เรื่อง การเข้ารับอิสลามของบาทหลวงคริสต์
เรื่องราวของบาทหลวงคาทอลิกชาวอาร์มีเนียคนหนึ่งได้เข้ารับอิสลาม เพราะการศึกษาค้นคว้าจนพบสัจธรรม ซึ่งเขามีนามหลังจากเขารับอิสลามว่า
เชค มุฮัมมัด ศอดิก ฟัครุลอิสลาม มรณะปี ฮ.ศ. 1330
บาดหลวงผู้นี้คือเจ้าหนังสือชื่อ أَنِيْسُ الْأَعْلاَمِ فِيْ نُصْرَةِ الْاِسْلاَمِ
อะนีซุลอะอ์ลาม ฟีนุศเราะติลอิสลาม
เขาได้บอกเล่าในบทแรกของหนังสือเล่มนี้ถึงเรื่องราวการเข้ารับอิสลามของเขา ภายใต้หัวข้อชื่อ " บั้นปลายชีวิตที่สับสน " ดังนี้
ผู้เขียนเป็นบาทหลวงระดับทรงคุณวุฒิคนหนึ่ง(เล่าว่า)
เขาเกิดในย่านโบสถ์เมืองอาร์มีเนีย(อาเซอร์ไบจัน อยู่ทางตะวันตกของประเทศอิหร่าน) ได้รับการศึกษาจากคณะบาดหลวงผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการและคณาจารย์คริสต์ในช่วงที่ยังไม่รู้อะไรเลย หนึ่งจากบุคคลเหล่านี้คือ ท่านนักบวชยอห์นบะเกียร์ ท่านบาดหลวงยอห์น จอน ท่านนักบวชอ๊าจญ์และอาจารย์ท่านอื่นๆแห่งนิกายโปรแตสแตนท์
ยังมีคณาจารย์จากนิกายคาทอลิคอีกเช่น ท่านนักบวชทาลู ท่านบาทหลวงกูร์กัซ และอาจารย์ท่านอื่นๆอีกมากมาย
(ผู้เขียนเล่าว่า) ตอนอายุสิบสองปี ผมได้ศึกษาพระคัมภีร์โตร่าฮ์และไบเบิลจบ ตลอดทั้งวิชาคริสตศาสนาทุกสาขา จนผมบรรลุขั้นบาดหลวงตามวิชาความรู้
ช่วงเวลาสุดท้ายแห่งการศึกษาของผมหลังอายุสิบสองปี ผมต้องการศึกษาหลักศรัทธานิกายและลัทธิต่างๆในคริสตศาสนา หลังจากที่ผมได้วิจัยมาอย่างต่อเนื่อง ได้ทุ่มเทความพยายามและเดินทางไปยังบ้านเมืองต่างๆ
ผมได้เป็นตัวแทนเดินทางไปพบบาดหลวงผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง(ที่นครรัฐวาติกัน) ยิ่งกว่านั้นท่านยังดำรงตำแหน่งบิชอพแห่งคริตจักร ท่านมีสมณศักดิ์มากมาย ความโด่งดังของท่านเป็นที่รู้จักกันทั่วในหมู่ชาวคริสต์ เกี่ยวกับความรู้ ความถือสันโดษ ความสำรวมตนในหมู่ผู้นับถือนิกายของท่าน
คาทอลิคเป็นนิกายของศาสนาคริสต์ ที่มีอำนาจควบคุมทางศาสนจักร ต่อกษัตริย์ เจ้าเมือง ชาวบ้าน คนรวยและผู้อยู่ภายใต้การดูแล
ผู้นับถือนิกายคอทอลิคจะส่งคำถามและปัญหาศาสนาต่างๆของพวกเขาไปถามนักบวชผู้นี้ พร้อมทั้งส่งค่าตอบแทนต่อคำถามของพวกเขาแก่นักบวชผู้นี้ ด้วยการถวายของขวัญมีค่ามากมายทั้งเงินสดและทองคำ พวกเขาได้ทำเช่นนี้เป็นการแสดงความต้องการของพวกเขาที่มีต่อนักบวช และความปรารถนาของพวกเขาในการได้รับพรโดยนักบวช และพวกเขาถือเป็นเกียรติที่นักบวชยอมรับของกำนัลจากพวกเขา
ผู้เขียนเล่าว่า ผมได้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่องหลักศรัทธาและรายละเอียดต่างๆของคริสตศาสนา รวมทั้งนิกายต่างๆและบทบัญญัติปลีกย่อยอีกมากมายจากบาดหลวงผู้นี้
