Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

พฤษภาคม 04, 2024, 02:59:56 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,651
  • หัวข้อทั้งหมด: 651
  • Online today: 129
  • Online ever: 153
  • (เมษายน 26, 2024, 05:40:09 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 121
Total: 121

ดอกเตอร์วาฮาบีสะละฟี เปลี่ยนไปเป็น ชีอะฮ์ จริงหรือ

เริ่มโดย L-umar, มิถุนายน 10, 2009, 09:12:33 ก่อนเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar

ดอกเตอร์วาฮาบีสะละฟี เปลี่ยนไปเป็น ชีอะฮ์ จริงหรือ

เรามิได้กล่าวเกินความจริงเหมือนที่ซุนนี่ยก นายบุรกออี และนายฮูเซน อัลมูซาวีนักวิชาการที่ไม่มีใครรู้จัก แล้วจับมาประโคมข่าว

ขอเชิญท่านฟังจากปาก ตัวจริงเสียงจริงของ ดอกเตอร์ อิศอมุล อิม๊าด  อดีตเป็นนักวิชาการวาฮาบี

عصام العماد يثبت أنه كان وهابيا قبل أن يتشيع





" ( คำสัมภาษณ์ของดอกเตอร์อิศอมุล อิม๊าด ) "

ดร.อิศอมุลอิมาด ชาวเยเมน อายุ 39 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้าน "ชีอะฮฺวิทยา" ผู้เชี่ยวชาญวิชาริญาลและหะดีษ จบการศึกษาปริญญาเอกสาขาวิชาประวัติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยนานาชาติอะฮฺลุลบัยต์ (อลัยฮิมุสลาม) และผ่านการศึกษาสาขามะซาฮิบ จากประเทศซาอุดิอารเบีย ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนในสถาบันศาสนาในเมืองกุม มุก็อดดัส อาทิ มหาวิทยาลัยอิมามโคมัยนี (กุดดิสสัรฺรุฮุจชะรีฟ) เป็นต้น
 
ดร.ผู้ยึดตามสำนักคิด "วะฮาบีย์" ก่อนที่จะเข้ารับชีอะฮฺ ได้ให้เกียรติให้สัมภาษณ์สำนักข่าว ISNA - Iranian Student\\\'s News Agency เผยธาตุแท้หลักความเชื่อที่ "บิดเบี้ยว" และ "หลงทาง" ของวะฮาบีย์อย่างถึงแก่น
 
ดร.ได้สาธยายถึง "อะกีดะฮฺ – หลักความเชื่อของวะฮาบีย์" ว่าคนพวกนี้จะเน้นย้ำกับเรื่องกุโบรฺ - สุสาน การทำลายสุสานบุคคลสำคัญในอิสลาม "จุติ" มาจากความคิดของลัทธิวะฮาบีย์นี้เอง
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวว่า "ปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดของโลกอิสลาม เกิดจากการเคลื่อนไหวของพวกวะฮาบีย์ แนวคิดของลัทธินี้ไม่มีคำว่า "ตักรีบุลมะซาฮิบ" หรือ "สมานฉันท์ระหว่างมัซฮับ" ไม่มีคำว่า "เอกภาพ" ไม่มีคำว่า "ปรองดอง" ไม่มีคำว่า "สามัคคี" ในระหว่างสำนักคิดอิสลาม
 
ดังนั้น ในการเผชิญหน้ากับแนวคิดที่สร้างความแตกแยกในระหว่างประชาชาติอิสลามดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งที่อุละมาอ์สุนนีย์กับชีอะฮฺจะต้องออก "แถลงการณ์ร่วม" เพื่อเผชิญหน้ากับ "คำฟัตวาให้ผู้ที่มีความเชื่อแตกต่างกับวะฮาบีย์ว่าเป็นกาฟิรฺ" ของลัทธิดังกล่าว
 

ฟัตวาวะฮาบีย์เพื่อสกัดกั้นขบวนการต่อสู้เพื่ออิสลาม
ของหิซบุลลอฮฺแห่งเลบานอน – หะมาส - และอิควานุลมุสลิมีน
ดร.อิศอมุลอิมาด ชี้ให้เห็นว่า "ฟัตวาของวะฮาบีย์ได้รับอิทธิพลมาจาก "แนวคิดอิสราเอล" ทั้งนี้เพื่อสกัดกั้น "ขบวนการต่อสู้เพื่ออิสลามของหิซบุลลอฮฺแห่งเลบานอน – หะมาส - อิควานุลมุสลิมีน" นั่นเอง
ดร.อิศอมุลอิมาด ซึ่งผ่านการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในซาอุดิอารเบีย ยังกล่าวในบทสัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวนักศึกษาอิหร่าน "อีสนา" ว่า "กรณีที่อุละมาอ์วะฮาบีย์ได้ร่วมกันออกคำฟัตวาว่าบุคคลจำนวน 38 คนเป็น "กาฟิรฺ" นั้น ไม่ใช่เรื่อง "ใหม่" และแปลกประหลาดแต่อย่างใด เพราะเมื่อย้อนไปเปิดปูมประวัติความเป็นมาและการก่อตั้งลัทธิวะฮาบีย์ เราจะพบว่าลัทธินี้ถือกำเนิดเกิดมาบน "เปลแห่งการการปรักปรำผู้อื่นว่าเป็นกาฟิรฺ" และเจริญเติบโตและเคลื่อนไหวไปบนการ "ฟิตนะฮฺ – ปรักปรำ – บริภาษ" ผู้อื่นให้เป็น "กาฟิรฺ" นั่นเอง
 
