกีและอื่นจากทั้งสองได้กล่าวถึงมันเอาไว้ว่า  :
แท้จริงความหมายของหะดีษก็คือ  เขาคือผู้ที่ได้รับการพิทักษ์ชีวิต  การสังหารเขาถือว่าเป็นสิ่งฮะร่าม  หลังจากที่เขาได้กล่าวคำว่า  " ลาอิลาฮะอัลลัลเลาะฮ์ " ออกมา

ชัรฮุล นะวาวี หรือชะเราะห์ เศาะหิ๊หฺมุสลิม เล่ม 1 : 202 หะดีษ 139


เรื่องราวเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในตำราหะดีษเศาะหิ๊หฺของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์เองทั้งสิ้น

มีความชัดเจนโดยไม่ต้องอาศัยนักวิชาการคนใดมาอธิบายเนื้อของตัวบทหะดีษอีก

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ

1.   ทำไมพวกวาฮาบีจึงไม่ยึดถือตามซุนนะฮ์นี้ แต่กลับไปยึดฟัตวาอุละมาอ์ของพวกเขาแทนคำพูดของท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) = วาฮาบีไม่ได้ยึดถือซุนนะฮ์นบีอย่างแท้จริง

2.   พวกวาฮาบีโง่เขลา ไม่รู้จักแม้กระทั่งวิธีการปฏิบัติและให้เกียรติกับบุคคลที่มีเตาฮีดต่ออัลเลาะฮ์(ซบ.)  

สรุป

ต้นเหตุที่ทำให้พวกวาฮาบีชอบฮุก่มพี่น้องมุสลิมต่างมัซฮับว่าเป็น  " กาเฟ็ร "   นั้นมีที่มาจากการที่พวกเขาศึกษาความหมายหะดีษขั้นพื้นฐานง่ายๆของพวกเขาเองไม่เข้าใจอย่างท่องแท้นั่นเอง เลยทำให้วาฮาบีเป็นคนจิตใจคับแคบ ไม่เปิดกว้างที่จะรับฟังเหตุผลของคนมัซฮับอื่น.    
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 25, 2009, 10:31:56 ก่อนเที่ยง

การที่วาฮาบีชอบใส่ร้ายมุสลิมด้วยคำครหาว่า เขาทำชิรีกนั้น นับว่าเป็นการตักฟีรที่อันตรายยิ่งประการหนึ่ง


ท่านคงได้อ่านหะดีษต่างๆก่อนหน้านี้มาแล้วว่า  ผู้ใดยืนยันด้วยลิ้นของเขาด้วยถ้อยคำเตาฮีด(ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์) เขาคือ มุสลิม
ท่านก็ไม่ควรจะไปกล่าวหาเขาให้เป็นอื่นไปจากนั้น
ผู้ใดยืนยันต่อเตาฮีดของอัลลอฮ์ = ผู้นั้นรับรองว่า อัลเลาะฮ์คือผู้สร้าง ผู้ควบคุมดูแล ผู้ที่ได้รับการเคารพสักการะ  ไม่อนุญาตให้เขาเห็นสิ่งอื่นจากอัลเลาะฮ์เป็นพระเจ้า เป็นผู้สร้าง ผู้ควบคุมดูแล ผู้ที่ควรแก่การอิบาดะฮ์
และผู้ใดยืนยันว่า อัลเลาะฮ์คือผู้สร้าง ผู้ควบคุมดูแล  แต่เขากลับให้การเคารพสักการะสิ่งต่างๆมากมาย  = เขาคือ " มุชริก "  (ผู้ที่ทำการตั้งภาคีต่ออัลเลาะฮ์)

ใช่แล้วครับ เขาตั้งภาคีต่ออัลเลาะฮ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  เรามีสิทธิไปฮุก่ม(ตัดสิน)คนที่มีเตาฮีดว่าเป็น " กาเฟ็ร "  ตราบใดที่เขายังไม่ปฏิเสธอัลเลาะฮ์  รอซูลและบทบัญญัติวายิบต่างๆของอิสลามตามที่หะดีษก่อนหน้านี้ได้อธิบายเอาไว้
การที่จะฮุก่ม(ตัดสิน) มุสลิมคนหนึ่งเป็นกาเฟ็รได้ หมายถึงเมื่อเขาได้เรียนรู้พอสังเขปว่า  อัลเลาะฮ์คือพระเจ้า  มุฮัมมัดคือนบีคนสุดท้าย  และรับรู้ว่าการนมาซ,ถือศีลอด,จ่ายซะกาต,การทำหัจญ์นั้นเป็นวาญิบ  แต่หลังจากนั้นเขาได้ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ทั้งๆที่เขาเข้าใจดีแล้ว

อ้างถึงพวกวาฮาบีจะแยกแยะไม่ออกระหว่างการ อิบาดะฮ์  กับ การอิ๊ห์ติรอม

พวกวาฮาบีถือว่า การยกย่อง ให้เกียรติแก่บุคคล หรือสถานที่ หรืออื่นๆบางอย่างนั้นคือการอิบาดะฮ์  จึงไม่แปลกที่เรามักได้ยินพวกวาฮาบีใช้คำพูดแบบมักง่ายประณามพี่น้องมุสลิมต่างมัซฮับว่า เป็นพวกมุชริก พวกกุฟร์  

วาฮาบีละเลยหะดีษที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)กล่าวว่า

إِذَا كَفَّرَ الرَّجُلُ أَخَاهُ فَقَدْ بَاءَ بِهَا أَحَدُهُمَا

เมื่อชายคนหนึ่งได้ตักฟีรพี่น้องของเขา(ว่าเป็นกาเฟ็ร)  แท้จริงหนึ่งในสองคนนั้นจะกลับไปยังมัน(คือตกเป็นกาเฟ็รคนหนึ่งแน่)

เศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 224

ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ท่านจะเห็นได้ว่า หัวหน้าลัทธิวาฮาบีตลอดจนสมุนบริวารในประเทศซาอุดิอารเบียได้ปฏิบัติกับบรรดาพี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์ด้วยมารยาทป่าเถื่อน และด้วยถ้อยคำที่ว่า ยามุชริก - เจ้าคนมุชริก  

ทำไม สาเหตุหลักเพราะพวกวาฮาบีขาดความเข้าใจอย่างแท้จริงระหว่างความหมายของคำว่า " เตาฮีด "  กับ  "  ชีรีก " นั่นเอง


เราจึงควรพยายามทำความเข้าใจคำเตาฮีดและชีรีกตามที่อัลเลาะฮ์และรอซูลได้อธิบายไว้[/b][/size]
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 25, 2009, 12:16:10 หลังเที่ยง

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ไม่ได้กลัวหรือห่วงว่า ประชาชาติของท่านจะตั้งภาคีต่ออัลเลาะฮ์


พวกวาฮาบีอ้างว่า เหตุที่ต้องเน้นเตือนพี่น้องมุสลิมเรื่องการตั้งภาคี เพราะกลัวว่าสังคมมุสลิมจะเปลี่ยนไปเป็นพวกมุชริก


หากถามว่า แล้วท่านรอซูล(ศ)กลัวหรือเป็นห่วงเรื่องอะไร  ?


ท่านอุกบะฮ์ บินอามิร เล่าว่า

أَنَّ النَّبِىَّ - صلى الله عليه وسلم - خَرَجَ يَوْمًا فَصَلَّى عَلَى أَهْلِ أُحُدٍ صَلاَتَهُ عَلَى الْمَيِّتِ ، ثُمَّ انْصَرَفَ إِلَى الْمِنْبَرِ فَقَالَ « إِنِّى فَرَطٌ لَكُمْ ، وَأَنَا شَهِيدٌ عَلَيْكُمْ ، وَإِنِّى لأَنْظُرُ إِلَى حَوْضِى الآنَ ، وَإِنِّى أُعْطِيتُ مَفَاتِيحَ خَزَائِنِ الأَرْضِ - أَوْ مَفَاتِيحَ الأَرْضِ - وَإِنِّى وَاللَّهِ مَا أَخَافُ عَلَيْكُمْ أَنْ تُشْرِكُوا بَعْدِى ، وَلَكِنِّى أَخَافُ عَلَيْكُمْ أَنْ تَنَافَسُوا فِيهَا »

แท้จริงท่านนบี(ศ)ได้ออกมาวันหนึ่ง ท่านได้นมาซ(ญะนาซะฮ์ให้กับชาวบะดัรที่เสียชีวิต จากนั้นท่านหันมาที่มิมบัร แล้วปราศรัยว่า  แท้จริงฉันจะล่วงหน้าไปก่อนพวกท่าน และฉันคือผู้เป็นพยานให้กับพวกท่าน  และแน่นอนฉันกำลังมองไปที่สระ(เกาษัร)ของฉันในตอนนี้  และฉันได้รับกุญแจขุมคลังต่างๆของโลกนี้  และแท้จริงฉันขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า ฉันไม่ได้หวาดกลัวต่อพวกท่านว่าจะทำชีรีก(ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์)หลังจากฉัน(จากไป)  แต่ที่ฉันกลัว(และห่วง)ต่อพวกท่านคือ การที่พวกท่านจะแข่งขันชิงดีชิงเด่นกันในโลกดุนยานี้(ต่างหากเล่า)

เศาะหิ๊หฺบุคอรี หะดีษ 4085 และเศาะหิ๊หฺมุสลิม หะดีษ 6117


วาฮาบีห่วงเรื่องมุสลิมจะเป็นมุชริก  แต่ท่านรอซูล(ศ)ไม่ห่วงว่า อุมมะฮ์ของท่านจะกลับไปเป็นพวกมุชริก ไม่ว่าจะทำชีรีกชนิดใดประเภทใดก็ตาม  แต่ที่วาฮาบีอ้างถึงคือ มีการตั้งภาคีปรากฏไปทั่วในสังคมมุสลิม


สิ่งท่านรอซูล(ศ)กลัวและเป็นห่วงคือการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในประชาชาติของท่าน


ท่านอิบนุมัสอูดเล่าว่า

أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال : « إن إبليس يئس أن تعبد الأصنام بأرض العرب ، ولكنه سيرضى بدون ذلك منكم بالمحقرات من أعمالكم ، وهي الموبقات

แท้จริงท่านรอซูลุลลอฮ์ (ศ) กล่าวว่า : แท้จริงมารอิบลีสนั้นสิ้นหวังแล้วกับการที่เจว็ดรูปปั้นทั้งหลายในแผ่นดินอาหรับจะได้รับการกราบไหว้  
แต่มันจะยังพอใจต่อสิ่งอื่นจากนั้นจากหมู่พวกท่าน กับความเลวทรามต่ำช้าจากการงานต่างๆของพวกท่าน และนั่นก็คือ การทำบาปใหญ่ต่างๆและการสร้างความเสียหาย

สถานะหะดีษ : เศาะหิ๊หฺ

ดูอัลมุสตักร็อก อะลัซ-ซ่อฮีฮัยนิ โดยอัลฮากิม  หะดีษ 2182


ถึงแม้ว่ายังมีหะดีษส่วนหนึ่งที่รายงานถึงสาระสำคัญของเรื่องการทำชีรีกไว้ก็ตาม แต่หะดีษทั้งหมดได้กล่าวเกี่ยวกับสัญญาณวันสิ้นโลก เช่นหะดีษที่ท่านอบูฮุร็อยเราะฮ์รายงานว่า กาลเวลาจะเปลี่ยนไป จนกระทั่งจะมีการกราบไหว้บูชารูปเจว็ดอีก ซึ่งถ้าถึงวันนั้นก็หมายถึงวันกิยามัตใกล้ถึงแล้ว

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَضْطَرِبَ أَلَيَاتُ نِسَاءِ دَوْسٍ عَلَى ذِى الْخَلَصَةِ » . وَذُو الْخَلَصَةَ طَاغِيَةُ دَوْسٍ الَّتِى كَانُوا يَعْبُدُونَ فِى الْجَاهِلِيَّةِ .

