بسم الله الرحمن الرحيم
นี่คือวิถีแห่งสัจธรรม
(ขออยู่คู่สัจธรรม)
(ในที่สุด กษัตริย์ก็ได้รับทางนำ)
การถกทางวิชาการ
ระหว่างอุละมาอ์สุนนีกับชีอะฮฺ
ณ กรุงแบกแดด
ผู้บันทึก : นักประวัติศาสตร์นาม มุกอติล บิน อะฏียะฮฺ
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเอกะ
ศานติจากพระองค์จงประสบแด่มุหัมมัด (ศ) ศาสดาผู้ถูกประทานลงมา
เพื่อความเมตตาแก่ชาวโลกทั้งผอง
และบรรดาทายาทผู้สะอาดบริสุทธิ์
และกัลยาณมิตรผู้สวามิภักดิ์
หนังสือ "การถกระหว่างอุละมาอ์สุนนีกับชีอะฮฺ ณ กรุงแบกแดด" ที่ท่านผู้มีเกียรติกำลังอ่านอยู่ในขณะนี้กษัตริย์ "มะลิกชาฮฺ สัลญูกีย์" ได้รับสั่งให้ "นิซอมุลมะลิก" ประธานองคมนตรี และเป็นนักปราชญ์ผู้คงแก่เรียน ให้เชื้อเชิญอุละมาอ์ฝ่ายสุนนีและชีอะฮฺมาถกทางวิชาการ โดยเขาเป็นพิธีกรดำเนินรายการ และมีกษัตริย์เป็นประธานในพิธี
เรื่องราวมีอยู่ว่า กษัตริย์มะลิกชาฮฺ สัลญูกีย์ เป็นนักปกครอง นักบริหารที่มีโลกทัศน์เปิดกว้าง เป็นคนรุ่นใหม่ (ในยุคนั้น) ที่ชอบค้นคว้าแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา และเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ท่านจะไม่ยอมปล่อยให้อำมาตย์ข้าราชบริพาล ชี้นำโดยปราศจากหลักตรรก อย่างไรก็ตามถึงแม้พระองค์จะมีคุณสมบัติดังกล่าว แต่พระองค์ยังรักชอบการพักผ่อนหย่อนใจและการล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจอีกด้วย
بسم الله الرحمن الرحيم
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
นี่คือวิถีแห่งสัจธรรม
การถกเถียงระหว่างอุละมาอ์สุนนีกับชีอะฮฺ
ณ กรุงแบกแดด
ผู้บันทึก นักประวัติศาสตร์นาม "มะกอติล อะฏียะฮฺ"
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเอกะ ศานติจากพระองค์จงประสบแด่มุหัมมัด (ศ) ศาสดาผู้ถูกส่งลงมาเพื่อความเมตตาแก่ชาวโลกทั้งผอง และบรรดาทายาทผู้สะอาดบริสุทธิ์ และกัลยาณมิตรผู้มีความสวามิภักดิ์และจงรักภักดีต่อท่าน
หนังสือที่ท่านผู้มีเกียรติกำลังอ่านอยู่ในขณะนี้มีชื่อว่า "การถกเถียงระหว่างอุละมาอ์สุนนีกับชีอะฮฺ ณ กรุงแบกแดด" ซึ่งกษัตริย์ "มะลิกชาฮฺ สัลญูกีย์" ได้ทรงรับสั่งให้ "นิซอมุลมะลิก" ประธานองคมนตรี ผู้เป็นนักปราชญ์ผู้คงแก่เรียนให้เชื้อเชิญอุละมาอ์ฝ่ายสุนนีและชีอะฮฺให้มาร่วมถกทางวิชาการ โดยที่เขาได้รับเกียรติจากกษัตริย์ให้เป็นพิธีการดำเนินรายการ และมีกษัตริย์เป็นประธานในพิธี
เรื่องราวมีอยู่ว่ากษัตริย์มะลิกชาฮฺ สัลญูกีย์ ผู้นี้ นอกจากจะไม่ตกเป็นเครื่องมือของข้าราชบริพารอย่างไม่ลืมหูลืมตาแล้ว ท่านยังเป็นคนหนุ่มที่มีโลกทัศน์เปิดกว้าง เป็นนักบริหาร นักพัฒนาที่ยอดเยี่ยม และยังเป็นคนรุ่นใหม่ (ในยุคนั้น) ที่เป็นผู้แสวงหา ใฝ่รู้อยู่ตลอดเวลา และยังเป็นคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้พระองค์จะมีคุณสมบัติดังกล่าว แต่ด้วยวัยหนุ่ม พระองค์จึงยังรักชอบการพักผ่อนหน่อยใจและการล่าสัตว์อีกด้วย
สำหรับนิซอมุลมะลิก ประธานองคมนตรีนั้น ท่านเป็นนักปราชญ์ผู้มีจริยธรรมสูงส่ง สมถะและรักความสันโดษ เป็นกัลยาณชนที่ประกอบคุณงามความดี รักที่จะแสวงหาความรู้ และยังเป็นผู้ที่มีความรักต่อครอบครัวและทายาทของศาสดา (ศ) อีกด้วย ท่านเป็นผู้สถาปนาสถาบันการศึกษาศาสนา "นิซอมียะฮฺ" กรุงแบกแดด และจ่ายเงินเดือนแก่นักศึกษาผู้ใฝ่หาความรู้ นอกจากนี้ ท่านยังมีความเอื้ออาทรและให้ความช่วยเหลือคนขัดสน คนอนาถาอีกด้วย
วันหนึ่ง อาลิม (นักปราชญ์) ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวชีอะฮฺ ผู้มีนามว่า "หุสัยนฺ บินอะลี อะลาวีย์" (กุดดิสสัส สิรฺรุฮฺ) ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์มะลิกชาฮฺ ภายหลังจากท่านได้อำลาจากไปแล้ว ได้มีอำมาตย์ผู้หนึ่งแสดงท่าทางเย้ยหยัน และตลกขบขันในการมาของท่านครั้งนี้
กษัตริย์ จึงถามขึ้นว่า :- ทำไมเจ้าจึงแสดงท่าทีเย้ยหยันเขาเช่นนั้น ?