นอกเหนือจากผม บาดหลวงผู้นี้ยังมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ที่จะมายังห้องเรียนของท่านประจำวันโดยประมาณวันละสี่ถึงห้าร้อยคน
ในห้องเรียนของท่าน จึงเนืองแน่นไปด้วยพวกพระและแม่ชี ที่สละกิจทางโลก บนบานว่าจะถือโสดไม่สมรส พวกเขาจะสวดมนต์อยู่ในโบสถ์เป็นกลุ่มใหญ่ นิยามในหมู่ชาวคริสต์ได้เรียกพวกเขาเหล่านี้ว่าพวก " ร็อบบานะตา"
แต่ท่านค่อนข้างให้ความสนิทสนมและความรักกับผมเป็นพิเศษมากกว่านักศึกษาทั้งหลาย
ท่านมอบกุญแจที่พัก โกดังเก็บอาหารและเครื่องดื่มของท่านไว้ให้ผมดูแล ยกเว้นกุญแจไขบ้านเล็กๆหลังหนึ่ง อันเป็นสถานที่เก็บสมบัติโดยเฉพาะ ผมเดาว่ามันคงเป็นคลังเก็บทรัพย์สมบัติของท่านนักบวช
ด้วยเหตุนี้ผมจึงกล่าวกับตัวเองว่า " สละโลกเพื่อโลก " ท่านแสดงความสมถะเพื่อแสวงหาเครื่องประดับทรัพย์สินทางโลก แต่ผมก็ติดสอยห้อยตามพระท่านนี้มาตลอด
ตามที่กล่าวมาโดยได้ศึกษาเล่าเรียนหลักศรัทธาของนิกายและลัทธิต่างๆจนผมอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปี
และแล้ววันหนึ่ง ท่านก็เกิดล้มป่วยไปสอนหนังสือไม่ไหว ท่านจึงกล่าวกับผมว่า ลูกรัก จงไปบอกลูกศิษย์ทั้งหลายทีว่า อาการของพ่อไม่เอื้ออำนวยที่จะสอนได้ในวันนี้
ฟาร่อก่อลีฏอ ( فَارَقَلِيْطَا ) – ผู้ได้รับการสรรเสริญ
( Varkulaita ) และ ( Bear Klootoos )
ผมได้เดินออกไปบอกพวกลูกศิษย์และเห็นพวกเขากำลังทบทวนปัญหาวิชาการ การทบทวนของพวกเขานำไปสู่ความขัดแย้งในประเด็นความหมายของคำว่า
ฟาร่อก่อลีฏอ - فَارَقَلِيْطَا – ในภาษาเฮบรู
และคำ บีร ก่อลูฏูส - بيرقلوطوس -ในภาษากรีก
ที่ท่านนักบุญยอห์นเจ้าของพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับที่ 4 ที่ได้กล่าวถึงการมาของบุคคลผู้นี้จากพระเยซู ดูยอห์น บท 14,15,16 :
14:16 เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป
15:26 แต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา
16:7 อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
ตามที่พระเยซูตรัสว่า
قَالَ يَسُوْعُ : سَوْفَ يَجِيْءُ فَارَقَلِيْطَا بَعْدِيْ
ในอนาคตจะมี"ฟาร่อ ก่อลีฏอ"มาภายหลังจากข้าพเจ้า
การสนทนาของพวกเขา(บรรดาสานุศิษย์)เริ่มขยายวงกว้างขึ้นในประเด็นนี้ มีการถกเถียงกันนานและส่งเสียงดังลั่นและหยาบคาย
แต่ละคนก็มีความเห็นเอกเทศน์เป็นของตัวเองในวรรคนี้ จนการถกเถียงของพวกเขาในปัญหานี้จบลงโดยปราศจากผลลัพท์ แล้วต่างคนได้แยกย้ายกันไป
ส่วนผมเดินกลับมาหาบาทหลวง ท่านกล่าวกับผมว่า ลูกรักของพ่อ พวกเขาได้ค้นคว้าและสนทนากันถึงเรื่องอะไรในวันนี้ตอนที่พ่อไม่อยู่ ?
