Welcome to Q4wahabi.com (Question for Wahabi). Please login or sign up.

พฤษภาคม 11, 2024, 03:00:49 ก่อนเที่ยง

Login with username, password and session length
สมาชิก
Stats
  • กระทู้ทั้งหมด: 2,677
  • หัวข้อทั้งหมด: 651
  • Online today: 116
  • Online ever: 153
  • (เมษายน 26, 2024, 05:40:09 ก่อนเที่ยง)
ผู้ใช้ออนไลน์
Users: 0
Guests: 105
Total: 105

รับไบยิว โมเช่ เรอีสส์ วิจารณ์มุสลิม

เริ่มโดย L-umar, ตุลาคม 07, 2009, 12:06:40 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

L-umar


รับไบยิว โมเช่ เรอีสส์  วิจารณ์มุสลิม


Rabbi Moshe Reiss
moshereiss@moshereiss.org

The House of Saud
ญิฮ๊าดเคาะประตูพระราชฐานราชวงศ์ซาอู๊ด

 
โดย รับไบ โมเช่ เรอีสส์  12 กรกฎาคม 2548   19:35 น.
(*รับไบคือนักบวชในศาสนายูดายของชาวยิว ทัศนะข้างล่างก็เป็นไปตามความคิดของเขา)
       
เมื่อต้นปีนี้เอง ลูกหลานอดีตประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี รูสเวลท์ และหน่อเนื้อเชื้อแถวของกษัตริย์อิบนิ ซาอู๊ด ปฐมกษัตริย์แห่งประเทศซาอุดิอาระเบีย ได้จัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการประชุมสุดยอดซาอุฯ- สหรัฐฯ ที่คลองสุเอซ
ที่ครั้งนั้นได้มีการวางพื้นฐาน "สัมพันธ์พิเศษ" น้ำมัน-เพื่อ-ความมั่นคง ระหว่างประเทศทั้งสอง ถึงแม้ปัจจุบันซาอุดีอาระเบียจะมีความสำคัญต่อโลกมาก แต่เรื่องนี้กลับไม่เป็นข่าว โดยเฉพาะในสื่อใหญ่ๆ

 จนกระทั่งเร็วๆ นี้เอง รัฐบาลซาอุดิฯ ก็ยังคงให้การสนับสนุนการทำสงครามศาสนา (ญิฮ๊าด) และพวกวะฮาบีของตนอย่างแข็งขัน  
พวกวะฮาบีเป็นรูปแบบสุดขั้วรูปหนึ่ง   พวกวาฮาบีนี้ไม่เว้นที่ให้มีการตีตัวบทความศาสนาของตนเป็นอย่างอื่น  
คนทุกคนจะต้องตามอย่างวะฮาบีแต่เพียงผู้เดียว รัฐบาลซาอุดิฯ สนับสนุนญิฮ๊าดทั้งทางหลักการและวัตถุปัจจัย
แบบเดียวกับอดีตรัฐบาลตาลีบันในอัฟกานิสถาน   เมื่อผู้ก่อการร้าย เมื่อวันที่ 11 กันยายน เป็นคนซาอุดิฯ เสีย 15 คน และตัวอุซามะฮ์  บินลาดิน ก็เป็นคนซาอุดิฯ เป็นนักธุรกิจซาอุดิฯ และเติบใหญ่มาในซาอุดิ ฯ ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในการโจมตีตึกเวิลด์เทรดบ้าง ถ้าเทียบกันก็ควรจะมากกว่ารัฐบาลอิรัก

แหล่งอุดหนุนทางการเงินในซาอุดิฯ (พัฒนาขึ้นมาในตอนที่โซเวียตยึดครองอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษที่ 1980 )  ตามการอุดหนุนญิฮ๊าด ทั้งๆ ที่ขยายออกไปนอกอัฟกานิสถาน