วันกิยามะฮ์จะยังไม่อุบัติขึ้นจนกว่าพวกสตรีแห่งเผ่าเด๊าส์จะหวลกลับมาที่ซิลเคาะละเศาะฮ์(ศาลเจว็ดแห่งหนึ่ง) และเจ้าซุลเคาะละเศาะฮ์คือ  ตอฆูตแห่งเผ่าเด๊าส์ที่พวกเขาเคยกราบไหว้บูชาในสมัยญาฮิลียะฮ์มาก่อน

เศาะหิ๊หฺบุคอรี หะดีษ 7116
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 10:27:04 ก่อนเที่ยง

หะดีษดังกล่าวมาได้บ่งบอกว่า การหวลกลับไปสู่สภาพตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์อีกครั้งคือสัญญาณวันกิยามัตประการหนึ่ง  

ส่วนกรณีการหวลไปกราบไหว้รูปเจว็ดในอดีตที่เคยได้รับการเคารพบูชามาแล้วนั้น ลองมาฟังหะดีษบทนี้

ท่านหญิงอฺาอิชะฮ์เล่าว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า


لاَ يَذْهَبُ اللَّيْلُ وَالنَّهَارُ حَتَّى تُعْبَدَ اللاَّتُ وَالْعُزَّى ». فَقُلْتُ يَا رَسُولَ اللَّهِ إِنْ كُنْتُ لأَظُنُّ حِينَ أَنْزَلَ اللَّهُ (هُوَ الَّذِى أَرْسَلَ رَسُولَهُ بِالْهُدَى وَدِينِ الْحَقِّ لِيُظْهِرَهُ عَلَى الدِّينِ كُلِّهِ وَلَوْ كَرِهَ الْمُشْرِكُونَ) أَنَّ ذَلِكَ تَامًّا قَالَ « إِنَّهُ سَيَكُونُ مِنْ ذَلِكَ مَا شَاءَ اللَّهُ ثُمَّ يَبْعَثُ اللَّهُ رِيحًا طَيِّبَةً فَتَوَفَّى كُلَّ مَنْ فِى قَلْبِهِ مِثْقَالُ حَبَّةِ خَرْدَلٍ مِنْ إِيمَانٍ فَيَبْقَى مَنْ لاَ خَيْرَ فِيهِ فَيَرْجِعُونَ إِلَى دِينِ آبَائِهِمْ ».

กลางคืนและกลางวันจะยังไม่ถึงกาลอวสาน จนกว่า(เจว็ด)ล๊าตและอุซซา(เทวรูปต่างๆ)จะถูกสักการะ(อีกครั้ง)

ฉัน(อาอิชะฮ์)จึงถามว่า : โอ้ท่านรอซูลุลลอฮ์ ฉันคิดว่า ตอนที่อัลลอฮฺทรงประทานโองการลงมาว่า {พระองค์คือผู้ทรงส่งรอซูลของพระองค์มาพร้อมกับทางนำและศาสนาอันเที่ยงแท้เพื่อให้มีชัยเหนือลัทธิศาสนาทั้งปวง แม้ว่าบรรดาผู้ตั้งภาคีทั้งหลายจะไม่ชอบก็ตาม (บท 9 : 33)} นั่นย่อมหมายความว่าภารกิจได้จบสมบูรณ์แล้วไม่ใช่หรือคะ

ท่าน(ศ)ตอบว่า : มันจะเป็นเช่นนั้นแหล่ะตามที่อัลลอฮ์ประสงค์ แล้วพระองค์จะทรงส่งลมดีมาปลิดชีพทุกคนที่ในหัวใจของเขามีอีหม่านศรัทธาแม้เพียงเท่าธุลี เหลือแต่คนที่ไม่มีความดี(ความศรัทธา)อยู่ในหัวใจเลย(หมายถึงคนที่ปฏิเสธอัลลอฮฺ) พวกเขาจึงหวนกลับสู่ลัทธิศาสนาของบรรพบุรุษของพวกเขา(ที่สักการะเจว็ด)

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 7483


ท่านเษาบานเล่าว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า


لاَ تَزَالُ طَائِفَةٌ مِنْ أُمَّتِى ظَاهِرِينَ عَلَى الْحَقِّ لاَ يَضُرُّهُمْ مَنْ خَذَلَهُمْ حَتَّى يَأْتِىَ أَمْرُ اللَّهِ

มีคนกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของฉัน ยังคงยืนหยัดอยู่บนสัจธรรม ผู้ที่คิดจะขัดขวางพวกเขามิสามารถที่จะทำอันตรายต่อพวกเขาได้ จนกระทั่งพระบัญชาของอัลลอฮ์ได้มาถึงพวกเขา

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 5059


ท่านอับดุลลอฮ์เล่าว่า ท่านนบี(ศ)กล่าวว่า


لاَ تَقُومُ السَّاعَةُ إِلاَّ عَلَى شِرَارِ النَّاسِ

วันกิยามะฮ์จะยังไม่อุบัติขึ้น ยกเว้น ก็ต่อเมื่อมีมนุษย์ชั่วช้า(ดาษดื่นไปหมด)

เศาะหิ๊หฺมุสลิม  หะดีษ 7590


เพราะฉะนั้นจึงควรตีความหมายหะดีษในหนังสืออัลมุสตัดร็อก อะลัซ-ซ่อฮีฮัยนฺ หะดีษ 8509 ที่ท่านอิบนุอับดุลวะฮาบได้นำมาอ้างอิงไว้ในกิตาบอัตเตาฮีดของเขาคือ  

ท่านเษาบานเล่าว่า  ท่านรอซูล(ศ)กล่าวว่า


وَإِنِّي لَا أَخَافُ عَلَى أُمَّتِي إِلَّا الْأَئِمَّةَ الْمُضِلِّينَ ، وَلَنْ تَقُومُ السَّاعَةُ حَتَّى تَلْحَقَ قَبَائِلُ مِنْ أُمَّتِي بِالْمُشْرِكِينَ وَحَتَّى تَعْبُدَ قَبَائِلُ مِنْ أُمَّتِي الْأَوْثَانَ

และแท้จริงฉันไม่เคยเป็นห่วงประชาชาติของฉัน ยกเว้น บรรดาผู้นำที่ทำให้(คนอื่น)หลงทาง และวันกิยามะฮ์จะยังไม่อุบัติขึ้นเด็ดขาด จนกว่าเผ่าต่างๆจากประชาชาติของฉันจะติดตามไปกับพวกมุชริก(พวกตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์) และจนกระทั่งเผ่าต่างๆจากอุมมะฮ์ของฉันจะเคารพสักการะรูปเจว็ดทั้งหลาย

อ้างอิงจาก กิตาบ อัตเตาฮีด โดยอิม่ามมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ หน้า 35


กรณีที่ประชาชาติชั่วช้า จะหวลกลับไปกราบไหว้บูชาเจว็ดในช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงวันกิยามัตนั้นมีหะดีษมากมายที่รายงานชัดเจนว่า

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ไม่ได้เป็นห่วงเรื่องที่ประชาชาติ(อุมมัต)ของท่านจะกลับไปทำชีรีก ซึ่งถือว่าชัดเจนดีแล้ว และเป็นเกณฑ์ตัดสินได้ด้วย
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 10:31:15 ก่อนเที่ยง


คำถามสำหรับวาฮาบี

ระหว่างเรื่องมุสลิมจะทำชีรีกต่ออัลลอฮ์ในยุคสุดท้าย  กับ

เรื่องที่มุสลิมถูกชี้นำโดยผู้ปกครองที่หลงทางและผู้รู้ศาสนาที่ชั่วช้า  

เรื่องใดที่ท่านรอซูลุลเลาะฮ์(ศ)มีความเป็นห่วงต่อประชาชาติของท่านมากที่สุด ?
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 12:21:03 หลังเที่ยง

เรามาฟังคำตอบจากหะดีษ ดังนี้


การที่มุสลิมทำชีรีกต่ออัลเลาะฮ์ก็เป็นปัญหาที่สำคัญที่ต้องรีบแก้ไข และการที่มุสลิมต้องตกอยู่ภายใต้การชี้นำของผู้นำหรืออุละมาอ์ชั่วก็เป็นปัญหาที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


แต่ปัญหาใดที่มีความสำคัญมากที่สุด ( أَهَمُّ ) ?


ท่านอิหม่ามอะลี อะลัยฮิสสลามเล่าว่า

وَلَقَدْ قَالَ لِي رَسُولُ اللهِ(صلى الله عليه وآله): \\\"إِنِّي لاَ أَخَافُ عَلَى أُمَّتِي مُؤْمِناً وَلاَ مُشْرِكاً، أَمَّا الْمُؤمِنُ فَيَمْنَعُهُ اللهُ بِإِيمَانِهِ، وَأَمَّا الْمُشْرِكُ فَيَقْمَعُهُ اللهُ بِشِرْكِهِ،لكِنِّي أَخَافُ عَلَيْكُمْ كُلَّ مَنَافِقِ الْجَنَانِ، عَالِمِ اللِّسَانِ، يَقُولُ مَا تَعْرِفُونَ،وَيَفْعَلُ مَا تُنْكِرُونَ\\\".
نهج البلاغة ج 25 / ص 8
الكتاب ( 27 ) و من عهد له عليه السّلام إلى محمد بن أبى بكر حين قلّده مصر

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้กล่าวกับฉันว่า  :  แท้จริงฉันไม่ได้เป็นห่วงประชาชาติ(อุมมะฮ์)ของฉันว่า เขาจะเป็นมุอ์มินหรือเป็นมุชริก  

เพราะคนมุอ์มินนั้นอัลลอฮ์จะขัดขวางเขาด้วยอีหม่านของเขาเอง ส่วนมุชริกนั้น อัลลอฮ์ก็จะสกัดกั้นเขาต่อการตั้งภาคีของเขา  
แต่ที่ฉันเป็นห่วงต่อพวกท่านคือ
 
1.   พวกมุนาฟิกทั้งหลาย ที่ปกปิดซ่อนความกลับกลอกเอาไว้ในใจ

2.   อาเล่ม ลิซาน ( คือ ผู้รู้ศาสนาเพียงปลายลิ้น คือเขารอบรู้เรื่องศาสนาอิสลามเป็นอย่างดี มันจึงง่ายสำหรับเขาที่จะนำมาอธิบายต่อพี่น้องมุสลิม)

อาเหล่ม(ประเภทนี้)จะพูดในสิ่งที่พวกท่านรู้และเข้าใจ แต่เขาจะทำในสิ่งที่พวกท่านไม่ยอมรับ ( นั่นคือสิ่งชั่วและเลวทราม ที่คนมุอ์มินเขาไม่ทำกัน )

อ้างอิงจาก
นะฮ์ญุลบะลาเฆาะฮ์ เล่ม 25 : 8 กิตาบ 27 เรื่องวะซียัตของอิม่ามอะลีที่มีต่อท่านมุฮัมมัด บินอบีบักร


ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

إِنَّ أَخْوَفَ مَا أَخَافُ عَلَى أُمَّتِي كُلُّ مُنَافِقٍ عَلِيمِ اللِّسَانِ

แท้จริงสิ่งที่ฉันเป็นห่วงมากที่สุดต่อประชาชาติของฉันคือ อุลามาอ์(ผู้รู้)ที่ชักนำให้หลงผิด