"ข้าพเจ้าไม่คิดว่าจะมีมัซฮับอื่นใดที่กล้าตัดสินพิพากษาผู้มีแนวคิดแตกต่างกับตนให้เป็น "กาฟิรฺ" เหมือนลัทธิวะฮาบีย์ และเป็นที่น่าเศร้าสลดใจว่า "ความคิดก้าวร้าว" เช่นนี้ ถือกำเนิดมาจาก "ญะฮฺล์" (ความโง่เขลาเบาปัญญา) ต่อนัยและสารัตถะของการ "ตักฟีรฺ"
ข้าพเจ้าเริ่มสนใจศึกษาตำราที่เกี่ยวกับวะฮาบีย์และการตอบโต้แนวคิดที่ "บิดเบี้ยว" ของลัทธินี้นับตั้งแต่ช่วงเริ่มแรกที่เดินทางเข้ามาศึกษาในสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ตัวอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้พบจาก "มุฟตีย์ชาวคูเวต" ที่นำเสนอในหนังสือ "อัลซิลซาล" ซึ่งได้รับการแปลเป็นภาษาฟารซีย์ด้วย
 

"ผู้นำลัทธิวะฮาบีย์ไม่มีความรู้ในสาขาวิชาการอิสลามอย่างแตกฉาน
อาทิ วิชาตรรกะ (อิลมุนมันฏิก) วิชาอุศูล และวิชาหลักภาษา (อิลมุลลุเฆาะฮฺ) เป็นต้น"
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวถึงเจ้าของลัทธิวะฮาบีย์ว่า "ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ" ผู้สถาปนามัซฮับวะฮาบีย์ ถือกำเนิดในครอบครัวนักปราชญ์ทางศาสนา และตักตวงวิชาความรู้จากบิดาและพี่ชาย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเขากลับมี "ความคิดที่บิดเบี้ยว" หลงออกจากทางที่เที่ยงตรง"
 
ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านชัยค์อับดุลวะฮาบมีปัญหาใหญ่หลวง 2 ประการ ดังนั้น ภายหลังจากได้ค้นคว้าตำรับตำราของชัยค์ท่านนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าพเจ้าจึงพบว่าปัญหาประการแรกก็คือ ความรู้ที่ไม่แตกฉานของท่าน เพราะอาลิมท่านนี้ไม่มีความรู้ในสาขาวิชาการอิสลามอย่างแตกฉาน อาทิ วิชาตรรกะ (อิลมุนมันฏิก) วิชาอุศูล และวิชาหลักภาษา (อิลมุลลุเฆาะฮฺ) เป็นต้น"
 
"ชัยค์มุหัมมัด อับดิลวะฮาบ" ไม่มีทางที่จะรับความรู้อิสลามที่ถูกต้อง -  แตกฉาน – และสมบูรณ์แบบจากการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่น่าเชื่อถือเพียงที่เดียว และการฝากตัวเป็น "สานุศิษย์กับปรมาจารย์เพียงท่านเดียว" จะไม่มีวันได้รับความรู้ที่ถูกต้องแท้จริงอย่างสิ้นเชิง"
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "เป็นที่น่าเสียดายที่ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ รีบด่วนตับลีฆศาสนาก่อนจะมีความรู้แตกฉาน กอรกับอุปนิสัยที่ "ก้าวร้าว" (เมื่อผสมผสานระหว่างความรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ กับคุณอุปนิสัย "ก้าวร้าว" ผลลัพท์จึงเป็นที่ประจักษ์ของประชาคมมุสลิม ณ ปัจจุบัน – ผู้ถอดความ)
 

"ปัญหาพื้นฐานสำคัญของแนวคิดวะฮาบีย์มิใช่แค่เพียง "วิถีที่เบี่ยงเบียน" เท่านั้น
ทว่า พวกเขามีปัญหา "ความคิดที่ผิดเพี้ยน" ด้วย
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวถึงปัญหาขั้นพื้นฐานสำคัญประการที่สองของชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ คือ "ความคิดที่บิดเบี้ยว" ซึ่งถือเป็นปัญหาพื้นฐานที่ใหญ่หลวงของความเชื่อ – อะกีดะฮฺของชัยค์ท่านนี้ ซึ่งเคยปรากฎตัวอย่างจากหน้าประวัติศาสตร์ในหมู่ "เคาะวาริจญ์" ในยุคสมัยของท่านอิมามอะลี (อลัยฮิสลาม) มาแล้ว
 
"ชัยค์อับดุลวะฮาบ" มิได้ปรักปรำ – ฟิตนะฮฺ แค่ชีอะฮฺเท่านั้น ทว่า "ชาวสุนนีย์สายกลาง" ก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากการฟิตนะฮฺและปรักปรำทำลายของเขา ! ! !
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "นับตั้งแต่ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ ปรากฎบนโลกนี้ เราต่างได้เห็นเป็นประจักษ์พยานถึง "ความคิดที่เป็นภัยอันใหญ่หลวง" ของเขา เพราะไม่เพียงแต่จะต่อต้านชาวชีอะฮฺเท่านั้น ทว่า ท่านชัยค์ยังออกคำฟัตวา – ปรักปรำ – โจมตี "อะฮฺลิสสุนนะฮฺสายกลางที่บริสุทธิ์" อย่างไม่บันยะบันยังอีกด้วย"
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวอีกว่า "ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ" มิได้สัมผัส "นัย" และ "กฏเกณฑ์ขั้นพื้นฐาน" ของคำว่า "ตักฟีรฺ" (การพิพากษาผู้อื่นว่าเป็น "กาฟิรฺ) ด้วยเหตุนี้ ท่านชัยค์จึง "ลาก" มุสลิมทั้งสุนนีย์และชีอะฮฺมากมายให้เข้าไปอยู่ใน "คอกชิริกและตักฟีรฺ" และนี่คือ "ภยันตรายอันใหญ่หลวง" เพราะใครก็ตามที่ไม่ยึด "ความคิดของท่านชัยค์" ท่านจะพิพากษา – ฟัตวา ให้มีความผิดในข้อหา "ต่อต้านเตาหีด – เอกภาพของอัลลอฮฺ" ทันที ! ! !
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวอีกว่า "ชัยค์ท่านนี้ใช้ความคิดจินตนาการส่วนตัวประพันธ์ "หลักศรัทธาในเอกภาพของพระเจ้า" (เตาหีด) หลังจากนั้น จะออกคำฟัตวา "ยัดเยียด" ความเป็น "กาฟิรฺ" กับใครก็ตามที่คัดค้านหรือต่อต้าน "กรอบความคิดของตน" ! ! !
 