ผมได้เล่าให้ท่านฟังว่า พวกเขามีความเห็นไม่ตรงกันสักคนในความหมายคำว่า ฟาร่อก่อลีฏอ ผมยังเล่าให้ท่านฟังถึงทัศนะของนักศึกษาแต่ละคนในเรื่องนี้
ท่านถามผมว่า : แล้วเจ้าเลือกทัศนะของใครล่ะในเรื่องนี้ ?
ผมตอบท่านว่า : ผมเลือกตามทัศนะของท่าน...(ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยชื่อไว้) ที่อธิบายไว้ครับ
บาดหลวงกล่าวว่า : ความหมายมันไม่ได้ถูกจำกัดไว้แค่นั้นหรอก แต่ความจริงที่แท้จริงนั้น มันแตกต่างไปจากคำพูดของพวกเขาทั้งหมด
เพราะไม่มีใครรู้จริงถึงความหมายของชื่อนี้และการอธิบายถึงมันในเวลานี้ นอกจากผู้เชี่ยวชาญในวิชาการจริงๆแต่ก็มีน้อยเหลือเกิน
ผมจึงหมอบตัวลงแทบเท้าทั้งสองของอาจารย์และกล่าวว่า : โอ้คุณพ่อทางจิตวิญญาณครับ ท่านมีความรู้ดีมากกว่าใครอื่น นับแต่เริ่มอายุ(การเรียน)จนถึงบัดนี้ ผมเรียนจบหมดทุกเหมือนทุกคนที่จบ ผมมีความคลั่งใคล้ในความเป็นคริสต์เหมือนคริสตศาสนิกชนคนอื่นๆ และผมเคร่งครัดศาสนาเหมือนผู้เคร่งครัดทั้งหลายอีกด้วย
ผมไม่เคยหยุดอ่าน หยุดทบทวนบทเรียน นอกจากเวลาสวดมนต์และเทศนาเท่านั้น อะไรจะทำร้ายท่าน หากท่านจะทำดีต่อผม โดยอธิบายให้ผมเข้าใจถึงความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้กระนั้นหรือ ?
ท่านอาจารย์ได้ร่ำไห้ออกมา พลางกล่าวว่า : โอ้ลูกรักทางจิตวิญญาณของพ่อ พ่อขอสาบานต่อพระเจ้าว่า เจ้านั้นเป็นที่รักยิ่งของพ่อ พ่อไม่เคยหวงแหนสิ่งใดต่อเจ้าเลย ทั้งๆที่การเผยสิ่งนั้นเป็นประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อการรู้จักความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้ แต่ว่าผู้นับถือคริสตศาสนาจะต้องฆ่าพ่อและเจ้าด้วย เพียงแค่เผยแพร่ความหมายของชื่อนี้ออกไป ยกเว้นเจ้าจะให้สัญญากับพ่อว่า เจ้าจะไม่นำความหมายของชื่อนี้ไปประกาศ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พ่อมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม หมายความว่า เจ้าจะต้องไม่เอ่ยชื่อพ่อ(ว่าเป็นคนบอกความหมายของคำนั้น)
เพราะมันจะเป็นเหตุทำให้พวกเขามุ่งมาทำร้ายพ่อแหลกเป็นชิ้นๆตอนพ่อยังมีชีวิต รวมทั้งเครือญาติและผู้ติดตามพ่อ(จะต้องเดือดร้อนไปตามกันด้วย)หลังจากที่พ่อเสียชีวิตแล้ว และคงหนีไม่พ้นที่พวกเขาจะตรงมาขุดหลุมศพของพ่อแล้วเผาร่างพ่อ หากพวกเขารู้ถึงความหมายที่แท้จริงของชื่อนี้ว่ามันมาจากพ่อ(เป็นคนอธิบาย)
ผมจึงสาบานต่อพระเจ้าผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงมีชัย ผู้ทรงทำลายล้าง ผู้ทรงหยั่งรู้ ผู้ทรงชำระโทษ