พวกมุนาฟิกทั้งหลาย (ที่ปกปิดซ่อนความกลับกลอกเอาไว้ในใจ)

อาเล่ม ลิซาน ( ผู้รู้ศาสนาเพียงปลายลิ้น )

สถานะหะดีษ สายรายงานแข็งแรง

ดูมุสนัดอิหม่ามอะหมัด หะดีษ 143 ตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 12:28:35 หลังเที่ยง


ผู้รู้  ที่หลงทาง  เมื่อเขาได้ทำหน้าที่สอน เขาจึงพามุสลิมหลงทาง


ผู้รู้  ที่ทำตัวชั่วช้า  เมื่อเขาได้ขึ้นมาทำหน้าที่สอน  สิ่งที่เขาสอนจึงไม่มีบะเราะกัตจากปากของคนชั่ว
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 12:29:48 หลังเที่ยง

เมื่อท่านต้องการเป็นมุสลิมที่ดี เพื่อเป็นบุคคลที่รักยิ่งของอัลเลาะฮ์(ซบ.)  ท่านก็ต้องพยายามแสวงหาความรู้ เพื่อเพิ่มพูนอีหม่านความศรัทธาของท่าน และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับปรุงและขัดเกลาตัวเอง   บุคคลที่สามารถช่วยชี้แนะและให้ความรู้แก่เราก็คือ   อาเหล่ม(ผู้รู้)  ซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันไปเช่น

เชค , อุสต๊าด, โต๊ะครู  , อาจารย์ เป็นต้น


ปัญหาคือ หากเชคหรือโต๊ะครู เป็นคนไม่ดี  แล้วพวกเขาได้ขึ้นมาเป็นผู้ชี้นำคนในมุเก่ม(สังคม) หนึ่ง แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ?  

แน่นอน ผู้รู้ชั่วย่อมสร้างความเสียหายให้ทั้งปัจเจกบุคคลและสังคมนั้นๆอย่างไม่ต้องสงสัย

การที่มุสลิมคนหนึ่งทำการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์(ทำชีรีก) เป็นเรื่องที่สามารถมองเห็นได้ง่าย และเราสามารถป้องกันได้  

แต่การที่มีเชคหรือโต๊ะครูชั่วๆ เป็นมารศาสนามาทำหน้าที่ชี้นำคนในสังคม  เป็นเรื่องยากที่คนในสังคมจะเข้าใจและแยกแยะได้  เพราะมันเป็นเรื่องที่ซ่อนอยู่ภายใน

นั่นแสดงว่า " อุละมาอ์ชั่ว " นั้นเป็นอันตรายมากกว่า เรื่องทำชีรีก  


ด้วยเหตุนี้ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) จึงมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อประชาชาติของท่านเป็นอย่างมาก

ว่า ให้พวกเขาจงระวังพวกเชคชั่ว หรือพวกโต๊ะครูเลวๆ
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 12:32:26 หลังเที่ยง
หะดีษ

عن جعفر بن محمد عن أبيه عن جده عن علي بن أبي طالب رضي الله عنه قال :
قال رسول الله صلى الله عليه و سلم صلى الله عليه و سلم : يوشك أن يأتي على الناس زمان لا يبقى من الإسلام إلا اسمه و لا يبقى من القرآن إلا رسمه مساجدهم عامرة و هي خراب من الهدى عُلَماَؤُهُمْ أَشَرُّ من تحت أديم السماء من عندهم يُمْدَحُ الْفِتْنَةُ

ท่านอะลีเล่าว่า  :    ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)กล่าวว่า

ยุคสมัยหนึ่งเกือบจะมายังพวกมนุษย์ ซึ่งอัล-อิสลามนั้นจะไม่หลงเหลืออยู่เลย นอกจากจะเหลืออยู่เพียงแต่ชื่อ  

และอัล-กุรอ่านจะไม่หลงเหลืออยู่เลย นอกจากจะเหลืออยู่เพียงแต่ตัวหนังสือ  

มัสญิดทั้งหลายของพวกเขานั้นทำนุบำรุง(อย่างสวยงามและเจริญรุ่งเรือง)   ทว่ามันนั้นอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมในเรื่องของฮิดายะฮ์  

และอุละมาอ์ของพวกเขาเป็นผู้ชั่วช้าที่สุดจากสิ่งที่มีอยู่ใต้ท้องฟ้า(คือบนพื้นโลก)  

ซึ่งเรื่องฟิตนะห์(ของพวกอุละมาอ์ที่กระทำนั้น) กลับได้รับการยกย่องชมเชย

   
ชะอ์บุลอีหม่าน  โดยอัลบัยฮะกี  หะดีษ 1908
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 12:33:59 หลังเที่ยง

ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้สั่งเสียว่า
 
أَنَّ أَخْوَفَ مَا أَخَافُ عَلَيْكُمْ الْأَئِمَّةُ الْمُضِلُّونَ

แท้จริงสิ่งที่ฉันเป็นห่วงมากที่สุดต่อพวกท่านคือ    อุลามาอ์(ผู้รู้)ที่ชักนำให้หลงผิด


สถานะหะดีษ เศาะหิ๊หฺ  

ดูมุสนัดอิหม่ามอะหมัด หะดีษ 27525 ตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 02:18:42 หลังเที่ยง

อุลามาอ์ชั่ว และ อุลามาอ์ที่ชักนำให้หลงผิด

มีความน่ากลัว และเป็นตรายสำหรับสังคมมุสลิม


ท่านอบูษัรได้ถามว่า

يَا رَسُولَ اللَّهِ أَيُّ شَيْءٍ أَخْوَفُ عَلَى أُمَّتِكَ مِنْ الدَّجَّالِ قَالَ الْأَئِمَّةَ الْمُضِلِّينَ

ยา รอซูลุลลอฮ์  สิ่งใดน่ากลัวที่สุดสำหรับอุมมัตของท่านยิ่งกว่าเจ้ามารดัจญาน ?

ท่านรอซู้ล(ศ)ตอบว่า  ผู้นำ ที่ชักนำให้หลงทาง


สถานะหะดีษ เศาะหิ๊หฺ

ดูมุสนัดอิหม่ามอะหมัด หะดีษ 21335 ตรวจทานโดยเชคชุเอบ อัลอัรนะอูฏี
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 02:21:23 หลังเที่ยง

ท่านรอซูล( ศ ) กล่าวว่า  

آفَةُ الدِّيْنِ ثلاثة فقيه فاجر وإمام جائر ومجتهد جاهل

โชคร้ายของศาสนา มีสามประการ  1. ผู้รู้ ที่ชั่วช้า 2. ผู้นำที่อธรรมกดขี่  3.  นักวิเคราะห์หลักการศาสนา ที่โง่เขลา

รายงานโดยอัด-ดัยละมี


ท่านรอซูล( ศ ) กล่าวว่า  

رب عابد جاهل ، ورب عالم فاجر ، فاحذروا الجهال من العباد والفجار من العلماء

บางส่วนของผู้ที่อิบาดะฮ์ ที่โง่เขลา  และบางส่วนของผู้รู้ ที่เลวทราม
ดังนั้นพวกท่านจงระวังจากพวกทำอิบาดะฮ์ที่โง่เขลา และพวกอุลามาอ์ที่ชั่วช้า

รายงานโดยอัด-ดัยละมี


ท่านรอซูล( ศ ) กล่าวว่า  

يكون في آخر الزمان عباد جهال و قراء فسقة

ต่อไปในยุคสุดท้ายจะมีพวกนักทำอิบาดะฮ์ที่โง่เขลา และผู้รู้ ที่ทำตัวชั่ว(ฟาซิก)

อัลมุสตัดร็อก อัลฮากิม หะดีษ 7883


ท่านนบี (ศ)กล่าวว่า

إنما أخاف على هذه الأمة كل منافق يتكلم بالحكمة و يعمل بالجور

แท้จริงฉันนั้นเป็นห่วงต่อประชาชาตินี้คือ พวกมุนาฟิกทั้งหลาย(ที่มีวิชาความรู้) ซึ่งเขานั้นพูดจาด้วยมีวิทยปัญญา แต่เขาจะประพฤติชั่ว

ชะอ์บุลอีหม่าน โดยอัลบัยฮะกี หะดีษ 1777
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 02:26:16 หลังเที่ยง

นักกวี ชาวอาหรับ กล่าวว่า


وكنا نستطب إذا مرضنا         فصار هلاكنا بيد الطبيب

และพวกเราจะไปหาหมอเมื่อพวกเราเจ็บไข้ไม่สบาย    

แน่แท้ความหายนะของพวกเราก็ขึ้นอยู่กับมือของหมอ

( เปรียบคนมีความรู้ศาสนา คือ หมอ )

และ

وراعي الشاة يحمي الذئب عنها         فكيف إذا الرعاة لها ذئاب؟

คนเลี้ยงแกะคือ ผู้ที่คอยปกป้องคุ้มครองแกะจากหมาป่า

ฉะนั้นจะเป็นอย่างไร ? เมื่อบรรดาคนเลี้ยงแกะนั้นเป็นหมาป่าเสียเอง

(เปรียบคนมีความรู้ศาสนา คือ คนเลี้ยงแกะ )

และ

مثل علماء السوء كمثل صخرة وقعت على فم النهر لا هي تشرب الماء

                                    ولا هي تترك الماء يخلص إلى الزرع


อุปมาคนมีวิชาความรู้ที่ชั่ว อุปมัยดั่งก้อนหินใหญ่ ที่ตกอยู่บนปากแม่น้ำ

ซึ่งมันนั้นไม่ได้ดูดซึมน้ำ และมันไม่ปล่อยให้น้ำผ่านไปยังเรือกสวนไร่นา.

(อย่างนี้เขาเรียกว่า ขวางลำ (( ถ่วงความเจริญ )) มีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด)
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 28, 2009, 03:42:46 หลังเที่ยง

ขอให้ท่านผู้อ่านอย่าลืมประเด็นที่เรากำลังวิจัยคือ  

(( ระหว่างเรื่องชีรีก กับเรื่องอุละมาอ์ชั่ว ผู้รู้ที่ชักนำให้มุสลิมหลง )) อย่างไหน  อันตรายกว่ากัน


ประวัติศาสตร์อิสลามบันทึกว่า  

มีชาวอาหรับตกมุรตัดหลังท่านรอซูล(ศ)วะฟาต  ท่านจะต้องแยกแยะรายละเอียดให้ดี  กล่าวคือ  
กรณีมีซอฮาบะฮ์ชื่อ  มาลิก บินนุวัยเราะฮ์กับหมู่ชนของเขา ไม่ยอมส่งมอบซะกาตให้กับท่านอบูบักร ในฐานะคอลีฟะฮ์  จนถูกฮุก่มว่า เขาและพวกพ้อง

 "ตกมุรตัด "

ทุกวันนี้มาลิก บินนุวัยเราะฮ์กับหมู่ชนของเขา ยังรอคอยความเป็นธรรมจากอัลเลาะฮ์อยู่ ความจริงมาลิก บินนุวัยเราะฮ์และพวกของเขาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องจ่ายซะกาต   แต่ที่พวกเขาไม่ยอมส่งมอบซะกาตไปให้ท่านอบูบักร เพราะพวกเขาสงสัยว่าตำแหน่งคอลีฟะฮ์ของท่านอบูบักรนั้นได้มาอย่างชอบธรรมหรือไม่ต่างหาก