เราจึงพบว่าท่านชัยค์จะมีปัญหากับนักปราชญ์ชั้นนำของโลกอิสลามไปทั่ว อาทิเช่น กับหนังสือเตาหีดของท่านซะมัคชะรีย์ , ตัฟสีรฺอายาตเตาหีดของอิมามฟัครุรฺรอซีย์ และอิมามอบูหามิด เฆาะซะลีย์ , ฏ็อบเราะสีย์ , อัสกิลานีย์ , ษะอฺละบีย์ และแม้กระทั่งกับท่านเฏาะบะรีย์ อุละมาอ์ชั้นแนวหน้าของชาวสุนนีย์ เพราะตามทัศนะของชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ ถือว่าหนังสือเหล่านี้ล้วนนำผู้คนให้ "หลงทาง" ดังนั้น ผู้เขียนหนังสือจึงคือ "กาฟิรฺ" ! ! !
 
ด็อกเตอร์นักประวัติศาสตร์ท่านนี้ยังกล่าวต่อไปว่า "ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ" มีความ "เซนซิทีฟอย่างรุนแรง" ในปัญหา "เตาหีด" แต่แทนที่จะอาศัยหลักวิชาการที่ถูกต้อง ท่านชัยค์กลับใช้ \\\"ความคิดของตน" เข้าไป "สอดแทรก" แทน ในขณะที่ความคิดของท่านในด้านนี้ถือว่าเป็น "อัมพาต"
 
ด้วยเหตุนี้ ไม่เพียงแต่ชัยค์ท่านนี้จะสร้างปัญหาในซาอุดี้ฯ เท่านั้น ทว่า ท่านยังสร้างปัญหาให้กับประชาคมอิสลามโดยรวมอีกด้วย นับตั้งแต่ \\\"อันดาลูเซีย" (สเปน) ถึงอิหร่านและปากีสถาน
 
ท่านชัยค์มีปัญหาไปทั่วกับทุกมัซฮับ ทั้ง "อัชอะรีย์" , "มุอฺตะซิละฮฺ" และ "ชีอะฮฺ" เป็นต้น นอกจากนี้ "ท่านชัยค์ยังเป็นต้นตอที่ทำให้ขบวนการต่อสู้เพื่ออิสลามต้องแตกกระสานซ่านเซ็น และต้องยุติการเคลื่อนไหวไปโดยปริยาย" อีกด้วย
 

"ผู้สถาปนาลัทธิวะฮาบีย์พยายามยัดเยียด "เตาหีดเก๊" ให้กับผู้คน"
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวอีกว่า "ณ ที่นี้ ข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาที่จะค้นหา "เนียต" (เจตนา) ของชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ เพราะ "เนียต" เป็นเรื่องภายในจิตใจของแต่ละคนที่เฉพาะอัลลอฮฺเท่านั้นที่ทรงทราบ แต่ที่ชัดเจนสำหรับข้าพเจ้าก็คือพฤติกรรมของชัยค์ผู้นี้ที่พยายามยัดเยียด "เตาหีดจอมปลอม" ให้กับผู้คนโดยไม่อินังขังขอบและใส่ใจกับปัญหาสังคม ปัญหาความแตกแยกที่จะติดตามมาในภายหลัง
 
"ความตะอัศศุบ – โมหคติ" ของชัยค์ท่านนี้ "เลยเถิด" ถึงขนาดที่ว่าท่านจะขึ้นต้นจดหมายด้วยคำว่า
مِنْ محمد عبدالوهاب الي المشرکين
 "จากมุหัมมัด อับดุลวะฮาบ ถึง เหล่ามุชริกีน – พวกตั้งภาคีทั้งหลาย"
ทุกครั้งที่เขียนจดหมายไปยังผู้ที่มีความเชื่อแตกต่างกับตน
 
ท่านชัยค์เชื่อว่า "ชีวิต – ทรัพย์สิน – เกียรติยศ – สตรี – ลูก ๆ ของผู้ที่ต่อต้านท่าน "มุบาหฺ" - "หะลาล" (อนุมัติ) สำหรับสมัครพรรคพวกของท่าน" (สามารถสังหาร – ปล้นสดมภ์ – ยึดเป็นเมียได้ – ผู้ถอดความ)
 
ด็อกเตอร์วะฮาบีย์ผู้เข้ารับชีอะฮฺ กล่าวต่อไปว่า "แม้กระทั่ง "ชัยค์สุลัยมาน อับดุลวะฮาบ" พี่ชาย ยังตั้งตนเป็นปรปักษ์กับ "ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ" น้องชายของตน วันหนึ่ง ท่านได้กล่าวกับน้องชายว่า "เจ้าจะไม่มีวันสัมผัสถึงสารัตถะที่ถูกต้องในหนังสือที่เจ้าอ่านอย่างสิ้นเชิง"
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวอีกว่า "ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ  "ขยันตอกลิ่มเพื่อเสี้ยมความแตกแยก" เอาไว้อย่างมากมาย จนกระทั่งผู้คนพากันกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า "ระดับ "อิบนุตัยมียะฮฺ" ที่มี "ชื่อลือกระฉ่อนในด้านความก้าวร้าวรุนแรงในหน้าประวัติศาสตร์" ยังเทียบไม่ได้ "เศษเสี้ยวของชัยค์อับดุลวะฮาบ" และค่อนข้างจะ "มุอฺตะดิล – เป็นกลาง" มากกว่า ตัวอย่างเช่นในเรื่อง "บิดอะฮฺ" ท่านชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ จะยัดข้อหา "ชิริก" สถานเดียว ในขณะที่ "อิบนุตัยมียะฮฺ" จะไม่ฟัตวารุนแรงถึงขนาดนั้น เป็นต้น
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "กรณีที่ "อุละมาอ์วะฮาบีย์" ร่วมกันออกคำฟัตวาว่าบุคคลจำนวน 38 คนเป็น "กาฟิรฺ" นั้น เพราะได้รับอิทธิพลมาจากคำฟัตวาของชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ นั่นเอง และตราบใดที่เราไม่สามารถหามาตรการที่จะขจัดปัญหาดังกล่าว อุปสรรคของโลกอิสลามก็จะยิ่ง "ลุกลาม" ชนิดที่ไม่อาจจะขจัดปัดเป่าให้อันตรธานอย่างสิ้นเชิง"
 