องค์การญิฮ๊าดระหว่างประเทศที่ซาอุดิฯ ช่วยเหลือ (เป็นต้นว่า องค์การประชุมอิสลาม สันนิบาติมุสลิมโลก และสภาเยาวชนมุสลิมโลก ไม่ว่าจะเป็นรอบิเตาะฮ์ อิฆอษะฮ์ หรืออะวามี่ ) ได้ส่งผ่านความช่วยเหลือเหล่านั้นต่อไปยังญิฮ๊าดโลก  ทั้งในอาฟริกา เอเชียกลาง ปากีสถาน บังกลาเทศ เอเชียอาคเนย์ ในสหรัฐอเมริกา และยุโรป คือทุกๆ แห่งที่มีการทำญิฮ๊าด

ซาอุดิฯ เป็นผู้ก่อตั้งและให้ทุนอุดหนุนโรงเรียนสอนศาสนาและมัสญิดต่างๆ เพื่อให้อบรมบ่มเพาะนักเรียน และชุมชนรอบๆ ให้ต่อต้านตะวันตก ทุบทำลายความใจกว้างของชาวมุสลิมในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกและเอเชียกลาง รวมทั้งในแอฟริกาเหนือด้วย
เมื่อไม่นานมานี้องค์การ Freedom House ซึ่งเป็นกลุ่มนโยบายในสหรัฐฯ ได้วิเคราะห์หนังสือและคำสอนภาษาอาหรับที่ได้ทุนพิมพ์จากซาอุดิฯ ที่พบตามสุเหร่ามัสญิดต่างๆ ในสหรัฐ และพบว่าพวกมันล้วนเป็นคำสอนให้ต่อต้านคริสเตียน ต่อต้านยิว ดูถูกสตรี มีอุดมการณ์ญิฮ๊าด

และถือว่าคนที่ไม่ใช่มุสลิมเป็นศัตรู และเสนอให้ใช้กฎหมายชะรีอะห์อิสลามในประเทศสหรัฐฯ
    อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลซาอุดิฯ ผู้หนึ่ง กล่าวว่า มหาวิทยาลัยอิหม่าม มุฮัมมัด บิน ซาอู๊ด ในกรุงริยาร์ด   คือ "โรงงานผลิตผู้ก่อการร้าย"
อับดุลฮามิด  อัล-อันซอรี คณบดีคณะกฎหมายอิสลามแห่งมหาวิทยาลัยกาต้าร์ ก็กล่าวว่า "วัฒนธรรมนี้ (การก่อการร้าย) หยั่งรากอยู่ในจิตใจของผู้ที่มีการศึกษาแบบปิด ไม่มีโอกาสได้ศึกษาแนวคิดของคนอื่นๆ"
เราไม่ได้บอกว่าซาอุดิฯ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์  11 กันยายน  ซีไอเอก็ไม่ มอสซาด*ก็ไม่
เพียงแค่บอกว่าพวกเขาต้องมีส่วนรับผิดชอบและมากกว่ารัฐบาลอิรักเท่านั้น
(*องค์การสืบราชการลับของอิสราเอล)