เรื่องดังกล่าวแตกต่างไปจากพวกอาหรับบางคนหรือบางเผ่าที่เพิ่งเข้ารับอิสลาม พวกนี้มีอีหม่านยังไม่แน่นแฟ้นต่ออัลเลาะฮ์และรอซูล(ศ)ดีเท่าไหร่   ดังนั้นเมื่อท่านรอซูล(ศ)เสียชีวิต ชาวอาหรับบางคนจึงหันกลับไปบูชาเจว็ด และกลับไปทำการตั้งภาคีอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์ตะอาลาทรงตรัสว่า

قَالَتِ الْأَعْرَابُ آمَنَّا قُل لَّمْ تُؤْمِنُوا وَلَكِن قُولُوا أَسْلَمْنَا وَلَمَّا يَدْخُلِ الْإِيمَانُ فِي قُلُوبِكُمْ

ชาวอาหรับชนบทกล่าวว่า เราได้ศรัทธาแล้ว  จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า พวกท่านยังมิศรัทธา(อีหม่าน)  

แต่จงกล่าวเถิดว่า เราเข้ารับอิสลามแล้ว  เพราะอีหม่าน(ที่แท้จริง)ยังมิได้เข้าสู่หัวใจของพวกท่านเลย

บท 49 : 14


อายะฮ์ข้างต้นกล่าวชัดว่า อีหม่านที่แท้จริงยังมิได้เข้าสู่หัวใจของชาวอาหรับชนบทเลย  ด้วยเหตุนี้อัลบุคอรีจึงกล่าวไว้ในบทที่ชื่อว่า


باب إِذَا لَمْ يَكُنِ الإِسْلاَمُ عَلَى الْحَقِيقَةِ وَكَانَ عَلَى الاِسْتِسْلاَمِ أَوِ الْخَوْفِ مِنَ الْقَتْلِ . لِقَوْلِهِ تَعَالَى ( قَالَتِ الأَعْرَابُ آمَنَّا قُلْ لَمْ تُؤْمِنُوا وَلَكِنْ قُولُوا أَسْلَمْنَا ) . فَإِذَا كَانَ عَلَى الْحَقِيقَةِ فَهُوَ عَلَى قَوْلِهِ جَلَّ ذِكْرُهُ ( إِنَّ الدِّينَ عِنْدَ اللَّهِ الإِسْلاَمُ ) ( وَمَنْ يَبْتَغِ غَيْرَ الإِسْلاَمِ دِينًا فَلَنْ يُقْبَلَ مِنْهُ )
صحيح البخارى  ج 1 / ص 54

เมื่อเขายังมิได้เป็นอัลอิสลามอย่างแท้จริง แต่แค่การยอมจำนน หรือเพราะความกลัวจากการถูกฆ่า ด้วยเหตุนี้อัลลอฮ์จึงตรัสว่า (ชาวอาหรับชนบทกล่าวว่า เราได้ศรัทธาแล้ว  จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า พวกท่านยังมิศรัทธา(อีหม่าน)  แต่จงกล่าวเถิดว่า เราเข้ารับอิสลามแล้ว  เพราะอีหม่าน(ที่แท้จริง)ยังมิได้เข้าสู่หัวใจของพวกท่านเลย) ฉะนั้นถ้าหากเขาเป็นอิสลามจริงๆแล้ว เขาจะอยู่บนพระดำรัสของอัลลอฮ์ที่ตรัสว่า ( แท้จริง ศาสนา ณ. อัลเลาะฮ์คือ อัลอิสลาม ) และผู้ใดแสวงหาศาสนาอื่นจากอัลอิสลาม เขาจะไม่ถูกยอมรับจากพระองค์อย่างเด็ดขาด

อ้างอิงจาก เศาะหิ๊หฺบุคอรี เล่ม 1 : 54 บาบที่ 19



สรุปความได้ว่า  
ในเมื่อระดับอุละมาอ์วาฮาบียังไม่เข้าใจว่า ระหว่างเรื่องชีรีกกับเรื่องผู้นำมุสลิม เรื่องใดที่มีความสำคัญมากที่สุด  

เมื่อจัดลำดับความสำคัญไม่ถูก   จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน


" รัฐอิสลามของวาฮาบี " จึงอยู่ภายใต้การปกครอง " ระบอบกษัตริย์ "  ซึ่งมีชาวอาหรับแห่งราชวงศ์ซาอู๊ดปกครอง


มีเชคมุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ ตั้งหน้าตั้งตาโจมตีมุสลิมเป็นหลักอยู่เรื่องเดียวคือ " เรื่องชีรีก "  


เมื่อระดับหัวหน้าวาฮาบีเองก็ยังเข้าใจความหมายของ " เตาฮีด กับ ชีรีก " ได้ไม่ถูกต้องตามหลักกิตาบและซุนนะฮ์  แล้วนับประสาอะไรกับวาฮาบีระดับรากหญ้าที่จะเข้าใจ

ฉะนั้นโลกทัศน์ของพวกวาฮาบี จึงสร้างความล้าหลังให้ทั้งวิชาการอิสลามและการจัดสร้างรัฐอิสลาม



โปรดติดตามตอนต่อไป

หัวข้อ -  โลกทัศน์วาฮาบีกับเรื่องเตาฮีด
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 09:02:25 ก่อนเที่ยง

โลกทัศน์วาฮาบีกับเรื่องเตาฮีด

เตาฮีด   คือ รากฐานของศาสนาอิสลาม


ผู้อ่านต้องให้ความสนใจสาระสำคัญของเรื่องและเนื้อหาที่ท่านกำลังอ่านอยู่นี้ให้ดี

ต้องขอย้ำอีกครั้งว่า เนื่องจากเรากำลังสนทนาถึงเรื่อง

ชีรีก  และ เตาฮีด

(( เรื่องการตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์และเรื่องการให้เอกภาพแก่อัลลอฮ์ ))

เพราะเรากำลังจะทำการวิจารณ์ทัศนะของอิบนุตัยมียะฮ์และกลุ่มวาฮาบีในเรื่องเตาฮีดและชีรีก

เนื่องจาก " ชาววาฮาบี " ชอบฮุก่มพี่น้องมุสลิมว่า เป็นพวกทำชีรีกที่ส่งผลให้ต้องหลุดออกจากอิสลาม  

เราจึงจำเป็นต้องรวบรวมกระทู้คำถามต่างๆมานำเสนอต่อพวกวาฮาบีเสียก่อน
จากนั้นจึงจะโต้แย้งและชี้แจงให้พวกวาฮาบีรับรู้ถึง " ข้อบกพร่อง " ของวาฮาบีในเรื่องเตาฮีดและชีรีก
 
โดยส่วนมากแล้ว พวกที่มีทัศนะตักฟีรมุสลิมเช่นนี้ มักถูกเรียกขานกันว่า  " พวกวาฮาบี "  เนื่องจากหัวหน้าใหญ่ของพวกเขามีชื่อว่า " อิบนุลวะฮาบ "
ถึงแม้ว่ารากเหง้าของคนกลุ่มนี้จะมีที่มาจาก " อิบนุตัยมียะฮ์ " ก็ตาม

ชาววาฮาบีมักเรียกตัวเองด้วยชื่ออันสวยหรูเช่น  สะลัฟ / อะฮ์ลุลหะดีษ และ อะฮ์ลุสสุนนะฮ์ วัลญะมาอะฮ์

แต่ดูแล้ว ชื่อสุดท้าย วาฮาบีคงห่างไกลจากความจริงมาก  เพราะทัศนะวาฮาบีเป็นสิ่งบิดอะฮ์ที่ปรากฏโฉมขึ้นมาใหม่ในวงการของชาวซุนนี่  
จนชาวซุนนี่กล่าวว่า วาฮาบีนั้นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของอะฮ์ลุสสุนนะฮ์ และไม่มีรากเหง้าใดๆจากชาวซุนนี่เลยแม้แต่น้อย


กลับมาที่เรื่องหลัก

ต้องขอกล่าวว่า พระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านได้ประกาศชัดว่า  

บรรดาศาสดา (อะลัยฮิมุสสลาม) ทั้งหมด ถูกส่งมาเพื่อปฏิบัติภารกิจเดียวเท่านั้น

นั่นคือประกาศเรื่อง " เตาฮีด "  


พวกเขาประกาศกับชนทุกรุ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า


อัลเลาะฮ์คือ พระเจ้า , ผู้สร้าง ผู้ดูแลควบคุม และคือผู้ควรได้รับการสักการะเพียงองค์เดียวเท่านั้น

พระองค์ทรงเป็น " ร็อบ- พระผู้อภิบาล "  โดยที่ไม่มี " ร็อบ " อื่นจากพระองค์อีกแล้ว ดังที่ทรงตรัสว่า

أَأَرْبَابٌ مُّتَفَرِّقُونَ خَيْرٌ أَمِ اللّهُ الْوَاحِدُ الْقَهَّارُ

ร็อบ(พระเจ้า)หลายองค์ดีกว่า หรือว่า อัลเลาะฮ์ ผู้ทรงเอกะหนึ่งเดียว ผู้ทรงอานุภาพ (นั้นดีกว่า )

บท 12 : 39

พระองค์ทรงเป็น " อิลาฮฺ  - พระผู้เป็นเจ้า "   โดยที่ไม่มี  " อิลาฮฺ "  อื่นจากพระองค์อีกแล้ว ดังที่ทรงตรัสว่า

وَمَا أَرْسَلْنَا مِن قَبْلِكَ مِن رَّسُولٍ إِلَّا نُوحِي إِلَيْهِ أَنَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا أَنَا فَاعْبُدُونِ )الأنبياء /

และเรามิได้ส่งรอซูลคนใดมาก่อนหน้าเจ้า นอกจากเราได้มีวะฮีแก่เขาว่า แท้จริงไม่มีอิลาฮ์(พระเจ้า)อื่นใดที่เที่ยงแท้นอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอิบาดะฮ์(เคารพภักดี)ต่อข้า

บท 21 : 25

إِنَّنِي أَنَا اللَّهُ لَا إِلَهَ إِلَّا أَنَا فَاعْبُدْنِي

แท้จริงข้า คืออัลเลาะฮฺ  ไม่มีอิลาฮฺ(พระเจ้า)อื่นใดที่เที่ยงแท้นอกจากข้า  ดังนั้นเจ้าจงอิบาดะฮ์(เคารพภักดี)ต่อข้า

บท 20 : 14

มีโองการอีกมากมายที่กล่าวซ้ำ ย้ำถึงคำพูดของบรรดาศาสดาแห่งอัลลอฮ์ที่ว่า

يَا قَوْمِ اعْبُدُوا اللَّهَ مَا لَكُم مِّنْ إِلَهٍ غَيْرُهُ

โอ้ประชาชาติของฉัน  จงอิบาดะฮ์(เคารพสักการะ) อัลเลาะฮ์เถิด  ไม่มี(อิลาฮฺ)ผู้ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆสำหรับพวกท่านอีกแล้ว อื่นจากพระองค์

บท 7 : 59


จะสังเกตได้ว่า  ในคัมภีร์อัลกุรอ่านได้กล่าวถึง 3 คำหลักๆดังนี้

1.   ร็อบ - พระผู้อภิบาล  -  الرَبُّ

2.   อิลาฮ์ – พระผู้เป็นเจ้า – الإِلَـهُ

3.   มะอ์บู๊ด - ผู้ได้รับการเคารพสักการะ - المَعْبُوْدُ

สำหรับคำ " อิลาฮ์ กับ ร็อบ " ตามปกตินั้นบรรดามุสลิมมีความเข้าใจชัดเจนดีอยู่แล้ว แม้ว่าที่มาในทางภาษาศาสตร์ของสองคำนี้จะแตกต่างกันอยู่ก็ตาม