อุปสรรคใหญ่หลวงของโลกอิสลาม
เกิดจากความคิดที่ผิดมหันต์ของวะฮาบีย์
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "ชัยค์มุหัมมัดสะอีด ลูฎีย์" นักนิติศาสตร์คนสำคัญกล่าวว่า "เราได้จัดพบปะสัมนาโดยเชิญนักคิดอิสลามจากทั่วโลกจำนวน 200 ท่าน เพื่อร่วมกันพิจารณาและหามาตรการแก้ปัญหาโลกมุสลิม โดยมี "บทสรุปรวบยอดร่วมกัน" ว่า "อุปสรรคอันใหญ่หลวงของโลกอิสลามเกิดจากการเคลื่อนไหวของลัทธิวะฮาบีย์\\\" นั่นเอง ลัทธินี้ได้แซกซึมเข้าไปสร้างปัญหาทั่วทั้งโลก แม้กระทั่งในอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และทั่วทุกสารทิศ"
ดร.ผู้เป็นอดีตวะฮาบีย์เก่ายังอ้างคำพูดของ "ดร.อัลลามะฮฺยูสุฟ ก็อรฎอวีย์" ที่ว่า "ในโลกอิสลาม ไมว่าคนที่ตายไปแล้ว - คนที่ยังมีชีวิตอยู่ – ไม่ว่าสุนนีย์ – ไม่ว่าชีอะฮฺ - หรือซัยดียะฮฺ ไม่มีใครที่จะรอดพ้นจาก "เงื้อมมือ" จากการฟัตวา – ละอฺนัต – ปรักปรำ – ใส่ร้าย – บริภาษ จากตำราวะฮาบีย์"
 
ดร.อิศอมุลอิมาด ได้หยิบยกตัวอย่างบางตอนว่า \\\"วะฮาบีย์ท่านหนึ่งได้เขียนหนังสือขึ้นมาเพื่อ "ดิสเครดิต" "สัยยิดญะมาลุดดีน อะสัดอาบาดีย์ (อัฟฆอนีย์)" ชื่อหนังสือ تحذير الامم من کلب العجم  (หลีกห่างของอุมมัตจากหมาอะญัม – ในที่นี้หมายถึงประชาชาติที่ใช้ภาษาเปอร์เซีย !)
 
ในขณะที่วะฮาบีย์อีกคนแต่งหนังสือโจมตี "ตัฟสีรุลมะนารฺ" โดยใช้ชื่อหนังสือว่า صواعق من النار علي صاحب المنار (เปลวเพลิงลุกโชนบนเจ้าของตัฟสีรฺอัลมะนารฺ !)
 
วะฮาบีย์อีกคนเขียนหนังสือชื่อ الکلب العالي يوسف القرضاوي (ยูสุฟ ก็อรฺฎอวีย์ สุนัขผู้มีเกียรติ !)
 
วะฮาบีย์เขียนหนังสือเพื่อทำลายล้างมุสลิมโดยเฉพาะ !
ดร.ผู้เป็นอดีตวะฮาบีย์เก่ากล่าวอีกว่า "ก่อนที่จะเข้ารับชีอะฮฺ ข้าพเจ้าได้เรียนกับปรมาจารย์ท่านหนึ่งที่ชื่อ "มัดค็อลลีย์" ปรากฎว่าชัยค์ท่านนี้มีตำราประมาณ 100 เล่มที่ละอฺนัต – สาปแช่ง – ตอบโต้ปรมาจารย์ชั้นนำของโลกอิสลาม อาทิเช่น "สัยยิดมุหัมมัด กุฏฏุบ" , "ชัยค์มุหัมมัด เฆาะซะลีย์" , "อายะตุลลอฮฺคูอีย์" , "ชัยค์มุหัมมัด อับดุฮฺ" ฯลฯ ในขณะที่เราไม่เคยพบหนังสือหรือตำราของพวกวะฮาบีย์ที่ตอบโต้ "มาร์กซิสต์" , "พุทธ" , "บาไฮ" และพวกเขาไม่เคย "แตะต้อง" รัฐเถื่อนไซออนิสต์อิสราเอลและอเมริกา หนังสือวะฮาบีย์ล้วนเขียนขึ้นมาเพื่อจ้องทำลายล้างมุสลิมเท่านั้น"
 

คำฟัตวาวะฮาบีย์ได้รับอิทธิพลจากอิสราเอล
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "ฟัตวาวะฮาบีย์มีรากเหง้าและได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดอิสราเอล และควรรับทราบไว้ ณ ที่นี้ว่าคำฟัตวาเหล่านี้ส่งตรงจากตำหนักราชวังซาอุดี้ฯ ทั้งนี้เพราะอุละมาอ์และมุฟตีย์ในประเทศนี้ล้วนเป็นข้าราชบริพารของราชอาณาจักรซาอุดี้ คำฟัตวาล้วนเป็นไปเพื่อสนองผลประโยชน์ของอิสราเอล และเพื่อสกัดกั้นขบวนการต่อสู้เพื่ออิสลามของหิซบุลลอฮฺแห่งเลบานอน , หะมาส และอิควานุลมุสลิมีน ฯลฯ
 
อย่างไรก็ตาม ด็อกเตอร์อิศอมุลอิมาด อดีตวะฮาบีย์เก่าเล่ายี่ห้อยังมีความหวังลึก ๆ กับวะฮาบีย์สายกลางรุ่นใหม่บางคน โดยท่านกล่าวว่า "การปรากฎของวะฮาบีย์ที่ยึดหลักตรรกะ – มีสติปัญญาในซาอุดิอารเบีย ถือเป็นปรากฎการณ์ที่เต็มไปด้วยความหวัง - ความจำเริญ (มุบาร็อก) อาทิ "ชัยค์สุลัยมาน อัลเอาดะฮฺ" ระดับแกนนำวะฮาบีย์สายกลางที่กล้าหาญชาญชัยตอบโต้ – คัดค้านหลักคิดที่บิดเบี้ยวของ "ชัยค์มุหัมมัด อิบดุลวะฮาบ" และกล้าประกาศอย่างโจ๋งครึ่มว่าหลักคิดของท่านชัยค์ผู้สถาปนาลัทธิวะฮาบีย์มี "ความผิดพลาด"
 