ผมยกคำพูดของเบอร์นาร์ด เลวิส มาให้คุณลองคิดตามดูก็ได้ เขากล่าวว่า "
หากขบวนการคลูคลักแคลนหรือชาติอารยัน* สามารถครอบครองเท็กซัสได้ทั้งหมด แล้วผันเงินรายได้จากการขายน้ำมันไปสร้างเครือข่ายตามโรงเรียนและวิทยาลัยในคริสตจักร แล้วก็สอนเฉพาะบางนิกายของคริสตศาสนา นั่นก็คือสิ่งที่ซาอุดิฯ ทำกับพวกวะฮาบี "
(*ขบวนการเหยียดผิวในสหรัฐ)
ญิฮ๊าด คือการทำสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อต้านสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล (รวมทั้งประเทศตะวันตกอื่นๆ ด้วย) ในฐานะเป็นรัฐ "ชั่วช้าสามานย์" คือเป็นประเทศที่ต่อต้านศาสนาอิสลาม และขัดขวางวิถีชีวิตแบบอิสลาม
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของญิฮ๊าดคือ เปลี่ยนแปลงทางการเมือง จากโลกาภิวัฒน์ จากความทันสมัย พวกมุญาฮิดีนเชื่อว่า โลกาภิวัฒน์กับความทันสมัยเป็นสิ่งที่มาพร้อมกับทัศนคติแบบยิว-คริสเตียน        เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่อื่นใด นอกจากสถาปนากฎหมายอิสลามที่มาจากกฎหมายชะรีอะห์ในยุคกลางนั่นเอง
การทำเช่นนั้นรังแต่จะก่อผลร้ายทางเศรษฐกิจสังคมให้กับตะวันออกกลาง ที่ประชากรเกือบ 50% เป็นเยาวชน ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง และว่างงานอยู่ราว 20-30%
 เป้าหมายของญิฮ๊าดคือ ทำลายล้างอิทธิพลตะวันตก และอิทธิพลยิวในโลกตะวันตก และพวกที่ไร้ศรัทธาทั้งหลาย มีวัจนะ หะดีษ บทหนึ่ง (ของท่านศาสดามุฮัมมัด) กล่าวว่า
"แม้แต่ก้อนหินและต้นไม้ก็จะเพรียกหา โอ้ มุสลิม  มียิวผู้หนึ่งซ่อนตัวอยู่หลังข้า มาเถิดมาฆ่ามัน"
หะดีษบทนี้เองที่ บิน ลาดิน ชอบนำไปใช้  เขาชอบอ้างว่า พวกยิว " ซ่อนตัวอยู่หลังอเมริกาและตะวันตก "
เมื่อวันที่  5 - 8  กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา มกุฎราชกุมาร เจ้าชายอับดุลลาห์ทรงไปเปิดการประชุมว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายในซาอุดิฯ
สองวันก่อนการประชุมครั้งนั้นโทรทัศน์ของทางการซาอุดิฯ ไปสัมภาษณ์คนในราชวงศ์ซาอู๊ดหลายคน  
ซูไฮด้า ฮัมเหม็ด อธิบายว่ายิว ทำให้เกิดการก่อการร้ายในซาอุดิฯ ได้อย่างไร
และมาชาส์ อัล-ฮาราธี เขียนกลอนอุทิศให้แก่เจ้าชายสุลต่าน เฟเตด รัฐมนตรีกลาโหมซาอุฯ อ้างว่าพวกยิวเป็นคนส่งบินลาดินมา
    พวกเขาพูดถึงชาวคริสต์ว่า " ตอนแรกก็เอาคนวันเสาร์ก่อน แล้วค่อยมาเอาคนวันอาทิตย์ " เมื่อเร็ว ๆ นี้เองเพิ่งมีการอธิบายความหมายของคำพูดดังกล่าว ว่าหมายถึง "ในวันล้างโลก"
คนมุสลิมแต่ละคนจะต้องฆ่าคนยิว หรือคนคริสต์ให้ได้สักคนหนึ่ง เพื่อส่งไปลงนรกแทนตัว นี่หมายถึง (ตามคำพูดของริชาร์ด แลนเดส)
คนมุสลิมทุกคนต้องฆ่ายิวหรือคริสเตียนคนหนึ่ง เพื่อพระเจ้าจะได้ช่วยตัวเองให้ขึ้นสวรรค์ วัยรุ่นฝรั่งเศส-อาหรับผู้หนึ่ง ฆ่าและทำลายซากศพคนยิวคนหนึ่ง ที่เคยเป็นเพื่อนบ้านเขามาตั้งแต่เด็ก เขาก็เอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อ-แม่ด้วยความลิงโลด ทั้งๆ ที่มือยังเปื้อนเลือดว่า "ผมฆ่าไอ้ยิวของผมแล้ว ตอนนี้ผมได้ขึ้นสวรรค์แล้ว"
ตอนนี้พวกญิฮ๊าดเริ่มเอามุสลิม "นอกรีต" คนอื่นๆ เข้าไปรวมกับพวกตะวันตกแล้ว คือพวกพลเรือนชีอะฮ์กับสุหนี่
       