เขาจึงกล่าวว่า :- ข้า ฯ แต่ผู้เป็นกษัตริย์ พระองค์มิทรงทราบหรอกหรือว่า เขาคือผู้ปฏิเสธ (กาฟิรฺ) ที่อัลลอฮฺทรงกริ้ว และทรงสาปแช่งพวกเขา ?
กษัตริย์ จึงกล่าวด้วยความฉงนว่า :- ทำไมหรือ ? เขามิได้เป็นมุสลิมหรอกหรือ ?
อำมาตย์ผู้นั้น จึงกล่าวว่า :- เขาจะเป็นมุสลิมอย่างไรเล่า ในเมื่อเขาคือหนึ่งจากพวกชีอะฮฺ !
กษัตริย์ :- เป็นชีอะฮฺแล้วทำไมหรือ ? พวกชีอะฮฺมิได้เป็นมัซฮับ (แนวทาง) หนึ่งของอิสลามกระนั้นหรือ ?
อำมาตย์ จึงกล่าวว่า :- ช่างห่างไกลยิ่งนัก ! เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าพวกชีอะฮฺไม่ยอมรับว่า ท่านอบูบักรฺ ท่านอุมัรฺ และอุษมาน เป็นเคาะลีฟะฮฺและตัวแทนโดยชอบธรรมของท่านศาสดา (ศ)
กษัตริย์ :- ยังมีมุสลิมที่ไม่ยอมรับ ว่าท่านทั้งสามเป็นเคาะลีฟะฮฺของท่านศาสดา (ศ) หรือ ?
อำมาตย์ :- ใช่แล้ว ! เฉพาะพวกชีอะฮฺเท่านั้นที่มีความเชื่อเช่นนี้
กษัตริย์ :- ทั้ง ๆ ที่ชีอะฮฺไม่เชื่อว่าเศาะหาบะฮฺทั้งสามเป็นเคาะลีฟะฮฺของท่านศาสดา (ศ) เหตุใด มุสลิมจึงคงเรียกพวกเขาว่าเป็นมุสลิม ?
อำมาตย์ :- ด้วยสาเหตุนี้แหละที่ข้า ฯ กล่าวว่า อาลิมผู้นั้นคือกาฟิรฺ !
กษัตรย์ได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า :- เห็นทีจะต้องสอบถามข้อเท็จ
จริงในเรื่องนี้จาก นิซอมุดดีน ประธานองคมนตรี
ดังนั้น กษัตริย์จึงได้เชิญ นิซอมุดดีน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงว่าพวกชีอะฮฺ มิได้เป็นมุสลิมหรืออย่างไร ?
ประธานองคมนตรี ได้ตอบพระองค์ว่า :- ในกรณีดังกล่าว ชาวสุนนีมีทัศนะที่แตกต่างกัน กล่าวคือ บางส่วนถือว่าชีอะฮฺเป็นมุสลิม ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขามีความศรัทธา และกล่าวปฏิญาณตนถึงความเป็นเอกะของอัลลอฮฺ และมุหัมมัด (ศ) คือปัจฉิมศาสดาของพระองค์ และพวกเขาปฏิบัติในสิ่งที่เป็นฟุรูอุดดีน เช่น นมาซ ถือศีลอด หัจญ์ เป็นต้น ในขณะที่ชาวสุนนีบางส่วนชี้ขาดว่า พวกชีอะฮฺเป็นกาฟิรฺ (ผู้ปฏิเสธ)
กษัตริย์ จึงถามว่า :- ชาวชีอะฮฺมีจำนวนเท่าไร ?
ประธานองคมนตรี :- ข้าพเจ้าไม่ทราบจำนวนที่แน่นอนของพวกเขา แต่ประมาณว่าเกือบจะครึ่งหนึ่งของมุสลิมทั้งหมด
กษัตริย์ :- มุสลิมเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นกาฟิรฺกระนั้นหรือ ? !
ประธานองคมนตรี :- ดังที่ข้าพเจ้าได้เรียนไปแล้วว่า มุสลิมบางส่วนเชื่อว่าพวกเขาเป็นกาฟิรฺ แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองเชื่อว่า พวกเขาคือมุสลิม
กษัตริย์ :- ท่านประธานองคมนตรี ! เป็นไปได้ไหมที่เราจะเชื้อเชิญอุละมาอ์ทั้งฝ่ายสุนนีและชีอะฮฺ มาถกกันเพื่อเราจะได้ประจักษ์ถึงข้อเท็จจริง ?
ประธานองคมนตรี :- ช่างเป็นภารกิจที่แสนจะหนักอึ้งและเต็มไปด้วยอุปสรรค และข้าพเจ้าหวั่นเกรงว่า ผลลัพท์บั้นปลายจะเป็นสิ่งเลวร้ายต่อพระองค์ และราชอาณาจักรของพระองค์
กษัตริย์ :- เพราะเหตุใดหรือ ? !