ต่อพระคัมภีร์ไบเบิล ต่อพระเยซู ต่อพระแม่มารี ต่อบรรดาศาสดาและคนดีทั้งหลาย
ต่อทุกพระคัมภีร์ที่พระเจ้าประทานมา และต่อพระและแม่ชีทั้งหลายว่า ผมจะไม่เผยความลับของท่านตลอดกาล ทั้งในยามที่ท่านมีชีวิตหรือหลังจากที่จากไปแล้ว
หลังจากที่ท่านเชื่อใจผมแล้ว ท่านกล่าวว่า :
ลูกรักทางจิตวิญญาณของพ่อ แท้จริงชื่อนี้คือนามหนึ่งของศาสดาของพวกมุสลิม
มันมีความหมายว่า อะห์มัดและมุฮัมมัด (แปลว่าผู้ที่สรรเสริญพระเจ้ามากที่สุดและผู้ที่มนุษย์สรรเสริญถึงเขามากที่สุดในหมู่มนุษย์ )
จากนั้นบาทหลวงได้มอบกุญแจบ้านหลังเล็ก(ที่กล่าวไว้แต่ต้น)ให้ผม แล้วขอร้องให้ผมไปเปิดหีบของชายคนหนึ่ง และนำคัมภีร์ของชายคนนั้นมาให้ท่านที ผมได้ทำตามนั้น ผมนำคัมภีร์มามอบให้ท่านสองเล่ม ซึ่งคัมภีร์ทั้งสองเล่มบันทึกเป็นลายมือภาษากรีกและภาษาเฮบรูบนหนังสัตว์ (มีอายุบันทึกไว้)ก่อนที่ศาสดาคนสุดท้ายจะปรากฏ
ผมเห็นคัมภีร์ทั้งสองเล่มมีคำว่า " ฟาร่อก่อลีฏอ " และทั้งสองเล่มแปลว่า อะหฺมัด และ มุฮัมมัด
จากนั้นท่านกล่าวว่า : เจ้าจงรู้เถิดว่า นักวิชาการ นักอธิบายและนักแปลชาวคริสต์ทั้งหลายไม่เคยมีความเห็นขัดแย้งกัน ก่อนที่ศาสดามุฮัมมัด(ศ)จะออกมาประกาศอิสลาม ว่าคำนี้หมายถึง อะหฺมัดและมุฮัมมัด
แต่หลังจากที่มุฮัมมัดได้ประกาศอิสลาม บาทหลวงและเจ้าเมืองที่ถือคริสต์ทั้งหลายได้บิดเบือนและทำลายหนังสืออธิบายพระคัมภีร์และตำราภาษารวมทั้งตำราให้ความหมายพระคัมภีร์ทุกเล่มทิ้ง
เพื่อคงไว้ซึ่งตำแหน่งผู้นำ และการแสวงหาทรัพย์สินของพวกเขา และเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ทางโลก พวกเขามีฐิฑิดื้อดึง ริษยาอคติ และความป่วยทางจิตใจที่ห้อมล้อมพวกเขาไว้(มิให้ยอมรับมุฮัมมัดในฐานะศาสดาคนสุดท้ายของชาวโลก)
พวกเขาได้อุตริบัญญัติคำศัพท์หรือความหมายของชื่ออันมีเกียรตินี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งพ่อต้องขอย้ำว่า ศัพท์หรือความหมายที่พวกเขาสร้างขึ้นใหม่นนั้นไม่ตรงต่อเป้าหมายของเจ้าของพระคัมภีร์ไบเบิลเลยสักนิด ความหมายเดิมนี้มีความชัดเจน ง่ายกว่าทั้งหมดจากสำนวนต่างๆ และลำดับของโองการที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ตอนนี้คือ
ผู้ได้รับมอบหมาย ( วิกาละฮฺ )
ผู้ไถ่บาป ( ชะฟาอะฮฺ )
ผู้ปลอบประโลมใจ ( ตะอฺซียะฮ์และตัสลียะฮฺ )
ความหมายเหล่านี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของเจ้าของคัมภีร์ไบเบิล เพราะว่า
พระวิญญาณที่เสด็จลงมาที่บ้านวันนั้น มันก็ไม่ตรงกับความหมายเดิมเช่นกัน นั่นเป็นเพราะพระเยซูทรงจำกัดการมาของ " ฟาร่อก่อลีฏอ " ด้วยเงื่อนของท่านที่ว่า ท่านจะต้องจากไปเสียก่อน