  พวกญิฮ๊าดวาฮาบีเชื่อแบบเข้ากระดูกว่าตายเสียดีกว่าอยู่ในโลกที่ไม่ใช่อิสลาม ภารกิจของพวกเขาคือสร้างโลกให้เป็นสวรรค์ ในความคิดของพวกเขาความตายก่อนกาลเป็นเรื่องจ้อยมาก
(the eventuality of death prior to the total eschatology is an insignificant price to pay.)
เพราะมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่เป็นโลกที่ "แท้จริง"
       
ญิฮ๊าด คือลัทธิเผด็จอำนาจในอีกรูปแบบหนึ่งที่ขัดแย้งกับศาสนาอิสลามแบบดั้งเดิม พวกญิฮ๊าดเป็นฟาสซิสต์ที่ต้องการบงการโลก
ซัยยิด อับดุล อะอ์ลา อัลเมาดูดี นักทฤษฎีญิฮ๊าดชาวปากีสถานผู้โด่งดัง เขียนเอาไว้ว่า
" ศาสนาอิสลามต้องการโลกทั้งโลก ไม่ใช่แค่เสี้ยวหนึ่ง อิสลามต้องการและแสวงหาโลกทั้งโลก เพื่อว่ามวลมนุษย์ทั้งหลายจะได้อิ่มเอิบในรสพระธรรม และจะได้ปฏิบัติศาสนกิจที่จะนำมาซึ่งความสุขของตัว   ตามที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานเกียรติแด่ศาสนาอิสลาม ให้ทรงอยู่เหนือศาสนา และกฎหมายอื่น ๆ "
    มีพวกญิฮ๊าดน้อยมากคิดตามหลักศาสนาอิสลามดั้งเดิม โอลิเวอร์ รอย ผู้รู้ศาสนาอิสลามในฝรั่งเศส กล่าวว่า  พวกญิฮ๊าดเป็น "ผลผลิตของโลกตะวันตก ... พวกเขาเป็นมุสลิมที่เกิดใหม่ (รู้แจ้ง)" พวกเขาไม่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนศาสนา (ยกเว้นส่วนน้อย) ผู้นำของพวกเขาส่วนใหญ่ได้รับการศึกษามาจากตะวันตก เช่น ซัยยิด กุตุบ   ที่อ้างว่าตัวเป็นข้าในพระผู้เป็นจ้า (theocrat) และหัวหน้าขบวนการมุสลิมบราเธอร์ฮู๊ด(  ขบวนอิควาน มุสลิมีน) ไม่เคยศึกษาเทววิทยามาก่อน เขาจบมหาวิทยาลัยฆราวาสในอียิปต์ แล้วไปศึกษาวิศวกรรมต่อในสหรัฐฯ
ดร.อัยมัน อัล-ซ่อวาฮิรี  ผู้ช่วยบิน ลาดิน ก็เป็นแพทย์
รอมซี ยูซูฟ (ผู้วางระเบิดตึกเวิร์ดเทรดครั้งแรก ปี 1993) เป็นวิศวกรไฟฟ้าที่ศึกษาในอังกฤษ
อุมัร อะหมัด สะอีด เชค ที่พัวพันกับการสังหารแดเนียล เพิร์ล นักข่าวชาวอเมริกัน ก็เกิดจากพ่อ-แม่ปากีสถาน   ในฐานะเป็นมุสลิมอังกฤษ ศึกษาในโรงเรียนเอกชน และไปต่อที่ลอนดอล สกูล ออฟ อีโคนอมิกส์
มุฮัมมัด อัตตา หัวหน้าในเหตุการณ์  11 กันยายน ก็เป็นนักศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์ อาศัยอยู่ในเยอรมนี
  (*เป็นแนวคิดของยุคกลางที่บอกว่ามนุษย์ทั้งผองเป็นพี่น้องกัน อันเป็นที่มาของขบวนการ brotherhood ทั้งหลายในโลกยุคนั้น เป็นแกนหลักของแนวคิดเกี่ยวกับอัศวินที่คนแข็งแรงต้องโอบอุ้มช่วยเหลือคนอ่อนแอตกทุกข์ได้ยาก ในจีนตอนนั้นเรียกว่า ยุทธจักร ยุทธภพ ทุกวันนี้หลงเหลือมาอยู่ในรูปสหภาพแรงงาน และขบวนการอั้งยี่ต่างๆ
  ในไทยเคยแปลคำนี้ว่า  ภราดร  อันเป็นที่มาของ  ภราดา ที่ใช้เรียกนักบวชในคริสตศาสนา)