แต่ถึงกระนั้นก็สรุปได้ว่า ทั้งสองคำนี้ได้บ่งชี้ไปยัง " เมาญู๊ด-สิ่งมี "  ที่ดำรงอยู่ในฐานะพระเจ้า ผู้สร้าง ผู้ควบคุมในกิจการงานต่างๆและความเป็นไปของโลกโดยพระองค์เอง และไม่มีใครมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับพระองค์เลยแม้แต่น้อยนิด

สติปัญญาและธรรมชาติของมนุษย์ได้ส่งผลให้สำนึกว่า  การดำรงอยู่อย่างบริสุทธ์เพียงพระองค์เดียวนี้ คืออัลเลาะฮ์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว และทรงคู่ควรที่จะได้รับการอิบาดะฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้น จากบรรดาสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลายในสากลโลก


นี่คือบทสรุปความหมายของคำว่า  " เตาฮีด " กับการปฏิญาณตนว่าด้วยคำว่า  

لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ

ลาอิลาฮะ  อิลัลเลาะฮ์  -  ไม่มีพระเจ้าอื่นใด  นอกจาก อัลเลาะฮ์ เท่านั้น.
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 12:08:21 หลังเที่ยง


เตาฮีด  ความหมายทางภาษา

التوحيد : هو مصدر وحد يوحد توحيداً وهو : جعل الشيء واحداً

เตาฮีด : เป็นมัศดัร(อาการนาม) มาจากคำว่า

ว๊ะหะด่ะ - เขาได้ทำให้เหลือแค่หนึ่ง
ยุวะฮุดุ - เขากำลังทำให้เหลือแค่หนึ่ง
เตาฮีดัน – การทำให้เหลือแค่หนึ่ง


นิยาม เตาฮีด

والتوحيد اصطلاحاً : إفراد الله عز وجل بما يختص به

หมายถึง  การทำให้อัลเลาะฮ์ เป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 12:10:04 หลังเที่ยง

สาเหตุที่คนทำชีรีก กับทัศนะของวาฮาบี


ความหลงผิดของคน เนื่องจากเขาคิดว่า พระเจ้ามีหลายองค์ พวกเขาจึงได้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์

ที่จริงแล้วการทำชีรีก คือการที่คนๆหนึ่งเชื่อว่า พระเจ้าที่สร้างสรรพสิ่งต่างๆนั้นมีมากกว่าหนึ่งองค์

เขาจึงคิดว่า พระเจ้าแต่ละองค์ก็มีอานุภาพ มีอิทธิฤทธิ์เป็นของตัวเองในกิจการทางโลก

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงมุ่งไปสักการะ(อิบาดะฮ์)และขอพร(ดุอา)กับพระเจ้าองค์นั้นๆ

ซึ่งโดยส่วนมากมุชริกเหล่านั้นก็เชื่อว่า อัลเลาะฮ์เป็นพระเจ้าที่ยิงใหญ่ที่สุด แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็เชื่อว่า มีพระเจ้าองค์อื่นๆที่ใหญ่รองลงมาจากอัลเลาะฮ์ ซึ่งพวกเขาถือว่าพระเจ้าย่อยๆเหล่านั้นอยู่ในฐานะ  " บุตร ของ อัลเลาะฮ์ "

พวกเขาจึงทำการกราบไหว้ไปพร้อมกับอัลเลาะฮ์ด้วย เพราะคิดว่า พระเจ้าองค์อื่นๆก็มีอิทธิฤทธิ์ที่ได้รับมาจากอัลเลาะฮ์อีกที่หนึ่งนั่นเอง
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 12:10:51 หลังเที่ยง
แต่พวกวาฮาบีไม่ได้มีความคิดสำหรับเรื่องชีรีกเหมือนที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

วาฮาบีมีมุมมองต่างออกไปจากนี้ เป็นทัศนะโดยเฉพาะของวาฮาบีในเรื่องชีรีกกับประชาชาติมุสลิมและประชาชาติที่มิใช่มุสลิม

วาฮาบีได้แบ่งเตาฮีดออกเป็น 3 ชนิดคือ

1.   เตาฮีด อุลูฮียะฮ์

2.   เตาฮีด รุบูบียะฮ์

3.   เตาฮีด อัสมาอ์ วัซซิฟาต
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 12:12:28 หลังเที่ยง

วิเคราะห์ -

ทัศนะของวาฮาบีในเรื่องชีรีกมีสองประเด็น


หนึ่ง-  จำแนกเตาฮีดออกเป็นสองชนิด

1.   รุบูบียะฮ์ (อัลลอฮ์ในฐานะผู้สร้างและดูแล)

2.   อุลูฮียะฮ์ (อัลลอฮ์ในฐานะ ผู้ที่ควรให้การเคารพสักการะ)


สอง – ปัญหาหลักของคนทำชีรีกนั้น ตั้งอยู่ในเรื่องที่สอง คือปฏิเสธเรื่องเตาฮีดอุลูฮียะฮ์

คนทั่วไปมักตกอยู่ในเรื่อง ชีรีกอุลูฮียะฮ์  ไม่ใช่ ชีรีก " รุบูบียะฮ์ "

กล่าวคือ เขาจะสักการะ(อิบาดะฮ์) สิ่งอื่นไปพร้อมกับการอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์

แต่มุชริกในอิบาดะฮ์ผู้นั้นก็เชื่อว่า  อัลเลาะฮ์คือ ผู้สร้าง  ผู้ดูแล ควบคุมสรรพสิ่งต่างในจักรวาล    ฉะนั้นเขาจึงมีเตาฮีดต่ออัลลอฮ์ในเรื่อง " รุบูบียะฮ์ "
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 12:14:09 หลังเที่ยง

วาฮาบีมีทัศนะว่า  การกระทำสองประการนี้คือ การชีรีกต่ออัลลอฮ์


1.   การอาศัยสื่อกลาง(วะซีละฮ์)ในการทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์

2.   การวิงวอน (ดุอาอ์) ผ่านสื่อวะซีละฮ์ไปยังอัลลอฮ์


หนึ่ง – หากมุสลิมคนหนึ่งมุ่งทำอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ โดยมีคนเอาลิยาอ์เป็นสื่อกลาง  
= มุสลิมคนนั้นได้ทำชีรีกแล้ว  ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเชื่อว่า สื่อวะซีละฮ์คือ ผู้สร้าง(คอลิก) และผู้ควบคุมดูแลก็ตาม


สอง-
 หากมุสลิมคนหนึ่งได้วอนขอความช่วยเหลือกับบ่าวคนหนึ่งหรือสิ่งหนึ่งอื่นจากอัลลอฮ์    
= มุสลิมคนนั้นได้ทำชีรีกแล้ว เพราะดุอาอ์คืออิบาดะฮ์ และอิบาดะฮ์ต้องมอบให้อัลลอฮ์เท่านั้น
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเชื่อว่า ผู้ที่เขาร้องขอความช่วยเหลือคือ ร็อบ – ผู้ควบคุมดูแลก็ตาม


จะเห็นได้ชัดว่า การปฏิญานตนด้วยกะลิมะฮ์ชาฮะดะตัยนฺ การทำนมาซวาญิบและการทำอิบาดะฮ์วาญิบอื่นๆมิสามารถผลักไสความเป็นชีรีกออกไปจากมุสลิมคนนั้นได้ ในทัศนะของพวกวาฮาบี
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 12:15:37 หลังเที่ยง


แต่ท่านอิบนุ อับดุลวาฮาบ หัวหน้าวาฮาบีมีทัศนะว่า  

บรรดามุสลิมที่มีกะลิมะฮ์ชาฮะดะตัยนฺนั้นได้ทำชีรีกหนักยิ่งกว่าพวกมุชริกอาหรับก่อนเข้ารับอิสลามเสียอีก
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 01:16:27 หลังเที่ยง

ท่านเชคมุฮัมมัด บิน อับดุลวาฮาบ  กล่าวว่า


فاعلم أن شرك الأولين أخف من شرك أهل زماننا بأمرين :
أحدهما : أن الأولين لا يشركون ولا يدعون الملائكة والأولياء والأوثان مع الله إلا في الرخاء ، وأما الشدة فيخلصون لله الدعاء كما قال تعالى ( وَإِذَا مَسَّكُمُ الْضُّرُّ فِي الْبَحْرِ ضَلَّ مَن تَدْعُونَ إِلاَّ إِيَّاهُ فَلَمَّا نَجَّاكُمْ إِلَى الْبَرِّ أَعْرَضْتُمْ وَكَانَ الإِنْسَانُ كَفُورًا ) ...
الأمر الثاني : إن الأولين يدعون مع الله أناسا مقربين عند الله إما أنبياء وإما أولياء وإما ملائكة أو يدعون أشجارا أو أحجارا مطيعة لله ليست عاصية ، وأهل زماننا يدعون مع الله أناسا من أفسق الناس ، والذين يدعونهم هم الذين يحكون عنهم الفجور من الزنا والسرقة وترك الصلاة وغير ذلك
الكتاب : كشف الشبهات   المؤلف : محمد بن عبد الوهاب
ج 1 ص 27 الفصل الحادي عشر
المؤلف : الإمام محمد بن عبد الوهاب

พึงรู้เถิดว่า  แท้จริงการทำชีรีกของคนรุ่นก่อนนั้นเบากว่าการทำชีรีกของคนในสมัยของพวกเราทำกัน ด้วยสองประการคือ

ประการที่หนึ่ง-
คนสมัยก่อน ไม่ได้ตั้งภาคี และไม่ได้ขอดุอากับบรรดามลาอิกะฮ์, คนเอาลิยาอ์และรูปเจว็ดไปพร้อมกับอัลลอฮ์ ยกเว้นในยามมีสุข  ส่วนในยามเดือดร้อน พวกเขาจะมีความอิคล๊าศต่ออัลลอฮ์ในการขอดุอาอ์  ตามที่อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

และเมื่อทุกขภัยประสบแก่พวกเจ้าในท้องทะเล  ผู้ที่พวกเจ้าวิงวอนขอก็จะสูญหายไป เว้นแต่พระองค์เท่านั้น  ต่อมาเมื่อพระองค์ทรงช่วยให้พวกเจ้ารอดพ้นขึ้นบก  พวกเจ้าก็จะหันหลังออกไป และมนุษย์นั้นเป็นผู้เนรคุณเสมอ    บท 17 : 67

ประการที่สอง –
แท้จริงคนสมัยก่อน จะวิงวอนขอ(ความช่วยเหลือ)กับผู้คนไปพร้อมอัลลอฮ์ (ซึ่งผู้ถูกวอนเหล่านั้น) เป็นผู้ที่มีความใกล้ชิด ณ.องค์อัลลอฮ์ เช่น คนเอาลิยาอ์ หรือมลาอิกะฮ์  หรือพวกเขาจะขอวิงวอน(ดุอา)กับต้นไม้ หรือก้อนหิน(รูปปั้น) อันเป็นการตออัต(เชื่อฟัง)ต่ออัลลอฮ์ ไม่ใช่เป็นการม๊ะอ์ซิยัต(ฝ่าฝืนต่อพระองค์)

ส่วนคนในยุคของพวกเรา จะวอนขอ(ความช่วยเหลือ)กับพวกชั่วช้าไปพร้อมกับอัลลอฮ์ ทั้งๆที่พวกเขาวอนขอกับพวกคนชั่ว พวกคนชั่วก็บอกเล่าถึงบาปของพวกเขาเองว่า เป็นคนที่ทำซีนา, ลักขโมย, ละทิ้งนมาซและอื่นๆ