นอกจากนี้ ดร.ยังกล่าวถึงวิกฤติที่เป็นภัยอย่างมหันต์ที่เกิดจาก "รากเหง้าทางประวัติศาสตร์" ว่า "ภายหลังจากการเผชิญหน้าระหว่าง "มะลิกฟัยศอลแห่งราชวงศ์ซาอุดี้" กับ "ญะมาล อับดุลนาศิรฺแห่งอียิปต์" แล้ว มะลิกฟัยศอล "คิดล้างแค้น" ด้วยการเชื้อเชิญอุละมาอ์อะฮฺลุตะสันนุนจากอียิปต์ อาทิ "สัยยิดมุหัมมัด กุฏฏุบ" , "ชัยค์มุหัมมัด เฆาะซะลีย์" ไปเยือนราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย เพื่อ "เกลี้ยกล่อม" ให้ปวงปราชญ์เหล่านี้ลุกขึ้นเผชิญหน้ากับ "ญะมาล อับดุลนาศิรฺ" ทว่า ทว่า ท่านเหล่านี้ได้รับอิทธิพลด้านความคิดจาก "สัยยิดญะมาลุดดีน อะสัดอาบาดีย์ – อัฟฆอนีย์" และ "ชัยค์มุหัมมัด อับดุฮฺ" ทำให้พวกเขาปฏิเสธคำเกลี้ยกล่อมของกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซาอุดี้ฯ และยืนยันที่จะตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับแนวคิดที่บิดเบี้ยวของ "ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ" ต่อไป
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "เมื่ออุละมาอ์สุนนีย์จากอียิปต์เดินทางเข้าสู่ราชอาณาจักรซาอุดี้ฯ "ชัยค์เราะบีอฺ มัดค็อลลีย์" กับ "ชัยค์บินบาซ" ทำนายทายทักว่า "การมาของคนเหล่านี้เสมือน "ระเบิดเวลาที่จะทำลายแนวคิดวะฮาบีย์" ให้แหลกลาญนั่นเอง"
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "หลังจาก "สัยยิดมุหัมมัด กุฏฏุบ" ถูกบีบบังคับให้พำนักในซาอุดิอารเบียอย่างไม่มีทางเลี่ยง ท่านจึงถือโอกาสนั้นสอนสั่งสานุศิษย์ และสามารถสร้างผลิตผลคนสำคัญที่มีแนวคิดเชิงตรรกะและเป็นกลางเฉกเช่น "ชัยค์สุลัยมาน อัลเอาดะฮฺ"
 

ในราชอาณาจักรซาอุดี้ฯ ทุกคนมีสิทธิเล่นงานอิมามอะลี (อลัยฮิสลาม)
กับอุมัรฺ บินค็อฎฎอบ แต่ไม่มีใคร "กล้าแหยม"
วิพากษ์วิจารณ์แนวคิด "ผู้ก่อตั้งลัทธิวะฮาบีย์"
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "ข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำในช่วงวันเวลาที่ข้าพเจ้าศึกษาในมหาวิทยาลัยในซาอุดิอารเบีย ทุกคนสามารถกล่าวพาดพิงถึงท่านอิมามอะลี
(อลัยฮิสลาม) ในทางเสียหาย และแม้กระทั่งพาดพิงถึงอุมัรฺ อิบนุลค็อฏฏอบ ได้อย่าง "สะดวกสบายปาก" ทว่า ไม่มีใครกล้าแหยม - แตะชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ"
 
ในช่วงเวลานั้นเองที่ "สัยยิดมุหัมมัด กุฏฏุบ" กับ "ชัยค์มุหัมมัด เฆาะซะลีย์" สำแดงความองอาจกล้าหาญออกมาวิพากษ์วิจารณ์ความคิดอันบิดเบี้ยวของ "ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ" ซึ่งสร้างความสั่นเสทือนเลือนลั่นให้กับราชวงศ์ซาอุดี้ฯ"
 
"เมื่อระดับแกนนำวะฮาบีย์ไม่สามารถต้านทานวิชาการของ "สัยยิดกุฏฏุบ" ได้ พวกเขาจึงอาศัย "ไม้ตายและอาวุธลับสุดท้าย" กล่าวหาสัยยิดว่าก่อความกระด้างกระเดื่องกับกษัตริย์ - ผู้นำ เพื่อล้มล้างราชวงศ์ซาอุดี้ฯ ท่านสัยยิดจึงตอบโต้ไปว่า คนอย่างฉัน ถ้าจะมีผู้นำ เขาผู้นั้นจะต้องเป็น "ญะมาล อับดุลนาศิรฺ" เท่านั้น"
 

วะฮาบีย์เคลื่อนไหวตามแผน
และนโยบายของอังกฤษ – อเมริกา – อิสราเอล
การทำลายสุสานบุคคลสำคัญของโลกอิสลาม มีรากเหง้ามาจากความคิดที่ผิดเพี้ยนของลัทธิดังกล่าว
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "การขับเคลื่อนของวะฮาบีย์เป็นไปตามนโยบายและแผนการณ์ของอังกฤษ - อเมริกา - อิสราเอล ลัทธินี้เน้นความสำคัญกับปัญหากุโบร์ โดยไม่เคยใส่ใจกับปัญหาโลกอิสลาม พวกนี้เชื่อว่า "การซิยาเราะฮฺเป็น "ชิริก" การทำลายสุสานของบุคคลสำคัญของโลกอิสลาม มีรากเหง้ามาจากความคิดที่ผิดเพี้ยนนี้เอง ถึงขนาดที่อุละมาอ์ส่วนหนึ่งพากัน "แซว" ในแวดวงว่า "สงสัย "ชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ" จะถือกำเนิดบนกุโบร์มั้ง ท่านถึงมีจิตใจผูกพันอยู่กับกุโบร์ซะจัง"
 