ตัวบิน ลาดินเอง ทั้งๆ ที่ออก ฟัตวา (คำวินิจฉัยความทางศาสนา) แต่ไม่เคยเป็นนักศึกษาศาสนาหรืออุละมาอ์มาก่อนเลย
ที่จริงเบน ลาเด็นเป็นนักธุรกิจตามอย่างตะวันตก คุ้นเคยกับการซื้อ-ขายอาวุธ โพยก๊วน และเทคโนโลยีอิเล็กโทรนิกมากกว่าคุ้นกับศาสนาอิสลาม
เขาเป็นผู้ประกอบการที่โดดเด่นที่สุดในการต่อต้าน-เสรีนิยม ต่อต้าน-ความทันสมัย ต่อต้าน-เป้าหมายประชาธิปไตย และเป็นนักการศาสนาแบบงู ๆ ปลา ๆ
( ยกเว้นก็แต่อาบู มูซ๊าฟ อัล-ซะก่อวี ชาวจอร์แดน ที่ได้รับการฝึกฝนในปากีสถาน เท่าที่รู้ไม่เคยสมาคมกับตะวันตก เมื่อเร็วๆ นี้ บิน ลาดินตั้งให้เขาเป็น "อะมีร" แห่งอิรัก)
ญิฮ๊าดเป็นผลผลิตจากสี่แยก ที่ตะวันตกมาพบกับอิสลาม และผู้ประดิษฐ์คิดสร้างของมัน ต่างก็ได้รับการศึกษาในตะวันตก
คนเหล่านี้เป็นคนเมืองทันสมัยและได้รับอิทธิพลจากพวกก่อการร้ายปีกซ้าย ในยุค 1960 และ 1970  มากกว่าศาสนาอิสลามแบบดั้งเดิม
พวกเขาสรรค์สร้างอุดมการณ์ทางการเมืองแบบใหม่ โดยเอาหลักคิด "อิสลาม" มาตั้งไว้บนโลกสมัยใหม่ "สำหรับพวกเขาแล้ว หลายๆ คนเคยมีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ก่อนจะหันกลับมาสู่ศาสนา  ไม่ได้เกิดมาจากความศรัทธาทางศาสนาแต่อย่างใด"