ดังที่พระเยซูตรัสว่า :
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ "ผู้ปลอบประโลมใจ "(เดิมคือฟาร่อก่อลีฏอ) ก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
ดูบท ยอห์น 16: 7
เพราะการรวมศาสดาสององค์ไว้ในเวลาเดียวกัน โดยศาสดาแต่องค์ก็เป็นเจ้าของหลักธรรมเป็นของตัวเองสำหรับมวลชนนั้นไม่เป็นที่อนุญาต
ซึ่งขัดกับพระวิญญาณที่เสด็จลงมาในวันบ้าน(แก่ชาวคริสต์) ซึ่งมันหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เคยเสด็จลงมาในยามที่พระเยซูและบรรดาสาวกยังอยู่
บาดหลวงได้กล่าวว่า ลูกดูซิ พวกเขาลืมไปแล้วว่า คัมภีร์ไบเบิล กล่าวเพียงว่า :
เมื่อพระเยซูได้ขึ้นเสด็จขึ้นจากแม่น้ำจอร์แดน หลังจากที่ท่านยอห์น(นะบียะห์ยา)ได้ประกอบพิธีเจิมน้ำมนต์ให้พระเยซูแล้ว ทันใดนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เสด็จลงมาสถิตบนตัวท่านในร่างของนกเขา
ดูบทมัทธิว 3:16
และพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงรับ(ศีล)บัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจาก(แม่)น้ำ(จอร์แดน) และดูเถิด ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็น"พระวิญญาณของพระเจ้า"เสด็จลงมาดุจนกเขาและสถิตอยู่บนพระองค์
พระวิญญาณดังกล่าวได้เสด็จลงมาในขณะที่พระเยซูอยู่กับสาวกสิบสองคนตามที่คัมภีร์ไบเบิล บทมัทธิว 10 : 1 กล่าวว่า :
ตอนที่พระเยซูส่งสาวกสิบสองคนไปยังบ้านเมืองของชาวอิสราเอลว่า :
เมื่อพระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาแล้ว พระองค์ก็ประทาน"อำนาจ – กูวะฮ์ " ให้เขาขับผีโสโครกออกได้ และให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้
ความหมายคำ "อำนาจ" ในที่นี้คือ พลังทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่พลังทางร่างกายภายนอก เพราะการกระทำเหล่านี้(คือไล่ผีและรักษาโรค) ไม่ได้ออกมาจากพลังทางร่างกาย และพลังทางจิตวิญญาณในที่นี้คือการสนับสนุนของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ในบทมัทธิว 10: 20 พระเยซูตรัสกับสาวกทั้งสิบสองว่า :
لأَنْ لَسْتُمْ أَنْتُمُ الْمُتَكَلِّمِينَ بَلْ رُوحُ أَبِيكُمُ الَّذِي يَتَكَلَّمُ فِيكُمْ
เพราะว่าผู้ที่พูดมิใช่ตัวท่านเอง แต่เป็น"พระวิญญาณแห่งพระบิดาของพวกท่าน" ผู้ตรัสทางท่าน
ความหมายของคำ" رُوحُ أَبِيكُمْ - พระวิญญาณแห่งพระบิดา" คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตามที่คัมภีร์ไบเบิล บทลูกา 9 : 1 กล่าวว่า :
พระเยซูทรงเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาพร้อมกัน แล้วทรงประทานให้เขา " มีอำนาจและสิทธิอำนาจ " เหนือผีทั้งปวงและรักษาโรคต่างๆให้หาย
และเกี่ยวกับสาวกเจ็ดสิบคนที่พระเยซูส่งออกไปทีละสองคนซึ่งพวกเขาได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในบทลูกา 10 : 1 กล่าวว่า :
ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ องค์พระเยซูทรงตั้งสาวกอื่นอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคนๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน
ในบทลูกา 10 : 17 ยังกล่าวอีกว่า :
ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความปรีดีทูลว่า \\\" พระองค์เจ้าข้า ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์ \\\"
ตามที่กล่าวมานี้แท้จริงการเสด็จลงมาของพระวิญญาณ ไม่ได้ถูกกำหนดเงื่อนไขว่า พระเยซูต้องเสด็จจากไปก่อน
ดังนั้นถ้าตีความหมายของคำว่า "ฟาร่อก่อลีฏอ" คือพระวิญญาณบริสุทธิ์
คำพูดของพระเยซูก็จะกลายเป็นคำพูดที่ผิดและเหลวไหลไร้สาระ และนั่นไม่ใช่วิสัยของผู้มีวิทยปัญญาที่จะกล่าวถ้อยคำที่ไร้สาระหรือไร้ความหมายออกมาจากปาก
แล้วนับประสาอะไรกับสถานะภาพของผู้เป็นถึงศาสดา ผู้มีฐานะภาพอันสูงส่งอย่าง พระเยซูเล่า
ด้วยเหตุนี้เป้าหมายของคำว่า " ฟาร่อก่อลีฏอ " ย่อมจะแปลเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะต้องหมายถึง
อะหฺมัดและมุฮัมมัด
และสองคำนี้มีความหมายเดียวกันกับคำ " ฟาร่อก่อลีฏอ " จะเป็นอื่นมิได้
ผู้เขียนกล่าวกับบาดหลวงว่า : แล้วพวกท่านจะกล่าวอย่างไรในคริสตศาสนา ?
บาดหลวงตอบว่า : ลูกรักทางจิตวิญญาณของพ่อ แท้จริงศาสนาคริสต์ถูกยกเลิกด้วยสาเหตุปรากฏหลักธรรมใหม่คือศาสนาของมุฮัมมัด(ศ) ท่านกล่าวถ้อยคำนี้ซ้ำถึงสามครั้ง
ผมกล่าวว่า : หมายความว่าตอนนี้ หนทางรอดและหนทางที่เที่ยงตรงที่จะนำพาไปสู่พระเจ้าถูกจำกัดไว้ในผู้ตามมุฮัมมัด(ศ)เท่านั้นหรือครับ ? และผู้ตามเขาคือบรรดาผู้รอดพ้นหรือครับ ?
ท่านบาทหลวงตอบว่า : ใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้า ใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้าใช่แล้ว ขอสาบานในนามของพระเจ้า
ทำไมท่านจึงไม่เข้ารับอัลอิสลาม ?
ผมถามคุณพ่อว่า : หากเป็นจริงดังนั้น แล้วอะไรขัดขวางคุณพ่อมิให้เข้ารับอิสลามและดำเนินตามมุฮัมมัดล่ะครับ ในขณะที่ท่านรู้ซึ้งว่าอิสลามเป็นศาสนาดีที่สุด และถือว่าการตามศาสดาคนสุดท้ายนี้ คือทางรอดและทางที่เที่ยงตรงไปสู่พระเจ้า ?