"วะฮาบีย์สัมผัสสารธรรมคำสอนที่บิดเบือน พวกเขาจึงนำ "วิถีประชา" เข้าไปสอดใส่ในความหมาย "บิดอะฮฺ"
 
"ตามความเชื่อของ "อับดุลวะฮาบ" ถือว่า "มุชริกีนในคราบมุสลิม (มุสลิมที่กราบไหว้บูชาเจว็ด) เลวร้ายกว่า และห่างไกลความเมตตาจากอัลลอฮฺ (มัลอูน) มากกว่ามุชริกีนเฉกเช่น อบูละฮับ อบูญะฮัล ฯลฯ ในยุคสมัยท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) เสียอีก"
 

มุสลิมจะต้องฉลาดเฉลียว
ในการเผชิญหน้ากับโรคร้าย "ตักฟีรฺ"
"ข้าพเจ้าเชื่อว่าที่ใดก็ตามที่มีการบริภาษ – ปรักปรำ – ทำลาย ด้วยการฟัตวาให้ผู้อื่นเป็น "กาฟิรฺ" ผลลัพท์ที่ติดตามมาหลังจากนั้นก็คือความสั่นเสทือนของสังคม ดังนั้น มุสลิมจะต้องฉลาดเฉลียวในการเผชิญหน้ากับ "โรคตักฟีรฺ"
 
ด็อกเตอร์ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และหะดีษ กล่าวต่อไปว่า "มุอ์มินีน – ศรัทธาชน จะต้องระมัดระวังและเฉลียวฉลาดในการเผชิญหน้ากับปัญหาดังกล่าว มิฉะนั้นพวกเขาจะเสียใจในภายหลังเมื่อประจักษ์ว่าการกระทำเช่นนั้น (ตักฟีรฺ - การบริภาษ – ปรักปรำ – ทำลาย ด้วยการฟัตวาให้ผู้อื่นกลายเป็น "กาฟิรฺ") มิได้มีผลดีใด ๆ แก่ใครทั้งสิ้น"
 
พวกวะฮาบีย์จะไม่ยุติจากการลอบวางระเบิด "นะญัฟ" , "หะเราะมัยน์อัสกะรียัยน์" และ "กัรฺบะลาอ์"
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "พวกวะฮาบีย์จะไม่วางมือจากการลอบวางระเบิด "หะเราะมัยน์อัสกะรียัยน์" , "กัรฺบะลาอ์" และ "นะญัฟ" ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีโอกาส พวกนี้จะลอบวางระเบิดหะร็อมอิมามมะอฺศูมีน (อลัยฮิมุสลาม) ท่านอื่นด้วย
 

อุละมาอ์สุนนีย์กับชีอะฮฺจะต้องออกแถลงการณ์
ต่อต้านลัทธิวะฮาบีย์ที่ฟัตวาให้ผู้อื่นเป็น "กาฟิรฺ"
ดร.อิศอมุลอิมาด เสนอแนะว่า "เพื่อเผชิญหน้ากับคำฟัตวาให้ผู้ที่มีหลักความเชื่อไม่เหมือนตนเป็น "กาฟิรฺ" จำเป็นอย่างยิ่งที่อุละมาอ์อะฮฺลุสสุนนะฮฺและชีอะฮฺทั่วทั้งโลกจะต้องออกแถลงการณ์ร่วมกันเพื่อประณามความคิดที่ก้าวร้าวและแข็งกระด้างดังกล่าว มิฉะนั้น พวกเขาจะต้องประสบกับภยันตรายจากการเฉยเมยไม่ใส่ใจต่อปัญหาสำคัญนี้ ปัญหาอันตรายอันใหญหลวงนี้ ลำพัง "คำประณาม" ของมัรฺญิอฺตักลีดในเมืองกุมและนะญัฟ ถือว่าไม่เป็นการเพียงพอ"
 

ข้าพเจ้าเคยได้ยิน "วะฮาบีย์สายกลาง"
กล่าวว่า "รัฐบาลของเราคืออิหร่าน"
ดร.อิศอมุลอิมาด ให้ทัศนะว่า "อัลหัมดุลิลลาฮฺที่ปัจจุบันมวลมุสลิมทั้งชีอะฮฺและสุนนีย์มีความเชื่อมั่นในสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ข้าพเจ้าเคยได้ยินจากปาก "วะฮาบีย์สายกลาง" บางคนกล่าวว่า "รัฐของเราคืออิหร่าน"
 
ในการเผชิญหน้ากับวะฮาบีย์ จะต้องไม่ลอกเลียนแบบพฤติกรรม"ก้าวร้าว" จากพวกเขา ทว่า ต้องตอบโต้พวกเขาด้วยวิธีที่ดีงาม
จะต้องไม่ใช้วิธีการเผชิญหน้า – ต่อกรกับวะฮาบีย์ด้วยวิธี "ก้าวร้าว" เฉกเช่นพฤติกรรมของพวกเขา ทว่า ต้องตอบโต้พวกเขาด้วยวิธีที่ดีงาม
 
"ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นคำฟัตวาว่า "อะฮฺลุสสุนนะฮฺ" เป็น "กาฟิรฺ" จากสถาบันศาสนาในอิหร่าน"
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวต่อไปว่า "ความตะอัศศุบ – โมหคติที่รุนแรงของพวกวะฮาบีย์ ถือเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงของพวกเขา เป็นที่น่าเศร้าสลดใจที่มหาลัยทั่วราชอาณาจักรซาอุดิอารเบียยึดหนังสือของชัยค์มุหัมมัด อับดุลวะฮาบ เป็นตำรา และจากบันไดขั้นนี้เองที่แนวคิดของคนผู้นี้ได้ "แทรกซึมเข้าไปในสมองของนักศึกษา"
 