อ้างอิงจากหนังสือกัชฟุช-ชุบฮ๊าต เล่ม 1 : 27 บทที่ 11


อะกีดะฮ์ของวาฮาบีคือคำพูดของพวกเขาเอง

สิ่งที่อิบนุ อับดุลวาฮาบกล่าวและเขียนไว้นี้คือ ความคิดหรืออุดมคติที่อิบนุตัยมียะฮ์ได้วางศิลาฤกษ์ไว้ แล้วอิบนุ อับดุลวาฮาบหัวหน้าขบวนการวาฮาบี ตลอดจนอุละมาอ์วาฮาบีได้มาสร้างสานมันอีกทีหนึ่ง  โดยพวกเขาได้วางรูปแบบโดยเฉพาะไว้ให้กับความหมายสำหรับคำว่า   " เตาฮีด และชีรีก "
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 01:28:31 หลังเที่ยง

สิ่งสำคัญในการวิจารณ์อะกีดะฮ์ของพวกวาฮาบีคือ

 
จำเป็นต้องนำคำพูดของอุละมาอ์วาฮาบีที่อธิบายถึงอะกีดะฮ์(ความเชื่อ)ของพวกวาฮาบีเองมาตีแผ่ และมาวิจารณ์

เพื่อท่านผู้อ่านทั้งหลาย  จะได้ไม่คิดว่า   ทางเวบนี้ได้กุเรื่องขึ้นมาใส่ร้ายหรือโจมตีพวกวาฮาบี  แบบไร้หลักฐาน


โดยเราจะเน้นเฉพาะคำพูดของท่านเชคทั้งสองคือ

1.    อิบนุ ตัยมียะฮ์

2.   มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ

มาเป็นหลักฐานในการวิจารณ์ถึงอะกีดะฮ์ของวาฮาบีเท่านั้น


บางครั้งอาจจำเป็นต้องนำคำพูดของอุละมาอ์วาฮาบีคนอื่นๆมากล่าวบ้างในตอนที่เราจะทำการโต้แย้งกับพวกวาฮาบี
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 29, 2009, 01:53:46 หลังเที่ยง

อุละมาอ์วาฮาบีได้เน้นย้ำว่า ชีรีก(การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์) แบ่งออกเป็น


1.   ชีรีก รุบูบียะฮ์

2.   ชีรีก อุลูฮียะฮ์


อุละมาอ์วาฮาบียังกล่าวอีกว่า เดิมทีพวกมุชริก(ในยุคก่อนประกาศอิสลาม)นั้นเชื่อว่า อัลลอฮ์เป็นผู้สร้างโลกเพียงองค์เดียว   พวกเขาไม่เคยเป็นผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ในเรื่อง" รุบูบียะฮ์ "

อันที่จริงแล้วพวกเขาตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ในเรื่อง" อุลูฮียะฮ์ "เท่านั้น  หมายถึง ให้การเคารพสักการะ(อิบาดะฮ์)ต่อสิ่งอื่น ในฐานะที่สิ่งเหล่านั้นเป็น" สื่อกลาง " ระหว่างพวกเขากับอัลลอฮ์ พวกเขาจึงวิงวอนกับสิ่งนั้นและทำการอิบาดะฮ์ต่อสิ่งนั้น
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 30, 2009, 11:20:02 ก่อนเที่ยง


คำพูดของอิบนุตัยมียะฮ์ คือ อะกีดะฮ์ของวาฮาบี


อิบนุตัยมียะฮ์ กล่าวว่า

فالشرك إن كان شركا يكفر به صاحبه ، وهو نوعان شرك في الإلهية وشرك في الربوبية ،
فأما الشرك في الإلهية فهو أن يجعل لله ندا أي مثلا في عبادته أو محبته أو خوفه أو رجائه أو إنابته ، فهذا هو الشرك الذي لا يغفره الله إلا بالتوبة منه قال تعالى ( قُل لِلَّذِينَ كَفَرُواْ إِن يَنتَهُواْ يُغَفَرْ لَهُم مَّا قَدْ سَلَفَ ) ، وهذا هو الذي قاتل عليه رسول الله (ص) مشركي العرب لأنهم أشركوا في الإلهية قال الله تعالى ( وَمِنَ النَّاسِ مَن يَتَّخِذُ مِن دُونِ اللّهِ أَندَاداً يُحِبُّونَهُمْ كَحُبِّ اللّهِ وَالَّذِينَ آمَنُواْ أَشَدُّ حُبًّا لِّلّهِ ) ، وقالوا ( مَا نَعْبُدُهُمْ إِلَّا لِيُقَرِّبُونَا إِلَى اللَّهِ زُلْفَى ) ،
وقالوا ( أَجَعَلَ الْآلِهَةَ إِلَهًا وَاحِدًا إِنَّ هَذَا لَشَيْءٌ عُجَابٌ )
وقال تعالى (أَلْقِيَا فِي جَهَنَّمَ كُلَّ كَفَّارٍ عَنِيدٍ ) إلى قوله ( الَّذِي جَعَلَ مَعَ اللَّهِ إِلَهًا آخَرَ فَأَلْقِيَاهُ فِي الْعَذَابِ الشَّدِيدِ ) .
وقال النبي (ص) لحصين : كم تعبد ؟ قال : ستة في الأرض وواحداً في السماء ، قال : فمن الذي تعد لرغبتك ورهبتك ؟ قال : الذي في السماء ، قال : ألا تسلم فأعلمك كلمات ؟ فأسلم ، قال النبي (ص) : قل اللهم ألهمني رشدي وقني شر نفسي .
وأما الربوبية فكانوا مقرين بها ، قال الله تعالى ( وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ ) ، وقال ( قُل لِّمَنِ الْأَرْضُ وَمَن فِيهَا إِن كُنتُمْ تَعْلَمُونَ * سَيَقُولُونَ لِلَّه ِ ) إلى قوله ( فَأَنَّى تُسْحَرُونَ ) وما اعتقد أحد منهم قط أن الأصنام هي التي تنزل الغيث وترزق العالم وتدبره ، وإنما كان شركهم كما ذكرنا اتخذوا من دون الله أندادا يحبونهم كحب الله ، وهذا المعنى يدل على أن من أحب شيئا من دون الله كما يحب الله تعالى فقد أشرك ، وهذا كقوله ( قَالُوا وَهُمْ فِيهَا يَخْتَصِمُونَ * تَاللَّهِ إِن كُنَّا لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ * إِذْ نُسَوِّيكُم بِرَبِّ الْعَالَمِينَ ) ، وكذا من خاف أحدا كما يخاف الله أو رجاه كما يرجو الله وما أشبه ذلك \\\"

الكتاب : مجموع الفتاوى  ج 1 / ص 91  
المؤلف : أحمد بن عبد الحليم بن تيمية الحراني أبو العباس
عدد الأجزاء : 35
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 30, 2009, 11:24:21 ก่อนเที่ยง

คำแปล

อิบนุตัยมียะฮ์  กล่าวว่า


ดังนั้นการทำชีรีก(ตั้งภาคี) แม้ว่ามันเป็นชีรีก ที่ผู้กระทำจะปฏิเสธมัน   และภาคีมี  2 ชนิดคือ

1.   ชีรีก(ภาคี)ในอิลาฮียะฮ์ ( ต่อพระเจ้าในฐานะควรสักการะ)

2.   ชีรีก(ภาคี)ในรุบูบียะฮ์ ( พระเจ้าในฐานะผู้สร้างและดูแล )


ส่วนชีรีกในอิลาฮียะฮ์คือ
 
เขาตั้งภาคีคู่เคียงสำหรับอัลลอฮ์  หมายถึงทำให้เท่าเทียมกัน(ระหว่างอัลลอฮ์กับสิ่งอื่น)ในการอิบาดะฮ์ของเขา การให้ความรักของเขา ความเกรงกลัวของเขา  ความหวังของเขา และการสำนึกผิดของเขา

การกระทำนี้ ถือว่าเป็นการทำชีรีกที่อัลลอฮ์จะไม่อภัยให้เขา ยกเว้นด้วยการเตาบะฮ์จากเขา  อัลลอฮ์ตรัสว่า

قُل لِلَّذِينَ كَفَرُواْ إِن يَنتَهُواْ يُغَفَرْ لَهُم مَّا قَدْ سَلَفَ

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) แก่คนกาเฟ็รทั้งหลายว่า หากพวกเขาหยุดยั้งสิ่งที่แล้วมา ก็จะถูกอภัยให้แก่พวกเขา ( 8 : 38 )  

ชีรีกนี้คือสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ทำการต่อสู้กับพวกมุชริกอาหรับ เพราะพวกเขาได้ตั้งภาคีในเรื่องอิลาฮียะฮ์(พระเจ้าที่ควรสักการะ)  อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

 وَمِنَ النَّاسِ مَن يَتَّخِذُ مِن دُونِ اللّهِ أَندَاداً يُحِبُّونَهُمْ كَحُبِّ اللّهِ وَالَّذِينَ آمَنُواْ أَشَدُّ حُبًّا لِّلّهِ

และบางส่วนของมนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดถือบรรดาภาคี(อันด๊าด) อื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์ แต่บรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นผู้ที่รักอัลลอฮ์มากยิ่งกว่า (บท  2 : 165 )

พวกเขา(มุชริก)กล่าวว่า
   
مَا نَعْبُدُهُمْ إِلَّا لِيُقَرِّبُونَا إِلَى اللَّهِ زُلْفَى

เรามิได้สักการะบูชาสิ่งเหล่านั้น (เพี่ออื่นใด) นอกจากเพื่อพวกเขาเหล่านั้นจะได้ทำให้เราเข้าใกล้ชิดต่ออัลลอฮ์ยิ่งขึ้น (บท  39 : 3 )

พวกเขา(มุชริก)กล่าวว่า
   
أَجَعَلَ الْآلِهَةَ إِلَهًا وَاحِدًا إِنَّ هَذَا لَشَيْءٌ عُجَابٌ

เขาได้ทำให้พระเจ้าหลายองค์เป็นอิลาฮ์(พระเจ้า)องค์เดียวกระนั้นหรือ ? แท้จริงนี่เป็นเรื่องประหลาดจริง   ( ศ็อด : 5 )  

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

أَلْقِيَا فِي جَهَنَّمَ كُلَّ كَفَّارٍ عَنِيدٍ

เจ้าทั้งสองจงโยนพวกกาเฟ็รและผู้ดื้อรั้นทุกคนลงไปในญะฮันนัม ( 50 : 24 ) จนถึงอายะฮ์  

 الَّذِي جَعَلَ مَعَ اللَّهِ إِلَهًا آخَرَ فَأَلْقِيَاهُ فِي الْعَذَابِ الشَّدِيدِ

ซึ่งเขาได้ตั้งอิลาฮ์(พระเจ้า)อื่นคู่เคียงกับอัลลอฮ์ ดังนั้นเจ้าทั้งสองจงโยนเขาสู่การลงโทษอันสาหัส
( 50: 26 )


ท่านนบี(ศ)  ได้กล่าวกับหุศ็อยนฺว่า :  

ปัจจุบันท่านเคารพบูชา พระเจ้ากี่องค์ ?