ประธานองคมนตรี จึงตอบว่า :- เพราะปัญหาสุนนี – ชีอะฮฺ หาใช่เรื่องตื้น ๆ และจบลงอย่างง่ายดายไม่ แต่ทว่ามันเป็นประเด็นระหว่างสัจธรรมกับความเท็จที่มีผลให้เลือดของทั้งสองฝ่ายต้องหลั่งชะโลมดินมาแล้ว หนังสือ ห้องสมุดอีกมากมายถูกเผาผลาญในกองเพลิง เด็กและสตรีต้องตกเป็นเชลยสงคราม และการรบราฆ่าฟันนับครั้งไม่ถ้วนที่เกิดจากสาเหตุนี้ ดังที่มีสารานุกรมจำนวนมากที่ได้บันทึกถึงเรื่องราวดังกล่าว !!
กษัตริย์หนุ่มถึงกับตกตะลึง เมื่อได้ฟังเรื่องราวดังกล่าวจากประธานองคมนตรี ภายหลังจากพระองค์ได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า :- ท่านประธาน ฯ ! ท่านเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าอัลลอฮฺผู้ทรงสูงส่ง ได้ทรงประทานราชอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล กองทัพที่เข้มแข็ง ยุทโธปกรณ์ที่พร้อมสรรพให้แก่เรา ด้วยเหตุนี้เราจะต้องขอบคุณและสรรเสริญต่อความโปรดปราน ที่พระผู้อภิบาลได้ประทานให้แก่เรา
การขอบคุณของเราที่มีต่อพระองค์ ก็ด้วยการแสวงหาสิ่งที่เป็นสารัตถะ ความจริง หลังจากนั้นภาระหน้าที่ของเราก็คือการเรียกร้องเชิญชวนและชี้นำบรรดาผู้ที่หลงผิดให้ไปสู่วิถีแห่งสัจธรรม ซึ่งแน่นอนว่า ความเชื่อของชนสองกลุ่มนี้ (สุนนีกับชีอะฮฺ) จะต้องมีฝ่ายหนึ่งที่อยู่กับสัจธรรมความจริง และอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นโมฆะและเป็นความเท็จ ดังนั้น เราจึงมีหน้าที่จะแสวงหาความจริงและยึดมั่นกับมัน ในขณะเดียวกัน เราจะต้องละทิ้งความมดเท็จและสิ่งที่เป็นโมฆะ
เมื่อท่านได้เชื้อเชิญอุละมาอ์ทั้งฝ่ายสุนนีและชีอะฮฺ เพื่อให้พวกเขาทั้งสองฝ่ายได้นำเสนอหลักฐานและข้อพิสูจน์ในหลักความเชื่อของตน เราจะตระเตรียมความพร้อมในด้านการรักษาความปลอดภัย ตลอดทั้งนักเขียน นักบันทึกของรัฐบาล และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และถ้าหากเราได้ประจักษ์ว่าสัจธรรมอยู่กับฝ่ายสุนนี เราจะต้องพยายามให้พวกชีอะฮฺมาสู่วิถีทางสุนนีให้หมด
ประธานองคมนตรี :- ถ้าหากพวกเขาไม่ยินยอมล่ะ พระองค์จะทำอย่าง ?
กษัตริย์ :- เราจะสังหารพวกเขา !
ประธานองคมนตรี :- พระองค์จะสังหารมุสลิมครึ่งหนึ่งเชียวหรือ ?
กษัตริย์ :- แล้วยังจะมีหนทางอื่นใดอีกเล่า ?
ประธานองคมนตรี :- ได้โปรดปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นไปตามยถากรรมเถิด
การสนทนาระหว่าง กษัตริย์กับประธานองคมนตรี ผู้เปรื่องปราชญ์ได้สิ้นสุดลง แต่ทว่าในค่ำคืนนั้น กษัตริย์หนุ่มได้เฝ้าครุ่นคิดด้วยความวิตกกังวลจนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ โดยพระองค์มิอาจจะหลับตาลงได้เลย
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์ได้เรียก "นิซอมุลมะลิก" เข้าพบและกล่าวกับเขาว่า :-
ฉันยอมรับทัศนะของท่าน โดยเราจะเชื้อเชิญอุละมาอ์ฝ่ายสุนนีและชีอะฮฺให้มาถกด้วยการนำเสนอหลักฐานและข้อพิสูจน์จากหลักความเชื่อของตน และเราจะเป็นผู้ฟังและใช้วิจารณญาณว่าสัจธรรมอยู่กับฝ่ายใด และมาตรว่าสัจธรรมอยู่ข้างฝ่ายสุนนี เราจะใช้วิทยปัญญา เรียกร้องเชิญชวนชาวชีอะฮฺมาสู่สัจธรรม และทุ่มเทงบประมาณทรัพย์สิน และใช้ตำแหน่งหน้าที่ของเราดึงดูดพวกเขาให้มาสู่แนวทางของเรา ดังเช่นที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ได้เคยมีวัตรปฏิบัติกับกาฟิรฺ มุชริกีน มาก่อน เพื่อให้หัวใจของพวกเขาโน้มเอียงมาสู่อิสลาม ด้วยภารกิจนี้ เท่ากับเราได้ทุ่มเทรับใช้อิสลามและมวลมุสลิม ซึ่งถือเป็นเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่ของเรา
ประธานองคมนตรี :- ช่างเป็นความคิดที่แหลมคมอะไรเช่นนี้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังหวั่นเกรงต่อผลลัพท์ในการถกเถียงทางวิชาการครั้งนี้
กษัตริย์ :- มีเหตุอันใดที่ทำให้ท่านหวั่นเกรงหรือ ?
ประธานองคมนตรี :- ข้าพเจ้าหวั่นเกรงว่า หลักฐานและข้อพิสูจน์ของฝ่ายชีอะฮฺจะเหนือกว่า และพวกเขาจะเป็นฝ่ายพิชิตชัยชนะเหนือเราในที่สุด และจะมีผลทำให้ประชาชนตกอยู่ในความคลางแคลงใจ งุนงง สงสัย
กษัตริย์ :- เป็นไปได้หรือที่ชีอะฮฺจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ? !