ท่านตอบว่า : ลูกรักของพ่อ พ่อไม่เคยได้รับรู้ถึงความจริงของศาสนาอิสลามและรู้ว่ามันเป็นศาสนาดีที่สุด เว้นแต่หลังจากพ่อมีอายุชราภาพแล้ว ในใจพ่อตอนนี้เป็นมุสลิม ส่วนภายนอกนั้นพ่อไม่อาจทิ้งตำแหน่งผู้นำและสมณศักดิ์สูงส่งนี้ได้
ลูกก็เห็นตำแหน่งของพ่อท่ามกลางหมู่ชาวคริสต์นี่ หากพวกเขารู้ว่าพ่อมีจิตใจเอนเอียงไปทางศาสนาอิสลาม พวกเขาจะต้องฆ่าพ่อให้ตายแน่ แม้กระทั่งพ่อจะหนีพ้นพวกเขาแล้วก็ตาม ก็ไม่วายที่พวกเจ้าเมืองฝ่ายคริสต์ศาสนา จะต้องขอตัวพ่อคืนจากเจ้าเมืองฝ่ายมุสลิม โดยอ้างว่าทรัพย์สมบัติของโบสถ์คริสต์นั้นอยู่ในมือพ่อ และพ่อได้ทำผิดคือโกงสิทธิของพวกเขา
หรือไม่พวกเขาก็ต้องอ้างว่า พ่อเอาสิ่งของไปจากพวกเขา พ่อได้กินมันและให้มัน ด้วยเหตุนี้พ่อคิดว่า มันยากและหนักที่เจ้าเมืองฝ่ายมุสลิมทั้งหลายจะปกป้องพ่อเอาไว้ได้
ถึงกระทั่งว่า พ่อจะมาขอพึ่งพวกมุสลิมด้วยการที่พ่อจะกล่าวกับพวกเขาว่า ผมเป็นมุสลิมแล้วนะ
พวกเขาจะกล่าวว่า ยินดีกับท่านด้วย ที่ท่านได้พาตัวท่านรอดพ้นจากไฟนรก แต่ขอร้องว่า อย่าได้ทวงบุญคุณกับพวกเรา เพราะท่านช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าแล้ว โดยเข้าสู่ศาสนาแห่งสัจธรรมและแนวทางที่ถูกต้อง
ลูกรักของพ่อ แล้วจะไม่มีขนมปังและน้ำดื่มสำหรับพ่อ ทั้งๆที่พ่อเป็นอาจารย์และแก่เฒ่าท่ามกลางชาวมุสลิม
ด้วยเหตุนี้พ่อก็จะต้องมีชีวิตอยู่ในความยากจน ขัดสน สับสน น่าสมเพช อับยศ มีแต่ความกังวลในสภาพที่พ่อเองก็ไม่เข้าใจภาษาของพวกเขา แล้วพวกเขาก็จะไม่รู้จักสิทธิของพ่อ ไม่ดูแลเอาใจใส่ศักดิ์ศรีของพ่อ พ่อก็จะตายในสภาพหิวโหยท่ามกลางพวกเขา
และพ่อจะต้องอำลาจากโลกนี้ไปท่ามกลางความเสื่อมเสียและสิ่งปรักหักพังต่างๆ
พ่อเคยเห็นด้วยตาพ่อเองมามากมายแล้ว มีผู้คนเข้ารับอิสลาม และพวกมุสลิมไม่เคยเอาใจใส่ดูแลพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นจึงหันหลังออกจากอิสลามไปสู่ศาสนาเดิมของพวกเขาอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นพวกเขาได้ขาดทุนทั้งโลกนี้และโลกหน้า และพ่อก็เช่นกัน พ่อกลัวว่า พ่อไม่อาจทนรับสภาพความเดือนร้อนและทุกข์เข็ญต่างๆทางโลกได้ ในขณะที่จะไม่ได้รับสิ่งใดเป็นของพ่อเลยจากโลกนี้และโลกหน้า
และพ่อขอขอบคุณต่อพระเจ้าที่พ่อเป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสตามศาสดามุฮัมมัด(ศ)ในใจ.
แล้วอาจารย์ผมได้ร้องไห้ออกมา ส่วนผมก็ร้องไห้เช่นกัน หลังจากเราร้องไห้อยู่ด้วยกันนานอยู่พักหนึ่ง
ผมได้กล่าวกับท่านว่า : คุณพ่อที่รักครับ ท่านจะสั่งผมให้เข้ารับอิสลามได้ไหม ?