ข้าพเจ้าจำได้อย่างแม่นยำว่าในขณะที่กำลังศึกษาอยู่ใน "มหาวิทยาลัยมุหัมมัดสะอูด" มีวิทยานิพนธ์เกือบ 1,000 หัวข้อที่เขียนขึ้นมาเพื่อ "ตักฟีรฺ" กล่าวหาว่า "ชีอะฮฺเป็นกาฟิรฺ" ทว่า ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นอุละมาอ์ชาวอิหร่านออกคำฟัตวาว่า "อะฮฺลุสสุนนะฮฺ" เป็น "กาฟิรฺ"
 

วะฮะบีย์ปฏิเสธนโยบาย "ตักรีบุลมะซาฮิบ"
(การสมานฉันท์ระหว่างมัซฮับอิสลาม) อย่างสิ้นเชิง
ดร.อิศอมุลอิมาด ยังได้ให้ทัศนะต่อสำนักข่าว "อีสนา" ว่า "วะฮะบีย์ไม่เคยยอมรับนโยบาย "ตักรีบุลมะซาฮิบ" (การสมานฉันท์ระหว่างมัซฮับอิสลาม) อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "มุหัมมัด กิบารีย์" อุละมาอ์ชั้นแนวหน้าของสะอุดี้ฯ ได้เขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งเพื่อปฏิเสธแนวทาง "ตักรีบุลมะซาฮิบ" ในขณะที่ "อิบนุญะวีรีย์" ได้ออกคำฟัตวาว่าการกินอาหารของชีอะฮฺเป็น "หะรอม" ด้วยเหตุนี้ นโยบายสมานฉันท์กับคนพวกนี้จึงเป็นภารกิจที่ยากเย็นแสนลำเค็ญ"
 

หลักฟิกฮฺ (นิติศาสตร์) ของวะฮาบีย์
ยึดผลประโยชน์ของตนเป็นบรรทัดฐาน
อดีตวะฮาบีย์เก่าเล่ายี่ห้อกล่าวต่อไปว่า "เป็นที่น่าเสียดายที่บรรทัดฐานและหลักคิดในทางฟิกฮฺ - นิติบัญญัติของวะฮาบีย์ มักจะเล็งผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ถ้าพวกเขาเปิดใจและได้สัมผัส - สัมพันธ์กับชีอะฮฺแล้วละก้อ พวกเขาจะเขียนหนังสือยอมรับความเป็น "อิสลามของชีอะฮฺ" นับร้อย ๆ เล่มทีเดียว"
ดร.อิศอมุลอิมาดให้ทัศนะต่อไปว่า "เมื่ออุละมาอ์ซาอุดี้ฯ ประจักษ์ว่าอิหร่าน "ทะยาน" ขึ้นไปอยู่ในฐานะ "ผู้นำทางความคิดในโลกอิสลาม" และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางของประชาคมโลกอิสลาม จึงพยายามขัดขวางอิหร่านทุกวิถีทาง และเมื่อประเทศของตนถูกลอบวางระเบิดบ่อยครั้ง จึงออกคำฟัตวา "ตักฟีรฺ" กับอิหร่านและชีอะฮฺครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อจะชี้นำพวกก่อการร้ายให้หันมาเล่นงานอิหร่าน เพื่อให้ "มิคสัญญีกลียุค" อุบัติขึ้นกับอิหร่านแทน
 
ดังนั้น ทั้งนักการศาสนาและนักการทูตของอิหร่านจะต้องรู้เท่าทันเล่ห์เพทุบายของวะฮาบีย์ เพื่อช่วยกันสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของแนวคิดก้าวร้าวนี้ให้เป็น "หมัน"
 
สาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านที่ยึด "กุศโลบายการเมืองการปกครองของอะละวีย์ (อมีรุลมุอ์มินีน อะลี อิบนุอบีฏอลิบ)" จะต้องนำกุศโลบายทั้งทางศาสนาและทางการทูตที่ชาญฉลาดเพื่อทำลายแผนการและการเคลื่อนไหวของลัทธินี้ให้เป็น "หมัน" ให้จงได้

 
การเป็นชีอะฮฺของข้าพเจ้าถือเป็น
"ของขวัญจากฟากฟ้า"
ด็อกเตอร์อิศอมุลอิมาด กล่าวถึงการเป็นชีอะฮฺของท่านว่า ถือเป็นของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้า และว่า "ในสมัยที่ข้าพเจ้าศึกษาในประเทศซาอุดิอารเบีย กับ "ชัยค์บินบาซ" ข้าพเจ้าคิดอยู่ตลอดเวลาว่าทั้ง ๆ ที่วันเวลาผันผ่านมานานหลายศตวรรษ ทว่า ความรักความผูกพันอันบริสุทธิ์ของผู้คนส่วนหนึ่งที่มอบแด่ท่านอิมามอะลี - ท่านอิมามหุสัยน์ (อลัยฮิมัสลาม) และอิมามมะอฺศูมีน (อลัยฮิมุสลาม) ท่านอื่น ๆ ไม่เคยเสื่อมคลายจางหายไปจากหัวใจของพวกเขา
 
ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้ากลับได้สัมผัสการ "คัดค้าน – เล่นงาน" ท่านอิมามอะลีและอิมามหุสัยน์ (อลัยฮิมัสลาม) และบรรดาอิมามมะอฺศูมีน (อลัยฮิมุสลาม) ในมัจญ์ลิสที่จัดขึ้นในซาอุดิอารเบียอย่าง "สนุกปาก" ในขณะที่พวกเขาจะพากัน "ปกป้อง – แก้ต่าง" ในความซอลิม – ฉ้อฉล – อธรรมของอบูสุฟยาน – มุอาวิยะฮฺ – ยะซีด "อย่างเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ"
 
ข้าพเจ้าพบเห็นหนังสือ - ตำรับตำรามากมายในซาอุดี้ฯ ที่เขียน "ปกป้องยะซีด" โดยพวกเขาไม่เคย "แตะต้อง" ความเลวทรามของ "ชะญะเราะตุลมัลอูนะฮฺ – ตระกูลที่ถูกสาปแช่ง" ดังที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) ได้วจนะไว้แต่อย่างใด
 