เขาตอบว่า : ( ฉันเคารพบูชา7องค์) 6 องค์อยู่ในแผ่นดิน และอีกหนึ่งองค์อยู่บนฟ้า
ท่านนบีถามว่า : แล้วองค์ไหนในหมู่พวกนั้น ที่ท่านเตรียมไว้สำหรับ(วิงวอนขอต่อ)ความต้องการของท่านและในความกลัวของท่าน ?
เขาตอบว่า : องค์ที่อยู่บนฟ้า  
ท่านนบีกล่าวว่า : (โอ้หุศ็อยนฺ ความจริง ) หากท่านเข้ารับอิสลาม ฉันก็จะสอนถ้อยคำต่างๆแก่ท่าน   แล้วหุศ็อยน์ได้รับอิสลาม  
ท่านนบีกล่าวว่า  : ท่านจงกล่าวว่า
اللَّهُمَّ أَلْهِمْنِي رُشْدِي ، وَقِنِيْ شَرَّ نَفْسِي
อัลลอฮุมม่ะ อัลฮิมนี รุชดี วะกินี ชัรร่อ นัฟซี


ส่วน(ชีรีกใน)รุบูบียะฮ์คือ  
เดิมพวกเขา(มุชริกีนอาหรับ)นั้นเป็นผู้ยอมรับต่อเรื่องนั้น   อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ

และถ้าพวกเจ้าถามพวกเขา(มุชริก)ว่า ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน  แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า อัลลอฮ์ ( ลุกมาน : 25 )

และทรงตรัสว่า
 
( قُل لِّمَنِ الْأَرْضُ وَمَن فِيهَا إِن كُنتُمْ تَعْلَمُونَ * سَيَقُولُونَ لِلَّه )ِ  إلى قوله (فَأَنَّى تُسْحَرُونَ )

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) แผ่นดินนี้ และผู้ที่อยู่ในนั้นเป็นของใคร หากพวกท่านรู้  (จนถึงอายะฮ์)
พวกเขาจะกล่าวว่า มันเป็นของอัลลอฮ์ จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ดังนั้นพวกท่านถูกหลอกลวงได้อย่างไร ( อัลมุอ์มินูน : 84-89 )

ไม่มีสักคนหนึ่งในหมู่พวกเขาที่เชื่อว่า  แท้จริง เทวรูป ทั้งหลายนั้นคือผู้ให้ฝน ให้ริซกีแก่ชาวโลก และคอยดูแลมัน

และแท้จริงการทำชีรีกของพวกเขาตามที่เรากล่าวมาแล้วก็คือ  พวกเขาได้ยึดถือบรรดาภาคี(อันด๊าด) อื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้น เช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์

هذا المعنى يدل على أن من أحب شيئا من دون الله كما يحب الله تعالى فقد أشرك

ความหมายนี้ บ่งบอกว่า ผู้ใดให้ความรักต่อสิ่งหนึ่ง อื่นจากอัลลอฮ์ เหมือนที่เขาให้ความรักต่ออัลลอฮ์ตะอาลา  แท้จริง = เขาได้ตั้งภาคี(ต่ออัลลอฮ์)และนี่เปรียบดั่งที่พระองค์ตรัสว่า

قَالُوا وَهُمْ فِيهَا يَخْتَصِمُونَ * تَاللَّهِ إِن كُنَّا لَفِي ضَلَالٍ مُّبِينٍ * إِذْ نُسَوِّيكُم بِرَبِّ الْعَالَمِينَ

พวกเขากล่าว ขณะที่พวกเขาโต้เถียงกันอยู่ในนั้น ( ผู้บูชากับเจว็ด )  
ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ว่า  แท้จริงพวกเราอยู่ในการหลงผิด  
ขณะที่พวกเรา ทำให้พวกท่าน(เจว็ด)มีความเท่าเทียมกับร็อบบุลอาละมีน(พระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก)  (บท 26: 96-98)

และเช่นเดียวกัน ผู้ใดเกรงกลัวบุคคลหนึ่ง เหมือนที่เขาเกรงกลัวอัลลอฮ์  หรือมีความหวังกับบุคคลหนึ่ง เหมือนที่เขามีความหวังกับอัลลอฮ์  และสิ่งที่คล้ายกันนี้ (จบ).


อ้างอิงจากหนังสือ

มัจญ์มูอุล ฟะตาวา  โดยอิบนุตัยมียะฮ์  เล่ม 1  หน้า 91
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ กันยายน 30, 2009, 04:31:36 หลังเที่ยง

อิบนุตัยมียะฮ์  กล่าวว่า

والمشركون من قريش وغيرهم - الذين أخبر القرآن بشركهم واستحل دماءهم وأموالهم وسبي حريمهم وأوجب النار لهم - كانوا مقرين بأن الله وحده خلق السماوات والأرض كما قال ( وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ قُلِ الْحَمْدُ لِلَّهِ بَلْ أَكْثَرُهُمْ لَا يَعْلَمُونَ ) ... .
وكان المشركون الذين جعلوا معه آلهة أخرى مقرين بأن آلهتهم مخلوقة ولكنهم كانوا يتخذونهم شفعاء ويتقربون بعبادتهم إليه كما قال تعالى ( وَيَعْبُدُونَ مِن دُونِ اللّهِ مَا لاَ يَضُرُّهُمْ وَلاَ يَنفَعُهُمْ وَيَقُولُونَ هَؤُلاء شُفَعَاؤُنَا عِندَ اللّهِ ) ... .
وقد قال الله تعالى ( قُلِ ادْعُواْ الَّذِينَ زَعَمْتُم مِّن دُونِهِ فَلاَ يَمْلِكُونَ كَشْفَ الضُّرِّ عَنكُمْ وَلاَ تَحْوِيلاً * أُولَئِكَ الَّذِينَ يَدْعُونَ يَبْتَغُونَ إِلَى رَبِّهِمُ الْوَسِيلَةَ أَيُّهُمْ أَقْرَبُ وَيَرْجُونَ رَحْمَتَهُ وَيَخَافُونَ عَذَابَهُ ) ... .
والمشركون من هؤلاء قد يقولون إنا نستشفع بهم أي نطلب من الملائكة والأنبياء أن يشفعوا ، فإذا أتينا قبر أحدهم طلبنا منه أن يشفع لنا ... ، ومنهم من يتأول قوله تعالى ( وَلَوْ أَنَّهُمْ إِذ ظَّلَمُواْ أَنفُسَهُمْ جَآؤُوكَ فَاسْتَغْفَرُواْ اللّهَ وَاسْتَغْفَرَ لَهُمُ الرَّسُولُ لَوَجَدُواْ اللّهَ تَوَّابًا رَّحِيمًا ) ... .
فهذه الأنواع من خطاب الملائكة والأنبياء والصالحين بعد موتهم عند قبورهم وفي مغيبهم وخطاب تماثيلهم هو من أعظم أنواع الشرك الموجود في المشركين من غير أهل الكتاب وفي مبتدعة أهل الكتاب والمسلمين الذين أحدثوا من الشرك والعبادات ما لم يأذن به الله تعالى قال الله تعالى ( أَمْ لَهُمْ شُرَكَاء شَرَعُوا لَهُم مِّنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَن بِهِ اللَّهُ )

مجموع الفتاوى  ج 1 / ص 155


คำแปล

พวกมุชริกชาวกุเรช(พวกตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์)และอื่นจากพวกเขา ที่อัลกุรอ่านได้เล่าถึงการตั้งภาคีของพวกเขา  เลือด(ชีวิต)ของพวกเขา และทรัพย์สินของพวกเขานั้นเป็นที่ฮะล้าล(อนุมัติ)  และครอบครัวของพวกเขาต้องตกเป็นเชลย และไฟนรกนั้นเป็นวาญิบสำหรับพวกเขา

เดิมพวกเขา(มุชริก)ยอมรับว่า อัลลอฮ์เพียงองค์เดียวเท่านั้นคือ ผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน

ดังที่พระองค์ตรัสว่า

وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ قُلِ الْحَمْدُ لِلَّهِ بَلْ أَكْثَرُهُمْ لَا يَعْلَمُونَ

และถ้าสูเจ้าถามพวกเขา(มุชริก)ว่า ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า อัลลอฮ์       จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า การสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ แต่ทว่าส่วนมากของพวกเขานั้นไม่รู้  ( ลุกมาน : 25 )

พวกมุชริก ที่ทำให้มีพระเจ้าอื่นๆหลายองค์เคียงคู่กับอัลลอฮ์นั้นยอมรับว่า แท้จริงบรรดาพระเจ้าของพวกเขาคือมัคลู๊ก(สิ่งถูกสร้าง)  แต่พวกเขาได้ยึดถือพระเจ้าเหล่านั้นเป็น ผู้ขอชะฟาอะฮ์( ผู้ให้ความช่วยเหลือ)  และพวกมุชริกยังแสวงหาความใกล้ชิดยังอัลลอฮ์ ด้วยการเคารพบูชาพระเจ้าเหล่านั้น

ดังที่อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

وَيَعْبُدُونَ مِن دُونِ اللّهِ مَا لاَ يَضُرُّهُمْ وَلاَ يَنفَعُهُمْ وَيَقُولُونَ هَؤُلاء شُفَعَاؤُنَا عِندَ اللّهِ

และพวกเขาจะเคารพภักดี(อิบาดะฮ์)สิ่งอื่นไปจากอัลลอฮ์ ที่มิได้ให้โทษแก่พวกเขา และมิได้ให้คุณแก่พวกเขา  และพวกเขาจะกล่าวว่า เหล่านี้คือผู้ขอชะฟาอะฮ์(ผู้ให้การช่วยเหลือ)ของเรา ณ.ที่อัลลอฮ์  

(ยูนุส : 18)

قُلِ ادْعُواْ الَّذِينَ زَعَمْتُم مِّن دُونِهِ فَلاَ يَمْلِكُونَ كَشْفَ الضُّرِّ عَنكُمْ وَلاَ تَحْوِيلاً

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) พวกท่านจงร้องขอ(ความช่วยเหลือกับ)บรรดาสิ่งที่พวกท่านกล่าวอ้างอื่นจากอัลลอฮ์ พวกมันไม่มีอำนาจที่จะปลดเปลื้องความทุกข์ยากออกไปจากพวกท่านได้และไม่อาจเปลี่ยนแปลง(มันได้)

(อัลอิสรอ : 56)

أُولَئِكَ الَّذِينَ يَدْعُونَ يَبْتَغُونَ إِلَى رَبِّهِمُ الْوَسِيلَةَ أَيُّهُمْ أَقْرَبُ وَيَرْجُونَ رَحْمَتَهُ وَيَخَافُونَ عَذَابَهُ إِنَّ عَذَابَ رَبِّكَ كَانَ مَحْذُورًا

เหล่านั้น ที่พวกเขาวิงวอนนั้น พวกมันก็ยังหวังที่จะหาสื่อ(วะซีละฮ์)เข้าสู่ร็อบ(พระเจ้า)ของพวกมันว่า ผู้ใดในหมู่พวกมันใกล้ชิดที่สุด  และพวกมันยังหวังในความเมตตาของพระองค์และกลัวการลงโทษของพระองค์     แท้จริงการลงโทษของร็อบ(พระเจ้า)นั้นควรน่าระวัง  

(อัลอิสรอ : 57)

พวกมุชริกเหล่านี้ ในบางครั้งพวกเขาก็กล่าวว่า พวกเราขอชะฟาอะฮ์(ความช่วยเลหือ)กับพวกเขาเหล่านั้น หมายถึง เราร้องขอจากบรรดามลาอิกะฮ์และบรรดานบีให้พวกเขา ขอชะฟาอะฮ์(ให้กับเรา) เมื่อเรามาที่หลุมฝังศพของนบีท่านหนึ่งท่านใดของพวกเขา  เราก็ร้องขอจากเขาให้ขอชะฟาอะอ์ให้แก่เรา...