ประธานองคมนตรี :- ใช่แล้ว ! ทั้งนี้ เนื่องจากพวกเขามีหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่แข็งแรงทั้งจากคัมภีร์อัลกุรฺอานและหะดีษ ของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ที่บ่งบอกถึงแนวทางและหลักความเชื่อที่เป็นสัจธรรม
คำตอบของประธานองคมนตรี มิอาจทำให้กษัตริย์คล้อยตามได้ พระองค์ได้กล่าวว่า :- เราจะต้องเลือกเฟ้นนักปราชญ์และผู้รู้ของทั้งสองฝ่าย มาทำความกระจ่างชัดในเรื่องนี้ เพื่อเราจะได้จำแนกสัจธรรมออกจากความเท็จ
ในที่สุด ประธานองคมนตรีได้ขอโอกาสจากกษัตริย์เป็นเวลาหนึ่งเดือน แต่พระองค์ไม่เห็นด้วย .... จนกระทั่งได้ลดลงมาเหลือ 15 วัน
ในช่วงเวลา 15 วันดังกล่าว ประธานองคมนตรีได้พิจารณาคัดเลือกอุละมาอ์อะฮฺลิสสุนนะฮฺ ผู้มีชื่อเสียงทั้งในด้าน ตารีค (ประวัติศาสตร์) ฟิกฮฺ (ศาสนบัญญัติ) หะดีษ อุศูล กะลาม (หลักศรัทธา) วิภาษวิธี และเป็นผู้มีวาทศิลป์ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม จำนวน 10 ท่าน และได้เชื้อเชิญอุละมาอ์ชีอะฮฺ จำนวน 10 ท่านเช่นกัน
ปฐมฤกษ์ในการถกเถียงทางวิชาการครั้งนี้ ได้เริ่มขึ้นในเดือนชะอฺบาน (ประมาณปีฮิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 480) ณ โรงเรียนนิซอมียะฮฺ กรุงแบกแดด โดยกษัตริย์มะลิกชาฮฺ ชัลญูกีย์ เป็นผู้กำหนดกติกาและเงื่อนไขของการถกไว้ดังนี้ คือ :-
1. การถกจะเริ่มดำเนินตั้งแต่เช้าถึงค่ำ โดยจะหยุดพักเฉพาะช่วงเวลานมาซ อาหาร และเวลาพักผ่อนเท่านั้น
2. การสนทนาจะต้องอาศัยหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่เป็นที่ยอมรับและน่าเชื่อถือของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ห้ามหยิบยกเรื่องเล่าและข่าวลือมาเป็นหลักฐาน
3. จะต้องมีเจ้าหน้าที่ – อาลักษณ์คอยจดบันทึกการถกเถียงทางวิชาการในครั้งนี้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรด้วย
และแล้ว เมื่อวันเวลาแห่งการนัดหมายได้มาถึง สักขีพยานที่ประกอบไปด้วย กษัตริย์มะลิกชาฮฺ สัลญูกีย์ นิซอมุลมะลิก ประธานองคมนตรี อำมาตย์ ข้าราชบริพาร เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย โดยอุละมาอ์อะฮฺลิสสุนนะฮฺทั้งสิบคน นั่งทางด้านขวาของกษัตริย์ และอุละมาอ์ชีอะฮฺทั้งสิบคน นั่งทางด้านซ้ายของพระองค์ โดยนิซอมุลมะลิก ประธานองคมนตรี เป็นผู้กล่าวเปิดการสนทนาทางวิชาการในครั้งนี้ว่า :-
"ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮฺ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ
มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ การสดุดีและสันติจงประสบแด่ศาสดามุหัมมัด (ศ) ครอบครัวและกัลยาณมิตรผู้ซื่อสัตย์ของท่าน
การสนทนาเชิงวิชาการในครั้งนี้ จะต้องดำเนินไปบนพื้นฐานที่จะให้บรรลุสู่สัจธรรม โดยให้หลีกเลี่ยงจากการใช้คำหยาบคาย ก้าวร้าว ส่อเสียด หรือมีเจตนาจะหยามเหยียดฝ่ายตรงข้าม และหลีกเลี่ยงจากการด่าทอหรือประณามเศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ)
หัวหน้าอุละมาอ์สุนนี ผู้มีนามว่า "เชคอับบาสีย์" เป็นผู้เริ่มก่อน โดยท่านได้กล่าวว่า :- "ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยากที่จะร่วมสนทนากับกลุ่มชนที่สังกัดมัซฮับซึ่งเชื่อว่าเศาะหาบะฮฺทั้งหมดของท่านเราะสูสุลลอฮฺ (ศ) เป็นกาฟิรฺ"
หัวหน้าอุละมาอ์ชีอะฮฺ ผู้มีนามว่า "สัยยิดหุสัยนฺ บินอะลี อะละวีย์" จึงตอบว่า :- พวกที่กล่าวหาว่าเศาะหาบะฮฺทั้งหมดของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) เป็นการฟิรฺ คือกลุ่มชนใดหรือ ? !
อับบาสีย์ :- ก็พวกท่านทั้งหลายที่เป็นชีอะฮฺ ไงเล่า ที่กล่าวหาว่าเศาะหาบะฮฺทั้งหมดเป็นการฟิรฺ
สัยยิดอะละวีย์ :- สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด หรือว่า อะลี (อ) อับบาส สัลมาน อิบนุอับบาส มิกดาด อบูซัรฺ ฯลฯ มิได้เป็นเศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ท่านกำลังกล่าวหาว่า เราชาวชีอะฮฺถือว่าบุคคลเหล่านี้เป็นกาฟิรฺด้วยกระนั้นหรือ ? !