คู่แข่งที่สำคัญของพวกเขาคือทุนนิยมและโลกาภิวัฒน์ หาใช่คริสตจักรหรือลัทธิยูดายไม่

ในปี  1979   อยาตุลเลาะฮ์  รูฮุลลอฮ์   โคไมนี่   และมุสลิมนิกายชีอะฮ์ได้โค่นระบอบชาฮ์แห่งอิหร่านที่ตะวันตกหนุนหลังก่อนสงครามเย็นจะยุติ
เพียงไม่นาน อิหม่าม โคไมนี่มีจดหมายไปถึง มิคาอิล กอร์บาชอฟ  ยืนยันถึงความเป็นสากลของศาสนาอิสลาม
เขาย้ำว่าอุดมการณ์คอมมิวนิสต์นั้นล้มเหลว แล้ววิงวอนให้กอร์บาชอฟอย่าได้หันไปหาตะวันตก และนำเอาทุนนิยมการตลาดมาใช้ในประเทศ แต่ให้หันมาหาอิสลามดีกว่า
 หลังจากผู้ตามอยาตุลลอฮ์โคไมนี่ในอิหร่านยึดอำนาจรัฐ  และสถาปนารัฐอิสลามขึ้น พวกคลั่งศาสนาสุหนี่อาหรับ (โดยการช่วยเหลือของสหรัฐฯ) ก็สามารถสยบสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถานได้
ในปี 1989 ท่ามกลางมิคสัญญีของพวกมุญาฮีดีนที่รบกันเอง ก็เกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้น กลุ่มเคร่งลัทธิวะฮาบีก็ผสมผสานตัวเข้ากับอุดมการณ์ญิฮ๊าดของขบวนการมุสลิมบราเธอร์ฮูด(อิควาน มุสลิมีน) ของซัยยิดกุตุบ
กลายเป็น ตาลีบัน ที่ขึ้นสู่อำนาจในปี 1996   ซัยยิดกุตุบนั้นถูกรัฐบาลอียิปต์ประหารชีวิต ขบวนการมุสลิม บราเธอร์ฮูด(อิควาน มุสลิมีน) ถูกปราบ
ผลงานของกลุ่มนี้คือการตั้งกลุ่มฮามาสขึ้นในปาเลสไตน์ และสถาปนาตาลีบันขึ้นในอัฟกานิสถาน

เหตุการณ์ความเป็นไปในอิหร่านและอัฟกานิสถานนี่เองที่ทำให้ญิฮ๊าดระบาดไปทั่วโลก
บิน ลาดิน ที่อ้างตัวว่าเป็นเด็กที่โตมาจากสงครามในอัฟกานิสถาน เปรียบเทียบตัวเองกับศาสดามุฮัมมัดที่พิชิตอาณาจักรคริสเตียนตะวันออกกับอาณาจักรเปอร์เซีย
และซาลาดิน (ซอลาฮุดดีน)ที่สยบกองทัพพวกครูเสดและพิชิตกรุงเยรูซาเลม
ญิฮ๊าดยังโตได้อีกหรือไม่ ? แม้จะเกิดเหตุการณ์  11 กันยายน และรัฐอิสลามอิหร่านเกิดขึ้นมาถึง 25 ปีแล้ว การทำให้ญิฮ๊าดลามไปทั่วโลกก็ยังไม่สำเร็จ
จีเยส์ เคเปล บัณฑิตฝรั่งเศสอีกผู้หนึ่งเห็นว่ามันกำลังจะเฉาตาย
แม้ในอิรัก ญิฮ๊าดจะยังเฟื่องฟู แต่ข่าวที่รวบรวมจากหลายแหล่งชี้ว่า กว่าครึ่งของมือระเบิดพลีชีพ ไปจากซาอุดิฯ  
(รูเวน ปาซว่าใน 154 ชื่อ มีคนซาอุฯ 61%,  อีวาน เอฟ โคห์ลมันน์ ว่าใน 235 ชื่อ มาจากซาอุฯ กว่า 50%, ส่วนเวบไซต์ของวอชิงตัน โพสต์ บอกว่ามือระเบิดพลีชีพมาจากซาอุฯ 44%)
บรรดาโฆษกอาหรับที่ไม่ได้เป็นมุญาฮิดีนทั้งหลายพากันวิตกว่า นักปฏิวัติญิฮ๊าดกำลังเป็นภัยต่อระบบการปกครองของพวกตนตอนนี้
หากได้โอกาส อัล-กออิดะ(อัลเคดาห์)ก็จะทำลาย "ศัตรูใกล้ตัว" ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์  ซีเรีย จอร์แดน กระทั่งซาอุฯ เองก็ไม่เว้น
พวกมุญาฮิดีนมีความเห็นว่า พวกมุสลิมที่สุดขั้วน้อยหน่อยล้วนเป็นลูกไล่ของ "พวกนอกรีต"
แม้พวกนิกายวะฮาบีกับพวกมุญาฮีดีนจะเกื้อกูลกัน   แต่เราจำเป็นจะต้องกันไม่ให้บิน ลาดิน โฆษณาหว่านล้อมคนมุสลิมทั่วๆ ไปให้ลุกขึ้นจับอาวุธเพื่อทำญิฮ๊าดและทำสงครามตามอุดมการณ์ของเขา
       