ข้าพเจ้ามีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศในมัจญ์ลิสของวะฮาบีย์ พวกเขาจะวิพากณ์วิจารณ์ท่านอิมามอะลี (อลัยฮิสลาม) อย่างเสีย ๆ หาย ๆ อย่าง "อร่อยปาก" แต่เมื่อใดที่พวกเขาได้ยิน "ฟะฎออิล – เกียรติคุณ – ความประเสริฐของอิมามอะลี" ซึ่งมีปรากฎในตำราของพวกเขาเอง พวกเขากลับไม่สามารถอดรนทนฟังมันได้ ข้าพเจ้าเห็นหนังสือที่เขียนขึ้นเพื่อ "ปกป้องมุอาวิยะฮฺ - ยะซีด – อัมรุลอาศ" วางเกลื่อนกลาดตามท้องตลาดโดยไม่มีใคร "เฉลียวใจ" ที่จะย้อนกลับไปสัมผัสประวัติที่แท้จริงของคนเหล่านี้
 
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้สร้าง "ปรัศนีย์ขึ้นในหัวใจข้าพเจ้า" ทำให้ข้าพเจ้า "ฉงนสนเท่ห์" และเริ่มค้นคว้าศึกษาชีวประวัติของอะฮฺลุลบัยต์ (อลัยฮิมุสลาม) สมาชิก – วงศ์วานของท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะอาลิฮฺ) อย่างจริงจังนับตั้งแต่นั้นมา
 
อาจารย์สถาบันอะฮฺลุลบัยต์ (อลัยฮิมุสลาม) แห่งเมืองกุม ยังกล่าวต่อไปว่า "ค่ำคืนของเดือนรอมฎอนคืนหนึ่ง หลังจาก "นมาซตะรอวีหฺ" เสร็จ ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมในมัจญ์ลิสหนึ่งซึ่งกำลังกล่าวโจมตี - ใส่ไคล้ท่านอิมามอะลี (อลัยฮิสลาม) อย่างสาดเสียเทเสียโดยปราศจากหลักฐานและเหตุผล องก์บรรยายกล่าวในตอนหนึ่งว่าถ้า "เคาะลีฟะฮฺ" ผู้นี้ถูกสังหารเร็วกว่านั้น รับประกันว่า ณ วันนี้ "อเมริกันชน" จะต้องเข้ารับอิสลามหมดทั้งประเทศ ! ! !
 
นอกจากนี้ ผู้บรรยายยังถือว่าท่านอิมามหุสัยน์ (อลัยฮิสลาม) คือ "ต้นตอ – ตัวปัญหาก่อฟิตนะฮฺ – ความเสื่อมเสียที่ร้ายแรงแก่สังคมปัจจุบัน" ! ! !
 
มัจญ์ลิสครั้งนั้นได้ "สร้างแรงบันดาลใจ" ให้ข้าพเจ้ามุมานะเร่งศึกษาค้นคว้าชีวประวัติอะฮฺลุลบัยต์ (อลัยฮิมุสลาม) อย่างจริงจังทันที
 
หลังจากได้ศึกษาค้นคว้าอย่างหนัก ข้าพเจ้าจึงประจักษ์ว่าแบบฉบับการดำเนินชีวิตและการต่อสู้ในทางการเมืองของท่านอิมามอะลี (อลัยฮิสลาม) เต็มไปด้วยตรรกะและสอดคล้องกับสติปัญญาทั้งสิ้น
 
ในทางกลับกัน ทำให้ข้าพเจ้าได้ "บทสรุป" ว่าคำพูดปรักปรำ – ใส่ไคล้ของวะฮาบีย์ ล้วนแล้วแต่เป็นการ "ดูถูกเหยียดหยามลูกหลานท่านนบี\\\" โดยปราศจากวิชาการและหลักตรรกะอย่างสิ้นเชิง อาทิเช่น พวกเขาถือว่าหะดีษที่กล่าวถึง "ฟะฎออิล – เกียรติคุณ – ฐานภาพของอิมามอะลี (อลัยฮิสลาม) ไร้คุณค่าและความสำคัญ"
ทว่า หะดีษ "ขออัลลอฮฺทรงทำให้ท้องของเขา (มุอาวิยะฮฺ) ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม" ที่ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวเป็นนัย "ละอฺนัต – สาปแช่งมุอาวิยะฮฺ" กลับถูก "ตีความ – แก้ต่าง" ว่า "ไม่ว่ามุอาวิยะฮฺจะกินจุ – กินมากขนาดไหน สุขภาพร่างกายของเขาก็จะปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ ! ! !"
 
ดร.อิศอมุลอิมาด กล่าวถึงการเป็นชีอะฮฺของท่านว่า "การเข้ารับชีอะฮฺของข้าพเจ้าไม่เพียงแต่เป็น "ความปรารถนาจากส่วนลึกของข้าพเจ้า" เท่านั้น ทว่า เป็น "ความเมตตาจากฟากฟ้าและพระมหากรุณาธิคุณจากอัลลอฮฺ" ซึ่งข้าพเจ้าจะต้องสำแดงความขอบคุณใน "นิอฺมัตอะซีม – ความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่" นี้อย่างสุดกำลังความสามารถ และขอพระองค์ทรงโปรดประทานฮิดายะฮฺ "มะอาริฟ – การรู้จัก" เพิ่มพูนแก่ข้าพเจ้ายิ่ง ๆ ขึ้นด้วยเทอญ
 
ด็อกเตอร์อิศอมุลอิมาดได้กล่าวในช่วงสุดท้ายของการให้สัมภาษณ์ว่า "ด้วยสาเหตุที่ข้าพเจ้าเข้ารับชีอะฮฺนี้เองที่ทำให้วะฮาบีย์ออกคำฟัตวาว่าข้าพเจ้า "เป็นกาฟิรฺ"
อ้างอิงจากเวป
http://www.islamichomepage.com/

คำถามสำหรับซุนนี่
1.   ดอกเตอร์อิศอมเป็นที่รู้จักกันทั้งในประเทศเยเมนบ้านเกิดของเขาและในประเทศซาอุดิอารเบียว่าเป็นนักวิชาการสังกัดวาฮาบี  แต่ปัจจุบันเขาได้เปลี่ย
  •  

121 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้