อับบาสีย์ :- เจตนารมณ์ของคำว่า "เศาะหาบะฮฺทั้งหมด" ของฉันในที่นี้หมายถึง อบูบักรฺ ท่านอุมัรฺ อุษมาน และผู้ที่ดำเนินรอยตามบุคคลทั้งสามต่างหากเล่า
สัยยิดอะละวีย์ :- ถ้างั้นเท่ากับท่านกำลังปฏิเสธถ้อยคำของท่านเอง นักตรรกะวิทยามิได้พิสูจน์หรอกหรือว่า :-
"นะกีฎ มูญิบะฮฺ ญุซอียะฮฺ" ก็คือ "สาลิบะฮฺ กุลลียะฮฺ" ?
ครั้งแรกท่านเป็นผู้กล่าวขึ้นเองว่า :- "ชีอะฮฺถือว่าเศาะหาบะฮฺทั้งหมดของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) เป็นกาฟิรฺ" แล้วต่อมาท่านกลับอ้างว่า :- "ชีอะฮฺถือว่าเศาะหาบะฮฺบางส่วนเป็นกาฟิรฺ" !
ในระหว่างนั้นเองที่ท่านนิซอมุดดีนต้องการจะพูดขัดจังหวะขึ้นมา แต่สัยยิดอะละวีย์ไม่เปิดโอกาสให้แก่เขา โดยกล่าวว่า :-
โอ้ ท่านประธานองคมนตรี ! ตราบเท่าที่เรายังมีความสามารถจะตอบคำถามและข้อข้องใจได้อยู่ บุคคลอื่นย่อมไม่มีสิทธิ์จะสอดแทรกความคิดใดเข้ามา มิฉะนั้นแล้วการสนทนาของเราจะผสมปนเปจนทำให้ออกนอกประเด็นที่กำลังถกเถียงได้ และจะไม่สามารถหาบทสรุปในประเด็นนั้น ๆ ได้
แล้วสัยยิดอะละวีย์ ได้กล่าวต่อไปว่า :- โอ้ ท่านเชคอับบาสีย์ ! ด้วยเหตุนี้เอง ย่อมเป็นที่ชัดเจนในคำกล่าวหาของท่านบนพื้นฐานที่ว่า พวกชีอะฮฺถือว่าเศาะหาบะฮฺทั้งหมดเป็นกาฟิรฺ เป็นการโกหกโดยปราศจากมูลความจริง
จากคำชี้แจงของสัยยิดอะละวีย์ ทำให้เชคอับบาสีย์ หมดหนทางตอบโต้ และมีสีหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย โดยเขาได้กล่าวว่า :- ขอให้เราผ่านเรื่องนี้ไปก่อน แต่ทว่าจากคำพูดของท่านเอง ย่อมเป็นที่ประจักษ์ได้เป็นอย่างดีว่า พวกชีอะฮฺได้ประณามสาปแช่ง เคาะลีฟะฮฺอบูบักรฺ ท่านอุมัรฺ และอุษมาน จริง
สัยยิดอะละวีย์ :- ชีอะฮฺบางพวกได้ประณามสาปแช่งพวกเขาจริง แต่บางพวกก็มิได้ประณาม
เชคอับบาสีย์ :- แล้วท่านอยู่ในจำพวกไหน ?
สัยยิดอะละวีย์ :- ข้าพเจ้าคือหนึ่งในจำนวนที่มิได้ประณามสาปแช่งพวกเขา แต่ทว่า ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า กลุ่มชีอะฮฺที่ประณามสาปแช่งพวกเขามีหลักฐานและข้อพิสูจน์ที่มีเหตุผลเพียงพอ และที่เหนือไปกว่านั้น การประณามสาปแช่งของชีอะฮฺที่มีต่อบุคคลทั้งสาม มิได้เป็นสาเหตุที่จะทำให้พวกเขาเป็นกาฟิรฺ หรือพวกที่ทรยศ หรือสับปลับกลับกลอก หรือแม้กระทั่งเป็นความผิดบาปแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เชคอับบาสีย์ :- โอ้ กษัตริย์ ! ได้โปรดพิจารณาเถิดว่าชายผู้นี้ได้กล่าวอะไร ออกไป ? !
สัยยิดอะละวีย์ :- โอ้ ท่านเชคอับบาสีย์ ! การที่ท่านพยายามเบี่ยงเบนประเด็นสนทนาของเราไปสู่กษัตริย์ เขาเรียกว่าเป็นวิธีการ "มุฆอละเฏาะฮฺ" (บิดประเด็นหรือสร้างความไขว้เขวเมื่อจนตรอก) กษัตริย์ได้เชื้อเชิญเราทั้งสองฝ่ายเพื่อนำเสนอหลักฐานและข้อพิสูจน์ จนกว่าจะได้ผลลัพท์ในบั้นปลายว่า ใครคือฝ่ายสัจธรรม เพื่อจะได้ยอมจำนน และเรียกร้องเชิญชวนฝ่ายที่เป็นโมฆะให้เข้ามาสู่สัจธรรม
กษัตริย์ :- ถ้อยคำของสัยยิดอะละวีย์ ถูกต้อง โอ้ ท่านเชคอับบาสีย์ ! ท่านจะตอบคำกล่าวข้างต้นของเขาว่าอย่างไร ?