ปัญหาของซาอุฯ
นอกจากจะมีบิน ลาดิน กับอัล-กออิดะฮ์เป็นศัตรูแล้ว    ซาอุฯ ก็ยังมีวิกฤตอยู่ดี พวกหัวกระทิในสังคมแตกแยกกันอย่างหนัก    ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร
มกุฎราชกุมารเจ้าชายอับดุลลาห์ทรงนำฝ่ายปฏิรูปที่ต้องการรักษาสัมพันธ์กับตะวันตก
แต่เจ้าชายนาเยฟ รัฐมนตรีมหาดไทย  ไปเข้าข้างศาสนจักรต่อต้านสหรัฐฯ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน
    ขณะที่ซาอุฯ สู้กับพวกกบฏญิฮ๊าด ที่อัล-กออิดะฮ์นำ แต่ทั้งคู่ก็อ้างหลักศาสนาเดียวกันมาสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตัว
เตอร์กี ฮาหมัด ผู้สื่อข่าวซาอุฯ กล่าวว่า พวกเขามีวัฒนธรรมเดียวกัน ทั้งเจ้าชายอับดุลลาห์กับเจ้าชายเนเยฟจึงไม่ปฏิรูปให้ถึงที่สุด
ทั้งๆ ที่ซาอุฯ ต้องการการปฏิรูปอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ตุลาการ หรือการศึกษา
    ดังนั้น ฝ่ายนำจึงค่อยๆ รวมหัวกัน และยืนกรานที่จะปกครองโดยเผด็จอำนาจต่อไป เมื่อรัฐบาลซาอุฯ  รู้สึกว่าภัยเริ่มคุกคามการปกครองของตน  และ "ทำศึกกับการก่อการร้าย" ในบ้านจนมีชัยชนะแล้ว   ราชวงศ์ซาอุดก็หันไปเบ่งกล้ามเรื่องอื่นๆ เพื่อมวลชนจะได้กลับมาอยู่ใต้การปกครองต่อ
ซึ่งก็เหมือนรัฐบาลอาหรับทั้งหลายที่ใช้ "สงครามปราบปรามการก่อการร้าย" เพื่อปิดปากพวกที่กระด้างกระเดื่อง (เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว ยูนเนส ฮายารี หน้าฉากอัล-กออิดะฮ์ชาวมอร็อกโคในซาอุ ฯ ปะทะกับฝ่ายรักษาความมั่นคง และถูกยิงเสียชีวิต)
ในซาอุฯ ประชากรเกือบ 50% มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และ 30% ตกงาน รัฐบาลล้วนมีอายุเกินคนละ 70 ปีทั้งสิ้น กระทั่งบรรดาเจ้าชายก็ยังตกงานถึง 5,000 คน
ทุกวันนี้คนงานต่างชาติ 4 ล้านคนทำงานในซาอุฯ ที่มีประชากร 16 ล้านคน ประชากรมุสลิมเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพวกสุหนี่ที่ไม่ได้ถือลัทธิวาฮาบี
ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิทางศาสนา หรือสิทธิพิเศษอื่นใด ประชากรอีก 2 ล้านคนเป็นชีอะฮ์ ซึ่งก็ไม่มีสิทธิอะไรเช่นกัน      คนเหล่านี้เป็นสานุศิษย์ของมหาอยาตุลเลาะฮ์  ซัยยิดอาลี ซิสตานี ในอิรัก และเป็นที่วิตกกังวลของรัฐบาล
    ในที่สุด พวกซาอุฯ ก็เริ่มรู้ปัญหาของตนเอง สมาชิกผู้หนึ่งในสภา มัจลิส ชูรา (สภาที่ปรึกษาทำหน้าที่คล้ายๆ รัฐสภา) เคยพูดว่า
" ทั้งหมดที่พวกเขาสอนกัน คือ ให้เกลียดคนที่แตกต่าง ประเทศนี้มีเศรษฐกิจในศตวรรษที่ 20 แต่มีภูมิปัญญาอยู่ในศตวรรษที่ 14 "
การเลือกตั้งสภาเทศบาลครั้งที่แล้ว (ผู้หญิงไม่มีสิทธิลงคะแนน) ผู้สมัครหัวรุนแรงในเมืองเจดดาห์ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่เสรีที่สุดในซาอุฯ เป็นฝ่ายชนะ
คาดกันว่าหากมีการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยในซาอุฯ พวกอิสลามย่อมต้องชนะอย่างแน่นอน
ขณะที่สหรัฐฯ ส่งเสริมประชาธิปไตยในอิหร่าน เลบานอน และปาเลสไตน์ กระทั่งในซีเรีย แต่ไม่เคยแตะต้องซาอุฯ เลย
หวังแต่จะให้เกิด "เสถียรภาพ" จากหุ้นส่วนที่ร่ำรวยด้วยบ่อน้ำมันประเทศนี้ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้
มีการพูดกันมานานแล้วว่าเหตุที่อดีตประธานาธิบดีบุชผู้พ่อ ตอนทำสงครามอ่าวฯ ปี 1991 ไม่กล้าบุกยึดขึ้นไปถึงกรุงแบกแดด  ก็เพราะกลัวว่าจะไปกระตุ้นให้คนซาอุฯ ปฏิวัติ ความสัมพันธ์ของเขากับราชวงศ์ซาอู๊ดนั้นรู้กันดีโดยไม่ต้องพูด
    ตอนนี้ น้ำมันในสหรัฐ 20% มาจากซาอุฯ และว่ากันว่าใต้ทะเลทรายผืนนี้มีน้ำมันสำรองคิดเป็น 60% ของโลก แม้ตอนนี้จะเถียงกันเรื่องตัวเลขที่แน่นอนอยู่