และในหมู่พวกเขา มีผู้ที่ตีความโองการที่อัลลอฮ์ตะอาตรัสว่า

وَلَوْ أَنَّهُمْ إِذ ظَّلَمُواْ أَنفُسَهُمْ جَآؤُوكَ فَاسْتَغْفَرُواْ اللّهَ
وَاسْتَغْفَرَ لَهُمُ الرَّسُولُ لَوَجَدُواْ اللّهَ تَوَّابًا رَّحِيمًا

และมาตรแม้น แท้จริงพวกเขานั้น เมื่อพวกเขาได้อธรรมแก่ตัวเอง (พวกเขา)ได้มาหาเจ้า แล้วพวกเขาขออภัยโทษต่ออัลลอฮ์
และรอซูลก็ได้ทำการขออภัยโทษให้แก่พวกเขา แน่นอนพวกเขาย่อมพบว่า อัลลอฮ์นั้นคือผู้ทรงให้อภัย ผู้ทรงเมตตา

( 4 : 64 )

ชีรีกประเภทต่างๆเหล่านี้คือ ส่วนหนึ่งจากการสนทนาของ(พวกเขากับ)บรรดามลาอิกะฮ์,บรรดานบีและบรรดาคนศอและห์ หลังจากที่พวกเขาตายแล้ว ที่หลุมฝังศพของพวกเขา และในยามที่พวกเขาไม่อยู่  และการสนทนากับรูปปั้นทั้งหลาย มันคือชีรีกชนิดที่ใหญ่ที่สุด ที่มีอยู่ในหมู่พวกมุชริกีน  อื่นจากพวกชาวคัมภีร์  
และในความบิดอะฮ์(อุตริกรรม)ของชาวคัมภีร์ และบรรดามุสลิมที่ได้อุตริทำขึ้นจากการทำชีรีกและการทำอิบาดะฮ์ต่างๆ  อันเป็นสิ่งที่อัลลอฮ์ตะอาลาไม่เคยอนุญาตต่อมัน

อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

أَمْ لَهُمْ شُرَكَاء شَرَعُوا لَهُم مِّنَ الدِّينِ مَا لَمْ يَأْذَن بِهِ اللَّهُ

หรือว่า สำหรับพวกเขานั้น มีภาคีต่างๆ ที่ได้กำหนดศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺได้เคยอนุมัติให้กับมัน

(42 : 21)

อ้างอิงจากหนังสือ

มัจญ์มูอุล ฟะตาวา  โดบอิบนุตัยมียะฮ์  เล่ม 1 : 155
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ ตุลาคม 01, 2009, 11:05:14 ก่อนเที่ยง

คำพูดของมุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ คืออะกีดะฮ์ของวาฮาบี


มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ กล่าวว่า


وأما التوحيد فهو ثلاثة أنواع توحيد الربوبية وتوحيد الألوهية وتوحيد الأسماء والصفات ،
أما توحيد الربوبية : فهو الذي أقر به الكفارُ على زمن رسول الله (ص) ولم يدخلهم في الإسلام وقاتلهم رسول الله (ص) واستباح دماءهم وأموالهم وهو توحيده بفعله تعالى ، والدليل قوله تعالى ( قُلْ مَن يَرْزُقُكُم مِّنَ السَّمَاء وَالأَرْضِ أَمَّن يَمْلِكُ السَّمْعَ والأَبْصَارَ وَمَن يُخْرِجُ الْحَيَّ مِنَ الْمَيِّتِ وَيُخْرِجُ الْمَيَّتَ مِنَ الْحَيِّ وَمَن يُدَبِّرُ الأَمْرَ فَسَيَقُولُونَ اللّهُ فَقُلْ أَفَلاَ تَتَّقُونَ )
( قُلْ مَن رَّبُّ السَّمَاوَاتِ السَّبْعِ وَرَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ * سَيَقُولُونَ لِلَّهِ قُلْ أَفَلَا تَتَّقُونَ * قُلْ مَن بِيَدِهِ مَلَكُوتُ كُلِّ شَيْءٍ وَهُوَ يُجِيرُ وَلَا يُجَارُ عَلَيْهِ إِن كُنتُمْ تَعْلَمُونَ * سَيَقُولُونَ لِلَّهِ قُلْ فَأَنَّى تُسْحَرُونَ ) ... .
النوع الثاني : وهو توحيد الألوهية ، فهو الذي وقع فيه النِزَاعُ في قديم الدهر وحديثه ، وهو توحيد الله بأفعال العبادة كالدعاء والنذر والنحر والرجاء والخوف والتوكل والرغبة والرهبة والإنابة ،
ودليل الدعاء قوله تعالى ( وَقَالَ رَبُّكُمُ ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ إِنَّ الَّذِينَ يَسْتَكْبِرُونَ عَنْ عِبَادَتِي سَيَدْخُلُونَ جَهَنَّمَ دَاخِرِينَ ) ... .
وأما النوع الثالث : فهو توحيد الذات والأسماء والصفات قال تعالى ( قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ * اللَّهُ الصَّمَدُ * لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ * وَلَمْ يَكُن لَّهُ كُفُوًا أَحَدٌ ) ... \\\"

كتاب : مجموعة التوحيد ص3- 4 .


คำแปล


มุฮัมมัด บินอับดุลวาฮาบ กล่าวว่า


ส่วนเตาฮีดนั้น มี  3 ชนิด คือ

1.   เตาฮีด รุบูบียะฮ์

2.   เตาฮีด อุลูฮียะฮ์

3.   เตาฮีด อัลอัสมาอ์ วัซ-ซิฟาต


ชนิดที่หนึ่ง - เตาฮีด รุบูบียะฮ์
คือที่พวกกาเฟ็รยอมรับต่อเรื่องนั้นในสมัยท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ) และมิได้นำพวกเขาเข้าสู่อิสลาม
และท่านรอซูลุลลอฮ์(ศ)ได้ต่อสู้กับพวกเขา  เลือด(ชีวิต)ของพวกเขาและทรัพย์สินของพวกเขาถือว่าเป็นที่อนุมัติ
และมันคือการให้เตาฮีดกับพระองค์ต่อการการกระทำของอัลลอฮ์ตะอาลา
หลักฐานคือ พระดำรัสของอัลลฮอฮ์ ตะอาลา

قُلْ مَن يَرْزُقُكُم مِّنَ السَّمَاء وَالأَرْضِ أَمَّن يَمْلِكُ السَّمْعَ والأَبْصَارَ وَمَن يُخْرِجُ الْحَيَّ مِنَ الْمَيِّتِ وَيُخْرِجُ الْمَيَّتَ مِنَ الْحَيِّ وَمَن يُدَبِّرُ الأَمْرَ فَسَيَقُولُونَ اللّهُ فَقُلْ أَفَلاَ تَتَّقُونَ

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่มาจากฟากฟ้า และแผ่นดินแด่พวกท่าน หรือใครเป็นเจ้าของการได้ยินและการมอง และใครเป็นผู้ให้มีชีวิตหลังจากการตายและเป็นผู้ให้ตายหลังจากมีชีวิตมา และใครเป็นผู้บริหารกิจการ  
แล้วพวกเขาจะกล่าวว่า อัลลอฮ์ ดังนั้นจงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า พวกท่านจะไม่ยำเกรงหรือ ( ยูนูส : 31)

قُلْ مَن رَّبُّ السَّمَاوَاتِ السَّبْعِ وَرَبُّ الْعَرْشِ الْعَظِيمِ

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ใครเป็นเจ้าของชั้นฟ้าทั้งเจ็ด และเป็นผู้สร้างบัลลังก์อันยิ่งใหญ่

سَيَقُولُونَ لِلَّهِ قُلْ أَفَلَا تَتَّقُونَ

พวกเขาจะกล่าวว่า มันเป็นของอัลลอฮ์

قُلْ مَن بِيَدِهِ مَلَكُوتُ كُلِّ شَيْءٍ وَهُوَ يُجِيرُ وَلَا يُجَارُ عَلَيْهِ إِن كُنتُمْ تَعْلَمُونَ

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า  อำนาจอันกว้างใหญ่ไพศาลทุกสิ่งอย่างนี้อยู่ในพระหัตถ์ของผู้ใด ? และพระองค์เป็นผู้ทรงปกป้องคุ้มครอง และจะไม่มีใครปกป้องคุ้มครองพระองค์ หากพวกท่านรู้

سَيَقُولُونَ لِلَّهِ قُلْ فَأَنَّى تُسْحَرُونَ

พวกเขาจะกล่าวว่า มันเป็นของอัลลอฮ์ จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) ดังนั้นพวกท่านถูกหลอกลวงได้อย่างไร   ( อัลมุอ์มินูน : 84-89 )


ชนิดที่สอง - เตาฮีด อุลูฮียะฮ์
คือที่เกิดความขัดแย้งกันในเรื่องนี้ ทั้งเวลาในอดีตและยุคใหม่
และมันคือการให้เตาฮีดกับอัลลอฮ์ต่อการกระทำต่างๆของอิบาดะฮ์  เช่นการขอดุอาอ์  การบนบาน การเชือด ความหวัง  ความเกรงกลัว การมอบหมาย  ความปรารถนา ความหวาดกลัว และการกลับตัว
หลักฐานเรื่องการขอดุอาอ์คือ พระดำรัสของอัลลอฮ์ ตะอาลา
 
وَقَالَ رَبُّكُمُ ادْعُونِي أَسْتَجِبْ لَكُمْ إِنَّ الَّذِينَ يَسْتَكْبِرُونَ عَنْ عِبَادَتِي سَيَدْخُلُونَ جَهَنَّمَ دَاخِرِينَ

และพระผู้อภิบาลของพวกเจ้าได้ตรัสว่า พวกเจ้าจงขอต่อข้าเถิด ข้าจะตอบสนองพวกเจ้าอย่างแน่นอน แท้จริงบรรดาผู้ยิ่งยโสในการนมัสการต่อข้า พวกเขาจะต้องเข้านรกอย่างอัปยศเป็นที่สุด ( อัลมุอ์มิน : 60 )


ชนิดที่สาม - เตาฮีด อัลอัสมาอ์ วัซ-ซิฟาต
คือการให้เตาฮีดกับซ๊าต(อาตมัน) , พระนามและพระคุณลักษณะต่างๆ  อัลลอฮ์ตะอาลาตรัสว่า

قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ * اللَّهُ الصَّمَدُ * لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ * وَلَمْ يَكُن لَّهُ كُفُوًا أَحَدٌ )

1- จงกล่าวเถิด ( มุฮัมมัด )  พระองค์คือ อัลลอฮ์ ผู้ทรงเอกะ  
2- (อัลลอฮ์)ทรงเป็นที่พึ่ง(ของสรรพสิ่งทั้งมวล)  
3- พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ถูกประสูติ  
4- และไม่มีผู้ใด (และสิ่งใด ) เสมอเหมือนพระองค์  
( อัลอิคลาศ 1- 4)

อ้างอิงจากหนังสือ

มัจญ์มูอุต – เตาฮีด  หน้า 3-4
ชื่อ: Re:งานวิจัย วาฮาบี กับความญาเฮ้ลเรื่องเตาฮีด
โดย: L-umar เมื่อ ตุลาคม 02, 2009, 01:31:49 หลังเที่ยง
เรา จะทยอยเอาข้อมูล  ลงไปเรื่อยๆ   อินชาอัลลอฮ์