อับบาสีย์ :- ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่า ใครก็ตามที่ประณามสาปแช่งเศาะหาบะฮฺ เขาย่อมตกอยู่ในฐานะของผู้ปฏิเสธ (กาฟิรฺ)
สัยยิดอะละวีย์ :- ข้อสรุปดังกล่าวอาจจะเป็นที่ชัดเจนสำหรับท่าน แต่ไม่เป็นที่กระจ่างชัดสำหรับข้าพเจ้า ไหนท่านลองอธิบายมาซิว่า ด้วยเหตุผลกลใดที่ผู้ที่ประณามสาปแช่งเศาะหาบะฮฺ บางส่วนของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ด้วยหลักฐานและข้อพิสูจน์จึงต้องตกอยู่ในฐานะของกาฟิรฺด้วย ?
อีกประการหนึ่ง ท่านมิยอมรับหรือว่า บุคคลใดก็ตามที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ได้ประณามสาปแช่งเขา เป็นการคู่ควรที่ผู้ศรัทธาทุกคนจะต้องประณามสาปแช่งเขาด้วย ?
เชคอับบาสีย์ :- แน่นอน ข้าพเจ้าก็มีความเชื่อและยอมรับในกรณีดังกล่าว
สัยยิดอะละวีย์ :- ท่านไม่เคยทราบมาก่อนหรืออย่างไรว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ได้เคยประณามสาปแช่ง ท่านอบูบักรฺ และท่านอุมัรฺ มาก่อน ?
เชคอับบาสีย์ :- ท่านกำลังใส่ร้ายป้ายสี ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) อย่างน่ารังเกียจที่สุด ท่าน (ศ) เคยประณามสาปแช่งเขาทั้งสองที่ไหน ? เมื่อไร ?
สัยยิดอะละวีย์ :- นักประวัติศาสตร์สายสุนนี ต่างได้บันทึกตรงกันว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ได้แต่งตั้ง "อุสามะฮฺ" ให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพ โดยให้ อบูบักรฺ กับ ท่านอุมัรฺ อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา และท่าน (ศ) ได้กล่าวเตือนสำทับว่า :-
"ขออัลลอฮฺ ทรงสาปแช่งบุคคลที่ฝ่าฝืน ไม่ยอมอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของอุสามะฮฺด้วยเถิด"
นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกต่อไปว่า ในที่สุดทั้งอบูบักรฺและท่านอุมัรฺได้ฝ่าฝืนไม่ยอมปฏิบัติตามเขา ด้วยเหตุนี้ คำสาปแช่งของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) จะต้องประสบกับพวกเขา และใครก็ตามที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) สาปแช่งเขา ย่อมเป็นการคู่ควรที่มุสลิมทุกคนจะดำเนินรอยตามท่านด้วยการสาปแช่งเขาด้วย
จากคำตอบดังกล่าว ทำให้เชคอับบาสีย์ ก้มหน้าโดยไม่กล่าวสิ่งใด
กษัตริย์ จึงได้ถามประธานองคมนตรีว่า :- สิ่งที่สัยยิดอะละวีย์กล่าวมานั้นเป็นความจริงหรือ ?
ประธาน :- นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้เช่นนี้ 1
1. เฏาะบะกอต อิบนุสะอัด กิสมุษษานีย์ เล่ม 2 หน้า 41 – ตารีคอิบนุอะสากิรฺ 2 / 391 – กังซุลอุมมาล 5 / 312 – อัลกามิล อิบนุอะษีรฺ 2 / 129
สัยยิดอะละวีย์ ได้กล่าวต่อไปว่า :- ถ้าหากการประณามสาปแช่งเศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) เป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) และเป็นการปฏิเสธอิสลาม (กุฟรฺ) แล้ว เหตุใดพวกท่านจึงไม่กล่าวหา "มุอาวิยะฮฺ อิบนุอบีสุฟยาน" ว่าเป็นกาฟิรฺบ้างเล่า ? และเหตุใดพวกท่านจึงมิได้กล่าวหาว่าเขาเป็นคนชั่วช้าสามานย์ เป็นผู้ทรยศ ทั้ง ๆ ที่เขาได้ประณามสาปแช่งท่านอะลี อิบนุอบีฏอลิบ (อ) ผู้เป็นเคาะลีฟะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) เป็นเวลาติดต่อกันถึง 40 ปี และหลังจาก มุอาวิยะฮฺได้เสียชีวิตแล้ว การประณามสาปแช่งดังกล่าวได้ดำเนินไปถึง 70 ปี !
กษัตริย์ :- ขอให้พวกท่านผ่านประเด็นดังกล่าว และหยิบยกประเด็นอื่นบ้าง
เชคอับบาสีย์ :- บิดอะฮฺ (สิ่งประดิษฐ์ใหม่ที่ไม่มีในศาสนา) หนึ่งที่ชาวชีอะฮฺได้ยึดถือปฏิบัติก็คือ การไม่ยอมรับในคัมภีร์อัลกุรฺอาน
สัยยิดอะละวีย์ :- หามิได้ แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ชาวสุนนีต่างหากเล่าที่ไม่ยอมรับในคัมภีร์อัลกุรฺอาน หลักฐานและข้อพิสูจน์ของข้าพเจ้าในกรณีดังกล่าวก็คือ ชาวสุนนีเชื่อว่า :- " อุษมานเป็นผู้รวบรวมคัมภีร์อัลกุรฺอาน " พวกท่านต้องการจะกล่าวหาท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ว่ามีความรู้ ความเชี่ยวชาญในคัมภีร์อัลกุรฺอานไม่เทียบเท่ากับท่านอุษมาน และมิได้บัญชาให้เศาะหาบะฮฺคนใดทำการรวบรวมอัลกุรฺอานเมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จนต้องปล่อยให้เป็นภาระของอุษมานในภายหลังกระนั้นหรือ ?
นอกจากนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่อัลกุรฺอานมิได้ถูกรวบรวมตั้งแต่สมัยท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ในเมื่อท่าน (ศ) ได้สั่งให้ญาติสนิทและกัลยาณมิตรของท่านอ่านทบทวนมันตั้งแต่สูเราะฮฺแรกถึงสูเราะฮฺสุดท้าย โดยท่านได้วจนะว่า :- บุคคลใดที่อ่านอัลกุรฺอานจบสมบูรณ์ เขาจะได้รับมรรคผลและรางวัลตอบแทนเท่านั้นเท่านี้ เป็นต้น
จะเป็นไปได้อย่างไรกันที่คำสั่งให้อ่านอัลกุรฺอานตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่มันยังมิได้ถูกรวบรวมไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ?
หรือว่ามุสลิมในสมัยนั้นอยู่ในภาวะหลงทาง จนกระทั่งท่านอุษมานได้มาชี้นำและปลดปล่อยพวกเขา ? !
กษัตริย์ ได้หันไปถามประธานองคมนตรีว่า :- สิ่งที่สัยยิดอะละวีย์ กล่าวว่าทัศนะของชาวสุนนีถือว่าท่านอุษมานเป็นผู้รวบรวมคัมภีร์อัลกุรฺอาน เป็นสิ่งที่ถูกต้องและมีมูลความจริงหรือ ?
ประธานองคมนตรี :- บรรดามุฟัสสิรีน (นักอรรถาธิบายอัลกุรฺอาน) และนักประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้เช่นนั้นจริง
สัยยิดอะละวีย์ :- โอ้ กษัตริย์ ! ณ ที่นี้ เป็นการสมควรที่พระองค์จะทรงรับทราบไว้ด้วยว่า ชาวชีอะฮฺมีความเชื่อว่าคัมภีร์อัลกุรฺอานได้ถูกรวบรวมอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตั้งแต่ในสมัยที่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ยังมีชีวิต โดยมีเนื้อหาสาระ ดังเช่นอัลกุรฺอานที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน และพระองค์ทรงประจักษ์แล้วว่า ไม่มีคำใดที่ถูกตัดทอนหรือเพิ่มเติมเข้ามาแม้แต่อักษรเดียว ในขณะที่ชาวสุนนีกลับกล่าวว่าคัมภีร์อัลกุรฺอานมีส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามา และมีส่วนที่ขาดหายไป และมีบางอายะฮฺที่ถูกสลับสับเปลี่ยนที่กัน และท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) มิได้เคยรวบรวมมันมาก่อน แต่ทว่า ท่านอุษมาน คือบุคคลแรกที่ได้ดำเนินการรวบรวมมัน ภายหลังจากที่เขาได้เถลิงอำนาจขึ้นเป็นกษัตริย์
เชคอับบาสีย์ จึงได้ฉกฉวยโอกาสนี้กล่าวขึ้นว่า :- โอ้ กษัตริย์ ! พระองค์ทรงได้ยินแล้วใช่ไหมว่า ชายผู้นี้มิได้เรียกขานท่านอุษมานในฐานะของเคาะลีฟะฮฺ แต่กลับเรียกเขาว่า "กษัตริย์" ? !
สัยยิดอะละวีย์ :- ใช่แล้ว เพราะแท้จริงท่านอุษมานมิได้เป็นเคาะลีฟะฮฺแต่อย่างใด
กษัตริย์ จึงถามสัยยิดอะละวีย์ ว่า :- ทำไม ? !
สัยยิดอะละวีย์ :- ตามความเชื่อของชาวชีอะฮฺ ถือว่าการขึ้นสู่ตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺของท่านอบูบักรฺ ท่านอุมัรฺ และอุษมาน เป็นสิ่งโมฆะ (บาฏิล) อย่างสิ้นเชิง
กษัตริย์ จึงถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ว่า :- ทำไม ? !
สัยยิดอะละวีย์ :- ทั้งนี้ ก็เพราะว่าท่านอุษมานได้เป็นเคาะลีฟะฮฺจากแผนการของท่านอุมัรฺที่ได้กำหนดตัวบุคคลในคณะที่ปรึกษา (ชูรอ) จำนวน 6 คน ในขณะที่บุคคลทั้งหกมิได้มีมติเลือกท่านอุษมานให้เป็นเคาะลีฟะฮฺอย่างเป็นเอกฉันท์ แต่ทว่า มีเพียงสามหรือสองคนเท่านั้นที่ได้เลือกเขาขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เอง ความชอบธรรม (มัชรูอียะฮฺ) ในตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺของท่านอุษมานจึงขึ้นอยู่กับท่านอุมัรฺเพียงคนเดียวเท่านั้น
ส่วนตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺของท่านอุมัรฺนั้นเล่า ก็ได้รับมาเพราะคำสั่งเสีย (วะศียะฮฺ) ของอบูบักรฺเพียงคนเดียว ดังนั้น ความชอบธรรม (มัชรูอียะฮฺ) แห่งการเป็นเคาะลีฟะฮฺของท่านอุมัรฺ จึงขึ้นอยู่กับท่านอบูบักรฺเพียงคนเดียวเช่นกัน
ในขณะที่ตัวของท่านอบูบักรฺเอง ซึ่งได้ขึ้นสู่ตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺจากการเลือกตั้งของคนเพียงหยิบมือเดียว และยิ่งไปกว่านั้นบางส่วนของพวกเขาต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคมดาบและการใช้กำลังข่มขู่คุกคาม ดังนั้น ความชอบธรรมในตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺของท่านอบูบักรฺ จึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคมดาบและกฎหมู่ !
จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้เอง ที่ในเวลาต่อมาท่านอุมัรฺได้กล่าวสารภาพด้วยตนเองว่า :-
"การให้สัตยาบัน (บัยอะฮฺ คือ การยอมรับว่าบุคคลหนึ่งเป็นผุ้นำของเรา) ของประชาชนต่อท่านอบูบักรฺ เป็นหนึ่งจากภารกิจที่คับขันและฉุกละหุก และปราศจากการตระเตรียมการที่ดี และเป็นการกระทำตามแบบฉบับของพวกโง่งมงาย (ญาฮิลียะฮฺ) ขออัลลอฮฺได้ทรงโปรดขจัดปัดเป่าความชั่วร้ายออกจากมวลมุสลิมด้วยเถิด ดังนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ใครก็ตามที่ลอกเลียนแบบอย่างแห่งการขอสัตยาบันเช่นนั้นอีก พวกท่านจงจัดการสังหารเขาเสีย"
ท่านอบูบักรฺเองก็ได้ยอมจำนนเช่นกันว่า :- "พวกท่านจงปล่อยฉันให้ไปตามยถากรรมของฉันเถิด และจงยึดการให้สัตยาบันของพวกท่านคืนไปเถิด เพราะตราบใดที่อะลี (อ) ยังอยู่ในท่ามกลางพวกท่าน ฉันมิใช่ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน"
จากหลักฐานและข้อพิสูจน์ดังกล่าวนี้เอง ที่ชาวชีอะฮฺมีความเชื่อว่า รากเหง้าแห่งการได้รับตำแหน่งเคาะลีฟะฮฺของบุคคลทั้งสามเป็นสิ่งโมฆะและผิดครรลองคลองธรรมมาตั้งแต่ต้น
กษัตริย์ ได้หันไปถามประธานองคมนตรีว่า :- ที่สัยยิดอะละวีย์กล่าวถึงท่านอบูบักรฺและท่านอุมัรฺ มีมูลความจริงและเป็นสิ่งที่ถูกต้องกระนั้นหรือ ?
ประธานองคมนตรี :- ใช่แล้ว นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้เช่นนั้นจริง
กษัตริย์ จึงได้ถามต่อไปว่า :- แล้วเหตุใดพวกเราชาวสุนนีจึงยกย่องให้เกียรติบุคคลทั้งสามเล่า ? !
ประธานองคมนตรี :- เป็นการปฏิบัติตามบรรพชนผู้ทรงคุณธรรมของพวกเรา
สัยยิดอะละวีย์ จึงกล่าวกับกษัตริย์ว่า :- โอ้ กษัตริย์ ! ได้โปรดถามท่านประธานองคมนตรีเถิดว่า ระหว่างการดำเนินตามสัจธรรมกับบรรพชน อันไหนเป็นสิ่งวาญิบ (จำเป็น) กว่ากัน ? มาตรว่าการลอกเลียนแบบบรรพชนขัดแย้งกับสัจธรรมความจริงแล้ว จะมิตกอยู่ในฐานะที่คัมภีร์อัลกุรฺอานได้ตรัสไว้หรอกหรือว่า :-
﴾ إِنَّا وَجَدْنَا آبَاءَنَا عَلَى أُمَّةٍ وَإِنَّا عَلَى آثَارِهِم مُّقْتَدُونَ ﴿
"แท้จริง พวกเราได้ประจักษ์ว่าบรรพบุรุษของพวกเราอยู่ในวิถีทางนี้มาก่อน ดังนั้น พวกเราจึงดำเนินตามร่องรอยของพวกเขาด้วย"
(สูเราะฮฺซุครุฟ 43 : 23)
กษัตริย์ จึงกล่าวกับสัยยิดอะละวีย์ว่า :- ถ้าหากบุคคลทั้งสามมิได้เป็นเคาะลีฟะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) แล้ว ใครเล่าคือเคาะลีฟะฮฺของท่าน ?
สัยยิดอะละวีย์ จึงตอบว่า :- เฉพาะอะลี อิบนุอบีฏอลิบ (อ) เท่านั้น
ที่เป็นเคาะลีฟะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ)
กษัตริย์ :- อะไรคือหลักฐานและข้อพิสูจน์ของท่าน ?
สัยยิดอะละวีย์ :- ท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ) ได้แต่งตั้งเขาให้เป็นเคาะลีฟะฮฺและตัวแทนภายหลังจากท่าน โดยท่าน (ศ) ได้ประกาศอย่างชัดเจนต่อหน้าประชาชนในต่างกรรมต่างวาระกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์ "เฆาะดีรฺคุม" ตำบลที่ตั้งอยู่ระหว่างนครมักกะฮฺกับมะดีนะฮฺ เมื่อท่าน (ศ) ได้บัญชาให้พวกเขาชุมนุมกัน ณ สถานที่แห่งนั้น และได้ชูมือของอะลี (อ) ขึ้น พร้อมกับประกาศด้วยเสียงก้องกังวานว่า :-
"ใครก็ตามที่ฉันเป็นผู้ปกครอง (เมาลา) ของเขา อะลี (อ) ก็เป็นผู้ปกครอง (เมาลา) ของเขาด้วย
โอ้ อัลลอฮฺ ! ได้โปรดมอบความรักและให้การคุ้มครองแก่ผู้ที่รักอะลี และยอมรับฐานภาพแห่งการเป็นผู้ปกครองของเขาด้วยเถิด
และโปรดเป็นศัตรูกับผู้บุคคลใดที่เป็นศัตรูกับเขาด้วยเถิด
และโปรดให้การสนับสนุนบุคคลใดที่สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือเขาด้วยเถิด
และบุคคลใดที่ละทิ้งไม่ให้ความช่วยเหลือเขา ขอพระองค์โปรดละทิ้งเขา (ให้ระหน) ด้วยเถิด" 1
1. บิหารุลอันวารฺ 37 / 123