มุญาฮิดีน(พวกญิฮ๊าด)ย่อมจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปิดกั้นเส้นทางลำเลียงน้ำมัน คนบางคนกล่าวว่าที่สหรัฐฯ  ตัดสินใจบุกยึดอิรักก็เพื่อเพิ่มน้ำมันสำรองของตน (น้ำมันจากอิรักมีปริมาณน้อยกว่า 1 ใน 3 ของซาอุฯ)  หากเป็นเช่นนั้นจริงในอนาคตก็คงไม่พ้นต้องยึดซาอุฯ รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ในการนี้อิสราเอลก็คงเข้าข้างสหรัฐฯ
    ตอนนี้ ซาอุดิอาระเบียคงรู้แล้วว่าตนไม่เคยเป็นเจ้าชะตากรรมของตนอย่างที่เคยเชื่อกันมาก่อน
       
       Rabbi Moshe Reiss is a graduate of Oxford University, has taught at Columbia University and was assistant rabbi at Yale University. He was the first rabbi to be invited to teach in the Department of Theology at the Catholic University of Leuven - Belgium (founded 1425) and has lectured in various countries. He has published three books on his website on Judaism, Christianity and Islam. His book on Judaism is being published by sections in the Jewish Bible Quarterly. He now lives in Israel.

อ้างอิงจากเวบ
http://www.moshereiss.org/columns/16a_saud_thai.htm
  •  

L-umar



เหตุผลที่นำบทความของรับไบยิวมาลง  เพราะต้องการให้ท่านทราบว่า



วาฮาบี  คือผู้สร้างสรร  หรือผู้ทำลาย
  •  

105 ผู้มาเยือน, 0 ผู้ใช้