ท่านกล่าวว่า : หากลูกต้องการโลกหน้าและการรอดพ้น เจ้าก็ควรจะยอมรับศาสนาแห่งความจริง เพราะเจ้ายังหนุ่มแน่น พ่อว่าลูกไม่เป็นไรหรอก พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมปัจจัยต่างๆทางโลกไว้สำหรับเจ้า ลูกคงไม่อดตายหรอก และพ่อจะขอพรให้เจ้าเสมอ และพ่อต้องการให้เจ้าช่วยเป็นพยานให้พ่อในวันสิ้นโลกด้วยว่า แท้จริงพ่อเป็นมุสลิมในใจและเป็นผู้ตามมนุษย์ที่ประเสริฐสุดคนหนึ่ง และพ่ออยากบอกเจ้าว่า มีนักบวชมากมายที่ในใจพวกเขา ใช้ชีวิตสภาพเดียวเช่นพ่อ พวกเขาเหมือนพ่อ พ่อคือคนบาปที่ไม่อาจสลัดตำแหน่งหน้าที่ผู้นำทางโลกได้
และนอกจากนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แท้จริงศาสนาของพระเจ้าบนโลกในวันนี้ คือศาสนาอัลอิสลาม
เมื่อผมได้เห็นพระคัมภีร์เก่าสองเล่มและได้ฟังคำอธิบายเช่นนี้จากอาจารย์แล้ว แสงสว่างแห่งทางนำของศาสดามุฮัมมัด ศาสดาคนสุดท้ายของโลกได้มีอำนาจเหนือตัวผม และความรักที่ผมมีต่อเขาถึงขั้นที่ว่า
โลกใบนี้และสิ่งที่มีอยู่ในมัน ในสายตาของผมมันกลายเป็นซากศพไร้ค่า ตำแหน่งผู้นำทางโลกที่มีวันมลาย เครือญาติและบ้านเกิดเมืองนอนมิอาจผูกมัดขัดขวางผมไว้ได้ ผมหันหลังให้กับสิ่งเหล่านั้นทุกอย่าง ผมได้อำลาอาจารย์ในช่วงเวลานั้น แล้วท่านได้ขอให้ผมรับเงินจำนวนหนึ่งจากท่านไปเพื่อใช้จ่ายในการเดินทางของผม ผมรับมันมาจากอาจารย์ แล้วออกเดินทาง(จากนครรัฐวาติกัน) มุ่งหน้าสู่โลกหน้าทันที
การเข้ารับอิสลาม (ของบาดหลวงแห่งอาร์มีเนีย)
ผมไม่ได้พกพาสิ่งใด(จากนครรัฐวาติกัน)มาเลย นอกจากหนังสือสองสามเล่มเท่านั้น ผมทิ้งตำราทั้งหมดและทุกสิ่งที่ผมมีไว้
หลังจากการเดินทางอันเหนื่อยยาก ผมก็มาถึงเมืองอาร์มีเนียเวลาเที่ยงคืนพอดี และในคืนเดียวกันนั้นผมได้ไปเคาะประตูบ้านท่านมัรฮูมสัยยิดฮาซัน มุจญ์ตะฮิด
ซึ่งท่านได้ปลื้มปิติใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับผมหลังจากท่านรู้ข่าวมาว่า ผมจะมาหาท่านเพื่อเข้ารับอิสลาม ผมขอให้ท่านสอนคำปฏิญานตนเพื่อเข้ารับอิสลาม(กะลิมะฮ์ชะฮาดะตัยนิ)และหลักการอิสลามที่สำคัญ
ท่านสัยยิดฮาซันมุจญ์ตะฮิดได้ถ่ายทอดทุกสิ่งและสอนความรู้ให้กับผม ผมได้จดเป็นภาษาเฮบรูเพื่อจะได้ไม่ลืม เช่นกันผมขอให้ท่านอย่าได้เพร่งพรายแก่ใครเรื่องที่ผมมาเข้ารับอิสลาม เพราะผมเกรงว่า ถ้าญาติพี่น้องและชาวคริสต์ได้ยินเรื่องนี้เข้า พวกเขาจะต้องทำร้ายผมหรือรังควานผมแน่
จากนั้นผมเดินไปที่ห้องน้ำในคืนนั้น แล้วผมได้อาบน้ำฆุซุ่ลเตาบัตตัวจากชีรีกและกุโฟ้ร(การตั้งภาคีต่อพระเจ้าที่เชื่อว่าพระองค์มีสามองค์)
หลังจากออกจากห้องน้ำ ผมกล่าวกะลิมะฮ์ชะฮาดะฮฺอีกครั้งหนึ่ง และเข้าสู่ศาสนาแห่งสัจธรรมทั้งภายนอกและภายใน.
Θ ท่านสามารถตรวจสอบความจริงของเรื่องนี้ได้ที่เวบไซต์มากมายดังนี้
http://www.albadri.info/adyan/index.php?id_file=mcjara/mcj12.htm
http://www.ebnmaryam.com/vb/t168953.html
http://www.ngoic.com/main.php?ObjShow=ShowPage&Tshow=Article&PS=default2&ida=267
http://anis-al-alaam.blogfa.com/
:P